Masukระหว่างนั้นนางก็ไปจับปลาช่อนที่ขังไว้ในอ่างน้ำมาหนึ่งตัว มีดคมถูกใช้ขอดเกล็ดปลาจนหมด จากนั้นนางก็ควักไส้ออก ล้างให้สะอาด แล้วหั่นเป็นท่อนพอดีคำเพื่อนำไปทำ ปลาต้มผักดองแบบเผ็ด
พอข้าวที่หุงไว้สุกแล้ว ซือหยาก็เติมฟืนจนไฟลุกโชน นางตั้งกระทะเหล็กบนเตาจนได้ที่แล้วใส่น้ำมันลงไปเล็กน้อย ตามด้วยกระเทียมที่สับและขิงที่หั่นเป็นแว่น ๆ ลงไปผัดจนหอม ตามด้วยพริกแห้งทุบพอบุบ
จากนั้นใส่ผักดองที่ล้างแล้วลงไปผัดให้เข้ากัน นางมองดูผักดองที่กำลังส่งกลิ่นหอมในกระทะแล้วก็ยิ้มออกมาอย่างมีความสุข น้ำสะอาดที่เตรียมไว้ถูกเติมลงไป
เมื่อน้ำเดือดเนื้อปลาช่อนถูกใส่ลงไปในกระทะอย่างเบามือ รอจนน้ำเดือดอีกครั้ง นางก็ปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาวและน้ำตาล จากนั้นใส่ต้นหอมลงไปในหม้อเพื่อเพิ่มกลิ่นหอม
เคี่ยวต่อไปด้วยไฟอ่อน ๆ จนเนื้อปลาสุกและรสชาติเข้าเนื้อดี นางชิมจนได้รสชาติที่กลมกล่อม มีรสเปรี้ยว เค็ม หวานที่พอดีกันแล้วก็ตักใส่หม้อดินขนาดพอเหมาะ
กลิ่นหอมของอาหารก็ลอยอบอวลไปทั่วทั้งบริเวณ ทำเอาซือหยาถึงกับน้ำลายสอด้วยความหิว นางหันกลับไปดูไข่ตุ๋นที่นึ่งอยู่บนเตา เมื่อเปิดฝาออกมาไข่ตุ๋นก็ดูเนียนนุ่มน่ากินมาก ไม่มีฟองอากาศเลยแม้แต่น้อย
"ชาติก่อนอี้หมิงกับอันหมิงชอบกินไข่ตุ๋นมาก...ไม่รู้ตอนนี้จะชอบกินไหม...แต่ลองดูหน่อยก็แล้วกัน"
ผักกาดขาวถูกหั่นเป็นชิ้นพอดีคำอีกครั้ง กระทะเหล็กที่ถูกทำความสะอาดแล้วถูกยกขึ้นตั้งบนเตาที่ไฟ รอจนร้อนได้ที่แล้วนางก็ใส่น้ำมันเล็กน้อย หมูสามชั้นรมควันที่หั่นไว้ถูกนำลงไปผัดจนเหลืองกรอบ แล้วใส่กระเทียมลงไปผัดจนหอม
จากนั้นใส่ผักกาดขาวลงไปผัดให้เข้ากัน ปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาวและน้ำตาลเล็กน้อย นางผัดไปเรื่อย ๆ จนผักกาดขาวเริ่มสุกและนิ่มลงแล้วก็ยกออกจากเตา
ในที่สุดอาหารทุกอย่างก็เสร็จสิ้น ซือหยาจัดอาหารที่ปรุงเสร็จแล้วใส่ในสองตะกร้าที่เตรียมไว้ รวมไปถึงกระบอกเก็บความร้อนที่บรรจุนมเอาไว้ ก็ถูกใส่ลงในตะกร้าด้วย
หลังจากปิดประตูบ้านเรียบร้อย ซือหยาก็เดินถือตะกร้าทั้งสองใบไปตามริมคลองที่ทอดยาวไปจนถึงทุ่งข้าวโพดของบ้านเสิ่น แสงแดดที่ร้อนแรงส่องลงมากระทบร่างของนาง ทำให้นางเหงื่อออกเหมือนได้ออกกำลังกายไปในตัว
ระหว่างทางที่เดินไป นางก็เจอเพื่อนบ้านที่กำลังเดินทางไปทำงานในแปลงนาเช่นกัน พวกเขามองดูนางด้วยความประหลาดใจเพราะไม่เคยเห็นนางออกมาแปลงนาในเวลานี้มาก่อน
"อ้าว! นั่นมันสะใภ้สามสกุลเสิ่นไม่ใช่หรือ? วันนี้เจ้าออกมาทำงานแล้วรึ?" หญิงชราคนหนึ่งทักทายนางด้วยน้ำเสียงที่เป็นมิตร
"ข้ากำลังจะเอาข้าวไปให้สามีกับลูก ๆ เจ้าค่ะท่านป้า" ซือหยายิ้มให้หญิงชรา
"โอ้! ดีแล้ว ๆ กลิ่นหอมขนาดนี้ต้องอร่อยมากแน่ ๆ"
หญิงชรากล่าวออกมาด้วยความจริงใจ ถึงจะไม่ชิน แต่การที่นางใส่ใจสามีกับลูกก็เป็นเรื่องดีไม่ใช่หรือ แต่ทันใดนั้นเองเสียงที่เต็มไปด้วยความอิจฉาและดูถูกก็ดังขึ้นมาจากด้านหลัง
"พระอาทิตย์ก็ไม่ได้ขึ้นทางทิศตะวันตกนี่นา! อะไรเข้าสิงทำให้สะใภ้สามบ้านเสิ่นเปลี่ยนไปได้! วันนี้ไม่ไปตามหาคนรักอย่างมู่ไต้ของเจ้าหรอกหรือ?"
ซือหยาหยุดเดินแล้วหันไปมองเจ้าของเสียงที่พูดจาส่อเสียด นางตง...หญิงชราที่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านไปทั่วทั้งหมู่บ้าน นางมองหน้าหญิงชราด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย
"ข้าคิดได้แล้วเจ้าค่ะท่านป้า" ซือหยากล่าวด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
"เหอะ! ใครเขาจะเชื่อเจ้า!"
"ข้ากำลังเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีขึ้น...แล้วท่านป้าล่ะเจ้าคะ? นิสัยชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน...พูดจาส่อเสียดคนอื่น...เป็นมาตั้งแต่สาวจนตอนนี้แก่หนังยานแล้ว...จะมีโอกาสเปลี่ยนแปลงได้หรือไม่...หรือจะกลบฝังไปพร้อมกับร่างกายของท่าน?"
คำพูดของซือหยาทำให้ใบหน้าของนางตงซีดเผือด นางอ้าปากค้างแล้วพูดไม่ออก ผู้คนแถวนั้นที่กำลังมองดูนางตงด้วยความขบขันก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ ทำให้นางตงรู้สึกอับอายขายหน้าจนต้องรีบเดินหนีไป
ซือหยาเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยแล้วเดินจากไปทันที นางไม่หันกลับไปมองอีกเลย สองเท้าสับขามุ่งหน้าไปที่ทุ่งนาที่เต็มไปด้วยข้าวโพดสีทองอร่าม ที่นั่นมีครอบครัวที่อบอุ่นของนางรออยู่...
บนเกวียนวัวที่หยางเฉิงเป็นคนบังคับ มีซือเหอ ซือหลิง หยวนอี อาเซียว เจาตี้ อี้หมิงและอันหมิง นั่งเบียดเสียดกันอย่างสนุกสนาน ส่วนในรถม้าที่นั่งสบายกว่า มีแม่เฒ่าหาน แม่เฒ่าเสิ่น และแม่เฒ่าฮัว นั่งอยู่พร้อมกับซือหยา"ท่านพ่อ ข้าจะซื้อของมาฝากนะเจ้าคะ" เสียงเล็ก ๆ ของเจาตี้ดังลอดออกมาระหว่างที่นางกำลังโบกมือให้หยางรุ่ยผู้เป็นบิดา ดวงตาของเด็กน้อยเป็นประกายด้วยความตื่นเต้น"เด็กดี อย่าเดินห่างท่านป้าสะใภ้กับพี่ ๆ นะลูก อยากกินอะไรเจ้าก็ซื้อได้เลย"หยางรุ่ยตอบกลับด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ใบหน้าของเขาแสดงความรักใคร่ในตัวบุตรสาว"เจ้าค่ะ"เจาตี้รับคำเสียงใสหยางเฟิงกับหยางรุ่ยยืนมองเกวียนวัวกับรถม้าที่เคลื่อนตัวห่างออกไปเรื่อย ๆ พวกเขาถอนหายใจยาว หลังจากนั้นพวกเขาก็เดินขึ้นเขาไปขุดหัวมันสำปะหลังต่อ ส่วนพ่อเฒ่าเสิ่นกับพ่อเฒ่าหานก็เดินไปไถนาหว่านข้าวต่อตามหน้าที่กระทั่งเกวียนวัวกับรถม้าเคลื่อนตัวมาถึงกลางตลาด ความวุ่นวายและเสียงตะโกนขายสินค้าเข้าปะทะโสตประสาททันที รถม้าและเกวียนหลายเล่มจอดเรียงราย ผู้คนสัญจรไปมาอย่างคับคั่ง ฮัวเจิ้งหรงจึงไปส่งมารดาและอาหญิงที่กลางตลาดก่อน ถนนหนทางเต็มไปด้วยร้านขาย
เช้ามืดวันต่อมา ยามอิ่น (03.00-05.00 น.) ท้องฟ้ายังคงเป็นสีเทาเข้ม อากาศเย็นยะเยือกจนไอน้ำค้างเกาะตามหลังคาเรือน เสียงไก่ขันดังแว่ว ๆ มาจากท้ายหมู่บ้าน แสงตะเกียงน้ำมันส่องสว่างเรืองรองออกมาจากหน้าต่างห้องครัวซือหยาและหยวนอีตื่นแต่เช้ามืด พวกนางเดินเข้ามาในลานเรือนที่เต็มไปด้วยอ่างดินเผาขนาดใหญ่ที่บรรจุน้ำแป้งไว้ตั้งแต่เมื่อวาน"น้องสะใภ้! แป้งคงจะตกตะกอนดีแล้วกระมัง"หยวนอีกล่าวเบา ๆ เสียงของนางแหบพร่าเล็กน้อยเพราะความเย็น นางจุดเทียนเล็ก ๆ วางไว้ข้างอ่าง เพื่อให้มองเห็นความเปลี่ยนแปลงภายในได้ชัดเจนซือหยาคุกย่อตัวลงข้างอ่าง นางใช้ปลายนิ้วเคาะขอบอ่างเบา ๆ น้ำที่อยู่ด้านบนใสจนมองเห็นเงาเลือนราง แป้งสีขาวบริสุทธิ์จมตัวอยู่ก้นอ่างอย่างหนาแน่น"ได้แล้วเจ้าค่ะพี่สะใภ้! น้ำแยกตัวออกจากเนื้อแป้งอย่างสมบูรณ์แล้ว" ซือหยาตอบด้วยรอยยิ้มอย่างพึงพอใจ"มา ๆ เดี๋ยวข้าจะเทน้ำออกเอง ยังมีอีกหลายอ่าง รีบทำรีบเสร็จ" พูดจบหยวนอีก็ลงมืออย่างคล่องแคล่ว"ข้าจะจัดการกับถังพวกนี้เองเจ้าค่ะ พี่สะใภ้ก็จัดการทางนั้นเถอะ"ระหว่างนั้นเองหยางเฉิงกับหยางเฟิงก็รีบมาช่วยภรรยาของตนทำงาน เมื่อเทน้ำใสจนหมดแล้ว สิ่งท
เมื่อหัวมันถูกขูดจนเป็นชิ้นเล็ก ๆ ได้ปริมาณมากพอ ซือหยาก็เริ่มเข้าสู่ขั้นตอนต่อไป ซือหยาเริ่มบีบน้ำออกจากเนื้อมัน จากนั้นก็นำไปตำในครกหินขนาดใหญ่ที่อยู่ข้างเรือน จนกระทั่งเนื้อมันแหลกละเอียด น้ำสีขาวขุ่นเริ่มไหลซึมออกมามากขึ้น นางจึงตักส่วนที่ตำแล้วลงไปผสมน้ำในกะละมังตลอดช่วงเช้าสองสาวทำงานกันอย่างขะมักเขม้น "เราพักสักหน่อยเถอะพี่สะใภ้ ข้าว่าคืนนี้เนื้อตัวของข้าต้องระบมแน่ ๆ" ร่างบางนั่งลงอย่างเหนื่อยหอบ หลังจากเพิ่งบดและตำเนื้อมันจนละเอียดไปหลายตะกร้า"เจ้านั่งพักเถอะ เจ้าไม่ค่อยได้ทำงานในแปลงนา ร่างกายรับไม่ไหวก็เป็นเรื่องปกติ งานแค่นี้ทำอะไรข้าไม่ได้หรอก"พูดจบหยวนอีก็นำผ้าขาวบางผืนใหญ่แขวนไว้เหนืออ่างดินเผาขนาดใหญ่ นางตักเนื้อหัวมันที่บดละเอียดผสมกับน้ำแล้วใส่ลงบนผ้า จากนั้นค่อย ๆ โยกเบา ๆ ให้น้ำขาวขุ่นไหลลงไปในอ่างซือหยาเข้ามาช่วยบีบเนื้อมันช้า ๆ จากนั้นก็นำกากใยที่หมดน้ำแล้วออกมาใส่กะละมังไว้ แล้วทำแบบนั้นซ้ำไปซ้ำมาจนเสร็จ"กากใยพวกนี้... หากตากแห้งก็เป็นอาหารเสริมชั้นดีให้สัตว์เลี้ยงได้อีกเช่นกันเจ้าค่ะ! มีคุณค่าทางอาหารสูงกว่าเปลือกมันนัก! เราต้องใช้ทุกส่วนของมันให้คุ้มค่
เช้าวันต่อมา แสงแดดยามอรุณเบาบางสาดส่องเข้ามาในลานเรือนที่ว่างเปล่า อากาศยังคงเย็นจัด เสียงกระดูกไม้ดัง 'เอี๊ยดอ๊าด' เมื่อแม่เฒ่าหานและแม่เฒ่าเสิ่นนำเด็ก ๆ และหยางเฟิงเดินออกจากเรือนไปตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างนัก เพื่อมุ่งหน้าไปยังแปลงนาช่วยกันไถหว่านข้าวเปลือกวันนี้ซือหยาและหยวนอีได้รับมอบหมายให้อยู่ดูแลเรือนและเริ่มต้นภารกิจที่สำคัญที่สุดคือ การแปรรูปมันสำปะหลังหยวนอีสวมผ้ากันเปื้อนเนื้อหยาบสีขาวทับชุดของนาง นางจัดเตรียมอุปกรณ์อย่างพิถีพิถันบนโต๊ะไม้เก่า ๆ ที่ตั้งอยู่ใต้ชายคา อุปกรณ์เหล่านั้นประกอบด้วยมีดเหล็กหลายเล่ม ครกหินขนาดใหญ่ และแผ่นหินหยาบ"น้องสะใภ้! หัวมันที่เอามาจากลำธารน่าจะพร้อมแล้ว น้องรองกับน้องสามไปขนมาตั้งแต่ต้นยามเหม่าแล้วกระมัง"หยวนอีกล่าวอย่างกระฉับกระเฉง แววตาของนางเต็มไปด้วยความตื่นเต้นที่จะได้ลองทำสิ่งใหม่ ๆ "ตามเวลาแล้วพิษน่าจะถูกชะล้างออกไปมากแล้ว วันนี้เป็นงานหนักของเราสองคนแล้วเจ้าค่ะ ขั้นตอนนี้ต้องใช้เวลาแถมยังลำบากกว่าขั้นตอนอื่น ๆ"ซือหยาตอบรับ นางกำลังจัดเตรียมผ้าขาวบางผืนใหญ่สำหรับใช้ในการกรอง ผ้าผืนนั้นเป็นผ้าเนื้อดีที่นางแอบเอาออกมาจากมิติ "เอาเถอ
ใช้เวลาเดินไม่นานก็มาถึงที่นาผืนใหม่ ก็พบว่า พ่อเฒ่าหาน พ่อเฒ่าเสิ่น กับอาเซียว และซือเหอกำลังช่วยกันใช้วัวไถนาอยู่ วัวตัวผู้สีน้ำตาลเข้มกำลังเดินลากไถอย่างเชื่องช้า ดินสีดำที่ถูกพลิกขึ้นมาใหม่มีกลิ่นหอมของความอุดมสมบูรณ์ ส่วนเด็ก ๆ ก็ทำแปลงผักช่วยท่านย่าท่านยายอยู่บนเดินดินข้างศาลาพัก"ท่านแม่มาแล้ว! หู้ว! นี่หรือขอรับคือหัวมันสำปะหลัง!"อันหมิงกับอี้หมิงรีบวิ่งมาหาพ่อแม่ทันทีที่เห็นว่าทุกคนเข็นรถเข็นเลี้ยวลงมาตามคันนาใหญ่ ฝุ่นดินติดเต็มเสื้อผ้าของพวกเขา แต่ใบหน้าเล็ก ๆ สองใบนั้นเต็มไปด้วยความไร้เดียงสาและความตื่นเต้น"แม่มาแล้วลูกรัก นี่คือหัวมันสำปะหลังที่ปอกเปลือกแล้ว ว่าแต่..พวกเจ้าทั้งสองเป็นเด็กดีหรือไม่"ซือหยาวางตะกร้าลงแล้วเดินเข้าไปหาลูกชายฝาแฝด นางยิ้มอย่างอ่อนโยนพลางก้มตัวลงบีบแก้มนิ่ม ๆ ของลูกชายอย่างรักใคร่"เด็กดีขอรับ! พวกเราเป็นเด็กดีที่สุดเลยท่านแม่!" อันหมิงทำตาแป๋ว รีบตอบเสียงดังฉะฉาน "เก่งมาก ไว้เย็นนี้แม่จะทำของอร่อยให้กิน อยากกินอะไรก็บอกมาได้เลย"ซือหยากล่าวอย่างใจดี"เย้ ๆ ๆ ของอร่อยมาแล้ว!"เด็กแฝดร้องขึ้นพร้อมกันอย่างดีใจระหว่างนั้นเองเสียงน้ำลำธารไหลดัง ซู
ช่วงสายกลางยามซื่อ (ยามซื่อ 09.00-11.00 น.) แสงแดดเริ่มทอประกายเจิดจ้าเหนือหลังคาเรือน เงาของทุกคนทอดยาวเป็นรูปทรงบิดเบี้ยวบนพื้นดินเสียงหายใจหอบและเสียงรองเท้ากระทบพื้นดินดังขึ้นเมื่อ หยางเฉิง หยางเฟิง และ หยางรุ่ย แบกกระสอบหัวมันสำปะหลังขนาดมหึมา และตะกร้าสานขนาดใหญ่เดินเข้ามาในลานหน้าเรือน หัวมันที่เพิ่งขุดมายังติดดินและรากฝอยอยู่เล็กน้อย เหงื่อกาฬไหลซึมไปตามแผ่นหลังของบุรุษทั้งสาม หยวนอีและซือหยาสะพายตะกร้าตามมาติด ๆ แม้จะเหนื่อยล้าแต่ใบหน้าของพวกนางก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มเมื่อวางหัวมันทั้งหมดลงกลางลานเรือน หยวนอีก็เอ่ยถามอย่างกระตือรือร้น นางมองกองหัวมันที่สูงท่วมหัวอย่างไม่เข้าใจ"เราต้องทำยังไงกับมันพวกนี้ต่อล่ะน้องสะใภ้?"ซือหยาจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่ แล้วเดินเข้าไปตรวจดูหัวมันกองใหญ่ ใบหน้าของนางเปื้อนรอยยิ้ม"เราต้องเร่งจัดการเสียแต่ตอนนี้เจ้าค่ะพี่สะใภ้ หัวมันสำปะหลังหากเก็บไว้นานเนื้อจะแข็งและเน่าเสียได้ง่าย"นางเริ่มต้นอธิบายขั้นตอนการแปรรูปที่ซับซ้อนอย่างละเอียดถี่ถ้วน"อันดับแรก เราต้องตัดหัวท้ายแล้วปอกเปลือกหนา ๆ ออก เปลือกมันหยาบและมีรสขมต้องปอกออกให้หมด เสร็จแล้วค่อยนำไ







