LOGINเสียงจักจั่นร้องแว่วเป็นระยะ แสงตะวันส่องผ่านกอไผ่ข้างศาลาไม้หลังเล็ก จนเกิดเงาไหววูบไหวบนพื้นดิน
ซือหยาเดินเข้ามาใกล้ศาลานั้นทีละก้าว มือทั้งสองหอบตะกร้าอาหารหนักอึ้งไว้แน่น ร่างบางในชุดผ้าฝ้ายธรรมดามีเหงื่อเกาะพราวบนหน้าผาก แต่ริมฝีปากยังคงยกยิ้มละมุน
สายตาของทุกคนในตระกูลเสิ่นหันมาจับจ้องด้วยความแปลกใจ เพราะตั้งแต่เข้ามาเป็นสะใภ้ นางไม่เคยแม้แต่จะย่างกายมายังแปลงนาเลยสักครั้ง
แม่เฒ่าเสิ่นกำลังนั่งปอกฝักข้าวโพดกับหลาน ๆ พอเห็นสะใภ้เล็กหิ้วของมาสองมือก็รีบลุกขึ้นจากเก้าอี้ไม้ เดินตรงมาหาสะใภ้เล็กแล้วช่วยนางถือของ
"ซือหยา ถืออะไรมาเยอะแยะเลยลูก วางก่อน ๆ เดี๋ยวแม่ช่วยเอง" น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเอ็นดูปนประหลาดใจ
ซือหยาค้อมศีรษะ วางตะกร้าลงอย่างนอบน้อม
"ข้าทำกับข้าวมาให้ทุกคนกินตอนร้อน ๆ เจ้าค่ะท่านแม่ วันนี้มีไข่ตุ๋นมาให้เด็ก ๆ ด้วยเจ้าค่ะ"
แม่เฒ่าเสิ่นเอื้อมมือจับบ่าของนางเบา ๆ
"เห็นเจ้าใส่ใจเด็ก ๆ แบบนี้แม่ก็ดีใจ มาเถอะ แม่จะช่วยเจ้าจัดโต๊ะเอง"
อี้หมิง ลูกชายคนโตที่นั่งเก็บข้าวโพดอยู่ข้างเจาตี้ ลูกของสะใภ้รอง แววตาคมกริบยกขึ้นมองมารดาด้วยความไม่เชื่อใจ ใบหน้าเรียบนิ่งราวกับผู้ใหญ่ ทั้งที่ยังเป็นเพียงเด็กชายวัยเพียงสามขวบ
ต่างจากอันหมิงน้องชายตัวน้อย ที่กำลังชะเง้อมองไข่ตุ๋นในตะกร้าด้วยดวงตากลมใส จนเผลอกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากจนมุมปากมีน้ำใส ๆ ไหลริน
ไม่นาน เสิ่นหยางเฟิงกับเสิ่นหยวนอีผู้เป็นสะใภ้ใหญ่ เสิ่นเซียวลูกชายวัย 15 ปี และเสิ่นหยางรุ่ยกับเสิ่นเหรินซินผู้เป็นสะใภ้รอง รวมถึงเสิ่นหยางเฉิง ต่างก็เดินขึ้นมาจากแปลงนา ถึงเหงื่อไหลอาบแก้ม แต่แววตาก็ยังหันมามองตะกร้าอาหารอย่างสนใจ ทุกคนไปล้างมือที่คลองส่งน้ำข้างศาลา ก่อนจะทยอยมาล้อมวงเตรียมกินข้าว
ขณะนั้น เสิ่นเหรินซินยืนกอดอก มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเยาะ เอ่ยเสียงประชดประชันดังขึ้นทันที
"กิน ๆ ๆ รู้จักแต่กิน งานการไม่รู้จักทำ อย่างเดียวที่ทำได้ดีก็คือมีลูกชายสองคน ทำอาหารฟุ่มเฟือยขนาดนี้คงไม่ใช่หาเรื่องจะขอเงินไปซื้ออาหารเพิ่มหรอกนะ รสมือก็ไม่ได้เรื่อง ทำไปก็เสียของเปล่า ๆ"
เสียงนั้นทำให้บรรยากาศอบอ้าวเงียบงัน ซือหยาชะงักไปเล็กน้อย แต่เพียงครู่เดียวก็ตั้งสติได้ นางหันไปสบตากับเหรินซิน นัยน์ตาเรียบสงบ แต่ลึกซึ้งอย่างคนที่ผ่านผู้คนมากเล่ห์มาในระดับหนึ่ง
"วันนี้ข้าตั้งใจทำกับข้าวมาให้ทุกคน ส่วนใครที่ไม่อยากกินก็ไม่ต้องกินก็ได้เจ้าค่ะ ข้าไม่บังคับ ที่ผ่านมาข้าเอาเปรียบทุกคน ไม่เคยช่วยงานในแปลงนา จากนี้ไปข้าจะรับผิดชอบงานในเรือนทั้งหมด ทำกับข้าว ซักผ้า หาบน้ำ ให้เป็นหน้าที่ของข้าเอง"
ถ้อยคำหนักแน่นของนาง ทำให้ทุกคนในที่นั้นอึ้งเงียบไปชั่วครู่ การที่ซือหยาจะอาสาทำงานมากมายขนาดนั้นไม่ใช่เรื่องเล็ก
"อั๊ยหยา! จะทำแบบนั้นได้ยังไงสะใภ้สาม" แม่เฒ่าเสิ่นเอ่ยเสียงอ่อน มือเหี่ยวย่นลูบไหล่นางเบา ๆ แฝงความเป็นห่วง
เสิ่นหยวนอีสะใภ้ใหญ่ผู้มีน้ำใจก็รีบเอ่ยเสริม
"นั่นสิน้องสะใภ้ งานมากมายขนาดนั้นจะทำคนเดียวได้อย่างไร ทำทั้งวันก็คงไม่เสร็จ เอาเป็นว่าเราช่วยกันทำเถอะ"
น้ำเสียงนางอ่อนโยนจนคลายบรรยากาศตึงเครียด
"เหอะ! ทำเป็นพูดดี ข้าว่าพี่สะใภ้ใหญ่ต้องดูนางให้ดีเถอะ ถ้านางทำอาหารฟุ่มเฟือยแบบนี้ เงินที่พวกเรามอบเข้ากองกลางครอบครัวละ 100 อีแปะคงไม่พอ ไม่แน่นางอาจแอบเอาไปให้มู่ไต้คนนั้น แล้วมาขอเงินเพิ่มก็ได้" เหรินซินหัวเราะหยัน
หยางเฉิงกับลูก ๆ ที่นั่งฟังอยู่ แม้ไม่ได้พูด แต่แววตาก็คล้ายเห็นด้วยกับคำพูดนั้น
"ข้ายอมรับว่าที่ผ่านมาข้าทำตัวไม่ดี ข้าถึงได้ขอโอกาสเริ่มต้นใหม่ หากทุกคนไม่ลองให้โอกาสข้าดูสักครั้ง จะรู้ได้อย่างไรว่าผลจะเป็นเช่นไร หากนี้ข้าทำได้ไม่ดี ข้าจะยอมลงชื่อในหนังสือหย่าที่ท่านพี่เขียนขึ้น แล้วออกจากบ้านนี้ไป"
ซือหยาสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนเอ่ยชัดถ้อยชัดคำ เสียงของนางหนักแน่นจนแม้แต่สายลมก็เหมือนเงียบฟัง พ่อเฒ่าเสิ่นรีบยกมือขึ้นเป็นสัญญาณ
"เอาเถอะ ๆ พ่อกับแม่ให้โอกาสเจ้านะสะใภ้สาม ส่วนสะใภ้รอง อาหารมื้อนี้เจ้าก็ไม่ต้องกินหรอกนะ ดูท่าเจ้าคงมีพลังงานเหลือล้นจนพูดไม่หยุดปาก"
ถ้อยคำนั้นทำให้ผู้คนรอบศาลาหลุดหัวเราะ เหรินซินหน้าขึ้นสี กัดฟันแน่น แต่ไม่กล้าเอ่ยอันใดอีก
ทันทีที่รถม้าจอดที่หน้าเรือนสกุลหาน ซือเหอก็รีบเปิดประตูรถแล้ววิ่งเข้าเรือนไปอย่างไม่คิดชีวิต ท่าทางที่เคยอิดโรยพลันกลับมามีพละกำลังอีกครั้ง เขามุ่งหน้าตรงไปยังห้องนอนใหญ่ของพี่สาว หวังจะเข้าไปกอดและหอมแก้มหลานสาวให้ชื่นใจแต่ทันทีที่เขาเดินเข้าใกล้ประตูห้อง ก็มีเสียงห้ามปรามดังขึ้นพร้อมกัน พ่อเฒ่าเสิ่น แม่เฒ่าหาน หยางเฉิง และแม้กระทั่งแม่เฒ่าฮัว ต่างก็ชี้มือมาที่เขาด้วยสีหน้าจริงจัง"หยุดเดี๋ยวนี้! ซือเหอ!" แม่เฒ่าหานกล่าวเสียงเข้ม นางทำจมูกฟุดฟิดด้วยความรังเกียจเล็กน้อย"ไปอาบน้ำให้สะอาดเสียก่อนลูก! เจ้าตัวเหม็นไปหมดแล้ว" พ่อเฒ่าหานกล่าวพลางหัวเราะอย่างขบขัน"เดี๋ยวกลิ่นเหงื่อกลิ่นควันเทียนจากตัวเจ้าจะไปติดหลานนะซือเหอ!" หยางเฉิงกล่าวอย่างเป็นห่วงซือเหอได้ยินดังนั้นก็อดที่จะยกมือขึ้นมาดมเสื้อผ้าตนเองไม่ได้ เขาหัวเราะออกมาอย่างขบขัน เพราะตอนนี้เขาตัวเหม็นจริง ๆ ราวกับแบกถังขยะมาด้วยสายตาของเขาถูกทอดมองไปยังหลานสาวตัวอ้วนที่อยู่ในอ้อมกอดของเจ้าแฝด อี้หมิงและอันหมิง ต่างพากันนั่งอยู่บนตั่งไม้ข้างเตียง อี้หมิงกำลังอุ้มประคองทารกน้อยไว้ด้วยความระมัดระวัง ส่วนอันหมิงก็นั่งเฝ้ามองน้องสาว
หลังจากการเขียนเรียงความเชิงนโยบายที่ยาวและหนักหน่วง ซือเหอและจางเหล่ยก็เริ่มเข้าสู่ข้อสอบถัดไป ซึ่งเป็น บทความแบบแปดส่วน และการตอบปัญหาบ้านเมือง ซึ่งต้องใช้ความรู้จากวรรณคดีขงจื๊อและปรัชญาโจทย์ข้อที่สอง "จงถอดความและวิจารณ์คำสอนของเมิ่งจื่อ: 'เมื่อราษฎรได้รับการดูแลอย่างดี ใครเล่าจะคิดก่อกบฏ?'"โจทย์ข้อที่สาม "ในฐานะผู้ดำรงตำแหน่งขุนนางท้องถิ่น ท่านจะมีแนวทางในการควบคุมและจัดการกับปัญหาความขัดแย้งระหว่างกลุ่มพ่อค้าขนาดใหญ่และชาวบ้านในเรื่องการใช้แหล่งน้ำร่วมกันได้อย่างไร?"เมื่อซือเหอและจางเหล่ยอ่านโจทย์ทั้งสองข้อ สีหน้าของทั้งคู่ก็ผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัดซือเหอซึ่งมีความรู้ด้านวรรณคดีที่แม่นยำ และมีประสบการณ์ตรงจากการค้าขายและการจัดสรรที่ดินของสกุลตนเอง ยกยิ้มเล็กน้อยจางเหล่ยก็พยักหน้าอย่างมั่นใจ เพราะข้อสอบเหล่านี้ไม่ได้ยากเกินความสามารถของพวกเขาเลย ความรู้ที่พวกเขาได้เรียนรู้มาจากซือหยาถูกจัดระบบและนำมาใช้ได้อย่างง่ายดายพวกเขาเริ่มเขียนตอบข้อสอบอย่างรวดเร็วและลื่นไหล พู่กันถูกตวัดลงบนกระดาษอย่างหนักแน่นและมั่นคง แต่หลังจากผ่านไปครึ่งวัน ปัญหาที่แท้จริงของการสอบก็เริ่มปรากฏชัด
สนามสอบหลวงซือเหอและจางเหล่ยมาถึง กงหยวน (贡院) ตามเวลาที่กำหนด พวกเขายืนอยู่ท่ามกลางกลุ่มบัณฑิตหลายร้อยคนที่แต่งกายด้วยชุดซิ่วไฉอย่างเรียบร้อย ใบหน้าของบัณฑิตทุกคนเต็มไปด้วยความตึงเครียดและหวาดหวั่น ไม่ใช่เพราะความยากของข้อสอบ แต่เป็นเพราะความทรมานของการอยู่ภายในห้องสอบตลอดสามวันสองคืนก่อนจะได้รับอนุญาตให้ก้าวเข้าสู่ประตูแรกของสนามสอบ เจ้าหน้าที่สนามสอบได้เรียกบัณฑิตเข้าแถวเพื่อทำการตรวจค้นอย่างละเอียดถี่ถ้วนที่เรียกว่า ซวนเซิน (悬身)"ถอดเครื่องแต่งกายออกให้หมด!" เสียงของเจ้าหน้าที่ผู้คุมสอบดังขึ้น ใบหน้าของเขาเคร่งขรึมและไม่แสดงความปรานีซือเหอและจางเหล่ยมองหน้ากันด้วยความรู้สึกอับอายเล็กน้อย ถึงจะมีฉากกั้นก็ไม่ช่วยอะไร พวกเขาจำต้องถอดเสื้อผ้าออกทีละชิ้น เจ้าหน้าที่ใช้มือลูบไล้ไปตามทุกตะเข็บของเสื้อผ้าและชุดชั้นในอย่างไม่ละเว้น พวกเขาแม้กระทั่งตรวจค้นก้นบึ้งของพู่กัน ปลายขนของแปรง ตรวจดูด้านในของกระดานไม้ และเคาะที่ก้นหินฝนหมึก เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีการซุกซ่อนโพยใด ๆ"นำอาหารออกมาวางเรียงบนโต๊ะ!" เจ้าหน้าที่อีกคนสั่ง พวกเขาตรวจดูอาหารแห้งอย่างละเอียด ผงโจ๊กของซือหยาก็ถูกเจ้าหน้าที่ล
ภายในห้อง ซือหยาถูกเปลี่ยนเสื้อผ้าและนอนพักอยู่บนเตียง ใบหน้าของนางยังคงดูอ่อนเพลีย แต่ดวงตาเต็มไปด้วยความอ่อนโยนและปีติ ร่างกายของนางถูกห่อหุ้มด้วยผ้าห่มหนาอย่างดี ข้าง ๆ เตียงมีเปลไม้ไผ่สานวางอยู่ ภายในเปลปูด้วยผ้าเนื้อดีนุ่ม ๆเด็กหญิงตัวน้อยนอนหลับตาพริ้มอยู่ในเปล ผิวของนางขาวสะอาดผุดผ่องราวกับหยก แก้มยุ้ย ๆ สีแดงระเรื่อของนางดูอวบอิ่มราวกับผลท้อแรกแย้ม เป็นทารกที่อ้วนท้วนสมบูรณ์และน่ารักน่าชังหยางเฉิงเดินไปที่เตียงเขาหยิบผ้าสะอาดที่มารดาเตรียมไว้มาเช็ดเหงื่อออกจากหน้าผากของภรรยาอย่างเบามือ"ลำบากเจ้าแล้ว... ซือหยา" น้ำเสียงของหยางเฉิงแหบพร่า แววตาของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดและความซาบซึ้งใจ"ไม่ลำบากเจ้าค่ะท่านพี่ ข้าเต็มใจ... ว่าแต่ท่านพี่ตั้งชื่อให้ลูกรึยังเจ้าคะ" ซือหยาจับมือของสามีไว้ นางตอบด้วยรอยยิ้มที่อ่อนแรงแต่จริงใจหยางเฉิงหันไปมองเด็กหญิงตัวน้อยที่นอนอยู่ในเปล เขาเดินเข้าไปใกล้อีกนิด รอยยิ้มอ่อนโยนปรากฏบนใบหน้าคมคายของเขา"ตั้งแล้ว ให้นางชื่อ เสิ่นเยว่หมิง คล้องกับพี่ชายของนาง... เยว่หมิงลูกพ่อ" เขายื่นมือไปเกลี่ยแก้มยุ้ยของลูกสาวเบา ๆ ด้วยความรักใคร่ "...""พ่อค
เสียงฝีเท้าที่เร่งรีบของหมอตำแยพร้อมกับโฮ่วหมิงที่วิ่งตามมาดังขึ้นจากด้านนอก สัญญาณแห่งการรอคอยกำลังจะสิ้นสุดลง... อีกไม่นานชีวิตน้อย ๆ ก็จะลืมตามาดูโลก...หมอตำแยหม่า สวมชุดผ้าฝ้ายสีน้ำตาลเรียบ ๆ มือถือตะกร้าหวายสานอย่างดี ภายในบรรจุอุปกรณ์ทำคลอดที่จำเป็น ใบหน้าของนางดูเคร่งขรึมและสุขุม ไม่แสดงอาการตกใจแม้แต่น้อยเมื่อเห็นหยางเฉิงยืนรออยู่ด้วยสีหน้าตื่นตระหนกนางรีบเดินตรงไปยังห้องนอนใหญ่โดยมีหยางเฉิงก้าวตามไปติด ๆ ด้วยความเป็นห่วง เมื่อหมอตำแยหม่าเห็นหยางเฉิงทำท่าจะตามเข้าไปในห้องด้วย นางก็หยุดยืนขวางประตูไว้ทันที"หยุดอยู่ตรงนั้นเถิดเจ้าหนุ่ม! นี่เป็นเรื่องของผู้หญิง! ห้องคลอดไม่ใช่ที่ที่บุรุษพึงเข้าได้ เจ้าออกไปรอข้างนอกเถอะ!" เสียงของนางดังและหนักแน่นราวกับคำสั่ง"ขะ... ข้าเป็นห่วงภรรยาข้ารับ" หยางเฉิงกล่าวด้วยน้ำเสียงติดขัด มือใหญ่ของเขาเกือบจะแตะบานประตู แต่ก็ถูกสายตาอันเฉียบขาดของหมอตำแยยับยั้งไว้หมอตำแยหม่าไม่กล่าวอันใดอีก นางทำเพียงปิดประตูไม้บานใหญ่ลงอย่างรวดเร็วและเด็ดขาด เสียงล็อกประตูตามมาเบา ๆ ทำให้หยางเฉิงได้แต่ยืนอยู่หน้าห้องด้วยความกระวนกระวายใจน้ำร้อนถูกส่งเข้าไ
ซือหยานั่งมองเห็นรถม้าทั้งสองคันที่มีน้องชายและพ่อแม่ของนางอยู่ในนั้น รถม้าวิ่งไปตามถนนใหญ่สามารถมองเห็นได้จากชานเรือน สายตาของนางเต็มไปด้วยความหวัง พลางชี้ให้ลูก ๆ ดูร้านน้ำชาและโรงเตี๊ยมที่ตั้งอยู่ในระยะไม่ไกลนัก"ท่านแม่... เท้าท่านแม่บวมอีกแล้ว ลูกจะนวดให้เองนะขอรับ"อี้หมิงเดินเข่าเข้ามาใกล้เท้าของมารดา มือเล็ก ๆ ของเขาเริ่มบีบนวดที่น่องและข้อเท้าที่บวมเล็กน้อยของซือหยาอย่างเบามืออันหมิงค่อย ๆ คลานมาซบที่หน้าท้องนูนใหญ่ของมารดา แก้มอวบ ๆ ของเขาแนบลงไปกับผ้าไหมบางเบาที่ห่อหุ้มชีวิตน้อย ๆ ไว้ เขาจุมพิตลงไปที่ท้องเบา ๆ แล้วเริ่มพูดคุยกับน้องน้อยที่อยู่ในครรภ์"น้องน้อย... พี่อันหมิงอยู่นี่นะ เป็นเด็กดี ไม่ทำให้ท่านแม่เจ็บนะ เมื่อไหร่ที่เจ้าออกมา พี่ชายจะแบ่งของอร่อยให้เจ้ากิน" เขาพูดกับท้องของมารดาเบา ๆ ราวกับกลัวว่าเสียงจะดังเกินไปจนทำให้น้องตกใจ ซือหยายกมือขึ้นลูบศีรษะของลูกชาย ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความอ่อนโยนและความสุขอย่างเปี่ยมล้น หยางเฉิงนั่งลงข้าง ๆ และโอบไหล่ภรรยาไว้ มองภาพลูก ๆ ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรักและความอบอุ่น ภาพสี่คนพ่อแม่ลูกกับอีกหนึ่งชีวิตที่กำลังจะเกิด ช่







