สามวันต่อมา
ร้านขายขนมของซุนฉีในวันนี้นั้นดูจะมีลูกค้ามาอุดหนุนมากกว่าทุกวัน เป็นเพราะเด็กหญิงที่กำลังป่าวร้องเชิญชวนลูกค้าให้เข้ามาเลือกซื้อขนมที่ร้าน ผู้ใดผ่านมาเห็นนางเข้าก็รู้สึกเอ็นดู เด็กที่ขยันขันแข็งเช่นนี้เหตุใดถึงได้มีชีวิตที่อาภัพยิ่งนัก ยิ่งหลังจากที่ได้รับรู้เรื่องที่ว่าเด็กหญิงผู้อาภัพต้องล้มป่วยและนอนหลับไปนานถึงสามคืนทุกคนจึงพร้อมใจกันมาอุดหนุนขนมของซุนฉีเพราะอยากช่วยเหลือนาง ซุนฉีเป็นคนดีและมีน้ำใจ ยามที่นางลำบากจึงไม่มีผู้ใดในตลาดเมินเฉยต่อนาง ครั้นเห็นว่าซาลาเปากับเกี๊ยวใกล้จะหมด สองยายหลานจึงช่วยกันลงมือปั้นแป้งอย่างเคย แต่สิ่งที่ทำให้ซุนฉีรู้สึกประหลาดใจนั่นก็คือฝีมือการปั้นแป้งของหลานสาวนั้นเปลี่ยนไป ดูเชื่องช้าลงจากที่เคยและดูเละเทะไม่จับก้อนเช่นก่อนหน้า หรือการล้มป่วยลงจะทำให้หลานสาวของนางลืมเลือนการปั้นแป้งไปเสียแล้ว “เหมยเอ๋อร์… ก่อนหน้านี้ดูเหมือนว่าเจ้าจะช่วยยายปั้นแป้งได้ไวกว่านี้อีกหนา หากเจ้ายังรู้สึกไม่ค่อยดีกลับไปพักผ่อนที่เรือนก่อนดีหรือไม่ อีกไม่นานก็ยามโหย่วแล้ว" ซุนฉีกล่าวออกมา ชิงเหมยจึงชะงักมือพลางมองก้อนแป้งตรงหน้าของนางกับของท่านยายมันช่างแตกต่างกันยิ่งนัก แต่จะมิให้แตกต่างกันได้เยี่ยงไรกัน ก็สองมือของนางนั้นเคยถือแต่ดาบคอยฟาดฟันข้าศึกศัตรูผู้มารุกรานผืนแผ่นดิน มิใช่มาปั้นแป้งเช่นนี้ แม้นว่าในอดีตที่นางยังเยาว์วัยจะเคยช่วยแม่ทำขนมต้มมาบ้าง แต่ก็มิได้ยุ่งยากเช่นนี้ “ข้าขออภัยท่านยายเจ้าค่ะ ดูเหมือนระหว่างที่ข้าล้มป่วยข้าได้หลงลืมบางสิ่งบางอย่างในชีวิตนี้ไปไม่น้อย” ในเมื่อท่านยายของชิงเหมยเข้าใจว่าผลของการกระทำในยามนี้ของหลานสาวคือการที่นางล้มป่วยและหลับไปถึงสามคืน ผู้ที่มาเกิดใหม่อย่างคำเอื้อยจึงเลือกใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้เป็นข้ออ้างในการที่นางอาจจะลืมเลือนการกระทำบางอย่างในอดีตของนางไปบ้าง เพราะไม่ใช่ทุกเรื่องที่คำเอื้อยจะสามารถทำได้เช่นเดียวกับที่ชิงเหมยทำ “มิเป็นอันใดหรอกเหมยเอ๋อร์ เดี๋ยวเจ้าค่อยเรียนรู้เรื่องนี้ใหม่ มันมิใช่เรื่องยากอันใดหรอก แต่ยามนี้เจ้ากลับไปพักผ่อนก่อนเถิด ประเดี๋ยวยายกลับไปจะทำมื้อเย็นให้กิน” เด็กหญิงจึงละมือจากก้อนแป้งที่เละเทะไม่น่ามอง แล้วลุกขึ้นไปล้างมือก่อนที่จะกลับมาคำนับลาท่านยาย ซุนฉีมองตามร่างเล็กของหลานสาวที่เดินออกจากร้านไปด้วยแววตาเป็นกังวล ตั้งแต่หลานสาวฟื้นมาก็ดูนางจะพูดน้อยกว่าเดิม อีกทั้งยังทำในสิ่งที่เคยทำมาก่อนไม่ได้ หรือนางอาจจะมีปัญหาอันใด เห็นทีก่อนกลับเรือนวันนี้นางคงต้องไปถามหมอสวีเสียหน่อยแล้ว ร่างเล็กในชุดฮั่นฝูสีฟ้าซีดกำลังเยื้องย่างผ่านร้านค้าแผงลอยไปยังเส้นทางกลับเรือนที่นางจดจำได้จากการระลึกภาพในอดีตของชิงเหมย บัดนี้นางต้องกลายมาเป็นชิงเหมยแทนที่ชิงเหมยที่จากไปแล้ว นางจะพยายามระลึกถึงสิ่งที่เด็กหญิงเคยปฏิบัติเนิ่นนานมา แต่นางจะไม่อ่อนแอหรือยอมให้ผู้ใดมารังแกนางเช่นเดียวกับชิงเหมยในอดีตเป็นอันขาด “เหมยเอ๋อร์… เจ้าดีขึ้นแล้วหรือ” เสียงทุ้มของเด็กวัยหนุ่มดังขึ้นขณะที่ชิงเหมยกำลังเดินกลับเรือนของนาง เท้าเล็กหยุดชะงักมองใบหน้าของเด็กหนุ่ม ดูจากหน้าตาและส่วนสูงของเขาแล้วคุณชายน้อยผู้นี้น่าจะแก่กว่านางหลายปี ชิงเหมยหลับตาพลางนึกถึงใบหน้าของเด็กหนุ่มเพื่อดูว่าเขาคือผู้ใด “เอ่อ… เจ้าค่ะ แล้วคุณชายกำลังจะไปที่ใดหรือเจ้าคะ” นางตอบกลับเขาอย่างเจียมตน เพราะสถานะของเขาและนางต่างกันลิบลับ เขานั้นคือคุณชายรองสกุลเฉียวที่มีบิดาเป็นถึงขุนนางขั้นสามของเมืองถิงฮวา แต่ทว่าคุณชายหนุ่มผู้นี้มิเคยรังเกียจชิงเหมย ออกจะเอ็นดูเด็กหญิงเสียด้วยซ้ำ “อืม… ข้ากำลังจะไปซื้อขนมท่านยายของเจ้านั่นแหละ แล้วนี่เจ้ากำลังกลับเรือนหรือ” เฉียวจูจ้านกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่น่าฟัง “เจ้าค่ะ… ข้าน้อยรู้สึกไม่ค่อยสบาย ท่านยายจึงให้ข้าน้อยกลับเรือนก่อน” นางตอบเขาออกไปตามความจริง เพราะเท่าที่สัมผัสได้จากความรู้สึกของชิงเหมยนั้น นางไว้ใจคุณชายหนุ่มผู้นี้ เช่นนั้นแล้วเขาคงมิใช่พวกที่เคยมารังแกนางในอดีตเป็นแน่ “ถ้าเช่นนั้นแล้ว… เจ้าก็รีบกลับเรือนไปเสียเถิดเหมยเอ๋อร์… ข้ามิรั้งเจ้าเอาไว้แล้ว” เขารีบเอ่ยออกมาครั้นได้ยินว่านางรู้สึกไม่ค่อยสบาย ชิงเหมยจึงคำนับลาเขาแล้วเดินจากไป คุณชายรองสกุลเฉียวมองตามเด็กหญิงไปด้วยแววตาเอ็นดู เขากับนางนั้นวัยห่างกันเพียงแค่สี่ปี ปีนี้วัยของเขาก็ย่างเข้าสิบสี่ปีแล้ว ตัวเขานั้นไม่ได้อาศัยอยู่ที่หมู่บ้านฉีซาน เพราะตระกูลของเขามีจวนที่ฮ่องเต้ทรงพระราชทานให้กับท่านตาที่เคยเป็นองครักษ์ประจำพระองค์อยู่ในตัวเมืองถิงฮวา ทำให้เขาไม่ค่อยได้พบเจอเด็กหญิงบ่อยเท่าใดนัก แต่เรื่องราวของนางเขานั้นได้ยินมาไม่น้อย เขาชื่นชมและเอ็นดูนางที่นางเป็นเด็กดี ขยันและกตัญญรู้คุณ “คุณชายรองขอรับ จะแวะเข้าไปในตลาดอีกหรือไม่ขอรับ” ฟงชวน บ่าวรับใช้คนสนิทผู้ติดตามดูแลคุณชายรองสกุลเฉียวเอ่ยถามออกมาหลังจากที่เด็กหญิงเดินจากไปแล้ว คุณชายของเขานั้นมีจิตใจดีมาตั้งแต่เยาว์วัย เช่นนั้นแล้วจึงมิใช่เรื่องแปลกที่คุณชายจะใจดีกับเด็กหญิง หลานสาวเพียงคนเดียวของเจ้าของร้านขนมในตลาดซานฉีที่คุณชายชอบไปอุดหนุนทุกคราที่มาเยือนหมู่บ้านฉีซาน “แวะไปซื้อขนมที่ร้านยายซุนฉีก่อน แล้วค่อยกลับจวน” เขาตอบแล้วจึงเดินนำหน้าบ่าวรับใช้คนสนิทไปทางตลาด ใบหน้าคมแย้มยิ้มออกมาอย่างอารมณ์ดีที่ได้เห็นว่าเด็กหญิงไม่เป็นอันใดมาก เพียงแค่นางนั้นไม่ร่าเริงเช่นคราก่อนๆ ที่เขาเคยพบเจอ แต่เขาก็พอเข้าใจได้ว่านางเพิ่งจะหายเจ็บป่วยคงจะยังรู้สึกไม่ค่อยดี ความสดใสร่าเริงที่เคยมีเลยหายไปหลังจากเฉียวจูจ้านและซูฉีเดินทางออกจากจวนกลับไปได้ไม่นาน เยว่อู๋ชางก็กลับมาจากในวังหลวง เพราะภรรยาตั้งครรภ์อ่อนๆ เขาจึงได้รับพระกรุณาจากองค์รัชทายาทให้กลับมาค้างที่จวนในทุกค่ำคืน จนกว่าครรภ์ของนางจะมั่นคง ถึงค่อยให้เขากลับไปดูแลพระองค์อย่างใกล้ชิดอีกครา“ท่านพี่กลับมาแล้วหรือเจ้าคะ” เสียงหวานทักทายสามีที่กำลังเดินเข้ามาภายในศาลากลางน้ำ“อื้ม…แล้วนี่น้องหญิงกำลังทำสิ่งใดอยู่รึ”เขาเดินไปนั่งลงเคียงข้าง แล้วยกร่างบางขึ้นมานั่งบนตัก จากนั้นจึงหอมแก้มนางไปหนึ่งที สองสาวรับใช้คนสนิทและสาวรับใช้ที่อยู่คอยรับใช้นายหญิง ต้องรีบพากันหลุบตามองต่ำ“ท่านพี่!!! พวกสาวรับใช้อยู่กันเยอะแยะ ข้าอายพวกนางนะเจ้าคะ”ชิงเหมยกระซิบเสียงดุใส่สามี สองแขนเรียวโอบล้อมรอบลำคอของเขาเพราะกลัวตกเซียงซุนและหยวนเวยพากันยิ้มออกมา ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปเพียงใด ความรักที่นายท่านมีต่อนายหญิงหาได้ลดน้อยลงไม่ ทว่ามีแต่จะเพิ่มขึ้นในทุกวัน ยิ่งนายหญิงมีครรภ์เช่นนี้ นายท่านก็ดูจะทะนุถนอม และรักใคร่นายหญิงยิ่งกว่าเดิมเสียอีก ความสัมพันธ์ของสามีภรรยากลมเกล
หลังจากนอนค้างที่จวนตระกูลซิ่วได้เพียงหนึ่งคืน เช้านี้ชิงเหมยจำต้องติดตามผู้เป็นสามี เดินทางกลับเข้าเมืองหลวง ด้วยหน้าที่ความรับผิดชอบของเขา ทำให้นางมิอาจเอาแต่ใจตนเองได้ ก่อนเดินทางออกจากจวน นางและสามีก็ได้กินมื้อเช้าพร้อมหน้าพร้อมตา มีท่านย่า ท่านยาย และพี่น้องตระกูลซิ่วของนาง ท่านยายเล็ก ท่านลุง ท่านป้าสะใภ้และลูกๆ ทั้งสองของท่านลุงนั้น ได้เดินทางกลับจวนตระกูลซุนไปตั้งแต่พิธีแต่งงานเสร็จสิ้นแล้ว ในวันที่นางกลับมาเยี่ยมบ้านเดิมจึงมิได้พบกับพวกเขา“เดินทางปลอดภัย ขอให้เจ้าจงรักษาตัวให้ดี หากมีเวลาก็กลับมาเยี่ยมยายบ้าง”ซุนฉีกล่าวในขณะที่นางออกมาส่งหลานสาวอยู่ที่ด้านหน้าจวน ยามนี้ขบวนขนสัมภาระและผู้ติดตามของหลานเขยกับหลานสาวเตรียมพร้อมหมดแล้ว รอเพียงแค่ให้ชิงเหมยได้ร่ำลาครอบครัวก่อนออกเดินทางก็เท่านั้น“เจ้าค่ะท่านยาย ท่านเองก็อย่าลืมรักษาสุขภาพให้ดี รอหลานกลับมาเยี่ยมนะเจ้าคะ”ชิงเหมยกล่าวออกมา น้ำเสียงข่มความอาลัยเอาไว้อย่างมิดชิด เพื่อไม่ให้ท่านยายเป็นห่วงนางมากนัก ครานี้เป็นคราแรกที่นางจะต้องห่างไกลจากท่านยายจริงๆ หาใช่เพียงแค่ไปไม่กี่
หลังจากที่เยว่อู๋ชางเดินออกจากห้องหอไปได้ไม่นานนัก สองสาวรับใช้คนสนิทของชิงเหมยก็เข้ามาด้านใน ร่างระหงนั่งสัปหงกอยู่บนเก้าอี้ หยวนเวยจึงรีบไปเตรียมน้ำให้นางอาบ ส่วนเซียงซุนรับหน้าที่เข้าไปปัดกวาดเตียงนอน ครั้นได้เห็นร่องรอยของการร่วมหอในค่ำคืนที่ผ่านมา ใบหน้างามของสาวรับใช้ที่ยังไม่เคยออกเรือนก็ถึงกับร้อนผ่าว ในใจพลันรู้สึกยินดี ที่ท่านเขยและคุณหนูใหญ่ ไม่ได้ปล่อยให้คืนเข้าหอผ่านไปอย่างไร้ค่า“ข้าน้อยเตรียมน้ำเสร็จแล้วเจ้าค่ะคุณหนู อุ๊ย!!! ฮูหยินเล็ก”หยวนเวยกลับเข้ามาภายในห้องพลางกล่าวรายงาน ก่อนที่นางจะปิดปากครั้นรู้ตัวว่านางเรียกขานสถานะเดิมของชิงเหมยที่เป็นคุณหนูใหญ่ของตระกูลซิ่ว แล้วจึงเปลี่ยนคำเรียกขานคุณหนูใหญ่ของนางใหม่ ยามนี้คุณหนูใหญ่ก้าวผ่านค่ำคืนของการเป็นผู้ใหญ่มาแล้ว หมายความว่าบัดนี้ชิงเหมย นางได้กลายมาเป็นฮูหยินเล็กสกุลเยว่เต็มตัวแล้ว"ฮูหยินเล็ก อืม… ใช่แล้วล่ะ สถานะข้าในยามนี้กลายเป็นฮูหยินของพี่ชางแล้วสินะ" ใบหน้างามปรากฏคลื่นแห่งความสุขออกมา แม้จะยังคงง่วงงุนแต่ทว่าใบหน้าของนางกลับอิ่มเอิบ“เช้านี้ท่านเขยดูอารมณ์ดียิ่ง
ท่ามกลางความเงียบสงบจากภายนอก ภายในห้องหอกลับมีเสียงครางทุ้มหวานของคู่บ่าวสาว ดังสอดประสานกันขึ้นมาเป็นระยะ คราแรกที่ความแข็งแกร่งของชายหนุ่มรุกล้ำเข้าไปภายในกลีบบุปผางามของนาง ชิงเหมยก็แทบจะปิดบังบังความเจ็บปวดเอาไว้ไม่อยู่ นางแสดงออกมาผ่านทางสีหน้าและแววตา ปลายหางตามีหยาดน้ำเปียกชุ่มอยู่เพียงเล็กน้อย แต่ทว่านางกลับไม่กล้าเอ่ยปากขัดขวางอารมณ์ที่เร่าร้อนของเขามือบางกอบกุมผ้าปูเตียงเอาไว้แน่น ก่อนที่นางจะค่อยๆ ผ่อนคลายลง ความรู้สึกเจ็บปวดในคราแรก จึงแปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกวาบหวาม เร่าร้อน เข้ามาแทนที่ ยามนี้ผิวกายของนางและเขาต่างร้อนผ่าว ทุกคราที่เขาขยับโยกกาย ก่อให้เกิดความรู้สึกหลากหลาย สิ่งนี้น่ะหรือที่พวกผู้ใหญ่เรียกว่า หยินหยางสอดประสาน ชิงเหมยเพิ่งได้รู้ซึ้งก็ในวันนี้นี่เอง ความรู้สึกที่มีทั้งสุขและทุกข์ผสมผสานกันไป ทว่าความทุกข์นั้นกลับกลายเป็นสิ่งที่หอมหวานชวนลุ่มหลง“น้องหญิง…เจ้าเจ็บหรือไม่”ชายหนุ่มเหนือร่างงามหาได้ทำตามแต่ใจตนเองผู้เดียวไม่ เขาหยุดจังหวะการรุกล้ำ แล้วเอ่ยถามความรู้สึกของผู้เป็นภรรยาออกมาด้วยน้ำเสียงแหบพร่า แม้อารมณ์ใคร่
ขบวนสินเดิมของเจ้าสาวยาวเกือบหนึ่งลี้ ถือว่าไม่น้อยหน้าสมกับเป็นคุณหนูจากตระกูลใหญ่ ผู้คนต่างพากันนึกอิจฉานางขึ้นมา ด้วยไม่คิดว่าสตรีที่เกิดจากตระกูลธรรมดาอย่างซุนฉี จะสามารถมอบสินเดิมให้กับหลานสาวมากมายถึงเพียงนี้ แม้ผู้คนจะรู้ดีว่ามิใช่ของตระกูลซุนเพียงตระกูลเดียว แต่ก็รู้สึกนับถือซุนฉี ที่อีกฝ่ายคอยเก็บสะสมทรัพย์สินมากมาย เพื่อให้หลานเป็นสินเดิมติดตัวไปยามออกเรือน“คุณหนูเจ้าคะ หิวหรือไม่เจ้าคะ ข้าน้อยเตรียมขนมมาให้ หากคุณหนูหิวก็กินรองท้องไปก่อนหนาเจ้าคะ ดูจากการเคลื่อนขบวนแล้ว ข้าน้อยคิดว่ากว่าจะถึงจวนตระกูลเยว่ก็คงอีกสองเค่อ” เซียงซุนเปิดม่านเกี้ยวแล้วบอกคุณหนูของนางด้วยความห่วงใย เพราะวันนี้คุณหนูหาได้กินสิ่งใดลงไม่ อาจจะเป็นเพราะความตื่นเต้น“อื้อ…”ชิงเหมยมองออกไปผ่านผ้าคลุมหน้าก็เห็นว่าข้างทางมีชาวบ้านมากมาย ใบหน้าทุกคนต่างยิ้มแย้มออกมาด้วยความยินดี ทำให้นางรู้สึกประทับใจยิ่งนัก ไม่คิดว่างานแต่งงานของนางจะทำให้ผู้คนสนใจมาชื่นชมมากมายถึงเพียงนี้และก็เป็นอย่างที่เซียงซุนบอก เพราะกว่าจะถึงจวนตระกูลเยว่ก็ใช้เวลานานเกือบสองเค่
หนึ่งปีต่อมาวสันตฤดูเวียนมาถึง นั่นก็หมายความว่า กำหนดการพระราชทานสมรสระหว่างคุณชายรองสกุลเยว่กับคุณหนูใหญ่สกุลซิ่วก็มาถึงเสียที ชิงเหมยต้องไปออกเรือนที่ตระกูลซิ่ว ทำให้ซุนฉี ซุนเฉียว เหลียงจง หลิวเวย และลูกๆ ทั้งสองของนาง ต้องเดินทางจากจวนตระกูลซุน ซึ่งตั้งอยู่ในหมู่บ้านซานฉี เข้าเมืองถิงฮวาไปพำนักที่ตระกูลซิ่วชั่วคราว ก่อนที่จะถึงวันวิวาห์ เพื่อร่วมกันส่งหลานสาวออกเรือน“ข้ารู้สึกใจหายยิ่งนัก หลังจากเหมยเอ๋อร์ออกเรือนไปแล้ว ข้าจะทำเยี่ยงไร” ซุนฉีนึกใจหายขึ้นมา หลานสาวอาศัยอยู่กับนางมาตั้งแต่เกิด จนมาถึงวัยสิบแปดปี วัยที่เหมาะสมแก่การออกเรือน“ท่านกล่าวอันใดเยี่ยงนั้น ท่านไม่อยากเห็นเหมยเอ๋อร์มีความสุขหรอกรึ” ผิงหลันแสร้งถามออกมาทั้งๆ ที่ใจนางเองก็ไม่ต่างจากซุนฉีแม้แต่น้อยหลังจากหลานสาวกลับจากเยี่ยมบ้านเดิมตามธรรมเนียม ชิงเหมยก็ต้องออกเดินทางเข้าเมืองหลวงทันที เพราะว่าที่หลานเขยของนางต้องทำงานรับใช้ราชวงศ์ ไม่อาจลางานนานได้ และเพราะหน้าที่ของเขา ทำให้ไม่สะดวกต่อการเดินทางไกล จวนของเขาที่เตรียมไว้ยามนี้ตกแต่งไว้รอนายหญิงของจวนเรียบร้อยแล