ป้าหวงที่เห็นหวงฉืออุ้มซูเจินที่ตัวอวบอ้วนมาอย่างลำบากก็รีบเดินเข้ามารับนางไปอุ้มไว้แทน
นางไม่ได้พาซูเจินเดินเข้าไปด้านใน แต่พาออกมายืนมองอยู่ห่างๆ
“ท่านพ่อ ท่านทำกับลูกเมียของข้าเช่นนี้ได้อย่างไรขอรับ” ซูเต๋อเออ่ยถามอย่างเจ็บปวด
เขารู้ว่าท่านพ่อเข้าข้างนางไห่ซื่อมาแต่ไหนแต่ไร แต่ไม่คิดว่าสิ่งที่รับปากเขาเอาไว้จะช่วยดูแลลูกเมีย กลับไล่นางสองแม่ลูกให้ไปอยู่ที่เรือนท้ายหมู่บ้าน
เขารีบเดินทางกลับมาที่หมู่บ้าน คิดถึงลูกเมียใจแทบขาด ทั้งยังกังวลว่าทั้งคู่มีความเป็นอยู่เช่นไร แม้จะเห็นสีหน้าที่มองเขาอย่างเห็นใจจากชาวบ้าน แต่ไม่คิดจะหยุดถาม เมื่อมาถึงเรือนตระกูลชุยจึงได้รู้เรื่องทั้งหมด
“หึ ข้าทำอันใด เป็นนางที่ขี้เกียจไม่อยากทำงานในเรือนจึงได้หอบลูกไปฟ้องผู้นำหมู่บ้านหวงให้มาทำเรื่องตัดขาด” นางไห่ซื่อโกหกออกมาได้อย่างหน้าตาเฉย
จิ่วเม่ยที่มาได้ยินพอดี ก็รีบเข้ามากอดแขนสามีแล้วโต้แย้งออกมา
“ไม่จริงเจ้าค่ะ เจินเออร์นางป่วยหนักเกือบรักษาชีวิตไม่ได้ ข้าไปขอสินเดิมที่ท่านแม่ยึดไว้ เพื่อพานางไปหาหมอ แต่ท่านแม่ไม่ยอมให้ข้า” จิ่วเม่ยเห็นหน้าสามี และเอ่ยถึงเรื่องในหนเก่าก็อดที่จะร้องไห้ออกไม่ได้
“เจ้าจะแสดงให้ผู้ใดดู แล้วมาที่เรือนของข้าเพื่ออันใด เจ้าจำในหนังสือตัดขาดมิได้หรือ หากเจ้ายังมาวุ่นวายข้าสามารถเรียกเงินจากเจ้าได้” นางไห่ซื่อชี้หน้าของจิ่วเม่ยและจ้องมองนางอย่างมุ่งร้าย
“เฮ้อออ ถ้าเสี่ยวมี่มาด้วย ข้าจะให้ต่อยปากนางอีกสักที” ซูเจินอดที่จะบ่นกับเสี่ยวเตี๋ยไม่ได้
“ไม่ใช่เรื่องยากเจ้าค่ะ” ซูเจินหันไปมองเสี่ยวเตี๋ยที่อยู่บนไหล่ของนางอย่างสงสัย
นางไห่ซื่อยังทวงเงินจากจิ่วเม่ยไม่หยุด ซูเต๋อก็ยังไม่เข้าใจเรื่องทั้งหมดดี ได้แต่จ้องมองบิดาอย่างเสียใจ และมองนางไห่ซื่ออย่างโกรธแค้น
“หยุดได้แล้ว นางยังไม่ได้ทำเรื่องอันใดกับเจ้าอย่างที่ระบุในหนังสือตัดขาด เจ้าไม่อาจเรียกเงินจากนางได้” ลุงหวงทนฟังไม่ไหว จึงได้ออกหน้าช่วยสองสามีภรรยา
“เพ้ย ทั้งหมู่บ้านผู้ใดไม่รู้บ้างว่าท่านเข้าข้างนาง ที่ไปเรือนนางอยู่บ่อยครั้งมิใช่ว่ามีอันใดกับนางหรอกรึ โอ๊ยยย” พอนางไห่ซื่อพูดจบ ผึ้งที่บินมาจากที่ใดไม่รู้ก็ต่อยเข้าที่ปากของนางสองสามที
คนทั้งหมดจ้องมองภาพตรงหน้าอย่างตกใจ แต่ซูเจินที่นังอยู่ในอ้อมกอดของป้าหวงหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ
เสียงหัวเราะของนาง เรียกให้ซูเต๋อหันมามอง ดวงตากลมโตที่งดงามของซูเจินก็มองเขาอย่างสำรวจ
“ท่านพี่ บุตรสาวของท่านเจ้าค่ะ”
“เจินเออร์หรือ” เขาเอ่ยออกมาด้วยเสียงที่สั่นเทา
ตอนนี้นางไห่ซื่อจะโดนอะไร หรือจะเป็นอะไร สองสามีภรรยาไม่สนใจอีกแล้ว ทั้งคู่เดินออกมาจากเรือน เพื่อไปหาซูเจินที่อยู่กับป้าหวง
“อาเต๋อ เจ้าอย่าได้เสียใจเลย ตอนนี้อาเม่ยกับเจินเออร์มีชีวิตที่ดีนัก เจ้ากลับมาก็ดีแล้ว” ป้าหวงส่งซูเจินให้ซูเต๋อ
เขารับบุตรสาวมาอุ้มไว้ เมื่อเห็นว่านางมิได้ซูบผอมอย่างที่คิด แต่เนื้อตัวอวบอ้วนไม่น้อย ใบหน้าที่กลมเกลี้ยง น่าเอ็นดูจนซูเต๋อหอมบุตรสาวฟอดใหญ่
ซูเจินถูกตอหนวดที่โกนไม่เกลี้ยงของซูเต๋อถูกที่แก้มของนางอยู่หลายทีก็หัวเราะเสียงใสออกมา ชาวบ้านต่างมองภาพตรงหน้าอย่างยินดี
เมื่อเป็นเช่นนี้เรื่องที่นางไห่ซื่อเหตุใดถึงโดนผึ้งต่อยได้ จึงไม่มีผู้ใดสนใจนาง ต่างคิดว่าเพราะปากเน่าๆ ของนางทำให้ฟ้าดินลงโทษ
สามพ่อลูกบอกลาชาวบ้านก่อนจะพากันเดินกลับไปที่เรือน
“ท่านพี่ ข้าได้สินเดิมคืนมาจึงได้ซื้อที่ดินเพิ่ม เพราะกลัวว่านางไห่ซื่อจะตามมายึดเงินคืนไป ท่านคงไม่ว่าอันใดที่ข้าตัดสินใจเช่นนี้”
“ข้าจะว่าอันใดเจ้าได้ ดีเสียอีก ข้ากลับมาแล้ว ต่อไปจะไม่มีผู้ใดรังแกเจ้าสองแม่ลูกได้” เมื่อนึกถึงเรื่องที่จิ่วเม่ยพูดว่าเกือบจะสูญเสียบุตรสาวในอ้อมกอดของตนไปแล้ว
ซูเต๋อก็กอดซูเจินแน่นขึ้น “พ่อจะไม่ให้ผู้ใดรังแกเจ้าได้อีก เจินเออร์”
ซูเจินจ้องมองแววตาของซูเต๋อที่มองนางอย่างรู้สึกผิด นางจึงโอบกอดรอบคอของซูเต๋อไว้ ในตอนแรกนางก็ยังกลัวว่าจะทำใจยอมรับบิดาคนใหม่ไม่ได้ แต่เขาห่วงใยนางและมารดามากเพียงนี้ ก็ไม่มีเรื่องอันใดที่นางจะไม่ยอมรับเขา
“ปีนี้ข้าปลูกข้าวได้มากนัก ข้าวยังเก็บไว้ที่ห้องเก็บด้านหลัง รอให้ท่านมาจัดการ”
“หนู แมลงไม่กินหมดแล้วหรือ” ซูเต๋อขมวดคิ้วถาม เพราะเมื่อก่อนเก็บเกี่ยวเรียบร้อยก็ขายออกไปทันที เก็บไว้กินพอครบปีเท่านั้น เพราะไม่อาจจะขับไล่หนูแมลงที่เข้ามากินได้หมด
“ถึงเรือนแล้วข้ามีเรื่องจะบอกท่าน” ซูเต๋อมองหน้าเมียรักอย่างไม่เข้าใจ
ทั้งสองรีบเร่งฝีเท้าเพื่อกลับเรือน จิ่วเม่ยนำของที่ซูเต๋อนำกลับมาเข้าไปเก็บ และหาน้ำมาให้เขาดื่ม ออกมาก็เห็นสองพ่อลูกนั่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน นางยิ้มออกมาเต็มใบหน้าอย่างยินดี คิดว่าจะไม่ได้เห็นภาพเช่นนี้อีกแล้ว
“มีเรื่องอันใดที่พูดด้านนอกไม่ได้ ก็พูดเถิด”
จิ่วเม่ยบอกบุตรสาวตัวน้อยในอ้อมแขนของสามีก่อนจะเอ่ยขึ้น “เรียกสหายของเจ้ามาเถิด”
ซูเต๋อมองออกไปที่หน้าประตูเรือนอย่างแปลกใจ เขามองหาสหายของบุตรสาวที่ไม่รู้ว่าเกี่ยวกับเรื่องที่จะพูดได้อย่างไร
“พ่อ” ซูเจินสะกิดเรียกซูเต๋อ เมื่อสหายทั้งสามของนางขึ้นมาอยู่บนโต๊ะเรียบร้อยแล้ว นางชี้ไปที่สหายของนางให้บิดาเห็น
“สหายของเจ้ารึ” ซูเต๋อขมวดคิ้วดูผีเสื้อ ผึ้งและมดตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ ซูเจินพยักหน้าหงึก ๆ ให้เขาว่านี่แหละสหายของนาง
“ท่านพี่ ตอนที่ข้าออกมาจากเรือนตระกูลชุย ก็เกิดเรื่องประหลาดกับเจินเออร์”
นางเล่าเรื่องที่มีแมลง นก มด มากมายที่มักจะอยู่ข้างกายบุตรสาว ไม่ว่าจะในเรือนหรือนอกเรือน เรื่องที่สัตว์ทั้งสามตัวอยู่กับซูเจินตลอด ทั้งเรื่องที่มักมีสัตว์ป่าเดินเข้ามาตายในเรือน หรือไม่ก็นอกกำแพงเรือนด้านหลังบ่อยครั้งให้ซูเต๋อฟัง
“สวรรค์ จริงรึ” เขาอยู่ที่หมูบ้านมาตั้งแต่เกิด ยังไม่เคยได้ยินเรื่องที่สัตว์ป่าลงมาตาย เพื่อนำเนื้อมาให้ทำอาหารเลยสักครั้ง
ยิ่งเห็นสองแม่ลูกพยักหน้า ซูเต๋อก็อ้าปากค้างอย่างตกใจ “แล้วผึ้งที่ต่อยนางไห่ซื่อ หรือว่า” ซูเจินพยักหน้าอย่างชื่นชม
เยี่ยนเฟยหยางประคองซูเจินไปที่เกี้ยวแปดคนหามหลังใหญ่ ชุดเจ้าสาวที่ดูเหมือนจะธรรมดา แต่เมื่อต้องแสงแดดกับเปล่งประกายระยิบระยับราวกับมีดวงดาวนับล้านดวงอยู่ที่ชุดของนาง ยิ่งทำให้คุณหนูต้องไปอ้อนวอนบิดามารดาให้ไปถามจวนตระกูลซูว่าไปตัดชุดที่ใดมา แต่ก็มิได้รับคำตอบซูเจินถูกเยี่ยนเฟยหยางประคองเข้าตำหนักของเขา ทั้งคู่ข้ามกระถางไฟก่อนที่จะไปหยุดที่แท่นกราบไหว้ฟ้าดินด้านหน้ามีเสด็จพ่อ เสด็จแม่และไทเฮาของเยี่ยนเฟยหยางนั่งอยู่ เสียงสวีกงกงขันทีของเยี่ยนเฟยหยางร้องบอกให้พวกเขากราบไหว้ฟ้าดิน ไหว้บิดามารดา ก่อนจะคำนับกันเองซูเจินที่กำลังลุกขึ้น เพราะคิดว่าเสร็จสิ้นพิธีแล้ว แต่กลับถูกเยี่ยนเฟยหยางดึงรั้งมือของนางไว้ให้นั่งลงตามเดิม“ข้าเยี่ยนเฟยหยาง ขอสาบานต่อหน้าฟ้าดิน เสด็จพ่อ เสด็จแม่ และเสด็จย่า ว่าทั้งชีวิตจะมีเพียงซูเจินเป็นภรรยาแต่เพียงผู้เดียว หากผิดคำสาบานขอให้ฟ้าดินลงโทษ” ซูเจินจะร้องห้ามก็ไม่ทันเสียแล้วขุนนางที่ได้เข้าร่วมพิธีงานมงคลต่างตกตะลึง เพราะยังไม่มีเชื้อพระวงศ์พระองค์ใดที่กล้าเอ่ยสาบานเช่นนี้ออกมาสิ้นเสียงของเยี่ยนเฟยหยางท้องฟ้าที่กระจ่างใส ก็คำรามขึ้นเป็นการตอบรับคำของเขา ยิ
เป็นเช่นที่เยี่ยนเฟยหยางว่า เพราะซูเจินอยากให้หวังกงกงได้เดินทางไปทั่วแคว้นเพื่อท่องเที่ยวกับนาง ทั้งชีวิตเขาแทบจะอยู่เพียงในรั้ววัง หากฮ่องเต้ไม่เสด็จที่ใดเขาก็ไม่ได้ไปเช่นกันหวังกงกงได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มหน้าบาน ต่างจากฮ่องเต้ที่เบ้หน้าอย่างไม่สบอารมณ์ ไหนว่าจะอยู่กับเขาอีกสองปี แต่ดูเหมือนว่าอีกไม่กี่เดือนก็จะทิ้งเขาไปเสียแล้วเป็นอย่างที่ฮ่องเต้คิด หนึ่งเดือนต่อมาซูเจินนางก็ขอเข้าวัง ครั้งนี้นางแลกตัวหวังกงกงกับน้ำวิเศษของนาง“เหอะ เจ้าผิดคำพูด หวังกงกงขอเวลาเจิ้นอีกสองปี แต่นี่ยังไม่ถึงหนึ่งปีเจ้าก็จะมาขโมยตัวเขาไปแล้วรึ”“เช่นนั้น พระองค์ต้องการอันใดเพคะ” นางขมวดคิ้วคิด เพราะนางคิดมาแล้วว่าจะพาหวังกงกงออกเดินทางไปด้วยกัน“เจิ้นต้องการจะเป็นผู้ฝึกตน” ซูเจินและหวังกงกงหันไปมองที่ฮ่องเต้อย่างตกใจ“พระองค์รู้หรือไม่ หากเป็นผู้ฝึกตนต้องละทิ้งบัลลังก์ พระองค์จะยินยอมหรือเพคะ” หากมีฮ่องเต้ที่มีอายุยืนยาว จะไม่สร้างเรื่องปั่นป่วนขึ้นมาอย่างนั้นรึ“เจิ้นเข้าใจเรื่องนี้ดี และคิดหาทางออกไว้แล้ว” “เสด็จพ่อ พระองค์ตัดสินพระทัยแล้วรึพ่ะย่ะค่ะ” เยี่ยนเฟยหยางที่เพิ่งเรียกสติกลับมาได้เอ่ยถามออกม
“เรื่องนี้...” นางคิดว่าอย่างไร การแต่งงานในวัยเพียงสิบห้าหนาวก็ดูเหมือนจะเร็วไป“เจ้ากลัวอันใด”“ข้าคิดว่ามันเร็วเกินไป ที่จะแต่งงานในวัยสิบห้าหนาว”“เจินเจิน สตรีแคว้นต้าเยี่ยนวัยเท่านี้นับว่าไม่เร็วแล้ว” เขาเริ่มจะไม่สบอารมณ์แล้ว ที่นางไม่ยอมตอบรับเสียที“เอาเถิดอย่างไรก็ยังมีเวลาอีกหลายเดือน” นางบอกปัดไป ก่อนจะไล่เขาให้ไปที่ห้องพัก“ไม่ ข้าจะเข้าไปในมิติของเจ้า” เยี่ยนเฟยหยางคิดจะเข้าไปฝึกในมิติต่อ“เจ้าค่ะ” ซูเจินพาเข้าไปด้านใน สุดท้ายนางก็ต้องอยู่ฝึกด้วยกันกับเขา“นายหญิง ดอกไม้ที่ข้าปลูกไว้ รู้ว่าท่านทั้งสองกำลังจะเข้าสู่ขั้นเซียนจึงยอมสละสองดอกมาให้ท่านเจ้าค่ะ” ซูเจินมองดอกหลันฮวาที่นางเคยสัมผัสตอนที่มาที่นี่“ข้าจับมันได้ใช่หรือไม่” นางไม่รู้ว่าหากจับแล้วจะได้กลับไปที่โลกเดิมหรือไม่ นางก็ตอบไม่ได้ว่าอยากกลับไปหรือเปล่าแต่ก่อนที่หลันฮวาจะเอ่ยตอบ เยี่ยนเฟยหยางที่เห็นท่าทางของซูเจินดูไม่สบายใจ ที่นางต้องจับดอกไม้ที่หลันฮวานำมา ก็อดที่จะเอ่ยถามออกมาไม่ได้“เหตุใดเจ้าถึงไม่กล้าจับมัน”นางถอนหายใจออกมา ในเมื่อเขาอยากรู้นางก็ไม่คิดจะปิดบัง ก่อนจะเล่าเรื่องราวความเป็นมาของนาง จนได้ม
ในตอนแรกที่คิดว่านับเดือนกว่าจะถึง แต่เอาเข้าจริง นางเดินทางเพียงยี่สิบวันเท่านั้น จากหนานไห่จนถึงเขตชายแดนเหนือ ด้วยการนำทางของเสี่ยวมี่ ที่หาเส้นทางที่ใกล้ที่สุดให้นางนางแวะที่เมืองหน้าด่านของชายแดนเหนือ เพื่อนำเสบียงอาหารออกมาแจกจ่ายให้กับค่ายผู้อพยพเพราะจำนวนคนที่นางมองเห็นคร่าวๆ ก็นับเกือบแสนคนเห็นจะได้ เช่นนี้ไม่เท่ากับว่าสงครามกำลังเกิดขึ้นจริงรึซูเต๋อเข้าไปพบเจ้าเมือง ที่รู้จักกับเขาดี เพื่อแจ้งเรื่องที่ทางการให้นำเสบียงออกมาแจกจ่าย ในตอนนี้ไม่มีผู้ใดคิดหาที่มาของเสบียงอีกแล้วเพราะจำนวนคนที่เพิ่มสูงขึ้นทุกวัน เสบียงที่มีเพียงพอให้พวกเขากินวันหนึ่งมื้อเท่านั้น ยิ่งได้เสบียงมาเพิ่มก็สามารถต่อชีวิตชาวบ้านไปได้อีกวันครั้งนี้ซูเจินนำเสบียงออกมามากกว่าเดิมหลายเท่า ทั้งยังต้องนำออกมาเกือบทุกวัน ถึงจะเพียงพอให้ทุกคนได้กินอิ่มท้องนางอยู่ที่เมืองด่านหน้าของชายแดนเหนือได้สามวัน จึงออกเดินทางไปหัวเมืองอื่นต่อ สามหัวเมืองหลักที่อยู่ด่านหน้าล้วนแต่มีคนอพยพนับแสนคน ซูเจินจึงต้องอยู่จัดการเรื่องเสบียงหลายวันเกือบหนึ่งเดือนที่นางต้องจัดการเรื่องเสบียง โดยที่ไม่รู้เลยว่าทางชายแดนเหนือที่
หวังกงกงรีบเดินเข้าไปจับตัวนางกำนัลไว้ แล้วค้นตัวจนได้ยาหุ่นเชิดมาทันที เขานำมาส่งให้เยี่ยนเฟยหยางเพื่อตรวจสอบ แล้วออกไปจัดการนางกำนัลที่ตำหนักของไทเฮาแต่เยี่ยนเฟยหยางกลับเดินเข้าไปหาทั้งสองคนแล้วนำยากรอกเข้าไปในปากแทน“เมื่อพวกท่านกล้าทำร้ายเสด็จพ่อและเสด็จย่าก็จงมีชีวิตอยู่เช่นพวกเขาเถิด” ดวงตาแข็งกร้าวของเยี่ยนเฟยหยาง ทำให้ทั้งสองอดที่จะหวาดกลัวออกมาไม่ได้ทั้งคู่ไม่คิดว่าเยี่ยนเฟยหยางจะเดินทางกลับมาถึงรวดเร็วเพียงนี้ คิดว่าเรื่องทั้งหมดที่วางแผนไว้จะแล้วเสร็จก่อนที่เยี่ยนเฟยหยางจะเดินทางกลับมาถึงเมืองหลวงแต่คนคำนวณ มิสู้ฟ้าลิขิต เพราะเยี่ยนเฟยหยางเดินทางกลับมาถึงเร็วทำให้สิ่งที่พวกเขาคิดไว้ไม่เป็นไปอย่างที่ตั้งใจเมื่อจัดการทั้งสองคนเรียบร้อย เยี่ยนเฟยหยางรีบเดินทางไปที่ตำหนักของฮองเฮาและพี่ใหญ่ของตนทันทีพอไปถึงจึงพบว่าทั้งสองอาการไม่ต่างจากเสด็จย่าของตนนัก เมื่อช่วยทั้งสองให้พ้นอันตรายเรียบร้อยแล้ว เขาก็ไปพูดคุยกับเสด็จพ่อ เรื่องภูเขาแร่ที่เว่ยอ๋องส่งคนไปทันที“เรื่องนี่เห็นทีเสนาบดีตู้ก็คงรวมมือด้วย หากเจ้ากลับมาไม่ทัน ไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องใดขึ้น” ฮ่องเต้ให้หวังกงกงนำยาที่ใช้
เยี่ยนเฟยหยางแทบไม่อยากจะเชื่อ เพราะพระองค์ยังดูแข็งแรง แทบไม่เคยเปรยเรื่องนี้ขึ้นมาก่อนสักครั้ง ส่วนเรื่องให้ผู้ใดขึ้นเป็นรัชทายาทเขามิได้สนใจ“ย่าให้องครักษ์เงาไปสืบเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ยังมิทัน ที่จะรู้เรื่องราวดี ย่าก็ล้มป่วยจนมิอาจลุกจากเตียงได้ ว่าแต่เจ้าเอาอะไรให้ยาดื่ม” นางอดที่จะสงสัยไม่ได้“หลานได้น้ำวิเศษมาจากเจินเจิน และในตอนนี้หลานก็เป็นผู้ฝึกตนแล้ว แต่ขอท่านย่าอย่าได้แพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป จนกว่าหลานจะหาตัวคนร้ายได้พ่ะย่ะค่ะ”“ย่า เข้าใจแล้ว เจ้ารีบไปดูเสด็จพ่อของเจ้าเถิด พี่ชายเจ้าย่าก็มิได้เห็นมาสักพักแล้ว” ไทเฮาตบที่หลังมือของหลานชายเบาๆ“เสด็จย่า พระองค์ทรงแสร้งป่วยต่อไปเถิดพ่ะย่ะค่ะ หลานเห็นนางกำนัลของท่านดูมิน่าไว้ใจนัก”“เรื่องนี้ย่าก็พอจะรู้ว่าบ้าง แต่ยังมิอาจทำอันใดได้ ด้วยกลัวว่าคนร้ายจะรู้ตัวเสียก่อน”“หลานเข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ เสด็จย่าพักผ่อนก่อนเถิด” เยี่ยนเฟยหยางประคองไทเฮาให้นอนลงเช่นเดิมเขาคลายลมปราณที่ปิดกั้นเสียงเอาไว้ แล้วเดินออกจากห้องบรรทมไปราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น หวังกงกงที่ยืนรออยู่หน้าตำหนักก็เดินเข้ามาหาทันที“องค์ชายห้า กระหม่อมมิรู้ว่าสมควรพู