ตึกตัก ตึกตัก
ฉันใจเต้นหนักเมื่อเด็กผู้ชายที่ฉันเคยภาวนากับตัวเองว่าจะไม่หวั่นไหวกับเขากำลังนั่งคุกเข่า ร่างกายกำยำที่เต็มไปด้วยรอยสัก ซิกแพคเป็นลอนหนาเย้ายวน พร้อมกับความผงาดใต้กางเกงยีนส์ที่กะจากระยะสายตาตรงนี้ว่ามันคงใหญ่ยาวเอาเรื่อง
ขาลเคยเป็นเพียงแค่เด็กตัวเล็กๆ คนนึง เป็นน้องชายที่ฉันเอ็นดู เพราะเขาว่านอนสอนง่าย เชื่อฟังฉันเหมือนสุนัขเชื่องๆ และพร้อมจะทำทุกอย่างตามที่ฉันขอ
จนวันนี้ขาลกำลังรุกฉันในคืนที่ฉันเสียการควบคุม น้องชายตัวน้อยที่ฉันเคยเอ็นดู บัดนี้กลายเป็นเพียงชายหนุ่มกลัดมันที่เร่าร้อนคนนึงเท่านั้น
ฉันเม้มริมฝีปากแน่น หน้าอกอวบสะท้อนตามแรงหายใจ มันเปลือยเปล่าจนเห็นยอดอกสีชมพู และร่างกายขาวจัดที่ไม่เคยเปิดเผยให้กับผู้ชายคนไหนมาก่อน
ที่บอกว่าฉันเวอร์จิ้นน่ะ เรื่องจริงนะ
ฉันเคยจูบกับแฟนเก่า แต่นั่นก็นานมาแล้ว อีกอย่างฉันก็ไม่ได้เป็นฝ่ายรุกจูบก่อนด้วย นั่นก็เพราะฉันจูบไม่เก่ง
ดูเหมือนว่าฉันเซ็กซี่ แต่งตัววาบหวิว และขี้อ่อยใครต่อใคร แต่เอาจริงๆ มั้ย ฉันไม่เคยถูกใครดูดหน้าอก ไม่เคยถูกจูบได้ดูดดื่มขนาดนี้ รวมถึงความใกล้ชิดที่อุ่นร้อนนี่ด้วย
ฉันแค่พยายามสร้างลุคยั่วยวนเพื่อป้องกันตัวเองจากความเจ็บปวดเท่านั้นเอง แล้วก็พยายามเรียนหมอเพื่อพิสูจน์ให้พ่อแม่และคนอื่นมองว่าฉันคือผู้หญิงที่เก่งเละสง่างาม เป็นผู้หญิงที่ควรค่าแก่การยกไว้บนหิ้ง
ไม่อยากให้น้องชายที่ฉันเคยคิดว่าเขาเป็นแค่เพียงสุนัขเชื่องๆ มาล้ำหน้าเหมือนกัน
“ก็เปิดออกมาสิคะ” ทั้งที่รู้ดีว่าตัวเองเมาจนเกินควบคุม ถ้าขาลจะปล้ำฉันในตอนนี้ฉันคงไม่มีแรงแม้แต่จะขัดขืนตัวใหญ่ๆ ของเขาเลย แต่ฉันก็ไม่วายที่จะท้าทาย
ไม่หรอก ขาลคงไม่ทำอย่างนั้นจริงๆ หรอกใช่มั้ย
นั่นก็เพราะฉันเกิดรู้สึกกลัวขึ้นมานิดหน่อย
“พี่แน่ใจแล้วเหรอ ว่าเป็นผม?” คนตัวโตถามย้ำออกมา เหมือนเด็กชายตัวน้อยในสายตาฉันจะรู้ว่าฉันกำลังพยายามอดกลั้นอะไรอยู่ เขาถึงได้ถามตอนที่ปลายนิ้วสากค้างเติ่งอยู่ที่ซิปกางเกง
“พี่...” ฉันสะอึก เพราะพูดไม่ออก พอเขาถามแบบนั้นเหมือนจะทำมันกับฉันจริงๆ ก็รู้สึกกลัวขึ้นมา
“อย่าคาดหวังว่าผมจะอ่อนโยนกับพี่” แล้วขาลก็ตอกย้ำความกลัวให้ฉัน ตอกย้ำว่าเซ็กซ์ของเขาจะไม่ใช่เซ็กซ์โรแมนติกในฝันของผู้หญิงหลายๆ คน และหนึ่งในนั้นก็คือฉัน “ผมรอวันนี้มานาน ร่างกายพี่มันยั่วเกินไป และผมจะกระแทกจนกว่าพี่จะกรี๊ดขอให้ผมหยุด”
“ขาล...”
“ผมไม่ใช่น้องขาลคนเดิมของพี่แล้ว พี่รู้ใช่มั้ย?” ชายหนุ่มตัวยักษ์พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นเพื่อย้ำความมั่นใจของฉัน การกระทำของขาลบ่งบอกว่าเขาให้เกียรติฉัน และบูชาฉัน เขาผงาดขนาดนั้นคงทรมานแย่ แต่ก็ยังไม่วายถามย้ำให้ฉันตัดสินใจก่อน
ฉันกัดริมฝีปากตัวเองแน่น เหมือนน้องขาลจะรู้แล้วว่าฉันเวอร์จิ้น
“... พี่แค่กลัวค่ะ”
“...”
“พี่ยอมรับก็ได้ว่าพี่ยังไม่เคย แล้วพี่ก็กลัวเจ็บ กลัวไปหมดเลย” ฉันยกฝ่ามือขึ้นมาปิดหน้าด้วยความขลาดอาย ที่อายที่สุดคือต้องยอมรับต่อหน้าคนที่อายุน้อยกว่าว่าไม่มีประสบการณ์นี่ล่ะ “พี่ต้องทำยังไงคะ พี่ก็แค่รู้สึกว่าพี่อยากมีแล้ว ก็พี่อายุเท่านี้แล้วนี่คะ”
“...”
“ขาลอ่อนโยนกับพี่ไม่ได้เหรอคะ... เพราะพี่...” ข้อมือเล็กถูกคว้าออกด้วยฝ่ามือหนาทันทีที่ฉันเอื้อนเอ่ยคำขอร้องที่น่าอายจากคนที่อายุปาเข้าไปครึ่งสามสิบแล้ว แต่พอลืมตาขึ้นมอง ก็พบว่าใบหน้าของขาลอยู่ใกล้แค่เอื้อม
เขากดจูบหนักๆ ที่หน้าผากของฉัน
“ถ้าพี่กลัว ก็ไม่ต้องฝืน” เขาผละออกมา สบสายตาคมกร้าวที่ลุ่มลึกมาที่ดวงตาของฉัน “ผมทนได้ จนกว่าพี่จะพร้อม”
“...”
“แต่พี่ต้องมีกับผมคนแรก ต้องให้ผมเป็นคนแรกของพี่เท่านั้น”
“...”
“เข้าใจนะครับ”
ฉันเม้มริมฝีปาก ก่อนที่จะพยักหน้ารับอย่างเสียไม่ได้ พูดตรงๆ มั้ย พอเห็นขาลที่ร้อนแรงขนาดนี้ ฉันก็อยากมีกับขาลเป็นคนแรกจริงๆ นั่นล่ะ แต่แค่ตอนนี้ฉันกลัว กลัวท่อนเนื้อที่อยู่ใต้ผ้าของเขา กลัวว่ามันจะทำให้ฉันเจ็บ
ถึงจะเจ็บใจที่ตัวเองใจสั่นกับน้องชายที่เห็นตั้งแต่ยังเล็ก
แต่ในขณะเดียวกันฉันกลับต้องการเขา
“ค่ะ พี่จะมีกับขาลคนแรก” ราวกับโดนสะกด กลายเป็นฉันเองที่โดนความเร่าร้อนและเป็นงานของขาลทำให้ตื่นตัว จนมารู้สึกตัวอีกทีตอนที่เด็กน้อยแตะปลายลิ้นลงมาที่ริมฝีปาก เขาต้องการที่จะจูบกับฉันอีก “... อื้อ”
จูบของขาล มันดีจริงๆ
เขาใช้ลิ้นเก่งจัง
หมอที่สองกัดฟันแน่น หุนหันพลันแล่นผุดลุกออกไปจากห้องพักแพทย์ทันทีอย่างเสียหน้า ฉันพ่นลมหายใจออกมาหลังจากที่เขากระแทกบานประตูปิดเสียงดัง ผ่อนปรนความเครียดทั้งหมดได้ในเพียงเสี้ยววินาที ค่อยๆ ก้าวเดินด้วยส้นสูงที่เพิ่งขยี้ยอดอกของหมอสองไปนั่งบนเก้าอี้เลื่อน นวดขมับของตัวเองอย่างเคร่งเครียดเมื่อกี้นี้มันอะไรกันฉันเพิ่งจะแสดงกิริยาที่ไม่เหมาะสมออกไป และปรามาสหมอที่สองด้วยถ้อยคำหยาบคายในแบบที่ฉันไม่เคยพูดกับใครแต่มันกลับรู้สึกโล่งข้างในอย่างน่าประหลาดถ้าไม่ถืออคติจนเกินไป ในคราวที่น้องขาลมัดฉันไว้ก็เป็นอารมณ์แบบนี้ หัวมันโล่งปลอดโปร่ง รู้สึกเหมือนได้ปลดปล่อยอะไรบางอย่างที่สะสมมานาน... รู้สึกดีจังฉันกระตุกยิ้มออกมา ค่อยๆ ยกขาขึ้นนั่งไขว่ห้างแบบมีมาดเล็กน้อย ทั้งๆ ที่ถ้าเป็นเมื่อก่อน ฉันคงกลัวป๊าจะรู้ว่าฉันทำอะไรไม่เหมาะไม่ควรเอาไว้ แต่ในเวลานี้ฉันไม่แคร์อีกแล้วฉันชอบตัวเองที่เป็นแบบนี้ชอบตัวเองที่เลือกจะจัดการกับปัญหาทุกอย่างด้วยความรุนแรงฉันผุดลุกขึ้น นี่เพิ่งจะข้ามวันที่ฉันเลิกกับน้องขาล เป็นข้ามวันที่รู้ตัวเองหลังจากที่น้องขาลหันหลังให้ มันจะพอเป็นไปได้มั้ย ถ้าฉันจะกลับไปหาเขา น้
“ผมจะไม่เปลี่ยนตัวเองเพื่อพี่อีกแล้วว่ะ”“...”“เพราะผมรู้แล้ว... ว่าสำหรับพี่ ทำไปก็เท่านั้น” เขาสบถคำหยาบออกมาใส่หน้าฉัน “โคตรไร้ค่า ผมแม่งเป็นแค่ขยะสำหรับพี่ก็แค่นั้น”ฉันชะงักไป นิ่งอึ้งกับสิ่งที่น้องขาลพูด ในขณะที่เพิ่งสังเกตคราบเลือดที่ข้อศอกของคนตัวใหญ่ที่ก้มหน้าลงจนผมยาวๆ ปรกหน้า เขาผละมือออก ในขณะที่จะหันหลังให้ แต่ฉันกลับเลือกที่จะคว้าชายแขนเสื้อของเขาเอาไว้น้องขาลชะงักไป เขายืนหันแผ่นหลังกว้างให้ฉันอยู่แบบนั้นโดยที่ไม่คิดที่จะหันกลับมามองด้วยซ้ำหัวใจของฉันกระตุกวูบ ในขณะที่จะกลั้นใจพูดออกไป“หนูมีแผลนี่” เขาเหลือบมามองแค่เพียงหางตา ก่อนที่จะกระตุกแขนข้างที่เป็นแผลออกจากมือของฉันทันที“เพิ่งสังเกตเหรอ?” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “เป็นตั้งนานแล้ว”“พี่...”“...”“ให้พี่ทำแผลให้มั้ย?”“ไม่จำเป็น” เขาปฏิเสธทันที เป็นคำปฏิเสธที่เย็นชาจนฉันตัวสั่น เป็นครั้งแรกที่รู้สึกเหมือนตัวเองกำลงเป็นฝ่ายโดนปฏิเสธ “กลับไปซะ”จนเขาหันกลับมา ออกปากไล่ฉันอย่างเย็นชา พร้อมกับโยนกุญแจรถในกระเป๋ากางเกงคืนให้ฉันที่รับแทบไม่ทัน ฉันพยายามเงยหน้าขึ้นมองน้องขาล แต่กลับพบแต่ดวงตาที่ว่างเปล่า“พี่หมี่
ผมเบิกตากว้าง ดวงตาลุกโพลง แต่ไม่ได้กระโตกกระตากหรือออกมาจากตรงนั้นเหมือนว่าพี่หมี่จะไม่เห็นผม เธอก้าวเข้าไปนั่งข้างคนขับ ในขณะที่ไอ้เด็กที่ชื่อเหยี่ยวนั่นเป็นฝ่ายสังเกตเห็นผมก่อน เราจ้องหน้ากันในระยะห่างไม่ไกลนัก ผมจะเข้าไปกระชากมันออกมาตอนนี้เลยก็ยังได้ หากแต่ผมกำลังยั้งคิดอยู่จนมันแสยะยิ้มออกมา แววตาของไอ้เด็กนั่นไม่เหมือนครั้งแรกและหลายๆ ครั้งที่เจอกันมันกำลังประกาศ... ชัยชนะผมกำแฮนด์รถแน่นจนแทบแหลกคามือ ไอ้เวรนั่นเข้าไปในรถ นั่งในที่ที่เคยเป็นตำแหน่งของผม มันเคยเป็นผมเมื่อวานและหลายๆ วันที่ผ่านมาที่คอยไปรับไปส่งเธอที่โรงพยาบาล แต่ตอนนี้มันกลับกันหลังจากที่ผมถูกไล่กลับไป เธอก็เรียกมันมาที่นี่งั้นเหรอพี่หมี่เรียกมันมาค้างด้วย... ใช่รึเปล่าทั้งที่ยังไม่ได้เลิกกับกูด้วยซ้ำบรืน!ผมบิดรถจนเกิดเสียงดังสุดมือด้วยความโกรธ มันเดือดทะลุจนแทบหยุดความบ้าคลั่งในใจและความคิดที่ว่าอยากจะฆ่ามันให้ตายไม่ได้ยังไงก็ตาม วันนี้ผมต้องได้คำตอบไวกว่าที่คิด ผมเคลื่อนตัวรถออกไปด้วยความรวดเร็ว พุ่งตามรถซีวิคสีแดงเลือดหมูของพี่หมี่ไป แววตาที่คลุ้มคลั่งอยู่ภายใต้หมวกกันน็อคแบบปิดไม่มิดพี่หมี่ไม่เห็
BDSM คือเซ็กซ์ประเภทหนึ่ง ไม่ว่าจะมัด ตรึง ฟาดแรงๆ ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เป็นเซ็กซ์ที่สนองกามารมณ์ของคนประเภทที่ชอบความรุนแรงมากกว่าปกติ หรือบางคนที่ชอบโดนทำรุนแรงใส่ผมจัดอยู่ในประเภท ‘ซาดิสต์’ไม่ใช่ครั้งแรกที่ลองทำแบบนี้กับใคร ไม่มีใครยอมรับรสนิยมของผม และผมเองก็ไม่เคยยอมรับตัวเอง ที่ผ่านมาก็แค่ยังไม่ได้เจอใครที่ทำให้หัวใจสั่นเร้าจนอยากทำอะไรรุนแรงจนเธอบอบช้ำเท่านี้พี่หมี่เป็นผู้หญิงคนแรก ที่ผมเฝ้าฝันว่าสักวันจะได้ฟาดเธอแรงๆ แล้วมีเซ็กซ์ไปด้วย ประกาศให้ทั้งโลกรู้ว่าเธอคือม้าของผมในชีวิตจริงผมใจดีกับเธอ ยอมตามใจเธอเหมือนหมาผู้ซื่อสัตย์ นั่นเพราะผมอยากทำ ผมอยากแสดงให้เธอเห็นและไว้ใจว่าผมจะรักเธอ ภักดีกับเธอแค่เพียงคนเดียวเท่านั้นแต่ไม่เคยมีใครบอกว่าหมามันจะไม่กัด ถูกมั้ยแน่นอน ไม่มีอะไรหยุดยั้งความต้องการที่แสนซาดิสต์ของผมได้ วันนี้ผมพกเชือกขาวลูกเสือมาเพื่อมัดเธอไว้ แล้วบรรเลงบทเพลงตามที่ผมต้องการ สาดสีและละเลงรักบนร่างกายเธอผมก็แค่หึงไม่ชอบที่เธอเป็นลูกพี่ลูกน้องกับไอ้เวรนั่น ไม่ชอบที่มันก้าวเข้ามาเรียนในรุ่นเดียวกัน ไม่ชอบที่จะรู้สึกลางๆ ว่าเหมือนตัวเองกำลังจะถูกเขี่ยทิ้งในอีกไม่
ฉันสั่นระริก ไม่รู้ว่าตัวเองเผลอเอ่ยปากอ้อนวอนออกไปได้ยังไง ท่าทางที่น้องขาลเป็นวันนี้ในวันที่เรามีเซ็กซ์กันดูไม่ปกติ มันแปลกประหลาดมาก เขาเอาเชือกมามัดข้อมือฉัน จับไพล่หลัง พร้อมกับจัดท่าให้อยู่ในท่าหมอบคลานโดยไม่สามารถใช้มือค้ำยันได้ฉันไม่รู้ว่าเซ็กซ์แบบนี้คืออะไร ไม่รู้อะไรเลย รู้แค่ว่ากลัว มันสั่นไปหมดข้อมือที่ถูกรัดแน่นพยายามบิดเพื่อตัดขาดพันธนาการ แต่ยิ่งดิ้นหนีกลับยิ่งรัดแน่น มือที่ถูกไพล่หลังอยู่ตึงแน่นจนรู้สึกชาแปลบๆ แต่ถึงอย่างนั้นความรู้สึกทุกอย่าง ทุกสัมผัส มันชัดขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งเมื่อปลายนิ้วสากตวัดผ่านกลีบดอกไม้ ฉันกลับรู้สึกได้ถึงความชื้นที่ล้นทะลักออกมาจากร่องสวาทแต่การถูกมัดแบบนี้มันไม่ปกติ สมองฉันทำงานหนักมากเพื่อที่จะปฏิเสธการกระทำนี้“ฮึก... ได้โปรด”แต่เสียงที่เปล่งออกไปกลับสั่นพร่าจนรู้สึกได้ มันพ่นออกไปโดยไม่ทันได้รู้สึกตัวด้วยซ้ำ ในหัวของฉันมันตีรวนกันหลายอย่างตั้งแต่ที่โรงพยาบาล ไม่ว่าจะเรื่องพ่อหรือเรื่องที่สอง หรือแม้แต่น้องขาลที่มีท่าทางก้าวร้าวมากขึ้น แต่พอโดนมัด โดนทรมาน กลับรู้สึกหัวโล่ง ขาวโพลนอย่างน่าประหลาดภายในสมองร้องบอกตัวเองว่าน้องขาลคนนี้ไม่ใช
น้องขาลนิ่งไปทันที เขาเอียงคอไปมองโทรศัพท์บนโต๊ะทำงานของฉัน แววตาคมปลาบหันกลับมาสบตากับฉัน เย็นเยียบจนรู้สึกสั่นกลัวน้องขาลไม่เหมือนเดิมมาตั้งแต่เมื่อวาน และฉันก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร“งั้นขอเช็คโทรศัพท์หน่อยสิครับพี่หมี่”ฉันเม้มริมฝีปาก ฉันแค่คิดนะ เหมือนว่าเขาจะไม่ไว้ใจฉันเลย ไม่รู้สิ แค่รู้สึกว่าพอเริ่มคบกับน้องขาล เขาก็เปลี่ยนไปนิดๆ หน่อยๆ“จะเช็คทำไมคะ ไม่ไว้ใจพี่เหรอ” น้ำเสียงที่ถามกลับไปห้วนสั้นไม่ต่างกัน ไม่รู้ว่าจะมาชวนทะเลาะอะไรในตอนที่เพิ่งเจอเรื่องพวกนั้นมาด้วยนะ“ผมเช็คไม่ได้เหรอครับ ผมจะได้รู้ตัว” น้ำเสียงที่พ่นออกมามีแววประชดเจือปนเล็กน้อย แม้ว่าฉันจะไม่อยากจะเชื่อว่าน้องขาลจะออกปากประชดประชันได้ เพราะก่อนที่เราจะคบกันเขาเป็นสุนัขที่ดีมาโดยตลอด แต่พอตกปากรับคำขอคบเป็นแฟน ขาลเริ่มแสดงท่าทีเป็นใหญ่ขึ้นทีละน้อยและฉันก็... ไม่ค่อยชอบท่าทางถือดีนั่นเท่าไหร่“เช็คก็ได้ค่ะ เอาเลย” ฉันไม่ชอบเวลามีใครมางอแงในเวลาที่ฉันกำลังหัวเสีย เลยพยักเพยิดหน้าไปทางมือถือที่นอนนิ่งอยู่บนโต๊ะ น้องขาลสบตาฉันกลับ เขากัดริมฝีปาก กำหมัดแน่น แล้วเดินผ่านไหล่ฉันไปกดโทรศัพท์ดูด้วยร่างกำยำที่เกร็งเครี