[พาร์ท : ขาล]
ผมตื่นขึ้นมาในเช้าวันถัดไป ในห้องของตัวเอง
ยันตัวลุกขึ้นมาจากเตียงพร้อมกับขยี้ผมยาวๆ อย่างงัวเงีย เสียงคนทำอาหารข้างล่างดังเป็นระลอก เลยรู้ว่า ‘ขิม’ มันกำลังทำอาหารเช้าเตรียมเอาไว้ให้อีกแล้ว
ผมออกไปยืนสูบบุหรี่ที่นอกระเบียง พร้อมกับหวนนึกถึงเรื่องเมื่อคืน
หลังจากที่ตกลงกันว่าผมจะไม่มีเซ็กซ์กับพี่หมี่จนกว่าเธอจะพร้อม ผมก็รอให้เธอเมาหลับไป รอจนกว่าพี่หมี่จะหลับสนิทจริงๆ ถึงได้ปลีกตัวกลับมา ปลดปล่อยความใคร่และนึกถึงหน้าอกอวบขาวกับยอดทับทิมสีชมพูอยู่คนเดียว ใช้อุ้งมือพาตัวเองไปจนถึงจุดสุดยอดในห้องนอน
ถ้าไปเล่าให้เพื่อนฟัง แม่งคงบอกว่าไม่คุ้ม
แต่สำหรับผม มันคุ้ม
ผมพ่นควันบุหรี่ออกมาในขณะที่ร่างกายแกร่งเปลือยเปล่า มือข้างขวากดโทรศัพท์ส่องหน้าไอจีของพี่หมี่ เห็นว่าเธอลงรูปเซลฟี่ที่โรงพยาบาล พอเสหน้าไปมองนาฬิกาก็เห็นว่าตอนนี้มันจะเที่ยงแล้ว
ผมมีเรียนตอนบ่ายสอง แวะไปหาดีมั้ยวะ
ก็นะ แสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของสักหน่อย ถึงพี่หมี่จะไม่ชอบ แต่ผมก็ต้องแน่ใจที่สุดว่าครั้งแรกเธอจะเสียให้กับผม
หมับ
ผมชะงักเมื่อใจลอยคิดอะไรเงียบๆ ก็ถูกวงแขนเล็กกอดรัดอย่างแนบแน่น พอเหลือบไปมองก็เห็นว่าเป็นน้องสาวตัวเล็ก ไอ้ขิมในชุดนักเรียน ม.ปลาย กับผ้ากันเปื้อนสีขาวเงยหน้าขึ้นยิ้มแป้นแล้นให้ผม
“ตื่นแล้วเหรอคะพี่ขาล”
“เออ” ผมตอบสั้นๆ ก่อนที่จะขยี้ก้นบุหรี่ที่ติดไฟกับราวระเบียง “บอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าเข้ามาตอนที่กูสูบบุหรี่”
“แหม ไม่เหม็นสักหน่อย” เธอย่นจมูกพร้อมกับกระโดดมายืนตัวตรง ผมเลยพ่นลมหายใจหนักกับความดื้อรั้นของมัน
ผมกับขิมเป็นพี่น้องฝาแฝดที่แยกมาอยู่กันสองคน เพราะพ่อแม่พวกเราทำงานธุรกิจสีเทาอยู่ต่างประเทศและเลี้ยงผมกับมันมาแบบลูกฝรั่ง ท่านทั้งคู่เป็นคนที่น่ากลัว ดุ แต่ก็ใจดีในบางเรื่อง อย่างเช่นเวลาขอเงิน แค่เอ่ยปาก เงินก็เข้าบัญชีทันที
พ่อกับแม่ผมเป็นคนแปลกๆ คือชอบให้ผมกับน้องย้ายออกไปใช้ชีวิตเองตั้งแต่ตอนที่ผมอายุสิบห้า พ่อซื้อบ้านหลังหนึ่งที่ติดกับบ้านพี่หมี่ให้โดยที่ไม่รู้เหตุผล และผมก็รู้จักเธอในฐานะพี่สาวข้างบ้าน ที่ชอบมาเล่นด้วยและคอยดูแลเราสองพี่น้อง เพราะเธอเหมือนเป็นพี่สาวที่อายุมากกว่า จนนานวันเข้าผมก็ยึดติดกับความใจดีที่เธอมีให้ จนปัจจุบันก็คลั่งรักเธออย่างเต็มรูปแบบ
ผมมีเธอเป็นต้นแบบสเป็คผู้หญิง ตอนแรกที่พยายามมีแฟน เพราะผมคิดว่ามันก็แค่ต้นแบบ ไม่จำเป็นต้องได้ครอบครอง
แต่พอได้มีใครต่อใครผมถึงได้รู้ ผมไม่ได้เห็นเธอเป็นแค่ต้นแบบ แต่ผมอยากเห็นเธอกลายมาเป็นเมียผมจริงๆ ด้วย
ผมใช้ชีวิตเหมือนเด็กฝรั่ง ที่พออายุสิบเจ็ดก็โตเกินวัย แต่ก็เสพติดสังคมแบบเด็กช่างที่ดิบเถื่อนอยู่บ้าง ยาเสพติดก็ลอง บุหรี่ก็สูบจัด เหล้าก็ติดหนัก
ก็ที่ต่างประเทศกัญชามันถูกกฎหมาย และความคิดผมสำหรับยาเสพติดก็คือ... เรื่องทั่วไป
ผมกลายมาเป็นผู้ชายที่แตกต่างจากผมในตอนอายุสิบห้าที่เธอเจอครั้งแรก เวลาผ่านไปแค่สองสามปี ผมก็โตขึ้นมากจนพี่หมี่เริ่มห่างเหินเพราะความเป็นชายฉกรรจ์ของผม
ผมเคยช้ำและไม่เข้าใจ คิดว่าเธอไม่อยากอยู่กับผม เธอคงไม่ชอบผมที่ผมกลายมาเป็นผู้ชายที่เธอเคยบอกในอดีตว่าเธอชอบแบบนี้ทั้งๆ ที่เธอมองผมเป็นแค่น้องชาย เธอคงผิดหวังที่ผมชอบเธอ
แต่ผมเพิ่งมารู้เมื่อคืนนี้เอง
เธอไม่ได้เกลียด แต่เธอแค่ไม่เคย
ผมแค่นยิ้ม แล้วท่าทางเซ็กซี่ที่ผ่านมา ก็แค่สร้างมันขึ้นมาเพื่อป้องกันตัวเองจากใครบางคน คราวนี้ผมเลยเข้าใจอย่างถ่องแท้
คนคนนั้นที่เธออยากป้องกัน คือผมรึเปล่า
“เมื่อคืนไปห้องเจ้หมี่มาใช่มั้ย”
ผมผงกหัวขึ้นมา หลังจากที่น้องสาวฝาแฝดในทรงผมสั้นม้าเต่อถามขึ้นในระหว่างที่กินข้าวเช้า น้องสาวผมทำอาหารเก่ง และเพราะผมไม่ชอบทำอาหาร เลยโยนมันมาให้ขิมทำบ่อย และขิมก็เป็นทั้งน้องสาวที่ทั้งน่าหมั่นไส้และกวนประสาทไปพร้อมๆ กัน
เพราะพอผมไม่ชอบอาหารเช้า มันก็จะลุกขึ้นมาขยันทำอาหารเช้าทุกวัน
อะไรที่ผมไม่อยากให้รู้ มันก็จะไปสืบให้รู้มาจนได้
“เสือก” ผมตอบมันสั้นๆ ก่อนที่ไอ้ตัวแสบจะฉีกยิ้ม
“มีไรกันยัง” แทบจะสำลักข้าวตอนที่มันถามซะตรงเผงสัสๆ “เมื่อคืนพี่เตเล่าให้ฟังว่าพี่หึงเจ้หมี่ เลยอุ้มเธอกลับห้องไปปู้ยี่ปู้ยำ”
ผมแทบจะหักตะเกียบ ไอ้เหี้ยเต ปากสว่างอีกตามเคย
ถ้ามันไม่มีซัมติงอะไรกับไอ้ขิม คงไม่มาพูดให้รู้กันขนาดนี้หรอก
“มึงกับมันเป็นผัวเมียกันเหรอขิม เห็นกี่ทีรู้จากไอ้เตตลอด” พอถามคำถามที่รู้ว่าน้องผมมันต้องตอบไม่ได้ ไอ้ขิมก็สะอึก
“เสือก” มันย้อนผมกลับ ไอ้เด็กเวร
“กูไม่กินล่ะ” หมดรมณ์ อีกอย่างไม่ชอบข้าวเช้าอยู่แล้วด้วย
“พี่จะไปไหน ไม่ไปส่งหนูที่โรงเรียนเหรอ” ไอ้ตัวเล็กถามหลังจากที่เห็นว่าผมรวบผมขึ้นมัดจุกหลวมๆ แล้วสะพายกระเป๋าแฟบๆ ที่มีแต่รอยลิควิดแล้วจะก้าวออกนอกประตู
“มีตีนก็ไปเองดิ เงินพ่อก็ส่งให้”
“ทำตัวเป็นพี่ชายที่แสนดีเหมือนที่ทำตัวเป็นน้องชายที่ภักดีกับเจ้หมี่หน่อยดิ”
“ไม่สะดวกใจ”
ผมตอบแค่นั้นอย่างไม่แคร์ คาบบุหรี่มวนที่สองของเช้านี้ จุดไฟแช็คแล้วเดินออกไปจากประตู ทิ้งให้มันกินข้าวเช้าที่ชอบกินนักหนาคนเดียวไป เพราะยังไงก็เจอหน้ากันทุกวัน อีกอย่างไอ้ขิมมันดูแลตัวเองได้อยู่แล้ว
ก็ตามที่บอก ถ้าไม่ใช่พี่หมี่ ผมก็ไม่ได้สนเหี้ยอะไร
แม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นน้องแท้ๆ ก็ตาม
ผมแวะมาที่โรงพยาบาล เพราะถ้าจะแวะมาหาพี่หมี่ ก็ต้องมาที่นี่เท่านั้น
โรงพยาบาลเอกชนชื่อดังใจกลางเมืองหลวงที่พ่อของพี่หมี่เป็นผู้บริหาร ลูกสาวจะกลายเป็นหมอที่สมบูรณ์แบบขนาดนั้นก็ไม่แปลก
ใช่ ผมชอบที่เธอดูเซ็กซี่และสง่างามแบบนั้น แต่กลับมีความลับอันย้อนแย้งขัดกับบุคลิกภายนอกที่เพิ่งรู้เมื่อคืน เอาเป็นว่าผมพอใจมากกับความลับนี้
และจะใช้มันให้เป็นประโยชน์ที่สุด
ผมตรงเข้าไปที่โซนประชาสัมพันธ์ เพราะคนที่นี่รู้จักผมในฐานะลูกชายนักธุรกิจสีเทาคู่ผัวเมียที่เติบโตในต่างประเทศ อีกอย่างก็เป็นหุ้นส่วนกับพ่อของพี่หมี่ด้วย
แทบไม่มีอะไรที่เราสองคนจะไม่เข้ากัน แต่มีแค่พี่หมี่ที่ยังไม่อยากมีใครเท่านั้น
ถ้าผมทำให้เธอหลงได้ การได้เธอมาเป็นเมียมันก็ไม่ยากอะไร เพราะชีวิตผมมันมีครบทุกอย่าง
พนักงานประชาสัมพันธ์แจ้งห้องพักของพี่หมี่ วันนี้คนไข้น้อยเธอเลยได้พักหายใจบ้าง เห็นบอกว่าพี่หมี่ดูมีอาการแฮงก์เหล้า แต่ก็ยังทำงานได้ดี ที่คอมีรอยเหมือนยุงกัด เหมือนว่าเธอจะป่วย
ผมกระตุกยิ้ม พยาบาลที่นี่ช่างซื่อจริงๆ เพราะไอ้รอยยุงกัดนั่นน่ะ เป็นรอยที่ผมทำมันด้วยตัวเองไงล่ะ
ผมเลื่อนบานประตูกระจกมัวออกไปอย่างถือวิสาสะ เพราะผมแวะเวียนมาหาพี่หมี่ที่นี่ประจำในเวลาว่างจนพยาบาลทุกคนรู้จักผม และดูเหมือนพวกเธอจะคลั่งไคล้ผมอยู่เหมือนกัน แต่ผมกลับแสดงออกแบบนั้นกับพี่หมี่แค่คนเดียว
ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนช้อนขึ้นมาสบสายตาผม เธอในชุดกาวน์ที่ขาวสะอาดกลับดูเซ็กซี่เพราะหุ่นอวบอัดภายใต้ชุดแซกทรงสวย ผมเผลอจินตนาการถึงเรื่องเมื่อคืนและเรือนร่างใต้ผ้าของเธอ และก็ดูเหมือนว่าพี่หมี่จะจำมันได้เหมือนกัน เธอผุดลุกขึ้นจากโต๊ะขาวที่มีเครื่องคอมและเอกสาร ในขณะที่ผมเลื่อนประตูปิดอย่างเงียบเชียล
“ขาล คือเมื่อคืน...” เธอพูดเสียงแผ่ว จ้องมองริมฝีปากผมที่หยัดยิ้มอย่างอ้อยอิ่ง “พี่ทำอะไรน่าอายลงไปเยอะเลย ขอโทษนะคะ”
“แต่ผมกลับชอบที่พี่ทำแบบนั้นนะ” ผมโพล่งขึ้นมาอย่างไม่แคร์ความรู้สึกผิดจากแววตาคู่สวยที่หวานซึ้ง ผมรู้ว่าในใจลึกๆ ของเธอกำลังกระหายใคร่รู้ในตัวตนที่ซ่อนอยู่ของผม แต่เธอแค่ยังกลัวกับขนบธรรมเนียมเก่าๆ “แล้ววันนี้”
“...”
“พี่จะให้ผมแวะไปหาที่ห้องอีกรึเปล่า?”
หมอที่สองกัดฟันแน่น หุนหันพลันแล่นผุดลุกออกไปจากห้องพักแพทย์ทันทีอย่างเสียหน้า ฉันพ่นลมหายใจออกมาหลังจากที่เขากระแทกบานประตูปิดเสียงดัง ผ่อนปรนความเครียดทั้งหมดได้ในเพียงเสี้ยววินาที ค่อยๆ ก้าวเดินด้วยส้นสูงที่เพิ่งขยี้ยอดอกของหมอสองไปนั่งบนเก้าอี้เลื่อน นวดขมับของตัวเองอย่างเคร่งเครียดเมื่อกี้นี้มันอะไรกันฉันเพิ่งจะแสดงกิริยาที่ไม่เหมาะสมออกไป และปรามาสหมอที่สองด้วยถ้อยคำหยาบคายในแบบที่ฉันไม่เคยพูดกับใครแต่มันกลับรู้สึกโล่งข้างในอย่างน่าประหลาดถ้าไม่ถืออคติจนเกินไป ในคราวที่น้องขาลมัดฉันไว้ก็เป็นอารมณ์แบบนี้ หัวมันโล่งปลอดโปร่ง รู้สึกเหมือนได้ปลดปล่อยอะไรบางอย่างที่สะสมมานาน... รู้สึกดีจังฉันกระตุกยิ้มออกมา ค่อยๆ ยกขาขึ้นนั่งไขว่ห้างแบบมีมาดเล็กน้อย ทั้งๆ ที่ถ้าเป็นเมื่อก่อน ฉันคงกลัวป๊าจะรู้ว่าฉันทำอะไรไม่เหมาะไม่ควรเอาไว้ แต่ในเวลานี้ฉันไม่แคร์อีกแล้วฉันชอบตัวเองที่เป็นแบบนี้ชอบตัวเองที่เลือกจะจัดการกับปัญหาทุกอย่างด้วยความรุนแรงฉันผุดลุกขึ้น นี่เพิ่งจะข้ามวันที่ฉันเลิกกับน้องขาล เป็นข้ามวันที่รู้ตัวเองหลังจากที่น้องขาลหันหลังให้ มันจะพอเป็นไปได้มั้ย ถ้าฉันจะกลับไปหาเขา น้
“ผมจะไม่เปลี่ยนตัวเองเพื่อพี่อีกแล้วว่ะ”“...”“เพราะผมรู้แล้ว... ว่าสำหรับพี่ ทำไปก็เท่านั้น” เขาสบถคำหยาบออกมาใส่หน้าฉัน “โคตรไร้ค่า ผมแม่งเป็นแค่ขยะสำหรับพี่ก็แค่นั้น”ฉันชะงักไป นิ่งอึ้งกับสิ่งที่น้องขาลพูด ในขณะที่เพิ่งสังเกตคราบเลือดที่ข้อศอกของคนตัวใหญ่ที่ก้มหน้าลงจนผมยาวๆ ปรกหน้า เขาผละมือออก ในขณะที่จะหันหลังให้ แต่ฉันกลับเลือกที่จะคว้าชายแขนเสื้อของเขาเอาไว้น้องขาลชะงักไป เขายืนหันแผ่นหลังกว้างให้ฉันอยู่แบบนั้นโดยที่ไม่คิดที่จะหันกลับมามองด้วยซ้ำหัวใจของฉันกระตุกวูบ ในขณะที่จะกลั้นใจพูดออกไป“หนูมีแผลนี่” เขาเหลือบมามองแค่เพียงหางตา ก่อนที่จะกระตุกแขนข้างที่เป็นแผลออกจากมือของฉันทันที“เพิ่งสังเกตเหรอ?” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “เป็นตั้งนานแล้ว”“พี่...”“...”“ให้พี่ทำแผลให้มั้ย?”“ไม่จำเป็น” เขาปฏิเสธทันที เป็นคำปฏิเสธที่เย็นชาจนฉันตัวสั่น เป็นครั้งแรกที่รู้สึกเหมือนตัวเองกำลงเป็นฝ่ายโดนปฏิเสธ “กลับไปซะ”จนเขาหันกลับมา ออกปากไล่ฉันอย่างเย็นชา พร้อมกับโยนกุญแจรถในกระเป๋ากางเกงคืนให้ฉันที่รับแทบไม่ทัน ฉันพยายามเงยหน้าขึ้นมองน้องขาล แต่กลับพบแต่ดวงตาที่ว่างเปล่า“พี่หมี่
ผมเบิกตากว้าง ดวงตาลุกโพลง แต่ไม่ได้กระโตกกระตากหรือออกมาจากตรงนั้นเหมือนว่าพี่หมี่จะไม่เห็นผม เธอก้าวเข้าไปนั่งข้างคนขับ ในขณะที่ไอ้เด็กที่ชื่อเหยี่ยวนั่นเป็นฝ่ายสังเกตเห็นผมก่อน เราจ้องหน้ากันในระยะห่างไม่ไกลนัก ผมจะเข้าไปกระชากมันออกมาตอนนี้เลยก็ยังได้ หากแต่ผมกำลังยั้งคิดอยู่จนมันแสยะยิ้มออกมา แววตาของไอ้เด็กนั่นไม่เหมือนครั้งแรกและหลายๆ ครั้งที่เจอกันมันกำลังประกาศ... ชัยชนะผมกำแฮนด์รถแน่นจนแทบแหลกคามือ ไอ้เวรนั่นเข้าไปในรถ นั่งในที่ที่เคยเป็นตำแหน่งของผม มันเคยเป็นผมเมื่อวานและหลายๆ วันที่ผ่านมาที่คอยไปรับไปส่งเธอที่โรงพยาบาล แต่ตอนนี้มันกลับกันหลังจากที่ผมถูกไล่กลับไป เธอก็เรียกมันมาที่นี่งั้นเหรอพี่หมี่เรียกมันมาค้างด้วย... ใช่รึเปล่าทั้งที่ยังไม่ได้เลิกกับกูด้วยซ้ำบรืน!ผมบิดรถจนเกิดเสียงดังสุดมือด้วยความโกรธ มันเดือดทะลุจนแทบหยุดความบ้าคลั่งในใจและความคิดที่ว่าอยากจะฆ่ามันให้ตายไม่ได้ยังไงก็ตาม วันนี้ผมต้องได้คำตอบไวกว่าที่คิด ผมเคลื่อนตัวรถออกไปด้วยความรวดเร็ว พุ่งตามรถซีวิคสีแดงเลือดหมูของพี่หมี่ไป แววตาที่คลุ้มคลั่งอยู่ภายใต้หมวกกันน็อคแบบปิดไม่มิดพี่หมี่ไม่เห็
BDSM คือเซ็กซ์ประเภทหนึ่ง ไม่ว่าจะมัด ตรึง ฟาดแรงๆ ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เป็นเซ็กซ์ที่สนองกามารมณ์ของคนประเภทที่ชอบความรุนแรงมากกว่าปกติ หรือบางคนที่ชอบโดนทำรุนแรงใส่ผมจัดอยู่ในประเภท ‘ซาดิสต์’ไม่ใช่ครั้งแรกที่ลองทำแบบนี้กับใคร ไม่มีใครยอมรับรสนิยมของผม และผมเองก็ไม่เคยยอมรับตัวเอง ที่ผ่านมาก็แค่ยังไม่ได้เจอใครที่ทำให้หัวใจสั่นเร้าจนอยากทำอะไรรุนแรงจนเธอบอบช้ำเท่านี้พี่หมี่เป็นผู้หญิงคนแรก ที่ผมเฝ้าฝันว่าสักวันจะได้ฟาดเธอแรงๆ แล้วมีเซ็กซ์ไปด้วย ประกาศให้ทั้งโลกรู้ว่าเธอคือม้าของผมในชีวิตจริงผมใจดีกับเธอ ยอมตามใจเธอเหมือนหมาผู้ซื่อสัตย์ นั่นเพราะผมอยากทำ ผมอยากแสดงให้เธอเห็นและไว้ใจว่าผมจะรักเธอ ภักดีกับเธอแค่เพียงคนเดียวเท่านั้นแต่ไม่เคยมีใครบอกว่าหมามันจะไม่กัด ถูกมั้ยแน่นอน ไม่มีอะไรหยุดยั้งความต้องการที่แสนซาดิสต์ของผมได้ วันนี้ผมพกเชือกขาวลูกเสือมาเพื่อมัดเธอไว้ แล้วบรรเลงบทเพลงตามที่ผมต้องการ สาดสีและละเลงรักบนร่างกายเธอผมก็แค่หึงไม่ชอบที่เธอเป็นลูกพี่ลูกน้องกับไอ้เวรนั่น ไม่ชอบที่มันก้าวเข้ามาเรียนในรุ่นเดียวกัน ไม่ชอบที่จะรู้สึกลางๆ ว่าเหมือนตัวเองกำลังจะถูกเขี่ยทิ้งในอีกไม่
ฉันสั่นระริก ไม่รู้ว่าตัวเองเผลอเอ่ยปากอ้อนวอนออกไปได้ยังไง ท่าทางที่น้องขาลเป็นวันนี้ในวันที่เรามีเซ็กซ์กันดูไม่ปกติ มันแปลกประหลาดมาก เขาเอาเชือกมามัดข้อมือฉัน จับไพล่หลัง พร้อมกับจัดท่าให้อยู่ในท่าหมอบคลานโดยไม่สามารถใช้มือค้ำยันได้ฉันไม่รู้ว่าเซ็กซ์แบบนี้คืออะไร ไม่รู้อะไรเลย รู้แค่ว่ากลัว มันสั่นไปหมดข้อมือที่ถูกรัดแน่นพยายามบิดเพื่อตัดขาดพันธนาการ แต่ยิ่งดิ้นหนีกลับยิ่งรัดแน่น มือที่ถูกไพล่หลังอยู่ตึงแน่นจนรู้สึกชาแปลบๆ แต่ถึงอย่างนั้นความรู้สึกทุกอย่าง ทุกสัมผัส มันชัดขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งเมื่อปลายนิ้วสากตวัดผ่านกลีบดอกไม้ ฉันกลับรู้สึกได้ถึงความชื้นที่ล้นทะลักออกมาจากร่องสวาทแต่การถูกมัดแบบนี้มันไม่ปกติ สมองฉันทำงานหนักมากเพื่อที่จะปฏิเสธการกระทำนี้“ฮึก... ได้โปรด”แต่เสียงที่เปล่งออกไปกลับสั่นพร่าจนรู้สึกได้ มันพ่นออกไปโดยไม่ทันได้รู้สึกตัวด้วยซ้ำ ในหัวของฉันมันตีรวนกันหลายอย่างตั้งแต่ที่โรงพยาบาล ไม่ว่าจะเรื่องพ่อหรือเรื่องที่สอง หรือแม้แต่น้องขาลที่มีท่าทางก้าวร้าวมากขึ้น แต่พอโดนมัด โดนทรมาน กลับรู้สึกหัวโล่ง ขาวโพลนอย่างน่าประหลาดภายในสมองร้องบอกตัวเองว่าน้องขาลคนนี้ไม่ใช
น้องขาลนิ่งไปทันที เขาเอียงคอไปมองโทรศัพท์บนโต๊ะทำงานของฉัน แววตาคมปลาบหันกลับมาสบตากับฉัน เย็นเยียบจนรู้สึกสั่นกลัวน้องขาลไม่เหมือนเดิมมาตั้งแต่เมื่อวาน และฉันก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร“งั้นขอเช็คโทรศัพท์หน่อยสิครับพี่หมี่”ฉันเม้มริมฝีปาก ฉันแค่คิดนะ เหมือนว่าเขาจะไม่ไว้ใจฉันเลย ไม่รู้สิ แค่รู้สึกว่าพอเริ่มคบกับน้องขาล เขาก็เปลี่ยนไปนิดๆ หน่อยๆ“จะเช็คทำไมคะ ไม่ไว้ใจพี่เหรอ” น้ำเสียงที่ถามกลับไปห้วนสั้นไม่ต่างกัน ไม่รู้ว่าจะมาชวนทะเลาะอะไรในตอนที่เพิ่งเจอเรื่องพวกนั้นมาด้วยนะ“ผมเช็คไม่ได้เหรอครับ ผมจะได้รู้ตัว” น้ำเสียงที่พ่นออกมามีแววประชดเจือปนเล็กน้อย แม้ว่าฉันจะไม่อยากจะเชื่อว่าน้องขาลจะออกปากประชดประชันได้ เพราะก่อนที่เราจะคบกันเขาเป็นสุนัขที่ดีมาโดยตลอด แต่พอตกปากรับคำขอคบเป็นแฟน ขาลเริ่มแสดงท่าทีเป็นใหญ่ขึ้นทีละน้อยและฉันก็... ไม่ค่อยชอบท่าทางถือดีนั่นเท่าไหร่“เช็คก็ได้ค่ะ เอาเลย” ฉันไม่ชอบเวลามีใครมางอแงในเวลาที่ฉันกำลังหัวเสีย เลยพยักเพยิดหน้าไปทางมือถือที่นอนนิ่งอยู่บนโต๊ะ น้องขาลสบตาฉันกลับ เขากัดริมฝีปาก กำหมัดแน่น แล้วเดินผ่านไหล่ฉันไปกดโทรศัพท์ดูด้วยร่างกำยำที่เกร็งเครี