LOGINชาวบ้านกลุ่มสุดท้ายที่เหลือรอดมีเพียง 70 ชีวิต จาก 200 ชีวิต ทุกคนหันกลับไปมองหมู่บ้านฉือเถียนเป็นครั้งสุดท้าย ภาพบ้านเรือนที่พังทลาย ไร่นาที่จมอยู่ใต้น้ำ และร่างของผู้เสียชีวิตที่ลอยอยู่ห่าง ๆ บาดลึกเข้าไปในความทรงจำของพวกเขา ความรู้สึกเสียใจ ความหวาดกลัว และความรู้สึกผิดผสมปนเปกันอยู่บนใบหน้าของพวกเขา แต่ไม่มีใครพูดอะไรอีก นอกจากกัดฟันและเดินตามหัวหน้าหมู่บ้านไปสี่วันเต็มกับการเดินเท้าผ่านโคลนตมและสายฝน ชาวบ้านจากเมืองลั่วสุ่ยเดินอพยพผ่านลำธาร และทุ่งร้างที่น้ำเอ่อท่วม พวกเขาแบกหาบของกินของใช้ คนแก่พิงบ่าคนหนุ่ม เด็กเล็กถูกอุ้มแนบอก เสียงร้องไห้ปะปนกับเสียงฝีเท้าที่แฉะเปียก บางคนสะอื้น บางคนเงียบงันคล้ายวิญญาณล่องลอยจนกระทั่งแดดยามบ่ายของวันที่สี่ของการเดินทาง เจือแสงสีทองผ่านหมอกหม่นเบื้องหน้า ป้ายไม้เล็ก ๆ เขียนว่า ตำบลเหลียง ปรากฏขึ้นในสายตาทุกคน นั่นเป็นดั่งความหวังของชีวิตที่ระหกระเหินมา"ถึงแล้ว...ตำบลเหลียง!" เสียงหนึ่งตะโกนอย่างดีใจแต่เมื่อสายตาทุกคู่ทอดมองไป ก็พบว่าเพิงไม้เรียงรายข้างทาง มีควันไฟบาง ๆ ลอยออกจากหม้อใหญ่สิบกว่าหม้อ เจ้าหน้าที่หลายสิบนายกำลังจัดแถว แจกอาหา
หมู่บ้านฉือเถียน เมืองลั่วสุ่ย ในหมู่บ้านตอนนี้มีแต่ซากปรักหักพังที่โผล่พ้นน้ำ พายุฝนห่าใหญ่ได้กระหน่ำติดต่อกันเป็นเวลาถึง 10 วัน 10 คืน โดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุดหย่อน ท้องฟ้าถูกปกคลุมด้วยเมฆหมอกสีดำทะมึนจนแทบไม่เห็นแสงอาทิตย์ เสียงฟ้าร้องคำรามดังครืน ๆ ราวกับมังกรพิโรธอยู่เหนือน่านฟ้า เสียงน้ำป่าไหลหลากดัง ซ่า ซ่า ไม่ขาดสายไร่นาที่เคยเขียวขจีตอนนี้กลายเป็นบึงน้ำขนาดใหญ่ น้ำโคลนสีขุ่นไหลทะลักเข้าท่วมบ้านเรือนที่สร้างจากดินและไม้ผุพัง บ้านเรือนหลายหลังทนทานต่อแรงน้ำไม่ไหวจึงพังทลายลงมาเป็นกองดิน ตามไหล่เขาก็เกิดดินภูเขาถล่มลงมาเป็นแนวยาว ซัดเอาบ้านเรือนและผู้คนลงไปในกระแสน้ำอันเชี่ยวกราก เรือนสกุลหานที่อยู่ท้ายหมู่บ้านก็เป็นหนึ่งในนั้นความเงียบงันปนด้วยเสียงสะอื้นไห้ปกคลุมทั่วหมู่บ้าน ผู้คนล้มตายจำนวนมาก บางส่วนถูกดินถล่มทับ บางส่วนถูกกระแสน้ำพัดพาไปโดยไม่มีใครสามารถช่วยเหลือได้ทัน สิ่งที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าความตายคือความอดอยากและโรคภัย ชาวบ้านขาดแคลนเสบียงอาหารอย่างหนัก อาหารแห้งที่เก็บไว้ถูกความชื้นทำลายจนหมดสิ้น น้ำดื่มสะอาดแทบไม่มีให้เห็น ชาวบ้านจำนวนมากเริ่มเจ็บไข้ได้ป่วย บาง
บนโต๊ะไม้กลางห้อง โถกระเบื้องสีขาวเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ แสงแดดยามเช้าส่องกระทบโถกระเบื้องจนดูสว่างวาว ซือหยาเริ่มลงมือบรรจุยาอย่างเงียบเชียบ เสียงก้อนเม็ดยาสีเข้มกระทบกันในโถกระเบื้องดัง กรุ๊งกริ๊งเบา ๆ นางเริ่มลงมือบรรจุยา ยาแต่ละชนิดถูกแบ่งใส่โถกระเบื้องชนิดละ 2,000 เม็ด ยาแต่ละเม็ดเตรียมไว้เพื่อรักษาโรคระบาดร้ายแรงที่กำลังจะมาถึงข้างโถแต่ละใบมีกระดาษติดสรรพคุณของยาเอาไว้โถที่หนึ่ง เป็นยาสำหรับโรคท้องร่วง บิด อหิวาตกโรค (霍乱、痢疾) ยาในโถนี้มีสรรพคุณในการหยุดอาการ ท้องเป็นไฟ หรืออาการอาเจียนไม่หยุด ซือหยาเขียนกำกับไว้ว่า ยานี้ใช้เมื่อผู้ป่วยอาเจียนไม่หยุด หรือถ่ายเป็นน้ำ ให้บดเม็ดยาละลายน้ำสะอาดหนึ่งถ้วย ให้ดื่มทีละน้อยแต่บ่อยครั้ง หากมีอาการหนัก ให้กินยานี้เช้า-เย็นวันละสองเม็ด พร้อมแนบผงเกลือแร่ที่ห่อไว้ในกระดาษให้ไปด้วย นางเขียนกำกับไว้ว่า ละลายน้ำหนึ่งขันต่อหนึ่งซอง ดื่มแทนน้ำทั้งวันโถที่สอง เป็นยาสำหรับไข้หนาวร้อนสลับกัน (瘧疾 / ไข้มาลาเรีย) ยานี้ใช้สำหรับรักษาโรคที่เกิดจากยุงระบาดหลังน้ำท่วม ซือหยาเขียนกำกับไว้ว่า ยานี้ใช้สำหรับผู้ที่มีไข้สูง หนาวสั่นแล้วร้อนสลับ ให้กินครั้งล
หนึ่งเดือนต่อมา ในช่วงต้นเดือนหกตามปฏิทินจันทรคติเรือนทั้งสามหลังของซือหยาคืบหน้าไปไกลเกินความคาดหมายของคนในหมู่บ้าน นายช่างฟงเร่งงานหามรุ่งหามค่ำราวกับรู้ว่าเวลาแห่งความสงบกำลังจะหมดลง เรือนทั้งสามหลังได้มุงหลังคาเสร็จสมบูรณ์ ผนังและพื้นไม้ก็ขึ้นครบทั้งหมด ไม้เนื้อดีถูกลงน้ำมันถงจนพื้นผิวเงาวับช่วยให้ไม้เคลือบไม้ให้ทนแดดฝน ป้องกันความชื้น ปลวก และเชื้อรา ตอนนี้เหลือเพียงการเก็บรายละเอียดตกแต่งภายใน ใส่ประตูหน้าต่าง ทำกำแพงกับโรงครัวขนาดใหญ่ที่ต้องใช้เวลาในการสร้างเพิ่มสถานการณ์ในเมืองเรียกได้ว่าใกล้จะเข้าขั้นวิกฤติ ท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้มทึมเทา เมฆฝนสีดำหนาทึบก่อตัวเป็นกำแพงขนาดใหญ่ทางทิศใต้ บ่งบอกถึงสายฝนกำลังจะมาเยือน แต่สายฝนที่ชาวนาเฝ้ารอคอยนั้น อาจนำมาซึ่งหายนะในเมืองใหญ่ได้เช่นกัน แน่นอนว่าความอับชื้นที่มาพร้อมกับฤดูฝน เป็นบ่อเกิดของโรคภัยไข้เจ็บเสมอเช้าตรู่ของวัน ลานเรือนด้านหน้ามีไอหมอกจาง ๆ ปกคลุม อากาศเย็นชื้น ฮัวเจิ้งหรงในชุดขุนนางกำลังยืนอยู่ข้างรถม้าที่จอดรออย่างสง่างาม พลางปรับเครื่องแต่งกายให้เรียบร้อยเพื่อเตรียมเข้าเมืองไปปฏิบัติหน้าที่"พี่ใหญ่ ข้าได้ยินข่าวว่าสถาน
"ได้สิ! วันนี้ทำมาเยอะ!" นางตักเพิ่มให้ลูกสาวอีกชาม ตามมาด้วยลูกชายกับหลาน ๆ ที่ถือชามมาขอเติมเพิ่มเมื่อทุกคนอิ่มหนำสำราญแล้ว พวกเขาก็กลับไปทำงานด้วยเรี่ยวแรงที่เพิ่มขึ้น หยวนอี จางเยียน และชิงชิงเก็บถังไม้กับถ้วยชามไปล้างที่ลำธาร ก่อนจะกลับเรือนอย่างรวดเร็วส่วนซือหยาที่แยกตัวออกจากครัวก่อนหน้านี้ นางยกหม้อดินเผาที่มีกวยจั๊บไปที่เรือนสกุลฮัว ผู้อาวุโสฮัวกับฮัวไท่ไท่กำลังนั่งจิบชาเอนกายอยู่บนม้านั่งในลานเรือน ดวงตาของทั้งสองผู้เฒ่าเต็มไปด้วยความอ่อนล้าตามวัย แต่ก็ยังคงความสง่างาม ตามแบบฉบับของตระกูลที่สืบทอดชื่อเสียงมาหลายชั่วอายุคน"ท่านตา ท่านยาย ข้านำกวยจั๊บร้อน ๆ มาให้ชิมเจ้าค่ะ" ซือหยาเดินเข้าไปทำความเคารพ แล้ววางหม้อดินลงบนโต๊ะไม้ด้วยความระมัดระวัง"โอ้ ซือหยาเองหรือ ยายได้ยินเสียงคึกคักจากเรือนเจ้าตั้งแต่เช้าแล้ว ในที่สุดก็ทำเสร็จสักทีสินะ"ผู้อาวุโสฮัวพยักหน้าเล็กน้อย "กวยจั๊บหรือ? ช่างเป็นชื่ออาหารที่แปลกนัก ไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อนเลย" "ท่านตาท่านยายรอสักครู่นะเจ้าคะ เดี๋ยวข้าจะรีบเอาไปตักใส่ชามมาให้""ไปเถอะ ป้าสะใภ้ของเจ้าก็อยู่ในครัว" ฮัวไท่ไท่พูดกับหลานสาวแล้วชี้ไ
ท้องฟ้ากว้างใหญ่ปลอดโปร่งจนเห็นเส้นขอบฟ้าที่ไกลโพ้น เสียงวัวส่งเสียงร้อง มอ มอ เบา ๆ สลับกับเสียงไถเหล็กที่พลิกผืนดิน บริเวณแปลงนาของสกุลฮัวเต็มไปด้วยไอดินที่ลอยขึ้นมาจาง ๆ บ่งบอกถึงการทำงานอย่างหนักพ่อเฒ่าหาน พ่อเฒ่าเสิ่น แม่เฒ่าเสิ่น แม่เฒ่าหาน จางวั่งซู หยางเฟิง ซือเหอ อาเหล่ย อาเซียวและเจ้าแฝด ตอนนี้ก็เร่งไถนาและทำงาน ที่ดินจำนวน 200 หมู่ ของสกุลฮัวจนเหลือเพียงไม่ถึง 100 หมู่ อีกไม่นานก็เสร็จแล้ว เสื้อผ้าของทุกคนเปรอะเปื้อนดินและเหงื่อ ใบหน้าคล้ำแดดแต่ดวงตาฉายแววถึงความมุ่งมั่นอันแรงกล้า ผืนดินที่ผ่านการไถพรวนถูกจัดเรียงเป็นแถวยาวสวยงาม รอเพียงฝนตกลงมาอีกหน่อยก็ถอนกล้าที่พ่อเฒ่าฮัวหว่านไว้มาปักดำได้แล้วส่วนที่นา 20 หมู่ ที่ซือหยาซื้อไว้ พ่อเฒ่าหานกับพ่อเฒ่าเสิ่นตัดสินใจทำนาหว่านเพราะพวกเขาไม่มีต้นกล้าข้าว ทั้งสองผู้เฒ่ากำลังยืนอยู่กลางผืนนา มือที่เหี่ยวย่นแต่แข็งแรงของพวกท่านกำลังโปรยเมล็ดพันธุ์ข้าวลงบนดินที่เพิ่งไถเสร็จอย่างระมัดระวัง แต่ละเมล็ดที่ถูกหว่านลงไปเต็มไปด้วยความหวังที่จะได้เก็บเกี่ยวรวงข้าวที่สมบูรณ์ทันใดนั้น รถเข็นที่บรรทุกกวยจั๊บก็มาถึงแปลงนา เสียงล้อไม้บดเบียดก





![เฟิ่งหวง [鳳凰]](https://acfs1.goodnovel.com/dist/src/assets/images/book/43949cad-default_cover.png)

