ซวนลู่หันมองทางปรมาจารย์แพทย์กู้หว่านเยว่เองก็มองทางปรมาจารย์แพทย์“ผู้อาวุโส ท่านรู้จักแม่ทัพซวนด้วยหรือ?”“แม่ทัพซวนแม่ทัพห้วนอะไร เจ้าเด็กตัวเหม็น นางไม่ใช่คนของเจ้าหรือ?”ปรมาจารย์แพทย์เผยสีหน้าประหลาดใจ “ที่แท้เจ้าก็ไม่รู้จักเจ้าเด็กตัวเหม็นนี่เอง ข้ายังคิดว่าเป็นเจ้าเด็กตัวเหม็นให้เจ้ามาหาข้า ดังนั้นข้าถึงรีบร้อนเดินทางมา หากรู้แต่แรกว่าเจ้ามาเชิญข้าด้วยตนเอง ข้าก็ไม่มีวันมา”สีหน้าซวนลู่กระด้างไป ปรมาจารย์แพทย์พูดอย่างไม่ไว้หน้ายิ่งขึ้น“วิชาแพทย์ของเจ้าเด็กตัวเหม็นคนนี้ดีกว่าข้ามากนัก คนที่นางเคยดูอาการมาก่อนยังจะให้ข้าดูอะไรอีก สร้างปัญหาให้ข้าโดยแท้”สีหน้าซวนลู่เขียวแล้ว ดังนั้นนางสามารถเชิญปรมาจารย์แพทย์มาได้ มิใช่เพราะชื่อของนาง แต่เพราะกู้หว่านเยว่? !กู้หว่านเยว่มองปรมาจารย์แพทย์ยิ้มๆ“ในเมื่อมาแล้วเที่ยวหนึ่ง คืนนี้ก็อย่ากลับไปเลย อยู่ต่อที่จวนข้าเถอะ ห้องก่อนหน้านี้ที่ท่านเคยอยู่บ่าวรับใช้ยังเก็บกวาดอยู่ตลอด”“ได้ๆ!”ปรมาจารย์แพทย์พยักหน้ามีความสุข สามารถมากินมาดื่มได้ เขาย่อมไม่ปฏิเสธเดาออกว่าพวกเขาคนหนุ่มสาวมีเรื่องอะไร ปรมาจารย์แพทย์รู้กาลเทศะรีบหนีไปแ
ยามอยู่ที่ชายแดน แม่ทัพผู้เฒ่าซวนดูแลเขาไม่น้อย เขาจดจำอยู่ภายในใจซวนลู่เผยสีหน้าดีใจ “มิสู้ท่านอ๋องไปพร้อมกับข้าเถอะ หากท่านพ่อได้พบท่าน จะต้องดีใจมากแน่”ซูจิ่งสิงไม่มีท่าทีตอบสนองเขาวางแผนไปที่ชายแดนจริง เพียงแต่นั่นคือติดตามกู้หว่านเยว่ไป ไม่มีวันแย้มพรายเรื่องนี้ให้ซวนลู่ฟังซวนลู่เห็นสถานการณ์แล้ว พูดออกมาอีกครั้งอย่างอดไม่ได้ “ข้าได้ยินว่าท่านเกิดเรื่อง ก็ร้อนใจดุจไฟเผา ตลอดทางมานี้ลำบากคุณหนูกู้แล้ว แต่ ภายภาคหน้ามีข้าอยู่ ไม่มีใครขวัญกล้าทำร้ายท่าน”ซูจิ่งสิงขมวดคิ้ว ต่อให้เขารู้สึกช้าเยี่ยงไร ก็ฟังออกว่าประโยคนี้ของอีกฝ่ายผิดปกติกู้หว่านเยว่แสยะยิ้ม กินเมล็ดแตงเงียบๆตรงข้ามกันไม่กังวลซูจิ่งสิง อย่างไรเสียก็เป็นชายที่นางเลือกด้วยตนเอง นางเชื่อว่าสายตาตนไม่แย่ถึงเพียงนั้นดังคาด ซูจิ่งสิงมิได้ทำให้นางผิดหวัง เปล่งเสียงเครียด“หว่านเยว่เป็นพระชายาของข้า ตลอดทางพวกเราสองสามีภรรยาดูแลประคับประคองกัน สายสัมพันธ์ลึกซึ้งรบกวนเจ้าภายภาคหน้าตอนเรียกนาง อย่าได้เรียกนางว่าคุณหนูกู้อีก เรียกนางว่าพระชายา”ซวนลู่อึ้งงันอยู่กับที่ คล้ายคิดไม่ถึงเลยว่าซูจิ่งสิงถึงขั้นหักหน้าน
สองสามีภรรยากลับมาคุยธุระสำคัญซูจิ่งสิงพยักหน้า “ถูกต้อง ข้าไล่ตามเขาไปจริงๆ ข้าพบร่องรอยของเขาที่นอกเมือง”ที่แท้ ยามซูจิ่งสิงอยู่ที่ตลาดประมูลพบว่าลี่จีเป็นคนของหอร้อยบุปผา ก็เริ่มสงสัยว่าเหยลวี่เจิงเองก็อยู่ภายในเจดีย์หนิงกู่ ดังนั้นจึงส่งคนคอยสังเกตการณ์อยู่ตลอดดังคาด หลังสุ่ยเซียนถูกจับ เหยลวี่เจิงก็เผยพิรุธออกมา“อาจเพราะเขาพบว่าสุ่ยเซียนตายในเงื้อมมือของพวกเรา ดังนั้นเขาจึงพาคนออกจากเมืองอวี้ สรุปคือถูกข้าพบเข้าให้แล้ว”ซูจิ่งสิงขมวดคิ้ว “เขาเปลี่ยนไปจากที่เคยต่อสู้กันเมื่อหลายปีก่อนไม่น้อย บนตัวคล้ายมีความชั่วร้ายเพิ่มขึ้นไม่เพียงวิชายุทธ์แตกต่างจากที่ผ่านมาโดยสิ้นเชิง ยิ่งไปกว่านั้นหลังถูกข้าทำให้บาดเจ็บแล้ว ถึงขั้นสาดผงยาพิษใส่ข้า”เขาใช้พิษไม่เป็น แม้ว่าสามารถหลบได้ในทันที แต่ยังสูดผงยาพิษเข้าไปไม่น้อย“หลังพบว่าผงยาพิษคือยากระตุ้นกำหนัด ข้าก็ระงับฤทธิ์ยาลงไปในทันที จากนั้นหาถ้ำแห่งหนึ่งพบ ก็สะลึมสะลือไม่ได้สติ”กู้หว่านเยว่ยิ้มเย็น “เหยลวี่เจิงสามารถรังสรรค์เจ้าสิ่งนี้ออกจากหอร้อยบุปผาได้ มองออกว่าไม่ใช่คนดีอะไร บัดนี้ความชั่วร้ายก็แค่ปลดปล่อยอุปนิสัยตามธรรมชา
แต่แค้นนี้ นับว่าคลี่คลายแล้วกู้หว่านเยว่กลับแปลกใจมาก “เหตุใดเหยลวี่เจิงต้องไล่ตามท่านไม่เลิกราด้วยเล่า?”ต่อให้พ่ายแพ้ให้ซูจิ่งสิงในสงคราม แต่แพ้ชนะเป็นเรื่องปกติของการทำสงคราม ไม่ถึงขั้นต้องไล่ตามมาฆ่าถึงเจดีย์หนิงกู่หรอกกระมังเว้นเสียแต่ว่ายังมีเรื่องค้างคาอะไรกัน“เหยลวี่เจิงอายุมากกว่าข้าห้าปี”ซูจิ่งสิงยิ้มเยาะหยัน “เขาเข้าสนามรบตอนอายุสิบเก้าปี ทำสงครามกับต้าฉี ไม่เคยพ่ายแพ้มาก่อนจนกระทั่งข้าไปที่ชายแดน”กู้หว่านเยว่เข้าใจแล้วเหยลวี่เจิงคิดว่าตนเองเป็นแม่ทัพมีพรสวรรค์ ปรากฏว่ากลับถูกซูจิ่งสิงปราบและบังคับให้ลงนามในสัญญายอมรับความพ่ายแพ้ นี่ยังจะอดทนไหวได้อย่างไร?ดังนั้นไม่ว่าเขาทำเพื่อระบายโทสะ หรือเพื่อทำให้ซูจิ่งสิงไม่เป็นภัยต่อทูเจวี๋ยอีก นี่จึงมีเหตุผลเพียงพอให้เอาชีวิตของซูจิ่งสิงสำหรับอาการบาดเจ็บสาหัสของเขา ทั้งสองตัดสินว่าเหยลวี่เจิงไม่มีวันโผล่หน้าออกมาภายในระยะเวลาอันสั้นนี้ความจริงก็เป็นเช่นนี้ บัดนี้เหยลวี่เจิงกำลังหนีเอาชีวิตรอดเขานอนบนรถม้า รูปร่างสูงใหญ่ กำยำล่ำสันสะท้อนความงามของชายต่างเผ่าออกมา มิน่าเล่าสตรีมากมายภายในหอร้อยบุปผาถึงหลงใหลและ
กู้หว่านเยว่แสยะยิ้ม ซวนลู่เองก็อยู่ด้วย“หว่านเยว่ มีอะไรหรือ?”ซ่งเสวี่ยสังเกตเห็นว่านางไม่สบอารมณ์ มองตามสายตานางไปทางซวนลู่สัญชาตญาณของผู้หญิงบอกนาง คนผู้นี้เป็นปรปักษ์กับกู้หว่านเยว่หางตาซวนลู่ลำพองใจถึงสองส่วน ยืนข้างซูจิ่นเอ๋อร์อย่างสนิทสนม จงใจแสดงท่าทางสนิทสนมมากกับพวกเขา“จิ่นเอ๋อร์ นี่ก็คือพี่สะใภ้ใหญ่ของเจ้าหรือ?”นางตั้งใจถามออกไปเช่นนี้ ซูจิ่นเอ๋อร์ไม่รู้เรื่องเมื่อวาน พยักหน้าท่าทางซื่อๆ“ใช่แล้ว นี่ก็คือพี่สะใภ้ใหญ่ที่ข้าบอกท่าน”พูดไปก็วิ่งเข้ามาหยุดข้างกายของกู้หว่านเยว่“พี่สะใภ้ใหญ่ พวกเราวางแผนไปสนุกครึกครื้นด้วยกันที่สำนักศึกษาถงซัน ให้พวกเราไปกับท่านดีหรือไม่?”“ได้เลย แต่เจ้าต้องรับปากข้า จะวุ่นวายไม่ได้”กู้หว่านเยว่จิ้มหน้าผากเด็กโง่คนนี้ ซูจิ่นเอ๋อร์รีบรับปาก“พี่สะใภ้ใหญ่วางใจได้ ข้าจะเชื่อฟัง”ซูจื่อชิงได้เห็นสีหน้าซูจิ่งสิง ก็รีบพูด“ข้าเองก็จะเชื่อฟัง”อาจเพราะได้กลับมาพบหน้าหลังไม่ได้พบกันมานาน เพิ่งขึ้นรถม้า ซูจิ่นเอ๋อร์และซูจื่อชิงก็อยู่ข้างกายซวนลู่อยู่ตลอดทว่าบัดนี้เพียงได้พบกู้หว่านเยว่ สองคนก็วิ่งเข้าไปหยุดข้างกายกู้หว่านเยว่ เชื
ซูจิ่นเอ๋อร์ตอบโต้อย่างอดไม่ได้ “สินค้าตะวันตกอะไรไม่ใช่เสียหน่อย? กระจกเจ็ดสีนี้เป็นพี่สะใภ้ใหญ่ของข้าคิดค้นออกมา บัดนี้นำไปใช้บนหลังคาของหอสมุดสำนักศึกษา”เมี่ยชิงหว่านเองก็พูดอย่างมีความสุข “ได้ยินมาว่าหน้าต่างล้วนทำจากกระจก หอสมุดทั้งสว่างทั้งกว้างขวาง”“ใช่แล้วๆ ใครคิดเล่าว่าสินค้าตะวันตกราคาสูงในอดีต บัดนี้ถึงขั้นสามารถนำมาใช้งานตามใจได้ ทำเป็นหน้าต่างของสำนักศึกษา พี่สะใภ้ใหญ่ช่างยอดเยี่ยมเหลือเกิน ต้าฉีของพวกเราเองก็มีกระจกและกระจกเจ็ดสีของตนแล้ว!”สามคนเอ่ยถึงกู้หว่านเยว่ สุ้มเสียงเปี่ยมความภาคภูมิใจและเลื่อมใส ซวนลู่กัดฟันอย่างอึดอัดใจซวนลู่พูดเสียงขมปร่าออกมา “อย่าดีใจเร็วเกินไปนัก นางสร้างสำนักศึกษาเป็นครั้งแรก ถึงตอนนั้นเกิดข้อผิดพลาดขึ้นมา จะเดือดร้อนถึงจวนอ๋องให้คนเห็นเป็นตัวตลกเอาได้”“พี่หญิงซวนลู่ ท่านไม่รู้จักพี่สะใภ้ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่เป็นผู้หญิงมหัศจรรย์มาก”ตรงข้ามกันไม่รู้สึกถึงความเป็นศัตรูที่ซวนลู่มีต่อกู้หว่านเยว่ คิดเพียงว่านางไม่เข้าใจ“พี่สะใภ้ใหญ่ทำเพื่อเด็กในเจดีย์หนิงกู่ สร้างสำนักศึกษาถงซันขึ้นมา ราษฎร์ซาบซึ้งใจมาก ไม่มีวันเห็นจวนอ๋องเป็นตัวตลก พี
สายตาลุ่มลึกนั้น ทำให้กู้หว่านเยว่หน้าแดงเรื่อซวนลู่มองสองคนใกล้ชิดกัน เพลิงโทสะแทบพ่นออกจากดวงตา พูดสอดปากอย่างไม่ถูกเวลา“แม้ว่าหอสมุดนี้ดีมากแต่ตำราเพียงสองสามเล่มก็พอหรือ? เทียบกับสำนักศึกษาไป๋ลู่ยังห่างชั้นกันมากนัก”“สำนักศึกษาไป๋ลู่มีประวัติศาสตร์ยาวนานนับหลายร้อยปีแล้ว ส่วนสำนักศึกษาถงซันเพิ่งสร้างขึ้น ก็ไม่รู้ว่าภายภาคหน้าจะมีมากกว่าสำนักศึกษาไป๋ลู่หรือไม่” สีหน้าซูจิ่งสิงเย็นชาอยู่บ้างสีหน้าซวนลู่กระด้างไป “จิ่งสิง เหตุใดต้องดุข้าถึงเพียงนี้ ข้าเพียงปากไวพูดตามที่ใจคิดเท่านั้น”กู้หว่านเยว่ปรายตามองซวนลู่สายตาเย็นชา “ใครพูดว่าหอสมุดจะมีเพียงตำราเหล่านี้กัน เหล่านี้เป็นเพียงหนังสือที่ข้านำมาจากจวนเท่านั้น หนังสือทั้งหมดอยู่ในคลังเก็บของทางด้านหลังนั่น”บังเอิญตอนนี้อวิ๋นมู่เดินออกมาพอดี “หว่านเยว่ท่านมาพอดี ข้ากำลังจะให้คนไปเชิญท่านมาดูอยู่เชียวว่าตำราเหล่านี้ภายในหอสมุดพอหรือไม่?”“ไป พวกเราเข้าไปดู”กู้หว่านเยว่ตั้งใจทำให้ซวนลู่หุบปาก พาทุกคนเข้าไปดูภายในห้องปรากฏว่าเพียงผ่านเข้าคลังเก็บของ ก็มองเห็นหนังสือถูกเรียงแน่นเอียดอยู่ที่ผนังหอตำรา“สวรรค์ ตำรามากถึงเพี
ท่าทางนั้น ดูรีบร้อนยิ่งนัก รีบร้อนจนหนวดเคราพลิ้วไปตามแรงลมกู้หว่านเยว่คลี่ยิ้ม “ข้าไม่คืนคำ เพียงแต่เป็นกังวลว่าร่างกายของผู้เฒ่าอย่างท่านจะรับไม่ไหวเจ้าค่ะ”“ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”โจวเหล่ารีบโบกมือไปมา“ร่างกายของข้าแข็งแรงมาก ต่อให้สอนอีกแปดปีสิบปีก็ไม่มีปัญหา”กู้หว่านเยว่ไม่กล่าวสิ่งใดอีก นางรู้ว่าตระกูลของเขามีความปรารถนาอยากสอนเสี่ยวจ้านจ้าน แทบจะกลายเป็นความมกหมุ่นของเขาไปโดนปริยายการที่โจวเหล่าเดินทางมายังสำนักศึกษาถงซัน ได้สร้างความปั่นป่วนให้สำนักไม่น้อยในฐานะที่เฉินจื่อหวังเป็นผู้อำนวยการของสำนักศึกษา ต้องเจียดเวลาจากงานที่ยุ่งเหยิงมารายงานกู้หว่านเยว่“พระชายา จากเงื่อนไขที่ท่านกล่าวมา ข้าได้บอกกับทุกคนไปแล้ว รวมถึงเรื่องที่เด็กสาวสามารถเข้าเรียนในสำนักศึกษาได้ และอีกหลายครอบครัวที่อยากส่งบุตรสาวเข้าเรียนด้วยขอรับ”แม้ว่าเฉินจื่อหวังจะยุ่งจนตัวเป็นเกลียว แต่ก็อดดีใจไม่ได้ ครั้นเห็นสำนักศึกษาแห่งนี้ค่อย ๆ ก่อร่างสร้างตัวขึ้น ต่อไปเขาจะพัฒนาให้สำนักศึกษาแห่งนี้กลายเป็นสำนักที่ดียิ่งขึ้นไปตอนนี้เขาถือว่าสำนักศึกษาแห่งนี้เป็นของบุตรตัวเองไปแล้ว“ขอแค่ตรงตามเงื่อ
“อ๊ะๆๆๆ!”วูเมิ่งร้องคร่ำครวญอย่างเจ็บปวด ถ้าหากไม่ได้โดนมัดไว้ เขาคงเจ็บจนกลิ้งไปกลิ้งมาบนพื้นแล้ว“เขียนบนพื้น”กู้หว่านเยว่ยื่นน้ำชาให้เขาหนึ่งถ้วยน้ำตาของวูเมิ่งแทบจะแห้งแล้ว แม้ห้องปรุงพิษของพวกเขาก็มักจะสอบสวนผู้อื่นเช่นนี้แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาโดนสอบสวน“ข้าเขียน ข้าเขียน”เขารีบทำปากพูด พลางยื่นมือสองข้างที่โดนมัดเข้าด้วยกันออกไป ใช้นิ้วชี้จุ่มลงไปในน้ำชาเดิมทีอยากฉวยโอกาสดีดยาพิษในซอกเล็บออกมา กลับพบว่าโดนกู้หว่านเยว่ค้นตัวจนไม่เหลืออะไรเลย แม้แต่ยาพิษในซอกเล็บก็โดนขูดออกมาแล้วเขากัดฟันแน่น ใช้ดวงตาที่เป็นประกายจ้องกู้หว่านเยว่เขาชอบผู้หญิงสวย ผู้หญิงที่เก่งกาจ เขายิ่งชอบ‘ชวีอวี้’ เก่งกาจเช่นนี้ เขาชอบสุดๆรอเขามีโอกาส เขาจะสยบนางแน่นอน“เขียน” กู้หว่านเยว่สั่งอย่างใจเย็นเหลือเวลาไม่มากแล้ว ชวีเฟิงกล้าร้องหนึ่งชั่วยาม แต่ใช้ว่าวูเมิ่งจะทำได้นานเช่นนี้“คุกใต้ดินห้องปรุงพิษ” วูเมิ่งเขียนลงบนพื้นกู้หว่านเยว่ประหลาดใจ “เจ้าบอกว่าอยู่ในมือของเจ้าไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงอยู่ที่ห้องปรุงพิษ?”แววร้อนตัวแลบผ่านดวงตาวูเมิ่งเขาเขียน “ไม่พูดเช่นนี้ เจ้าจะยอมแต่งง
“ให้ตายเถอะ!”ชวีเฟิงยังไม่ทันได้ใช้ศิลปะการต่อสู้เลย ก็เห็นเขาโดนกู้หว่านเยว่ผลักจนล้มลง จึงอุทานออกมาด้วยความตกใจ“ท่านทำอะไรกับเขา?”“เปล่านี่ แค่ทำให้เขาสลบ จะได้สอบสวนง่ายขึ้น”กู้หว่านเยว่พูดอย่างสบายๆนางเป็นไปที่ตรงหน้าวูเมิ่ง ค้นตามร่างกายเขาครู่หนึ่ง พบอาวุธลับและยาพิษมากมาย“แหม โชคดีที่ทำให้เขาสลบก่อน ของพวกนี้สามารถทำให้พวกเราเสียเวลาพักใหญ่เลย”“ของพวกนี้มันอะไร?” ชวีเฟิงมองขวดเหล่านั้นอย่างงงงวย“นี่คือยาพิษที่ฆ่าคนได้ในพริบตา”“น้ำยาทำลายศพ ความหมายตามชื่อเลย มีฤทธิ์กัดกร่อนสูงมาก”“ไห่ถังเจ็ดดาว ไร้สีไร้รส ผู้ที่ถูกพิษจะหมดสติทันที ตายอยู่ในความฝัน อีกทั้งยังเป็นฝันดีด้วย ตอนตายยังยิ้มอยู่เลย”“อันนี้…”“เดี๋ยวก่อน เลิกพูดได้แล้ว!”กู้หว่านเยว่ยังจะพูดต่อ ชวีเฟิงรีบห้ามนาง “ของพวกนี้ก็น่ากลัวมากแล้ว ขืนฟังต่อไป ข้ากลัวว่าข้าจะฝันร้ายทำไมเขาถึงพกยาพิษมากมายเช่นนี้ ไม่กลัวตัวเองโดนพิษของตัวเองเลยหรือ”“เขาเป็นคนของห้องปรุงพิษ เจอยาพิษป้องกันตัวบนตัวเขาก็เป็นเรื่องปกติ”กู้หว่านเยว่เก็บยาพิษเหล่านั้นเข้าไปในมิติอย่างใจเย็นหลังจากนั้น นางเดินไปที่ประตู ม
“อวี้เอ๋อร์ ข้ามารับเจ้าแล้ว ทำไมเจ้าถึงล็อคประตูล่ะ? เป็นเจ้าสาวก็เลยเขินอย่างนั้นหรือ?”เสียงของผู้ชายดังมาจากข้างนอกความเกลียดชังปรากฏขึ้นบนใบหน้าชวีอวี้“วูเมิ่งมาแล้ว”“เจ้ารีบไปซ่อนตัวเร็วเข้า”กู้หว่านเยว่รีบกล่าวออกคำสั่ง ชวีอวี้พยักหน้า ออกจากห้องเวลานี้เป็นไปไม่ได้แล้ว นางกวาดมองโดยรอบ แล้วรีบไปหลบที่ใต้เตียงชวีเฟิงจะเข้าไปเปิดประตูกู้หว่านเยว่กล่าวเตือน “จำไว้ ไม่ว่าเวลาใดก็อย่าเปิดเผยตัวตน หากทนไม่ไหวจริงๆ ก็นึกถึงแค้นบัญชีเลือดของครอบครัวเจ้า”“เข้าใจแล้ว”ชวีเฟิงข่มอารมณ์แล้วพยักหน้าหลังจากเขามองกู้หว่านเยว่อย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง จึงจะเดินไปเปิดประตูเขากับวูเมิ่งเคยเจอกัน กลัวว่าอีกฝ่ายจะจับได้ ดังนั้นหลังจากเปิดประตูก็รีบก้มหน้า โชคดีที่ความสนใจของวูเมิ่งไม่ได้อยู่ที่เขา“อวี้เอ๋อร์”สายตาของวูเมิ่งราวกับติดอยู่กับตัว ‘ชวีอวี้’ เขาเดินไปที่ตรงหน้านาง แล้วจ้องนางอย่างหลงใหล“วันนี้เจ้าสวยจริงๆ สวยจนข้าไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเอง”สีหน้าวูเมิ่งเต็มไปด้วยความลุ่มหลงเขายื่นมือออกไป หวังจะจับแก้มของ ‘ชวีอวี้’“ไสหัวไป!”‘ชวีอวี้’ หันหน้าหนีอย่างความรังเกียจ
กู้หว่านเยว่เผยอปาก นี่คือสิ่งที่นางอยากได้ยิน“อยากให้ข้าช่วยให้สกุลชวีผ่านมรสุมครั้งนี้ มันไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแต่ว่าต่อจากนี้เจ้าต้องฟังข้า”กู้หว่านเยว่มีเจตนาที่ชัดเจน เห็นได้ชัดว่านางคิดแผนรับมือไว้ตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว“ท่านพูดมาได้เลย”ชวีเฟิงรีบลุกขึ้น“ให้พี่หญิงของเจ้าถอนชุดแต่งงานกับมงกุฎหงส์ลงมาก่อน”กู้หว่านเยว่ออกคำสั่ง“เจ้าหาข้ออ้างเรียกสาวใช้ที่อยู่หน้าประตูเข้ามา หลังจากตีนางสลบ ถอดเสื้อชั้นนอกของนางออก แล้วสวมบนตัวเจ้า”กู้หว่านเยว่สั่งอย่างเป็นระเบียบ ชวีเฟิงมองไปทางชวีอวี้ พยักหน้าเบาๆ“พี่หญิง ทำตามที่นางบอก”“...ได้”ชวีอวี้คิดแล้วคิดอีก ท้ายที่สุดก็ยังเลือกเชื่อกู้หว่านเยว่ อย่างไรก็ตามสีหน้ากู้หว่านเยว่ดูเรียบเฉยมาก ราวกับว่าทุกอย่างอยู่ในการควบคุมนางเรียบถอดชุดแต่งงานและมงกุฎหงส์ลงมาวางบนโต๊ะ“หลังจากนั้นล่ะ?”“หลังจากนั้นข้าจะปลอมตัวเป็นเจ้าสาว แต่งเขาบ้านวูเมิ่งแทนเจ้า”กู้หว่านเยว่ฉีกหน้ากากหนังมนุษย์บนใบหน้าออก ชวีอวี้จึงจะพบว่าที่แท้นางเป็นผู้หญิงด้วยความประหลาดใจกู้หว่านเยว่สวมชุดแต่งงานและมงกุฎหงส์ โชคดีที่การสวมใส่มงกุฎหงส์ของเมี่ยวเ
“พี่หญิง บางทีท่านอาจจะรู้สึกว่าข้ารักตัวกลัวตาย แต่ในใจกลับรู้สึกว่าหนานเจียงไม่มีที่ยืนสำหรับพวกเราแล้วบางทีสิ่งที่ข้าทำอาจช่วยทำให้สกุลชวีมีทางรอด”“ทางรอด?”เมื่อชวีอวี้ได้ยินคำพูดนี้ รอยยิ้มเย้ยหยันก็ปรากฏขึ้นที่ใบหน้า“สกุลชวีของเราไม่มีทางรอดแล้ว”นางมองไปทางชวีเฟิง“คิดว่าตอนที่เจ้าเพิ่งเข้ามาก็เห็นแล้ว ข้างนอกล้วนเป็นคนของสกุลวู ฮองเฮาอยากให้พวกเราตาย สกุลวูก็อยากให้พวกเราตาย พวกเราไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว”ในแววตาของนางเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ราวกับว่าเคยผ่านความเป็นความตายมาแล้วชวีเฟิงนึกถึงอะไรบางอย่างกะทันหัน“พี่ชวีหลิงล่ะ?”เขาเป็นคู่หมั้นของพี่หญิง เหตุใดจึงไม่เห็นเขาปรากฏตัว และพี่หญิงก็ไม่ได้พูดถึงเขาเลยจู่ๆ เขาก็มีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี“พี่หญิง พี่ชวีหลิงล่ะ?”จนกระทั่งเวลานี้เอง ในที่สุดร่างกายของชวีอวี้ก็สั่นอย่างไม่สามารถควบคุม นางปิดหน้า หยดน้ำตาไหลออกมาจากระหว่างนิ้ว “ตายแล้ว เขาตายแล้ว”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ จิตใจได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ถึงว่าชวีอวี้จะแต่งงานกับวูเมิ่ง ชวีหลิงไม่เคยปรากฏตัวเลย“วูเมิ่งฆ่าเขาหรือ?”ชวีเฟิง
กู้หว่านเยว่ยกกระเบื้องแผ่นหนึ่งขึ้น แล้วมองเข้าไปในห้อง“เป็นอย่างไรบ้าง?” ชวีเฟิงกล่าวถาม“ในห้องมีแค่คุณหนูใหญ่สกุลชวีคนเดียว ไม่เห็นพ่อแม่เจ้า”หลังจากกู้หว่านเยว่สำรวจดูอย่างละเอียด สายตาไปตกที่ใบหน้าชวีอวี้ หน้าตางดงาม มีเสน่ห์แบบคนต่างแดน นางเป็นหญิงงามจริงๆ ด้วย ไม่แปลกใจเลยที่วูเมิ่งยอมทำทุกอย่างเพื่อแต่งงานกับนางเดี๋ยวก่อน กู้หว่านเยว่เห็นชวีอวี้ล้วงมีดสั้นออกจากแขนเสื้อกะทันหัน“เหมือนว่าพี่หญิงเจ้าจะฆ่าตัวตาย”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงไม่สามารถสงบสติอารมณ์แล้ว กระโดดลงจากคานโดยตรง แล้วปีนเข้าไปในห้องผ่านหน้าต่างที่อยู่ด้านหลังการเคลื่อนไหวนี้ทำให้ยามในเรือนรู้ตัวทันที“ใคร?”มียามสองคนมาตรวจดู และเจอเข้ากับกู้หว่านเยว่ที่ตามหลังมาพอดี“โทษที”พลันกู้หว่านเยว่ยกมือขว้างผงพิษออกไป ทำให้ยามสองคนนี้หมดสติโดยตรง“พี่หญิง ท่านกำลังทำอะไร?” ชวีเฟิงมาถึงตรงหน้าชวีอวี้แล้ว เขาแย่งมีดสั้นมาด้วยมือเปล่าโดยไม่สนใจความคม“เจ้า?”ชวีอวี้ตกใจ เนื่องจากชวีเฟิงในเวลานี้กำลังปลอมตัว ดังนั้นชั่วขณะนางจึงจำไม่ได้กระทั่งได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ในที่สุดก็รู้แล้วว่าคนตรงหน้าก็คือชวีเฟิงน
“ท่านพ่อกับท่านแม่ล่ะ พวกเขาถูกปล่อยออกมาแล้วหรือ?”“ยังเจ้าค่ะ ทางสกุลวูบอกว่ารอท่านแต่งเข้าไปแล้ว พวกเขาจึงจะปล่อยนายท่านกับฮูหยินออกมา”คนรับใช้พูดพลางกำหมัดแน่นเพื่อบีบให้คุณหนูใหญ่แต่งงานกับคุณชายใหญ่สกุลวู พวกเขาถึงกับจับนายท่านกับฮูหยินไป“วันนี้เป็นวันมงคลของข้า แต่พวกเขายังขังพ่อแม่ของข้าไว้ในคุก และยังไม่ให้พวกเขามาร่วมงานแต่งของข้า นี่มันงานแต่งแบบไหนกัน”รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏที่มุมปากชวีอวี้“คุณหนูใหญ่…”“พอแล้ว เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว ออกไปก่อนเถอะ ข้าอยากอยู่ที่นี่เงียบๆ สักพัก”ชวีอวี้หลับตา ท่าทางดูอ่อนล้ามาก ราวกับไม่อยากเอ่ยปากพูดอีกแม้แต่คำเดียวคนรับใช้มองนางอย่างระมัดระวังแวบหนึ่ง รู้เช่นกันว่าตอนนี้นางไม่สบายใจ ไม่อยากพูดอะไรมากอีก กลัวว่าสภาพจิตใจของชวีอวี้จะยิ่งหดหู่ด้วยเหตุนี้จึงหมุนกายเดินออกไป และปิดประตูห้องอย่างเชื่อฟัง“ที่นี่หรือ?”นอกประตูของสกุลชวีในเวลานี้ กู้หว่านเยว่มองดูคฤหาสน์ที่แขวนผ้าสีแดงและโคมไฟสีแดงเต็มไปหมด มีความสงสัยปรากฏขึ้นในแววตา“ใช่ ที่นี่แหละ”ชวีเฟิงกำหมัดแน่น สีหน้ายิ่งดูน่าเกลียดหลังจากเข้าเมือง ระหว่างทางก็ได้ยินผู้คน
ชวีเฟิงหัวเราะเยาะ “สกุลวูเชี่ยวชาญแมงป่องพิษ เพราะช่วยฮองเฮาเพาะเลี้ยงราชาแมงป่องพิษ ดังนั้นเฮาฮองจึงให้ความสำคัญมากเดิมทีตระกูลของพวกเขารั้งท้ายสุดในห้าตระกูลใหญ่ แต่ตอนนี้สกุลชวีของเราเข้ามาแทนที่ ได้กระโดดขึ้นไปเป็นผู้นำห้าตระกูลใหญ่และสาเหตุที่ฮองเฮาจะเล่นงานสกุลชวีของเรา ก็เป็นเพราะสกุลวู”ที่แท้คุณหนูใหญ่สกุลชวีที่วูเมิ่งคุณชายใหญ่สกุลวูชอบก็คือชวีอวี้พี่สาวแท้ๆ ของชวีเฟิงแต่ชวีอวี้มีคนในใจนานแล้ว ซึ่งเป็นคนในตระกูลสกุลชวีก็ให้ทั้งสองหมั้นหมายกันนานแล้ว ย่อมไม่มีทางตอบตกลงวูเมิ่ง“วูเมิ่งคนนี้มักจะวนเวียนอยู่ในบ่อนพนันหรือซ่องโสเภณี เขาก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของห้องปรุงพิษ จิตใจอำมหิตไร้ความปรานี เชี่ยวชาญการใช้ยาพิษ เพื่อบรรลุเป้าหมายไม่เลือกวิธีการ ครั้งหนึ่งเคยมีคนจากหมู่บ้านหนึ่งล่วงเกินเขา เขาถึงกับวางยาพิษฆ่าคนทั้งหมู่บ้าน หลังจากเกิดเรื่องก็สั่งให้คนปิดเรื่องนี้เพียงแต่ตอนนั้นสกุลชวีของเราพอจะมีอิทธิพลอยู่บ้าง ดังนั้นจึงรู้เรื่องนี้อย่างลับๆคนต่ำช้าที่จิตใจอำมหิตและเห็นชีวิตของคนเป็นผักปลาอย่างเขา อย่าว่าแต่พี่หญิงไม่ชอบเขาเลย สกุลชวีของเราก็ไม่มีทางให้พี่หญิงแต
กู้หว่านเยว่พยักหน้า เดิมทีนางเองก็ไม่ได้คิดจะอยู่ในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้อยู่แล้ว แค่อยากเข้าไปพักผ่อน แวะกินอาหารเช้าแล้วค่อยเดินทางต่อก็เท่านั้น ภารกิจก็ต้องทำ ข้าวก็ต้องกิน“ไป เราเข้าไปดูก่อนเถอะ”กู้หว่านเยว่ขี่ม้ามาถึงหน้าประตูเมือง จากนั้นก็มองพิจารณาชื่อของเมืองแห่งนี้“เมืองโยวหุน”นางกระตุกมุมปาก ชื่อของเมืองนี้ฟังดูแปลกยิ่งนัก หากไม่รู้คงคิดว่าเป็นเมืองผีในระหว่างนั้นขนตามตัวก็พากันลุกซู กู้หว่านเยว่กลงจากหลังม้า และเดินเข้าไปในเมืองโยวหุนผู้คนที่สัญจรในเมืองแห่งนี้มีจำนวนมากนางในตอนนี้แต่งตัวเป็นคนหนานเจียงแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้ดึงดูดสายตาของใครทั้งสองคนเดินมานั่งอยู่หน้าแผงลอยแห่งหนึ่งรอบตัวของพวกนางมีคนหนานเจียงที่กำลังกินอาหารกันอยู่ไม่น้อย กินไปพลางพูดคุยไปพลาง กู้หว่านเยว่ตั้งใจฟังอยู่ครู่หนึ่งพบว่าไม่มีใครสนใจสงครามระหว่างต้าฉีกับหนานเจียงเลยสักคนชวีเฟิงกล่าวอธิบายเสียงต่ำ “หนานเจียงไม่มีสงครามมาหลายร้อยปีแล้ว และไม่เคยมีศัตรูจากข้างนอกเข้ามายุ่งย่าม ดังนั้นชาวบ้านจึงไร้ความรู้สึกกันนานแล้ว คิดว่าสงครามไม่มีทางมาถึงหนานเจียงได้อย่างแน่นอน ที่นี่จะต้องเป