หนึ่งปีต่อมา
วสันตฤดูเวียนมาถึง นั่นก็หมายความว่า กำหนดการพระราชทานสมรสระหว่างคุณชายรองสกุลเยว่กับคุณหนูใหญ่สกุลซิ่วก็มาถึงเสียที ชิงเหมยต้องไปออกเรือนที่ตระกูลซิ่ว ทำให้ซุนฉี ซุนเฉียว เหลียงจง หลิวเวย และลูกๆ ทั้งสองของนาง ต้องเดินทางจากจวนตระกูลซุน ซึ่งตั้งอยู่ในหมู่บ้านซานฉี เข้าเมืองถิงฮวาไปพำนักที่ตระกูลซิ่วชั่วคราว ก่อนที่จะถึงวันวิวาห์ เพื่อร่วมกันส่งหลานสาวออกเรือน“ข้ารู้สึกใจหายยิ่งนัก หลังจากเหมยเอ๋อร์ออกเรือนไปแล้ว ข้าจะทำเยี่ยงไร” ซุนฉีนึกใจหายขึ้นมา หลานสาวอาศัยอยู่กับนางมาตั้งแต่เกิด จนมาถึงวัยสิบแปดปี วัยที่เหมาะสมแก่การออกเรือน“ท่านกล่าวอันใดเยี่ยงนั้น ท่านไม่อยากเห็นเหมยเอ๋อร์มีความสุขหรอกรึ” ผิงหลันแสร้งถามออกมาทั้งๆ ที่ใจนางเองก็ไม่ต่างจากซุนฉีแม้แต่น้อยหลังจากหลานสาวกลับจากเยี่ยมบ้านเดิมตามธรรมเนียม ชิงเหมยก็ต้องออกเดินทางเข้าเมืองหลวงทันที เพราะว่าที่หลานเขยของนางต้องทำงานรับใช้ราชวงศ์ ไม่อาจลางานนานได้ และเพราะหน้าที่ของเขา ทำให้ไม่สะดวกต่อการเดินทางไกล จวนของเขาที่เตรียมไว้ยามนี้ตกแต่งไว้รอนายหญิงของจวนเรียบร้อยแลขบวนสินเดิมของเจ้าสาวยาวเกือบหนึ่งลี้ ถือว่าไม่น้อยหน้าสมกับเป็นคุณหนูจากตระกูลใหญ่ ผู้คนต่างพากันนึกอิจฉานางขึ้นมา ด้วยไม่คิดว่าสตรีที่เกิดจากตระกูลธรรมดาอย่างซุนฉี จะสามารถมอบสินเดิมให้กับหลานสาวมากมายถึงเพียงนี้ แม้ผู้คนจะรู้ดีว่ามิใช่ของตระกูลซุนเพียงตระกูลเดียว แต่ก็รู้สึกนับถือซุนฉี ที่อีกฝ่ายคอยเก็บสะสมทรัพย์สินมากมาย เพื่อให้หลานเป็นสินเดิมติดตัวไปยามออกเรือน“คุณหนูเจ้าคะ หิวหรือไม่เจ้าคะ ข้าน้อยเตรียมขนมมาให้ หากคุณหนูหิวก็กินรองท้องไปก่อนหนาเจ้าคะ ดูจากการเคลื่อนขบวนแล้ว ข้าน้อยคิดว่ากว่าจะถึงจวนตระกูลเยว่ก็คงอีกสองเค่อ” เซียงซุนเปิดม่านเกี้ยวแล้วบอกคุณหนูของนางด้วยความห่วงใย เพราะวันนี้คุณหนูหาได้กินสิ่งใดลงไม่ อาจจะเป็นเพราะความตื่นเต้น“อื้อ…”ชิงเหมยมองออกไปผ่านผ้าคลุมหน้าก็เห็นว่าข้างทางมีชาวบ้านมากมาย ใบหน้าทุกคนต่างยิ้มแย้มออกมาด้วยความยินดี ทำให้นางรู้สึกประทับใจยิ่งนัก ไม่คิดว่างานแต่งงานของนางจะทำให้ผู้คนสนใจมาชื่นชมมากมายถึงเพียงนี้และก็เป็นอย่างที่เซียงซุนบอก เพราะกว่าจะถึงจวนตระกูลเยว่ก็ใช้เวลานานเกือบสองเค่
หนึ่งปีต่อมาวสันตฤดูเวียนมาถึง นั่นก็หมายความว่า กำหนดการพระราชทานสมรสระหว่างคุณชายรองสกุลเยว่กับคุณหนูใหญ่สกุลซิ่วก็มาถึงเสียที ชิงเหมยต้องไปออกเรือนที่ตระกูลซิ่ว ทำให้ซุนฉี ซุนเฉียว เหลียงจง หลิวเวย และลูกๆ ทั้งสองของนาง ต้องเดินทางจากจวนตระกูลซุน ซึ่งตั้งอยู่ในหมู่บ้านซานฉี เข้าเมืองถิงฮวาไปพำนักที่ตระกูลซิ่วชั่วคราว ก่อนที่จะถึงวันวิวาห์ เพื่อร่วมกันส่งหลานสาวออกเรือน“ข้ารู้สึกใจหายยิ่งนัก หลังจากเหมยเอ๋อร์ออกเรือนไปแล้ว ข้าจะทำเยี่ยงไร” ซุนฉีนึกใจหายขึ้นมา หลานสาวอาศัยอยู่กับนางมาตั้งแต่เกิด จนมาถึงวัยสิบแปดปี วัยที่เหมาะสมแก่การออกเรือน“ท่านกล่าวอันใดเยี่ยงนั้น ท่านไม่อยากเห็นเหมยเอ๋อร์มีความสุขหรอกรึ” ผิงหลันแสร้งถามออกมาทั้งๆ ที่ใจนางเองก็ไม่ต่างจากซุนฉีแม้แต่น้อยหลังจากหลานสาวกลับจากเยี่ยมบ้านเดิมตามธรรมเนียม ชิงเหมยก็ต้องออกเดินทางเข้าเมืองหลวงทันที เพราะว่าที่หลานเขยของนางต้องทำงานรับใช้ราชวงศ์ ไม่อาจลางานนานได้ และเพราะหน้าที่ของเขา ทำให้ไม่สะดวกต่อการเดินทางไกล จวนของเขาที่เตรียมไว้ยามนี้ตกแต่งไว้รอนายหญิงของจวนเรียบร้อยแล
“ช้าก่อน!!! วันนี้ข้าคงจะหนีไปไหนไม่พ้นแล้ว ถ้าเช่นนั้นพวกเจ้าช่วยบอกข้าสักนิดได้หรือไม่ ว่าเพราะเหตุใดพวกเจ้าถึงได้มาจัดการข้า” ชิงเหมยเอ่ยถามออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา“ฮ่าๆๆ ไหนๆ เจ้าก็จะไม่รอดอยู่แล้ว ถ้าเช่นนั้นข้าจะบอกให้เอาบุญก็แล้วกัน ฮูหยินน้อยสกุลเยว่ นางชิงชังเจ้าเพียงเพราะเจ้าเป็นสตรีที่จะได้แต่งงานกับคุณชายรองสกุลเยว่ นางเห็นว่าเจ้าไม่มีสิ่งใดเหมาะสมคู่ควรกับเขา และนางฝากข้ามาบอกเจ้าว่า หากชีวิตนางไร้ซึ่งความสุขแล้ว ชีวิตของชายผู้นั้นก็อย่าหวังว่าจะมีความสุขเช่นกัน” ชิงเหมยพลันเข้าใจในทันที คนที่คิดร้ายกับนางในครานี้คือพี่สะใภ้ของเยว่อู๋ชางเหตุใดอีกฝ่ายถึงไม่อยากเห็นเยว่อู๋ชางมีความสุข เป็นเพราะสตรีผู้นั้นอยากช่วยเหลือสามีของนาง หรือไม่ก็เป็นเพราะสตรีผู้นั้นแอบมีใจให้เยว่อู๋ชาง ครั้นเยว่อู๋ชางไม่เล่นด้วย อีกทั้งกำลังจะแต่งงาน ความริษยาจึงครอบงำจิตใจ สั่งให้คนมาทำลายคู่หมั้นของเยว่อู๋ชางเพื่อให้เยว่อู๋ชางต้องเป็นทุกข์เช่นกัน ชิงเหมยครุ่นคิดและไตร่ตรองดูแล้ว น่าจะเป็นอย่างหลังมากกว่า ความอิจฉาริษยาของสตรี น่ากลัวกว่าการแย่งชิงอำนาจของพวกบุร
ระหว่างที่สองแม่ลูกกำลังจมอยู่กับความอิจฉาริษยา เรื่องที่เยว่อู๋ชางได้รับสมรสพระราชทาน ผู้เป็นสะใภ้ใหญ่ของตระกูลเยว่ กลับมีความคิดที่ลึกล้ำยิ่งกว่า นางมีความคิดที่จะกำจัดชิงเหมย เพียงเพราะนางเองก็เป็นสตรีผู้หนึ่งที่ เคยตกหลุมรักเยว่อู๋ชางมาก่อน ทว่านางกลับต้องกลายมาเป็นภรรยาของพี่ชายใหญ่ของเขา กลายเป็นพี่สะใภ้ที่สองตระกูลยัดเยียดให้แก่นาง“ส่งสารไปให้ท่านพี่ของข้าที บอกให้เขาช่วยจัดการให้สำเร็จ ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดก็ตาม” น้ำเสียงเย็นชาไร้ซึ่งความอ่อนหวานดังออกจากสตรีที่มีใบหน้างดงาม“เจ้าค่ะฮูหยินน้อย”สาวรับใช้คนสนิทรับคำสั่งก่อนที่นางจะค่อยๆเร้นกายหลบออกไปจากเรือน และออกไปข้างนอกจวนเพื่อส่งสารให้แก่พี่ชายของฮูหยินเล็กอี้หลันหญิงสาวผู้มีชาติตระกูลสูงส่ง มีอำนาจในมือมาตั้งแต่เด็ก ทว่าอำนาจที่มีกลับใช้กับคนที่นางรักไม่ได้ นางแสยะยิ้มออกมาเมื่อจินตนาการว่า สตรีที่เยว่อู๋ชางกำลังจะแต่งงานด้วย ต้องมาแปดเปื้อนและสิ้นใจไปก่อนที่จะได้ออกเรือนกับเขา นางอยากจะรู้หากเขารู้เขาจะรู้สึกเช่นไร หญิงสาวหัวเราะออกมาราวกับว่ากำลังมีความสุขที่สุดทางด
ด้านหน้าจวนตระกูลซุนในยามนี้ มีรถม้าหรูหราจากในวังหลวงมาจอดเทียบ องครักษ์ประจำตัวของขันทีข้างกายองค์ฮ่องเต้นับสิบรายล้อมรอบ ทำให้ชาวบ้านที่เดินทางผ่านไปผ่านมา และบ่าวสาวรับใช้จวนข้างเคียง ต่างพากันจับกลุ่มพูดคุยกันอย่างออกรสออกชาติ“นั่นมันรถม้าของผู้สูงศักดิ์จากในวังหลวงมิใช่รึ ข้าเคยเข้าวังไปพร้อมกับฮูหยินที่จวน เคยได้เห็นรถม้าเช่นนี้มาแล้ว” บ่าวรับใช้ผู้หนึ่งของจวนข้างเคียงกล่าวดังขึ้นมา“ใช่ๆ ข้าเคยเห็น เป็นรถม้าของขันทีข้างกายองค์ฮ่องเต้ ทหารพวกนี้ก็เป็นองครักษ์ประจำหน่วยซูอี้ที่ขึ้นตรงกับองค์ฮ่องเต้ด้วย” สาวรับใช้ที่รู้ดีกว่าผู้ใดในที่นี้กล่าวสมทบ ครั้นมีการยืนยันว่าเป็นทหารองครักษ์ประจำหน่วยซูอี้ของฮ่องเต้ และเป็นรถม้าของผู้สูงศักดิ์ในวังหลวง ผู้คนต่างก็พากันคาดเดาไปต่างๆ นานา แต่เพียงไม่นานก็ได้ยินชาวบ้านผู้หนึ่งโพล่งออกมาเสียงดัง“ข้าได้ยินจากในตลาดมาว่า ฮ่องเต้ทรงมีพระเมตตา ประทานสมรสให้แก่คุณชายรองสกุลเยว่ กับคุณหนูใหญ่สกุลซิ่วในต้นวสันต์ปีหน้า”ผู้คนยังคงเข้าใจว่าชิงเหมยคือคุณหนูใหญ่ของตระกูลซิ่ว หาใช่คุณหนูใหญ่จากต
และแล้วเรื่องที่ซิ่วจิ่วและชิงเหมยถูกโจรป่าปล้น จนชิงเหมยต้องเปิดเผยความสามารถให้ญาติผู้พี่ และสหายของเขาได้เห็น ก็จบลงไปได้ด้วยดี กองโจรป่าถูกพวกมือปราบแห่งเมืองถิงฮวาบุกกวาดล้างจนสิ้นซาก ยกความดีความชอบในครานี้ให้แก่เหล่าคุณชายที่ออกไปล่าสัตว์และจัดการกับหัวหน้ากองโจร จนทำให้พวกมือปราบจัดการพวกโจรป่าได้ง่ายขึ้นแม้สหายของญาติผู้พี่ อยากจะพบหน้านางเพื่อมอบของตอบแทน ที่นางให้ความช่วยเหลือพวกเขาเอาไว้ในเหตุการณ์ครั้งนี้ แต่ทว่าซิ่วจิ่วกลับแก้ต่างกับสหายให้นางว่า ชิงหง ญาติผู้น้องของเขาได้ออกเดินทางติดตามท่านน้าของตน ไปค้าขายที่ต่างเมืองเสียแล้ว เรื่องนี้จึงผ่านไปแต่โดยดี ท่ามกลางความเสียดายของคุณชายชิ่งและคุณชายจางหลังจากเหตุการณ์นั้นผ่านมาได้เพียงแค่สองวัน เช้าวันนี้ชิงเหมยจึงตัดสินใจขอตัวลาท่านย่าและพวกพี่ชาย เพื่อกลับจวนตระกูลซุนทันที ด้วยเห็นว่าตนก็จากท่านยายมานานหลายวันแล้ว ผู้เป็นย่าไม่ได้คัดค้านอันใด เพราะรู้ดีว่าใจของหลานสาวนั้น มีผู้เป็นยายนั่งอยู่ข้างใน มากกว่าผู้เป็นย่าที่เพิ่งพบเจอกันเยี่ยงนาง แม้จะรู้สึกน้อยใจแต่ทว่าผิงหลันก็มิอาจแสดงออกมาได้ในยามเฉินหลั
“บังอาจ!!! คิดจะแตะต้องเหล่าคุณชาย ผ่านพวกข้าไปให้ได้เสียก่อน” บรรดาคนสนิทของคุณชายทั้งสองตะโกนดังออกมาอย่างไม่เกรงกลัว พวกเขาพอมีฝีมืออยู่บ้าง น่าจะพอถ่วงเวลาให้เหล่าคุณชายได้หลบหนีไป“ฮ่าๆๆ ช่างเป็นสุนัขที่ซื่อสัตย์ต่อเจ้านายเสียจริง ได้!!! จัดการพวกสุนัขย่อมไม่ยาก”ครั้นเสียงของชายฉกรรจ์ที่ซิ่วจิ่วคิดว่าเป็นหัวหน้าเงียบลง เหล่าลูกน้องก็กรูกันเข้าไปจัดการผู้ติดตามของคุณชายชิ่งและคุณชายจางทันที พวกเขากระโดดลงมาจากหลังอาชา คุณชายชิ่ง คุณชายจาง ซิ่วจิ่วและชิงเหมยเองก็มิอาจนั่งเป็นเป้าอยู่บนหลังอาชาของตนได้ ทุกคนจึงกระโดดลงมายืนรวมตัวกันท่ามกลางวงล้อมของพวกโจรชิงเหมยเห็นท่าไม่ดี รีบคว้าธนูที่สะพายอยู่ทางด้านหลัง ขึ้นมาจัดการยิงใส่ผู้ที่นางคิดว่าเป็นหัวหน้ากองโจรทันที อีกฝ่ายไม่ทันระวังถูกนางยิงเข้าตัดขั้วหัวใจ ไม่ทันได้เอื้อนเอ่ยวาจาใดออกมาอีก เพราะสิ้นใจจนแดดิ้นในคราเดียว เหล่าลูกน้องที่ยังไม่ได้เข้าปะทะ เห็นผู้เป็นหัวหน้าล้มตึงลงกับพื้น ก็พลันหน้าเปลี่ยนสี ตระหนกตกใจมองไปยังผู้ที่สังหารหัวหน้าด้วยแววตาที่โหดเหึ้ยม ก่อนที่พวกมันจะวิ่งกรูกันเข้า
เสียงของสัตว์ป่าเล็กใหญ่หวีดร้องดังไปทั่วทั้งแนวชายป่า บ่งบอกให้เห็นถึงความอุดมสมบูรณ์ของภูเขาลูกนี้ ชิงเหมยหยิบคันศรและลูกธนูขึ้นมา แล้วเล็งไปยังเจ้ากระต่ายป่าสีดำตัวอวบที่กำลังกินหญ้าอยู่อย่างเพลิดเพลิน มือเล็กพลันปล่อยลูกธนูพุ่งเข้าใส่ลำคอของมันอย่างแม่นยำ คุณชายชิ่งผู้เป็นสหายของซิ่วจิ่วที่อยู่ไม่ไกล ได้เห็นเช่นนั้นก็กล่าวชื่นชมญาติผู้น้องของซิ่วจิ่วไม่ขาดปาก“หนุ่มน้อย ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะมีฝีมือในการล่าสัตว์กับเขาด้วย เห็นเยี่ยงนี้แล้วฝีมือญาติผู้พี่ของเจ้ายังห่างไกลจากเจ้านัก” ชิงเหมยกระแอมไอออกมาแสร้งดัดเสียงให้ใหญ่แหบ“ชมเกินไปแล้วขอรับ นี่เพิ่งเป็นการล่าสัตว์ป่าครั้งแรกของข้า”ซิ่วจิ่วรีบห้อม้าเข้ามาหาญาติผู้น้อง พลันสายตาคมก็เหลือบไปเห็นเจ้ากระต่ายป่าตัวอวบที่นอนแน่นิ่ง ถูกลูกธนูปักอยู่กลางลำคอก็รู้สึกทึ่ง“นั่นเป็นฝีมือของเจ้ารึ คุณชายสามชิ่ง”แซ่ของคุณชายที่เพิ่งจะกล่าวชื่นชมชิงเหมย ก็คือคุณชายสามจากสกุลชิ่ง ชิ่งเหยียนคงนั่นเอง เขาเป็นหนึ่งในบัณฑิตร่วมรุ่นกับซิ่วจิ่ว คบหากันมาตั้งแต่เยาว์วัย“จะเป็
หลังจากรับการคำนับของว่าที่ลูกสะใภ้แล้ว ใต้เท้าเยว่และเยว่ฮูหยินก็หันมาคำนับลาฮูหยินผู้เฒ่าซิ่ว จากนั้นจึงกล่าวขอตัวกลับจวนเช่นกัน ชิงเหมยร่ำไห้อยู่บนรถม้าทว่ามิได้คร่ำครวญ นางเพียงปล่อยให้น้ำตาไหลลงมาพลางนึกไปถึงทุกช่วงเวลาที่นางเคยได้ใช้ร่วมกับเยว่อู๋ชางเริ่มตั้งแต่ช่วงวัยเยาว์ที่เขาสอนนางขี่ม้า ยิงธนู จากนั้นพบพานให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกันในยามที่ทุกข์ยาก นางและเขาผ่านเรื่องราวร่วมกันมามากมายยิ่งนัก แล้วจะไม่ให้นางอาวรณ์เขาที่ต้องอยู่ห่างไกลนางถึงเพียงนี้ได้เยี่ยงไร สองสาวรับใช้ไม่กล้าแม้แต่จะกล่าวปลอบโยนคำใดออกมา ทำเพียงแค่ส่งผ้าเช็ดหน้าที่เตรียมมาให้แก่คุณหนูใหญ่“ขอบน้ำใจพี่เซียงซุน” ชิงเหมยกล่าวพลางหยิบผ้าเช็ดหน้าในมือของเซียงซุนขึ้นมาซับน้ำตา เพราะผ้าผืนที่นางใช้ก่อนหน้านั้นเปียกชุ่มไปด้วยน้ำตาหมดแล้ว“สองปีไม่นานเท่าใดหรอกหนาเจ้าคะคุณหนูใหญ่ ข้าน้อยเกรงแต่ว่าครั้นถึงยามนั้น ท่านหัวหน้าองครักษ์มาสู่ขอท่าน ท่านจะบ่ายเบี่ยงไม่ยอมออกเรือนไปกับเขาเสียมากกว่า”คำพูดของหยวนเวยทำให้ชิงเหมยหัวเราะออกมาทั้งน้ำตา สองสาวรับใช้จึงพากันยิ้ม