หนึ่งเดือนพ้นผ่าน
เสียงเจื้อยแจ้วของเด็กหญิงวัยสิบปีกำลังเชิญชวนลูกค้าที่กำลังเดินผ่านไปผ่านมาหน้าร้านขนมของท่านยายให้แวะอุดหนุนขนมของพวก ลูกค้าหลายคนนึกเอ็นดูเด็กหญิงที่ขยันขันแข็ง จึงแวะเวียนเข้าไปซื้อขนมของซุนฉีติดไม้ติดมือกลับไป แต่ก็มีลูกค้าประจำอยู่หลายคนที่แวะเวียนมาอุดหนุนเพราะชื่นชอบในรสชาติของขนมร้านซุนฉี “ข้าขอซื้อซาลาเปากับเซาปิงอย่างละห้า” เสียงของลูกค้าประจำดังขึ้นมาทำให้ชิงเหมยหันไปมอง ครั้นได้เห็นว่าเป็นผู้ใดนางจึงคำนับเขา ครั้นคุณชายหนุ่มพยักหน้าพลางส่งยิ้มให้ นางจึงหันกลับไปสนใจเรียกลูกค้าที่กำลังเดินผ่านหน้าร้านของท่านยายต่อ คุณชายรองสกุลเฉียวยิ้มน้อยๆ ออกมาก่อนที่น้ำเสียงที่คุ้นเคยจะดังขึ้นเบื้องหน้า “มาแต่เช้าเลยหรือเจ้าค่ะคุณชาย” “วันนี้ขายดีหรือไม่” เด็กหนุ่มถามผู้ที่ทักทายเขาออกมา “วันนี้ขายดียิ่งนักเจ้าค่ะ คงจะเป็นเพราะเหมยเอ๋อร์หนึ่งเดือนมานี้นางขยันขันแข็งเรียกลูกค้าเข้าร้านมาเรื่อยๆ นี่ข้าน้อยกับนางก็ปั้นแป้งทำซาลาเปากันไปสามรอบแล้วเจ้าค่ะ” ซุนฉีมองไปยังร่างเล็กที่อยู่หน้าร้านก่อนที่จะหันมาคีบซาลาเปาและขนมเซาปิงใส่ปิ่นโตไม้ที่บ่าวรับใช้คนสนิทคุณชายสกุลเฉียวนำมา “เหมยเอ๋อร์… นางกลับมาปั้นแป้งช่วยท่านได้แล้วหรือ” เขาเอ่ยถามออกมาด้วยน้ำเสียงยินดี เพราะหลังจากที่นาหายป่วย เขาก็ได้ยินท่านยายซุนเหมยบ่นว่านางหลงลืมการปั้นแป้งซาลาเปาไปเสียแล้ว “เจ้าค่ะ…. ดูเหมือนว่าจะทำได้ดีกว่าแต่ก่อนอีกเจ้าค่ะ คุณชายลองดูนี่สิเจ้าคะ มิใช่มีเพียงแค่ก้อนกลมๆ เท่านั้น นางยังสามารถปั้นเป็นรูปสัตว์และผักผลไม้หลายอย่างทำให้ร้านของข้าน้อยมีลูกค้าเป็นพวกเด็กๆ มากยิ่งขึ้น” ซุนฉีตอบลูกค้าประจำของร้านพลางกล่าวชื่นชมหลานสาวของนางด้วยความภูมิใจ เงินที่เคยลดน้อยลงไปยามที่หลานสาวเจ็บป่วยยามนี้ราวกับว่าได้กลับคืนมาหมดแล้ว เพียงหนึ่งเดือนเท่านั้น “นี่ค่าขนม… ถ้าเช่นนั้นข้าลาล่ะ” คุณชายหนุ่มจ่ายเงินให้แก่ซุนฉีแล้วจึงเดินออกจากร้านไป ชิงเหมยกำลังยุ่งๆ นางจึงไม่ได้คำนับลาเขา “ดื่มน้ำก่อนเถิดเหมยเอ๋อร์” ครั้นลูกค้าซาลงชิงเหมยจึงกลับเข้ามาพักภายในร้าน “เหลืออีกเยอะหรือไม่เจ้าคะท่านยาย” ซุนฉียิ้มพลางตอบหลานสาวออกมา “หมดแล้วจ้ะ ครานี้ก็เก็บของกลับเรือนกันเถิด อืม… พรุ่งนี้ที่สำนักศึกษาหวุนซีจะรับสมัครศิษย์ใหม่ เป็นการสอบคัดเลือก ถ้าเจ้าสอบผ่านยายอนุญาตให้เจ้าศึกษาที่นั่นได้” เพราะสำนักศึกษาหวุนซีนั้นคัดเลือกศิษย์เข้าศึกษาโดยใช้การสอบเป็นการตัดสิน ไม่มีแบ่งแยกชนชั้น เน้นความสามารถล้วนๆ ไม่ว่าศิษย์จะมาจากชนชั้นใดก็ตาม หากสอบผ่านก็สามารถเข้าศึกษาที่นั่นได้ ถึงแม้นว่าการศึกษาจะไม่สำคัญสำหรับสตรีที่มิอาจสอบเป็นขุนนางเพราะกฏของบ้านเมือง แต่ซุนฉีก็อยากให้หลานสาวได้มีวิชาความรู้ติดตัว หากนางเติบโตขึ้นแล้วต้องออกเรือนไปกับผู้ใดสักคน นางก็อยากให้หลานสาวไม่ต้องอับอาย “จะ…จริง หรือเจ้าคะท่านยาย” ชิงเหมยเอ่ยถามออกมาด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักเพราะความตื่นเต้น เพราะนี่คือหนึ่งในความต้องการของชิงเหมย เจ้าของร่างที่แท้จริง “จริงสิ.. เจ้ากลับไปที่เรือนก่อนยายเถิดลูก กลับไปอ่านตำรา เดี๋ยวยายเก็บกวาดร้านเอง” ซุนฉีบอกหลานด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ชิงเหมยสวมกอดนางด้วยความปลื้มใจก่อนที่ร่างเล็กจะผละออกแล้วคำนับลานาง ชิงเหมยเดินออกจากร้านไปท่ามกลางสายตาของซุนฉีที่มองหลานสาวด้วยความเอ็นดู ร่างเล็กเยื้องย่างไปตามเส้นทางจากตลาดซานฉีสู่เรือนของท่านยาย ระหว่างทางมีชาวบ้านทักทายนางเช่นเคย ทุกคนเอ็นดูเด็กหญิงที่เป็นเด็กขยัน คงจะมีเพียงเด็กกลุ่มหนึ่งเท่านั้นที่รังเกียจที่นางเป็นเด็กกำพร้า ไร้พ่อขาดแม่ต้องอาศัยอยู่กับยายตามลำพัง “โอ๊ะ!!! ดูสิ ผู้ใดกำลังจะเดินผ่านไปกัน” เสียงเล็กของเด็กหญิงแต่งกายด้วยอาภรณ์ใหม่เอี่ยมดังขึ้นมาจากกลุ่มเด็กทั้งชายและหญิงวัยเดียวกับชิงเหมยที่จับกลุ่มนั่งเล่นกัน “เหตุใดพักนี้ไม่เห็นเจ้าแวะมาเล่นกับพวกข้าเลยหนาชิงเหมย” ผู้ถูกขานนามหยุดชะงักพลางมองไปยังเด็กกลุ่มนั้น เด็กเหล่านี้มิใช่มิตรสหายของชิงเหมย เป็นเด็กกลุ่มที่คอยกลั่นแกล้งรังแกนางในอดีต ในกลุ่มนี้มีทั้งบุตรชายและบุตรีของขุนนาง บุตรชายและบุตรีของเศรษฐี ‘เล่นเยี่ยงนั้นหรือ รังแกข้าล่ะสิไม่ว่า’ เด็กหญิงคิดในใจก่อนที่จะฉีกยิ้มออกมา พลางมองไปรอบๆ ที่มีเหล่าพ่อค้าแม่ค้าหลายคนมองมาที่นางเช่นกัน “โอ้… คุณชาย…คุณหนู ข้าน้อยต้องขออภัยยิ่งนักเจ้าค่ะที่มิได้มองพวกท่าน" ชิงเหมยแสร้งตอบกลับออกมา “จิ๊!!! กล้าดีเยี่ยงไรที่ทำเป็นมองไม่เห็นพวกข้า พวกข้าหาใช่มีเพียงหนึ่งคนเสียอย่างไรกัน” หนึ่งในเด็กกลุ่มนั้นกล่าวออกมาด้วยความไม่พอใจ “เป็นเพราะข้าน้อยมิได้มองซ้ายมองขวา ข้าน้อยเอาแต่มองหนทางข้างหน้าจึงทำให้ไม่เห็นว่าพวกท่านนั่งเล่นอยู่ที่นี่เจ้าค่ะ” ผู้ที่ไม่เคยตอบกลับด้วยประโยคที่ยืดยาวกลับตอบออกมาจนพวกคุณชายคุณหนูเหล่านี้รู้สึกงุนงง "แล้วก็…. หนึ่งเดือนมานี้ที่ข้าน้อยมิได้มาเล่นด้วยเป็นเพราะข้าน้อยต้องช่วยท่านยายทำขนมขาย หากข้าน้อยมิทำเช่นนั้นแล้วเอาแต่มาเล่นอยู่กับพวกท่าน ท่านยายของข้าน้อยคงจะเหน็ดเหนื่อยอยู่เพียงผู้เดียว เช่นนั้นข้าน้อยจะกลายเป็นเด็กที่อกตัญญูมิใช่หรือเจ้าคะ” คำพูดคำจาที่เกินวัยของชิงเหมยทำให้คุณชายคุณหนูเหล่านี้ยิ่งรู้สึกงุนงงยิ่งขึ้นไปอีก เพราะทุกคราชิงเหมยนั้นมักจะสงบเงียบ ไร้ปากเสียงใดๆ ยามนี้กลับกล้ามองหน้าสบตาพวกตน พวกพ่อค้าแม่ค้าที่มองเหตุการณ์อยู่ก็พากันนึกชื่นชมชิงเหมยที่เห็นความเหน็ดเหนื่อยของท่านยายของนางสำคัญกว่าการมาเล่นสนุกหลังจากเฉียวจูจ้านและซูฉีเดินทางออกจากจวนกลับไปได้ไม่นาน เยว่อู๋ชางก็กลับมาจากในวังหลวง เพราะภรรยาตั้งครรภ์อ่อนๆ เขาจึงได้รับพระกรุณาจากองค์รัชทายาทให้กลับมาค้างที่จวนในทุกค่ำคืน จนกว่าครรภ์ของนางจะมั่นคง ถึงค่อยให้เขากลับไปดูแลพระองค์อย่างใกล้ชิดอีกครา“ท่านพี่กลับมาแล้วหรือเจ้าคะ” เสียงหวานทักทายสามีที่กำลังเดินเข้ามาภายในศาลากลางน้ำ“อื้ม…แล้วนี่น้องหญิงกำลังทำสิ่งใดอยู่รึ”เขาเดินไปนั่งลงเคียงข้าง แล้วยกร่างบางขึ้นมานั่งบนตัก จากนั้นจึงหอมแก้มนางไปหนึ่งที สองสาวรับใช้คนสนิทและสาวรับใช้ที่อยู่คอยรับใช้นายหญิง ต้องรีบพากันหลุบตามองต่ำ“ท่านพี่!!! พวกสาวรับใช้อยู่กันเยอะแยะ ข้าอายพวกนางนะเจ้าคะ”ชิงเหมยกระซิบเสียงดุใส่สามี สองแขนเรียวโอบล้อมรอบลำคอของเขาเพราะกลัวตกเซียงซุนและหยวนเวยพากันยิ้มออกมา ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปเพียงใด ความรักที่นายท่านมีต่อนายหญิงหาได้ลดน้อยลงไม่ ทว่ามีแต่จะเพิ่มขึ้นในทุกวัน ยิ่งนายหญิงมีครรภ์เช่นนี้ นายท่านก็ดูจะทะนุถนอม และรักใคร่นายหญิงยิ่งกว่าเดิมเสียอีก ความสัมพันธ์ของสามีภรรยากลมเกล
หลังจากนอนค้างที่จวนตระกูลซิ่วได้เพียงหนึ่งคืน เช้านี้ชิงเหมยจำต้องติดตามผู้เป็นสามี เดินทางกลับเข้าเมืองหลวง ด้วยหน้าที่ความรับผิดชอบของเขา ทำให้นางมิอาจเอาแต่ใจตนเองได้ ก่อนเดินทางออกจากจวน นางและสามีก็ได้กินมื้อเช้าพร้อมหน้าพร้อมตา มีท่านย่า ท่านยาย และพี่น้องตระกูลซิ่วของนาง ท่านยายเล็ก ท่านลุง ท่านป้าสะใภ้และลูกๆ ทั้งสองของท่านลุงนั้น ได้เดินทางกลับจวนตระกูลซุนไปตั้งแต่พิธีแต่งงานเสร็จสิ้นแล้ว ในวันที่นางกลับมาเยี่ยมบ้านเดิมจึงมิได้พบกับพวกเขา“เดินทางปลอดภัย ขอให้เจ้าจงรักษาตัวให้ดี หากมีเวลาก็กลับมาเยี่ยมยายบ้าง”ซุนฉีกล่าวในขณะที่นางออกมาส่งหลานสาวอยู่ที่ด้านหน้าจวน ยามนี้ขบวนขนสัมภาระและผู้ติดตามของหลานเขยกับหลานสาวเตรียมพร้อมหมดแล้ว รอเพียงแค่ให้ชิงเหมยได้ร่ำลาครอบครัวก่อนออกเดินทางก็เท่านั้น“เจ้าค่ะท่านยาย ท่านเองก็อย่าลืมรักษาสุขภาพให้ดี รอหลานกลับมาเยี่ยมนะเจ้าคะ”ชิงเหมยกล่าวออกมา น้ำเสียงข่มความอาลัยเอาไว้อย่างมิดชิด เพื่อไม่ให้ท่านยายเป็นห่วงนางมากนัก ครานี้เป็นคราแรกที่นางจะต้องห่างไกลจากท่านยายจริงๆ หาใช่เพียงแค่ไปไม่กี่
หลังจากที่เยว่อู๋ชางเดินออกจากห้องหอไปได้ไม่นานนัก สองสาวรับใช้คนสนิทของชิงเหมยก็เข้ามาด้านใน ร่างระหงนั่งสัปหงกอยู่บนเก้าอี้ หยวนเวยจึงรีบไปเตรียมน้ำให้นางอาบ ส่วนเซียงซุนรับหน้าที่เข้าไปปัดกวาดเตียงนอน ครั้นได้เห็นร่องรอยของการร่วมหอในค่ำคืนที่ผ่านมา ใบหน้างามของสาวรับใช้ที่ยังไม่เคยออกเรือนก็ถึงกับร้อนผ่าว ในใจพลันรู้สึกยินดี ที่ท่านเขยและคุณหนูใหญ่ ไม่ได้ปล่อยให้คืนเข้าหอผ่านไปอย่างไร้ค่า“ข้าน้อยเตรียมน้ำเสร็จแล้วเจ้าค่ะคุณหนู อุ๊ย!!! ฮูหยินเล็ก”หยวนเวยกลับเข้ามาภายในห้องพลางกล่าวรายงาน ก่อนที่นางจะปิดปากครั้นรู้ตัวว่านางเรียกขานสถานะเดิมของชิงเหมยที่เป็นคุณหนูใหญ่ของตระกูลซิ่ว แล้วจึงเปลี่ยนคำเรียกขานคุณหนูใหญ่ของนางใหม่ ยามนี้คุณหนูใหญ่ก้าวผ่านค่ำคืนของการเป็นผู้ใหญ่มาแล้ว หมายความว่าบัดนี้ชิงเหมย นางได้กลายมาเป็นฮูหยินเล็กสกุลเยว่เต็มตัวแล้ว"ฮูหยินเล็ก อืม… ใช่แล้วล่ะ สถานะข้าในยามนี้กลายเป็นฮูหยินของพี่ชางแล้วสินะ" ใบหน้างามปรากฏคลื่นแห่งความสุขออกมา แม้จะยังคงง่วงงุนแต่ทว่าใบหน้าของนางกลับอิ่มเอิบ“เช้านี้ท่านเขยดูอารมณ์ดียิ่ง
ท่ามกลางความเงียบสงบจากภายนอก ภายในห้องหอกลับมีเสียงครางทุ้มหวานของคู่บ่าวสาว ดังสอดประสานกันขึ้นมาเป็นระยะ คราแรกที่ความแข็งแกร่งของชายหนุ่มรุกล้ำเข้าไปภายในกลีบบุปผางามของนาง ชิงเหมยก็แทบจะปิดบังบังความเจ็บปวดเอาไว้ไม่อยู่ นางแสดงออกมาผ่านทางสีหน้าและแววตา ปลายหางตามีหยาดน้ำเปียกชุ่มอยู่เพียงเล็กน้อย แต่ทว่านางกลับไม่กล้าเอ่ยปากขัดขวางอารมณ์ที่เร่าร้อนของเขามือบางกอบกุมผ้าปูเตียงเอาไว้แน่น ก่อนที่นางจะค่อยๆ ผ่อนคลายลง ความรู้สึกเจ็บปวดในคราแรก จึงแปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกวาบหวาม เร่าร้อน เข้ามาแทนที่ ยามนี้ผิวกายของนางและเขาต่างร้อนผ่าว ทุกคราที่เขาขยับโยกกาย ก่อให้เกิดความรู้สึกหลากหลาย สิ่งนี้น่ะหรือที่พวกผู้ใหญ่เรียกว่า หยินหยางสอดประสาน ชิงเหมยเพิ่งได้รู้ซึ้งก็ในวันนี้นี่เอง ความรู้สึกที่มีทั้งสุขและทุกข์ผสมผสานกันไป ทว่าความทุกข์นั้นกลับกลายเป็นสิ่งที่หอมหวานชวนลุ่มหลง“น้องหญิง…เจ้าเจ็บหรือไม่”ชายหนุ่มเหนือร่างงามหาได้ทำตามแต่ใจตนเองผู้เดียวไม่ เขาหยุดจังหวะการรุกล้ำ แล้วเอ่ยถามความรู้สึกของผู้เป็นภรรยาออกมาด้วยน้ำเสียงแหบพร่า แม้อารมณ์ใคร่
ขบวนสินเดิมของเจ้าสาวยาวเกือบหนึ่งลี้ ถือว่าไม่น้อยหน้าสมกับเป็นคุณหนูจากตระกูลใหญ่ ผู้คนต่างพากันนึกอิจฉานางขึ้นมา ด้วยไม่คิดว่าสตรีที่เกิดจากตระกูลธรรมดาอย่างซุนฉี จะสามารถมอบสินเดิมให้กับหลานสาวมากมายถึงเพียงนี้ แม้ผู้คนจะรู้ดีว่ามิใช่ของตระกูลซุนเพียงตระกูลเดียว แต่ก็รู้สึกนับถือซุนฉี ที่อีกฝ่ายคอยเก็บสะสมทรัพย์สินมากมาย เพื่อให้หลานเป็นสินเดิมติดตัวไปยามออกเรือน“คุณหนูเจ้าคะ หิวหรือไม่เจ้าคะ ข้าน้อยเตรียมขนมมาให้ หากคุณหนูหิวก็กินรองท้องไปก่อนหนาเจ้าคะ ดูจากการเคลื่อนขบวนแล้ว ข้าน้อยคิดว่ากว่าจะถึงจวนตระกูลเยว่ก็คงอีกสองเค่อ” เซียงซุนเปิดม่านเกี้ยวแล้วบอกคุณหนูของนางด้วยความห่วงใย เพราะวันนี้คุณหนูหาได้กินสิ่งใดลงไม่ อาจจะเป็นเพราะความตื่นเต้น“อื้อ…”ชิงเหมยมองออกไปผ่านผ้าคลุมหน้าก็เห็นว่าข้างทางมีชาวบ้านมากมาย ใบหน้าทุกคนต่างยิ้มแย้มออกมาด้วยความยินดี ทำให้นางรู้สึกประทับใจยิ่งนัก ไม่คิดว่างานแต่งงานของนางจะทำให้ผู้คนสนใจมาชื่นชมมากมายถึงเพียงนี้และก็เป็นอย่างที่เซียงซุนบอก เพราะกว่าจะถึงจวนตระกูลเยว่ก็ใช้เวลานานเกือบสองเค่
หนึ่งปีต่อมาวสันตฤดูเวียนมาถึง นั่นก็หมายความว่า กำหนดการพระราชทานสมรสระหว่างคุณชายรองสกุลเยว่กับคุณหนูใหญ่สกุลซิ่วก็มาถึงเสียที ชิงเหมยต้องไปออกเรือนที่ตระกูลซิ่ว ทำให้ซุนฉี ซุนเฉียว เหลียงจง หลิวเวย และลูกๆ ทั้งสองของนาง ต้องเดินทางจากจวนตระกูลซุน ซึ่งตั้งอยู่ในหมู่บ้านซานฉี เข้าเมืองถิงฮวาไปพำนักที่ตระกูลซิ่วชั่วคราว ก่อนที่จะถึงวันวิวาห์ เพื่อร่วมกันส่งหลานสาวออกเรือน“ข้ารู้สึกใจหายยิ่งนัก หลังจากเหมยเอ๋อร์ออกเรือนไปแล้ว ข้าจะทำเยี่ยงไร” ซุนฉีนึกใจหายขึ้นมา หลานสาวอาศัยอยู่กับนางมาตั้งแต่เกิด จนมาถึงวัยสิบแปดปี วัยที่เหมาะสมแก่การออกเรือน“ท่านกล่าวอันใดเยี่ยงนั้น ท่านไม่อยากเห็นเหมยเอ๋อร์มีความสุขหรอกรึ” ผิงหลันแสร้งถามออกมาทั้งๆ ที่ใจนางเองก็ไม่ต่างจากซุนฉีแม้แต่น้อยหลังจากหลานสาวกลับจากเยี่ยมบ้านเดิมตามธรรมเนียม ชิงเหมยก็ต้องออกเดินทางเข้าเมืองหลวงทันที เพราะว่าที่หลานเขยของนางต้องทำงานรับใช้ราชวงศ์ ไม่อาจลางานนานได้ และเพราะหน้าที่ของเขา ทำให้ไม่สะดวกต่อการเดินทางไกล จวนของเขาที่เตรียมไว้ยามนี้ตกแต่งไว้รอนายหญิงของจวนเรียบร้อยแล