แววตาคมกริบที่พุ่งตรงมาทำให้ซุนไฉถึงกับมือเท้าอ่อน เจ้าตัวหันไปมองทางผู้อาวุโสจินเพื่อขอความช่วยเหลือ ก่อนจะพบว่าสีหน้าอีกฝ่ายก็ไม่ได้ดีกว่าตนเองเท่าใดนัก“จินไท่ ซุนไฉ พวกเจ้ารู้ความผิดของตนเองหรือไม่” น้ำเสียงของฝูซีเนิบช้าชัดเจนไม่ต่างจากแววตากระจ่างใสของเขา ทว่าซุนไฉที่ได้ยินกลับเกิดความอึดอัดพู
ฟังคำพูดกลับดำเป็นขาวของซุนไฉ เยว่อวิ๋นไม่แม้แต่จะขมวดคิ้ว นางเดาะลิ้นหนหนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะลงมือทุบตีคนไม่รอต่อไปอีกแล้ว ทว่ายามสายตาเหลือบไปเห็นชายชราผู้ใบหน้าพิมพ์เดียวกับคนสำคัญของตน หญิงสาวก็เม้มปากแน่น คิดในใจว่ารอดูท่าทีของอีกฝ่ายไปก่อนดีกว่า“อืม ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง” เจ้าสำ
ประโยคที่เอ่ยเนิบช้านั้นมีโทนเสียงคุ้นหูเป็นอย่างมาก เยว่อวิ๋นฟังแล้วใจเต้นถี่แรง ใบหน้างามหันขวับไปยังทิศทางของเสียงทันที ก่อนจะหลุดคำพูดออกมาด้วยสีหน้าตกตะลึง“ตา... อาจารย์!”บุคคลที่อยู่กลางกลุ่มคนที่กำลังเดินตรงเข้ามา เป็นชายชราสูงวัยรูปร่างผอมบางที่มีใบหน้าคุ้นเคยเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่เซี่ยฉงอวิ
เพียงแต่พวกเขาไม่รู้ ความจริงในใจเยว่อวิ๋นพ่อค้านั้นน่ากลัวกว่าที่คิด นางเป็นแม่ทัพกรำศึกมาหลายสนามจึงเข้าใจความหมายของประโยคที่ว่าหนึ่งอีแปะปราบยอดบุรุษดีกว่าผู้ใด ในสนามรบอันแร้นแค้น สิ่งที่ขับเคี่ยวกันรองจากมันสมองยุทธการความสามารถของแม่ทัพ คือกำลังพล จากนั้นก็เป็นเสบียงกรังและอาวุธและสามสิ่งหลั
กับคนที่มีความต้องการแต่ไร้การสนับสนุนเช่นนี้ผู้อาวุโสจินมีหรือจะไม่นำอำนาจในมือของตนมาบีบคั้นเพียงแต่น่าเสียดายที่การกระทำนี้ของผู้อาวุโสจินเป็นการเลือกผิดคน“สามี ข้าว่าพรุ่งนี้พวกเราคงต้องเข้าไปสำนึกศึกษากันเสียหน่อยแล้ว” เยว่อวิ๋นหันไปบอกกับเซี่ยฉงอวิ๋นด้วยน้ำเสียงจริงจัง“จะได้ไปคุยกับอาจารย์
สองสามีภรรยายืนสนทนาหวานชื่นอยู่พักใหญ่ จนกระทั่งความวุ่นวายเสียงเอะอะเริ่มซาลง พวกเขาจึงค่อยพากันไปดูอาการของซุนไฉอย่างไม่รีบร้อน“ไม่ได้เป็นอะไรมาก ก็แค่มีความร้อนสะสมในร่างกายเยอะเกินไปเท่านั้น อีกเดี๋ยวข้าจะเขียนใบสั่งยาให้” จางถิงที่ถูกเยว่อวิ๋นเรียกมาตรวจคนเอ่ยเรียบๆ ทว่ามือที่กดบนจุดเหรินจงนั
ทว่า...“แม่ไก่ขันยามเช้า?” เยว่อวิ๋นทวนคำพลางหัวเราะแผ่วๆ ในอดีตที่นางควบอาชานำกองทหารบุกย่ำไปทั่วทิศทั้งสี่ เจ้างั่งนี่ยังไม่ทันเป็นเกิดเป็นตัวอ่อนด้วยซ้ำ กล้าดีอย่างไรมาชี้หน้าพ่นถ้อยคำวาจากำแหงใส่นาง“ในอดีตมีวีรสตรีมากมาย ในรัชสมัยของอดีตฮ่องเต้โจวคังปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์โจว ก็เคยมีการแต่งตั้ง
ก่นด่ารากเหง้าของตัวเองคำพูดประโยคนี้แม้ตีความได้หลากหลาย แต่ความหมายกลับแปลออกมาได้เพียงอย่างเดียว นั่นคือไร้ศีลธรรมลืมเลือนตัวตนต้นกำเนิด พูดให้เข้าใจได้ง่ายก็คือคนเนรคุณบ้านเกิดอย่างไรเล่ามีประโยคนี้ขวางค้ำอยู่ พวกเขาจะกล้าออกหน้าพูดอะไรได้อีกกัน ควรต้องรู้ไว้อย่างหนึ่งว่าบรรดาชายหนุ่มที่อยู่ตร
“หลานชายเจ้าเป็นอะไรมากหรือไม่ มันเป็นอุบัติเหตุข้าไม่ได้ตั้งใจ ขออภัยเจ้าด้วย” เซี่ยเหล่าซานตั้งสติได้ก็รีบขอโทษขอโพยทันที“อย่ามาแตะข้า” หยูไห่ปัดฝ่ามือที่ยื่นมาตรงหน้า พลางกล่าวน้ำเสียงเย็นชา “คนบ้านนอกก็คือคนบ้านนอก ไร้มารยาทสิ้นดี”ในที่สุดก็หาข้ออ้างให้ดูถูกเหยียดหยามคนได้ ซุนไฉกับคนอื่นๆ ราวก