สรวิชญ์พาเธอนั่งกลับรถตู้คันเดิม เพิ่มเติมคือเขาซื้อชุดคนป่วยให้เธอด้วย ปุณิกาอยู่ในสภาพหัวสั่นหัวคลอนเพราะรถวิ่งตามทางลูกรัง จนมาถึงสะพานเมื่อคืน น้ำลดลงแล้วรถจึงแล่นผ่านอย่างง่ายดายเธอมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างไม่รู้จะทำอะไรดี
ทิวทัศน์ข้างนอกเห็นภูเขาอยู่ลิบ ๆ บนฟ้ามีเมฆอุ้มน้ำสีเทา เดาว่าฝนต้องตกอีกในไม่ช้า ข้างทางเต็มไปด้วยป่า ต้นไม้ใบหญ้าเมื่อได้น้ำเมื่อคืนดูสดชื่น เปล่งประกายเขียวสด
หากเป็นเวลาปรกติเธอคงอดไม่ได้ที่จะต้องถ่ายภาพ แต่เวลานี้ไม่มีอารมณ์ กังวลถึงไร่ที่เขาจะพาไปมากกว่า จะเป็นไร่เต็มไปด้วยทุ่งหญ้าเขียวขจี มีวัวลายจุดเล็มหญ้าอยู่หรือเปล่า
ท่าทางคนลักตัวเธอมาไม่ใจดีขนาดนั้น บางทีเขาอาจขังเธอไว้ที่กระท่อมปลายไร่โกโรโกโส แล้วที่เขาบอกว่าจะทำกับเธอเหมือนที่ปุณณภพทำกับน้องเขาอีกล่ะ
ปุณิกาทำตัวลีบติดกระจก การขืนใจผู้หญิงเป็นการกระทำไร้อารยะ ผิดกฎหมาย ไร้ศีลธรรม แต่ท่ามกลางป่า ท่ามกลางไร่ไกลหูตาคนแบบนี้ เธอไม่แน่ใจในอารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ ของคนพามานัก หวังแต่ขอให้เขาปรานีเหมือนตอนที่พาเธอมาโรงพยาบาลบ้างด้วยเถิด
รถเริ่มเข้าสู่รั้วที่ขึงด้วยลวดหนาม แล่นไปอีกไม่ถึงสิบนาทีก็เห็นป้าย “ไร่สรวิชญ์” แกะสลักเด่นตระหง่านอยู่บนท่อนซุงที่ถากอย่างเรียบร้อย หน้าไร่มีป้อมยาม
เมื่อคนในป้อมเห็นรถก็แทบจะยกไม้กั้นขึ้นในทันใด รถตู้แล่นมาหยุดอยู่หน้าเรือนไม้สักสองชั้น ยกระเบียงสูงขึ้นจากพื้นถึงศีรษะ
“เจอคุณสตางค์ไหมครับคุณเต้ย”
หนุ่มขาลีบข้างหนึ่งเดินเขยกเข้ามาถาม
“ยัง วสันต์กำลังตามอยู่ เดี๋ยวจะส่งข่าวมา”
สรวิชญ์สนทนากับคนของเขาโดยไม่ใส่ใจเธอเลย
“เอ่อ...แล้วนั่นใครครับ”
เป็นหนุ่มแปลกหน้าเสียอีกที่ทำท่าสนอกสนใจเธอ
“ตัวประกัน เอาไว้ยื่นหมูยื่นแมว”
“แล้วกันคุณเต้ย ! ไหนไปตามคุณสตางค์ไม่ใช่เหรอ ไหงไปเอาตัวประกันที่ไหนมา”
หนุ่มคนนั้นยื่นหน้าเข้ามาดูในรถ ปุณิกาจึงเห็นว่าเจ้าตัวยังมีเค้าวัยเยาว์ เดาอายุว่าน่าจะพอ ๆ กับปุณณภพ
“ก็พี่สาวไอ้เด็กนั่นแหละ คนที่พาสตางค์หนีไป”
“บอกแล้วให้ปล่อยฉันไปก่อน ฉันเพิ่งออกจากโรงพยาบาลนี่เห็นไหม”
เธอขอร้อง ใครก็ได้ที่ยังเมตตาเธอหน่อย หนุ่มคนนั้นมองชุดผู้ป่วยที่หญิงสาวสวมอยู่แล้วห่อปาก
“นี่พากันมาจากโรงพยาบาลเหรอ คุณเต้ยลงไม้ลงมือกับผู้หญิงเชียวรึ”
“ด่ากูเหรอไอ้แสน เดี๋ยวแตะให้ขาลีบอีกข้าง ยัยนี่โดนงูกัดเว้ย กูเลยพาไปโรงพยาบาล วุ่นวายทั้งคืน เหนื่อย หิว เหนียวตัว อยากอาบน้ำ มึงหาอะไรให้กูกินหน่อย”
บ่นแล้วร่างสูงก็เดินขึ้นบันไดบ้านไป
“คุณเต้ย แล้วจะเอายังไงกับผู้หญิงคนนี้”
ลูกน้องร้องถามไล่หลัง
“เอาไปล่ามโซ่ไว้ที่เรือนพักคนงานที่ว่าง ๆ ก็ได้”
ในดวงตาปุณิกาปรากฏแววหวั่นระริก ...ผิดจากที่คิดไว้เสียเมื่อไร แค่เปลี่ยนจากโดนขังกระท่อมท้ายไร่ เป็นล่ามโซ่ขังในเรือนคนงาน
“ไม่เอานะ ฉันกลัว”
เธอเสียงโหยอย่างน่าสงสาร
“ลงมาจากรถก่อนเถอะคุณ เดินไหวไหม”
ลูกน้องเขาเสียงอารี
“หิวไหม กินอะไรมาหรือยัง”
คำถามซื่อ ๆ จากคนแปลกหน้า ทำให้ทำนบแห่งความอดทนเธอพังลง
“ช่วยฉันด้วย เจ้านายเธอลักพาตัวฉันมา ฉันอยากกลับบ้าน”
น้ำตาไหลลงบนแก้มนวล ต่อหน้าคนไม่เคยรู้จักที่แสดงความห่วงใย
“คุณเต้ยคงกำลังโกรธเรื่องน้องคุณพาคุณสตางค์หนีอยู่ รอสักเดี๋ยวให้ใจเย็นลงก่อนครับ ปรกติแกชอบทำหน้าดุ แต่จริง ๆ ใจดี”
หนุ่มร่างกายไม่สมประกอบยิ้ม ยื่นหน้าเข้าไปในรถ
“ฉันไม่อยากถูกล่ามโซ่ไว้เรือนคนงาน”
“ครับ...คุณเต้ยแกก็ไม่ได้ตั้งใจให้เป็นอย่างนั้นหรอก ลงมาจากรถก่อน”
หนุ่มรุ่นน้องหว่านล้อม
“ผมชื่อแสนดีครับ คุณชื่ออะไร”
ปุณิกาเพิ่งสังเกตว่ายามยืนตัวเขาเอียงไปข้าง นิ้วที่คีบรองเท้าคีบอยู่ผิดปรกติ
“ผมเป็นโปลิโอขาลีบครับ ถ้าเป็นที่อื่นคงไล่ออกจากไร่แล้ว แต่คุณเต้ยให้ช่วยดูแลบ้านกับทำกับข้าว ให้เงิน ที่กิน ที่นอน เห็นไหมว่าเจ้านายผมใจดี”
รอยยิ้มที่ส่งมาซื่อ ๆ สมกับชื่อแสนดี แต่พฤติกรรมของเจ้านายเขาที่เธอประสบ ทำให้ไม่อาจเชื่อคำบอกเล่าของเจ้าตัวได้
“ตอนนี้คงหงุดหงิดที่หาน้องไม่เจอ แถมต้องอยู่โรงพยาบาลเพราะเรื่องคุณ คงหัวเสียอยู่หรอก เดี๋ยวพอกินอิ่ม ได้หลับสักตื่นก็จะดีขึ้นครับ”
แสนดีเดินนำเธอขึ้นบนบ้าน เขาดูคล่องแคล่วและคุ้นชินตามที่เล่าหน้าที่ เขาพาเธอไปนั่งยังห้องอาหาร
“ฉันชื่อมิ้มนะ”
เธอแนะนำตัว พอแสนดีลับสายตาไป ปุณิการีบโทรหาปุณณภพทันที แต่ยังเป็นสัญญาณฝากข้อความ เธอจึงไลน์บอกให้เขาติดต่อมาด่วน
จากนั้นเช็กจีพีเอสดูว่าไร่แห่งนี้อยู่ที่ไหน ปรากฏว่าอยู่ในจังหวัดหนึ่งไม่ไกลจากกรุงเทพฯ พอได้รู้ที่อยู่ก็หาข่าวเกี่ยวกับเขา เธอรู้ตอนนั้นเองว่าชื่อไร่สรวิชญ์มาจากชื่อเขา มีภาพถ่ายชายหนุ่มในชุดโคบาลในนิตยสารออนไลน์สองสามฉบับ เห็นได้ชัดว่าเจ้าตัวพยายามยิ้มโดยยกริมฝีปากขึ้น แต่กระนั้นยังดูดุอยู่ดี
“ไอ้แสน กูบอกให้เอาแม่นี่ไปไว้เรือนคนงานไง”
สรวิชญ์จงมาจากข้างบนด้วยสภาพสะอาดเอี่ยมอ่อง สระผมหอมกลิ่นแชมพูฟุ้ง เขาสวมเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นแค่เข่า
“โธ่ ! คุณเต้ย คุณมิ้มเพิ่งออกจากโรงพยาบาล เกิดไปเป็นอะไรอยู่ในเรือนคนงานล่ะ ตายขึ้นมาจะติดคุกหัวโตเอานา”
แสนดีออกมาพร้อมมือถือกระบวยตักแกง สวมผ้าคลุมกันเปื้อนลายดอกทานตะวัน
“รู้ดีจริงมึง !”
เขาเดินมาทิ้งก้นลงบนเก้าอี้ตัวข้าง ๆ ปุณิกา
“ก็สมกับชื่อผมแล้วนี่ ทั้งแสนดี ทั้งแสนรู้”
หนุ่มรุ่นน้องต่อปากต่อคำอย่างไม่เกรงกลัว ผิดกับลูกน้องคนอื่น
“อย่ามัวแต่โม้ ข้าวกูอ่ะได้หรือยัง หิวจนแทบกินควายได้ทั้งตัวแล้ว”
ปลายสายตาหรี่มายังเธอ ปุณิกาหน้าตึง นี่นะหรือเจ้านายผู้ใจดีของแสนดี ไม่มีเค้าเลยสักนิด
“คร๊าบ ๆ”
พ่อครัวหายไปครู่ ก็ออกมาโถบรรจุข้าวต้มทรงเครื่อง มีถ้วยแบ่งสองใบ ข้างกันก็เป็นไข่ต้ม กระเทียมเจียว
“ข้าวต้มสูตรพิเศษของแสนดี รับรองกินแล้วอารมณ์ดี คนไหนป่วยก็ฟื้นไข้แน่”
เจ้าตัวบรรยายสรรพคุณ ขณะมือตักข้าวลงชามแบ่ง กลิ่นข้าวหอม ๆ โชยเมื่อเปิดโถ อีกยังกระเทียมเจียวสะเด็ดน้ำมันสีเหลืองทอง
“โคร๊ก...”
สายตาเจ้านายกับลูกน้องมองอายังเธอ มีจุดแดงขึ้นบนพวงแก้มของปุณิกา เธอยกมือจับปอยผมทัดอย่างอาย ๆ
“ฉันจับเธอมาเป็นตัวประกันนะ ไม่ใช่มาเลี้ยงให้เปลืองข้าว”
ปุณิกาไม่รู้เลยว่าภายใต้ใบหน้าดุ ๆ ของคนพูดคือการเย้าแหย่
“โถ่ ! คุณเต้ย ให้คุณมิ้มกินข้าวหน่อยเถอะครับ ตัวเธอผอมแทบจะเท่าผมอยู่แล้ว”
“เจอกันไม่กี่นาที มึงเข้าข้างเขาเหลือเกินนะ”
สรวิญช์ตักข้าวต้มเข้าปาก ชื่นใจ...นี่เป็นอาหารมื้อแรกนับตั้งแต่เมื่อวานที่เขารู้ว่าน้องสาวหนีไป
“ใครดี แสนดีก็ทำดีด้วยครับ”
พ่อครัวเลื่อนชามข้าวต้มมาตรงหน้าเธอ
“มีให้เติมไม่อั้นครับ เพราะคุณเต้ยกินจุ”
แสนดีขยิบตาให้ จากนั้นเดินกลับเข้าครัวไป นี่เป็นมื้อที่แปลกประหลาดในชีวิตปุณิกา เธอนั่งกินข้าวในบ้านของผู้ชายที่ลักพาตัวมา
ทว่าเมื่ออาหารเข้าปาก หญิงสาวก็ลืมความตะขิดตะขวงใจทันที ข้าวต้มมีรสซุปอ่อน ๆ เค็มกำลังพอดี หมูปั้นเป็นก้อนเต็มไปด้วยเนื้อให้เคี้ยว กระเทียมเจียวหอมและกรอบ
เข้าใจแล้วที่แสนดีบอกว่าให้สรวิชญ์กินอิ่มแล้วเขาจะอารมณ์ดี เพราะคิ้วชายหนุ่มคลายลงจากการขมวด ปอกไข่ต้มกินเป็นเครื่องเคียงและเติมข้าวต้มเป็นชามที่สอง
หากไม่อยู่ในอารมณ์โกรธ สรวิชญ์คือคนสุขุมคนหนึ่ง เขาแสดงออกโดยการจัดการจดทะเบียนสมรสกับปุณิกาเสียในบ่ายนั้น“ฉันอยากให้ลูกเกิดภายใต้ทะเบียนสมรส”เธอมองกระดาษแผ่นที่ชาตินี้ตัวเองไม่คิดว่าจะได้มันมาอย่างงง ๆ จู่ ๆ เธอก็กลายเป็นนาง พ่วงด้วยนามสกุลอะไรสักอย่างที่ยาว ๆ“คำนำหน้าเอาเป็นนางเลยนะ จะได้ไม่ต้องไปทำไข่เจียวกะเพราปลากระป๋องให้ใครกิน”คนหน้าดุบอกต่อหน้าเจ้าหน้าที่จดทะเบียน“นามสกุลเขาก็ใช้ของผม”สรวิชญ์ทำตัวเป็นเจ้าชีวิตเธอทุกเรื่อง แต่เอ...ไข่เจียวกะเพราปลากระป๋อง“ฉันทำเมนูนี้อร่อยนะ พ่อฉันก็ชอบกิน”“ต่อไปทำฉันกินคนเดียว”เธอทำท่านึก“ต้องให้แสนดีเป็นหนูทดลองชิมก่อน ไม่ได้ทำตั้งนานแล้ว กลัวฝีมือตก”“ให้ไอ้แสนเป็นหนูทดลองไม่ได้”ปุณิกาคอย่น เขาทำเหมือนโกรธเสียเต็มประดา“ฉันจะเป็นคนกินเอง”หญิงสาวโคลงศีรษะ เอาล่ะ...อยากเป็นหนูทดลองก็จะยอมให้เป็น หลังออกจากสำนักงานเขตเขาก็สั่งคนขับรถมุ่งกลับไร่ ทิ้งกรุงเทพฯและปุณณภพไว้เบื้องหลัง น้องชายบอกแล้วว่าจะมาเยี่ยมในปลายเดือนนี้ ระหว่างทางสรวิชญ์ก็ยกมือเธอขึ้น สวมแหวนฝังทับทิมสีแดงที่นิ้วนางของเธอ“ไปแอบซื้อตอนไหนคะ”อัญมณีเล่นไฟทอประกายสวย
มีผู้คนในซอยกลับมาดูสภาพความเสียหายอยู่พอสมควร แต่ก็ได้เพียงอยู่นอกเส้นสีเหลืองกั้น ที่ทั้งอาสาทั้งตำรวจ คอยบอกไม่ให้ล้ำเส้นกั้นเข้ามาปุณิกากับปุณณภพเห็นสภาพซอยที่เคยคึกคัก บ้านที่เคยสวยงาม จนบัดนี้เหลือแต่ตอตำ กลิ่นไหม้ลอยคละคลุ้งเสียดแทงจมูกไปถึงในหัวใจ ผู้ประสบภัยบางคนร้องไห้ตัวโยน ร้องบอกว่าไม่เหลืออะไรอีกแล้ว...หมดตัวแล้ว ปุณิกาจำได้ว่าคนนี้เป็นเพื่อนบ้านกลางซอยสรวิชญ์มาจับแขน ดึงเธอกลับจากภวังค์ เป็นสัญญาณให้รีบไป เพราะใช้เวลาอยู่ที่นี่นานเกินเสียแล้วห้างสรรพสินค้าคือสถานที่ต่อไปซึ่งเขาพามา สรวิชญ์สั่งให้คนขับเลี้ยวรถไปยังห้างแรกที่เห็น เขาเอารถเข็นให้ ปล่อยปุณิกาเลือกซื้อเสื้อผ้าตามใจ โดยมีตัวเองเดินตามอยู่ไม่ห่าง แม้กระทั่งเข้าแผนกชุดชั้นใน“ไปที่อื่นก่อนได้ไหม ฉันขอซื้อของส่วนตัว”ปุณิกาหยุดรถอย่างเหลืออด หน้าหุ่นโชว์ใส่บราเซียร์ลูกไม้สีดำยั่วยวน“ฉันเป็นเจ้าของเงินนะ ขอดูด้วยสิว่าคุ้มหรือเปล่า”สรวิชญ์ชอบที่เธอกลับมาปีนเกลียวกับเขาได้เหมือนเดิม นี่แหละปุณิกาของเขา“ฉันไม่ต้องการความเห็นคุณ เพราะคนใส่คือฉัน”“แต่คนถอดก็เป็นฉันอยู่ดี”ชายหนุ่มแกล้งมองเธอตลอดร่าง แบบที่ปุณิ
“ก็เหมือนที่นายทำกับสตางค์นั่นแหละ เอามิ้มเป็นเมีย”สรวิชญ์ตอบแบบหน้าตาเฉย อีกฝ่ายง้างหมัดเตรียมชกแล้ว หากไม่ได้ยินเสียงหนึ่งเสียก่อน“แม้วหยุดนะ!”ปุณิกาห้ามเขาด้วยเสียงจริงจัง“คุณก็ได้ด้วยคุณเต้ย หยุดยั่วแม้วเสียที”รถเข็นเธอชะงัก พนักงานเลิ่กลั่กรอดูเหตุการณ์“แต่มันทำพี่ท้องนะ”“พี่อาจมีปัญหาในช่องท้อง ไม่ได้มีเด็กก็ได้ อย่าตื่นตูมไป คุณคะ เข็นต่อไปเลย”ปุณิกาหลบสายตา หันบอกพนักงาน การเดินทางไปยังแผนกสูตินรีเวชจึงเริ่มต่อไป รถเข็นเธอไปจอดยังแถวเก้าอี้ที่นั่งรอหมอเรียกหญิงสาวประสานมือกันแน่นจนเห็นข้อขาว เธอคงไม่โชคร้าย ขนาดเจอแจ็คพอตติดกันซ้อน ๆ แบบนี้หรอก ตั้งแต่โดนลักพาตัว กลายเป็นว่าที่คุณป้า บ้านโดนไฟไหม้ และเหตุการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่นี่ ...เธออาจตั้งท้องเสียงพยาบาลเรียกชื่อ เป็นดังเสียงขาลให้ก้าวเข้าสู่ลานประหาร สรวิชญ์เข้ามาแย่งเข็นเธอไปยังห้องพบแพทย์“คุณปุณิกานะครับ”นายแพทย์สูงวัย ที่สวมแว่นสายตาเลื่อนมากลางดั้งจมูก มองประวัติเธอในจอคอมพิวเตอร์ แล้วยิ้มให้“ค่ะ”เธอรับคำด้วยเสียงอันแห้งผาก สายตาแลไปเห็นเก้าอี้ที่มีขาหยั่ง และจอมอนิเตอร์ข้างกัน“เรามาขึ้นขาหยั่งดูน้องกัน
ปุณิกามายืนอยู่ในสถานที่เดิมอีกแล้ว ณ ที่ท้องฟ้าสีฟ้าใส เมฆขาวเป็นปุยลอยละล่อง มีลมเย็นพัดประพรมผิว ใต้เท้าเป็นพื้นหญ้าเขียวสดนุ่มดังกำมะหยี่ไกลออกไปที่ใต้ต้นไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขาแทบระดิน พ่อกับแม่ยืนเคียงกันอยู่ตรงนั้น เธอยิ้มแล้วเดินไปหา สงสัยนี่คงจะเป็นการมารับเธอไปอยู่ด้วยจริง ๆ บางทีปุณิกาอาจตายเสียแล้วในกองเพลิงอีกแค่เอื้อมก็จะถึงร่างบุคคลอันเป็นที่รัก แต่มีมือแข็ง ๆ สีทองแดงมายึดแขนเธอไว้เสียก่อน“ปล่อยนะ ฉันจะไปหาพ่อกับแม่”ปุณิกาขมวดคิ้วเอ็ดเขา ดูเอาเถิด แม้เป็นการขึ้นสวรรค์อันผาสุกสรวิชญ์ยังจะตามมาราวีเธอไม่เลิก“...อย่าไป”เสียงห้าวที่เปล่งออกมานั้นคือคำสั่งชัด ๆ ดวงตาสีรัตติกาลเข้มดุจ้องเขม็งมายังเธอ“ปล่อยสิ...คุณเต้ย”เขาได้ทุกอย่างไปจากเธอแล้ว ได้เอาคืนปุณณภพสมใจ แล้วเหตุใดยังมาเร้าหรือ ฉุดรั้งเธอไม่ให้ไป“พ่อคะแม่คะ”ปุณิกายื่นมือออกไป หวังให้ท่านช่วย มารดาส่ายหน้าแล้วส่งยิ้ม“ยังไม่ถึงเวลาของมิ้มหรอกจ้ะ...อยู่กับเขาก่อนนะ”“มิ้มไม่เอาเขานะคะ พ่อแม่...”เธอร้องสุดเสียง ร่างสรวิชญ์หมุนวนกลายเป็นจุดดำฉุดร่างเธอให้ม้วนเป็นเกลียว ดิ่งลึกสู่ห้วงมืดสนิทตาโตลืมตื่นขึ้นในท
“ห่าเอ๊ย!”สรวิชญ์สบถแทบจะทุกสิบนาทีที่อยู่บนรถ ชายหนุ่มวิ่งแซงซ้ายปาดขวาด้วยใจร้อนรน มือถือวางไว้ตรงคอนโซลรถเปิดไลฟ์สดข่าวไฟไหม้ในซอยบ้านปุณิกาเกือบสองชั่วโมงแล้วผู้สื่อข่าวรายงานว่าเพลิงยังไม่สงบ มีการสัมภาษณ์ผู้คนในซอย สรวิชญ์ภาวนาให้ตนได้ยินเสียงปุณิกาด้วยเถิดแต่คำอธิษฐานของคนไม่ศรัทธาในคุณพระคุณเจ้าอย่างเขาไม่ได้ผล เพราะคนที่นักข่าวไปสัมภาษณ์กี่คนต่อกี่คนก็ไม่ใช่เธอชายหนุ่มมองป้ายสีเขียวที่ตั้งโดดเด่น บอกว่ากำลังจะเข้าเขตกรุงเทพฯ แม้เป็นช่วงกลางคืนแต่รถในเมืองหลวงยังคลาคล่ำเขาต้องอดใจไม่กดแตรโวยวายใส่รถคันหน้า ตอนนั้นจำได้คร่าว ๆ ว่าบ้านปุณิกาต้องขึ้นทางด่วนไปเส้นไหนละวะ ปรกติเขาจำเส้นทางได้แม่น แต่ตอนนั้นไม่ได้ขับรถเอง และความโกรธก็บังตา ส่วนไอ้คนขับรถโน่น...เคล้าสุรานารีอยู่ซ่องเจ๊นวล ตัวเลือกเดียวคือเขาพอจะพึ่งได้ก็คือ“ครับ”คนรับสายรับแบบไม่มีงัวเงียสักนิดเมื่อเห็นว่าเป็นเบอร์เจ้านาย“มึงจำทางไปบ้านไอ้แม้วได้ไหม”วสันต์เป็นคนนั่งหน้าข้างคนขับในวันนั้น เขาจึงเป็นอีกหนึ่งคนที่น่าจะจำเส้นทางได้“ครับ...แขวงXXX เขตXXX ถนนXXX ซอยXXX บ้านเลขที่XXX หลังคาสีฟ้า”ลูกน้องความจำดี
ค่ำคืนนี้ปุณิกาจาม น้ำมูกไหล ศีรษะปวดจี๊ด ๆ จึงกินยาแก้ปวดไปสองเม็ด เธอโทษว่าอาจด้วยเพราะอากาศเปลี่ยน เดี๋ยวร้อน เดี๋ยวหนาวอย่างเช่นเมื่อตอนกลางวัน แดดเปรี้ยงอยู่ดี ๆ ไม่ถึงยี่สิบนาทีฝนก็ตก ทำให้เธอและเพื่อนร่วมออฟฟิศที่เพิ่งกินข้าวกลางวันมา ต้องวิ่งฝ่าฝนโปรยเข้าออฟฟิศเพราะกลัวเข้างานช่วงบ่ายช้า นี่อาจเป็นเหตุเสริมความผิดปรกติของร่างกายในคืนนี้ปุณิกาเข้านอนตามปรกติ แล้วก็ต้องตื่นเพราะเสียงเอะอะรอบบ้าน เธอเปิดหน้าต่างออกดูเห็นคนวิ่งกรูมากลางซอย“ไฟไหม้ ๆ”เสียงตะโกนต่อเป็นทอด ๆ เรียกความสนใจให้เธอชะเง้อคอดูจากหน้าต่าง จมูกได้กลิ่นไหม้ฉุนรุนแรง ตาเห็นเปลวเพลิงสีแดงอมส้มเริงระบำตามกระแสลมโหมหญิงสาวรีบปิดหน้าต่างลงออกมาจากห้องทันที เมื่อถึงหน้าประตูบ้านก็พบว่ารถติดยาว ทั้งรถยนต์ ทั้งมอเตอร์ไซด์ ต่างคนต่างรีบพาพาหนะอันมีค่าหนีไปให้พ้นจากพระเพลิงที่กำลังโหม“โธ่เว้ย! ติดกันแน่นคับซอยอย่างนี้ รถดับเพลิงจะเข้าได้ยังไง”ผู้เฒ่าชายที่บ้านใกล้กับเธอบ่น“เห็นแก่ตัวกันจริง ๆ เดี๋ยวไฟก็ยิ่งไหม้ลามหมด”“บ่นอยู่นั่นแหละตาแก่ รีบหนีก่อนเร็ว ออกไปให้พ้นซอย รักษาชีวิตไว้ดีกว่า”เฒ่าหญิงบ้านเดียวกันรี