“ฉันไม่เชื่อหรอกว่าคนอย่างฉางเล่ยมันจะล่าเสือได้น่ะ ตั้งแต่มันล่าสัตว์ ฉันยังไม่เคยเห็นมันล่าสัตว์ที่ดีกว่าหมูป่าได้เลยสักตัว” แม่เฒ่าฮัวยังเถียงคอเป็นเอ็น
“ใครบอกว่าผมเป็นคนล่าได้ล่ะครับ เสือตัวนั้นภรรยาผมเป็นคนล่าต่างหาก ผมแค่ช่วยเธอยกไปขายในอำเภอ” ฉางเล่ยเอ่ยบอกหน้าตาเฉย
ทุกคนที่ได้ยินว่าซูเมี่ยวจินเป็นคนล่าเสือได้ต่างอ้าปากค้างหนักกว่าเดิม ผู้หญิงรูปร่างสูงโปร่งและผอมบางแบบนี้น่ะหรือที่ล่าเสือได้ แต่พอพวกเขามองสายตาอันเย็นชาราวกับจะฆ่าคนได้ของซูเมี่ยวจิน ทุกคนถึงกับกลืนน้ำลายอึกใหญ่
“ฮึ! ฉันเคยเป็นอาจารย์สอนการต่อสู้มาก่อน แค่เสือตัวเดียวไม่นับเป็นอะไร ถ้าพวกคุณอยากรู้ว่าฉันมีฝีมือมากแค่ไหน ก็เข้ามาพร้อมกันเลย ฉันจะทำให้ดูว่าการตีคนเป็นยังไง” ซูเมี่ยวจินหักนิ้วมือพร้อมที่จะลงมือ
ชาวบ้านมีหรือจะกล้าเข้าไป พวกเขาต่างถอยกรูดกันเป็นแถว เมื่อกี้ทุกคนมีใครไม่เห็นบ้างว่าซูเมี่ยวจินตบพวกปากมากขี้นินทายังไง
“เอ่อ… อาจารย์ซูใจเย็น ๆ นะครับ ผมรู้ดีว่าคุณมีความสามารถ เรื่องชาวบ้านปากมากพวกนี้ก็ขออย่าให้เรื่องไปถึงทางการเลย พวกเขาก็แค่ไม่รู้จักคุณกันเท่านั้น” ผู้ใหญ่บ้านเอ่ยขึ้นอย่างนอบน้อม เขาที่เป็นคนทำใบรับรองให้ซูเมี่ยวจินรู้แต่แรกแล้วว่าเธอเป็นอาจารย์สอนการต่อสู้
“ในเมื่อผู้ใหญ่บ้านขอร้อง ฉันจะยังไม่เอาเรื่องพวกเขาก็ได้ค่ะ แต่งานแต่งงานของบ้านเราในอีกสามวันข้างหน้า พวกเขาอย่าได้มาเหยียบที่หน้าประตูบ้านเราก็แล้วกัน ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าฉันไม่เกรงใจ” ซูเมี่ยวจินมองกราดไปยังชาวบ้านที่มาหาเรื่องบ้านสามีเธอด้วยสายตาเย็นชายิ่งกว่าน้ำแข็ง
“ได้ครับ ๆ อาจารย์ซูยังมีอะไรจะสั่งอีกหรือเปล่าครับ” ผู้ใหญ่บ้านปาดเหงื่อเมื่อเห็นท่าทางเอาเรื่องของซูเมี่ยวจิน
“ถ้าฉันรู้ว่าใครหาเรื่องคนในบ้านสามีฉันล่ะก็ ฉันจะทำให้พวกเขาลุกจากเตียงไม่ได้ภายในสามเดือน ฝากผู้ใหญ่บ้านแจ้งเตือนคนอื่น ๆ ด้วยนะคะ วันนี้ถือว่าเรามาเชิญคุณไปร่วมงานแต่งงานก็แล้วกัน อีกสักครู่พ่อกับแม่ยังต้องไปหาญาติที่หมู่บ้านเสิ่นอีก พวกเราขอตัวกลับบ้านก่อนค่ะ” ซูเมี่ยวจินไม่อยากเห็นหน้าคนพวกนี้นานนัก
“ทราบแล้วครับ ผมกับครอบครัวจะไปแน่นอน ส่วนผู้นำกองพลน้อย ผมจะไปเชิญให้พวกคุณก็แล้วกันนะครับ” ผู้ใหญ่บ้านบอกอย่างนอบน้อม
ซูเมี่ยวจินพยักหน้ารับคำและชวนคนในบ้านเดินทางกลับทันที ฉางเล่ยได้แต่ถอนหายใจอย่างโล่งอกที่จบเรื่องวุ่น ๆ เสียที ตอนนี้เริ่มแดดออกแล้ว เขากลัวว่าพ่อกับแม่จะร้อนตอนเดินทางไปหมู่บ้านเสิ่น
คล้อยหลังจากที่บ้านฉางออกไป ผู้ใหญ่บ้านส่งสายตาเคร่งเครียดไปยังตัวปัญหาทั้งสามที่สร้างเรื่องขึ้น
“พวกคุณสามคนอีกแล้วนะ เมื่อไหร่ถึงจะเลิกนินทาว่าร้ายคนอื่นเสียที คุณคิดว่าอาจารย์ซูเป็นคนง่าย ๆ อย่างงั้นหรือ? คุณเชื่อไหมว่าถึงเธอจะทำร้ายพวกคุณจนลุกไม่ได้จริง ๆ เธอก็จะไม่ถูกจับกุมน่ะ ในฐานะที่เธอเป็นถึงอาจารย์สอนการต่อสู้ที่หายาก ทางการย่อมให้ความสำคัญกับเธอมากเป็นพิเศษ” ผู้ใหญ่บ้านเอ่ยขึ้น
“คุณพูดเกินไปหรือเปล่าผู้ใหญ่บ้าน ถ้าเธอเก่งขนาดนั้นจริง ทำไมฉางเล่ยถึงช่วยเธอเอาไว้ได้ล่ะ” ป้าซิงที่ยังเจ็บใจไม่หายพูดสวนขึ้น
“ฮึ! เพราะเธอมาทำภารกิจลับให้นายจ้างยังไงเล่า แต่ตอนจะกลับเมืองหลวงเธอถูกคนลอบทำร้ายเสียก่อนเลยหนีมาจนถึงภูเขาหลังหมู่บ้านเรา กระทั่งฉางเล่ยไปพบเข้า เธอถึงได้ไม่กลับไปเมืองหลวงอีก” ผู้ใหญ่บ้านบอกข้อมูลที่เขารู้จากฉางชิงหยู
“แล้วเงินของเธอมาจากไหนล่ะ ในเมื่อฉางเล่ยช่วยเธอมาตั้งนานแล้ว แต่เราไม่เห็นว่าเธอจะนำเงินออกมาช่วยบ้านฉางเลยสักนิด” ป้าฟางยังคงไม่เชื่อว่าซูเมี่ยวจินรวย
“นั่นมันเรื่องของอาจารย์ซู คุณคิดว่าเธอจะเชื่อใจใครง่าย ๆ แล้วเอาเงินออกมาเหรอ เป็นพวกคุณจะเอาออกมาตอบแทนผู้มีพระคุณเลยไหมล่ะ ฮึ! ผมว่าพวกคุณไม่เพียงแต่จะไม่ตอบแทน แต่ยังจะเอาเปรียบผู้มีพระคุณเสียด้วยซ้ำไป” ผู้ใหญ่บ้านกล่าวอย่างดูถูกชาวบ้านพวกนี้ เขาจะไม่รู้นิสัยคนเหล่านี้ได้ยังไง มีไม่กี่ครอบครัวเท่านั้นที่ซื่อสัตย์และขยันขันแข็งในหมู่บ้านเติ้ง
ชาวบ้านพอฟังแล้วคิดตามก็เห็นด้วยกับผู้ใหญ่บ้าน หากเป็นพวกเขาก็คงไม่คิดจะตอบแทนคนบ้านฉางมากถึงขนาดนี้หรอก อย่างมากก็คงให้เงินสักสิบยี่สิบหยวนเป็นค่าที่พักกับค่าอาหาร ผู้ใหญ่บ้านเห็นท่าทางคนโลภพวกนี้แล้วก็รีบไล่พวกเขาให้แยกย้ายกันไปทำงานที่ไร่ เมื่อครู่พ่อแม่ฉางบอกแล้วว่าจะหยุดงานวันนี้
ชาวบ้านบางคนได้แต่เสียใจที่มารวมตัวกับพวกแม่เฒ่าฮัว พวกเขาเลยอดไปร่วมงานแต่งงานของบ้านฉาง ถึงพวกเขาจะหน้าด้านขนาดไหน แต่พอเจอคำเตือนที่จริงจังจากแม่เสืออย่างซูเมี่ยวจิน ใครกันจะกล้าไปก่อกวนที่บ้านฉางอีก
ซูเมี่ยวจินกับฉางเล่ยส่งพ่อแม่ฉางออกจากบ้านพร้อมของฝากเล็กน้อยให้ญาติที่หมู่บ้านเสิ่น พวกเขายังบอกให้พ่อแม่ไม่ต้องเร่งรีบ และถ้าญาติ ๆ ไม่มีรถมาที่นี่ ฉางเล่ยจะไปรับญาติมาที่บ้านในวันงานตั้งแต่เช้าเอง
“เมี่ยวจิน วันนี้เราจะทำอะไรกันก่อนครับ พ่อกับแม่ก็ออกไปแล้ว”
“ฉันว่าเรามาช่วยกันเปลี่ยนเครื่องนอนดีกว่าค่ะ ที่นอนเก่าจะได้เอาออกมาซักตากแล้วเก็บไว้ใช้เผื่อมีแขกมาพักที่บ้าน” ซูเมี่ยวจินบอกสิ่งที่เธอคิดว่าดีที่สุด
“ตกลงครับ เดี๋ยวผมไปยกเครื่องนอนในห้องพ่อกับแม่ออกมาก่อนนะ”
ซูเมี่ยวจินพยักหน้ารับคำฉางเล่ย เธอเองก็เข้าไปที่ห้องฉางเซียงจูและเก็บเครื่องนอนทั้งหมดออกมาเช่นกัน ทั้งสองช่วยกันทำงานจนถึงตอนเที่ยงกว่า ๆ พวกเขาก็นั่งพักกินอาหารที่เหลือตอนมื้อเช้า
“คุณคิดว่าพวกชาวบ้านจะพูดถึงเรายังไงกันบ้าง” ฉางเล่ยอดจะกังวลไม่ได้
“ฉันว่าพวกเขาไม่กล้ามายุ่งกับบ้านเราอีกหรอกค่ะ ไม่อย่างนั้นฉันจะทำให้พวกเขาต้องนอนหยอดน้ำข้าวต้มแน่” ซูเมี่ยวจินยังคงคันไม้คันมือ เธอไม่ชอบถกเถียงกับพวกคนนิสัยเสียแบบนี้ สู้ให้เธอลงมือสั่งสอนไปเลยจะดีกว่า
“คุณก็อย่าดุนักเลย ภรรยา แค่นี้ผมก็กลัวคุณจะแย่แล้ว” ฉางเล่ยหดคออย่างหวาด ๆ
“ฮ่า ฮ่า ฉันดุแค่กับคนที่มากวนใจพวกเราเท่านั้นนะคะ คุณจะมากลัวอะไรฉันล่ะ”
ฉางเล่ยยกมือเกาหัวอย่างเขิน ๆ เขารู้อยู่หรอกว่าภรรยาเขาใจดีกับเขามาก แต่ทำยังไงได้ล่ะ ขนาดเสือตัวใหญ่ยักษ์เธอยังล่ามาได้ แล้วเขาที่เป็นคนตัวโตแต่ไร้ฝีมือการต่อสู้จะกล้าหือกับภรรยาได้ยังไง
ซูเมี่ยวจินเห็นท่าทางสามีก็หลุดหัวเราะคิกออกมา ถึงเธอจะดุก็ยังดุอย่างมีเหตุผล ไม่ใช่ดุไปทั่วสักหน่อย ซูเมี่ยวจินคิดว่าฉางเล่ยคิดมากเกินไปแล้ว
ช่วงบ่าย ทั้งสองจัดการซักตากที่นอนเก่ากันเสร็จก็มานั่งพักที่แคร่หน้าบ้าน รอฉางเซียงจูกับพ่อแม่ฉางกลับมาจากไปทำธุระด้วยกัน
“คุณคิดว่าพ่อกับแม่จะกลับมาก่อนมื้อเย็นไหม” ซูเมี่ยวจินถามขึ้นมา
“ผมเองก็ไม่แน่ใจ หลายปีแล้วที่พวกท่านไม่ได้ไปหมู่บ้านเสิ่นเลย”
“อืม… ถ้าอย่างนั้นเราไปเตรียมอาหารเย็นเอาไว้ให้พวกเขาก่อนดีไหมคะ ฉันหายเหนื่อยแล้ว” ซูเมี่ยวจินไม่อยากนั่งอยู่เฉย ๆ
“ได้ครับ ว่าแต่ว่า คุณทำอาหารเป็นด้วยเหรอครับ”
“พอทำได้ไม่กี่อย่างค่ะ ฉันอยู่คนเดียวมาตลอด เลยไม่ค่อยได้ทำอาหารมื้อใหญ่”
“ไม่เป็นไรครับ เรื่องพวกนี้ผมทำให้คุณก็ได้”
ซูเมี่ยวจินมองหน้าหล่อของสามี เธอได้แต่คิดว่าการมาอยู่ที่นี่แล้วเจอฉางเล่ยเป็นเรื่องที่สวรรค์ประทานมาให้เธอจริง ๆ เรื่องงานบ้านทุกอย่างที่ผ่านมาก็มีเขาเป็นคนทำให้เธอตลอด ซูเมี่ยวจินจึงอยากหาเงินเพื่อช่วยเหลือครอบครัวฉางแทน
ฉางเล่ยที่วันนี้มีคนสวยมาช่วยทำกับข้าวก็อารมณ์ดีเป็นพิเศษ ปกติแล้วเขามักจะช่วยพ่อกับแม่ทำ พอวันนี้มีคนสวยอยู่ด้วย ฉางเล่ยรู้สึกว่าชีวิตแบบนี้ดีกว่าเมื่อก่อนมากโข เขาอดที่จะตื่นเต้นไม่ได้ เพราะอีกไม่กี่วัน เขากับซูเมี่ยวจินก็จะเป็นสามีภรรยาตามธรรมเนียมแล้ว
“โอ้! เจ้าสาวของฉางเล่ยสวยมากจริง ๆ” เสียงลุงใหญ่บ้านฉางที่ตั้งสติได้เป็นคนแรกอดจะชมเสียงดังไม่ได้“ใช่ ๆ เจ้าสามได้ลูกสะใภ้สวยจริง ๆ” พี่ชายหลิวเอ้อหลิงที่เห็นหลานสะใภ้เอ่ยเสริมขึ้นมาเสียงดังเช่นเดียวกัน“พวกลุงอย่าแกล้งภรรยาผมสิครับ ดูสิ เธอทำตัวไม่ถูกแล้ว” ฉางเล่ยยืดอกขึ้นอย่างภูมิใจที่ตัวเองกำลังจะแต่งงานกับคนสวยตรงหน้า เขารู้ดีว่าสีหน้าของซูเมี่ยวจินตอนนี้คงกำลังเขินอายอยู่ ไม่อย่างนั้นแก้มของเธอคงไม่แดงก่ำขึ้นมาจนลามไปถึงคออย่างที่เขากำลังเห็นเป็นแน่“ขอบคุณสำหรับคำชมนะคะคุณลุง” ซูเมี่ยวจินได้ยินฉางเล่ยพูดขึ้น เธอจึงสงบจิตใจตอบกลับผู้อาวุโสอย่างนอบน้อม สายตาคมดุของเธอมองเจ้าบ่าวที่วันนี้หล่อมากในสายตาเธอก็อดที่จะมองเขาสักหลายทีไม่ได้เช่นกันเหล่าผู้อาวุโสเห็นเจ้าบ่าวเจ้าสาวแอบมองกันไปมาก็รีบผลักพวกเขาให้ไปรอต้อนรับแขกที่ลานหน้าบ้าน ฉางเล่ยที่ตั้งตัวได้ก่อนจึงจับมือซูเมี่ยวจินเดินออกไปตามคำสั่งของผู้ใ
หลังกินข้าวเสร็จ ฉางชิงหยูอาสาไปเชิญเพื่อนบ้านที่สนิทกันและยืมโต๊ะเก้าอี้มาไว้ใช้ในงานแต่งงานวันพรุ่งนี้ หลิวเอ้อหลิงบอกให้ฉางเล่ยไปขอซื้อไก่จากเพื่อนบ้านพวกนั้นมาสักหลายตัวเพื่อทำอาหารขึ้นโต๊ะในงานแต่งงาน หลังจากดูแล้วว่ายังขาดเมนูไก่ไปหนึ่งอย่าง สองพ่อลูกจึงออกจากบ้านไปด้วยกันหลิวเอ้อหลิงกับซูเมี่ยวจินจึงช่วยกันตกแต่งบ้านต่อ เหลืออีกเพียงนิดหน่อยก็ตกแต่งเสร็จหมดแล้ว ตอนนี้บ้านฉางเต็มไปด้วยกระดาษและผ้าสีแดงเต็มไปหมด ในห้องนอนของฉางเล่ยเองก็ถูกติดกระดาษเอาไว้เช่นกัน แต่ยังไม่ได้เปลี่ยนผ้าปูเป็นสีแดงมงคล หลิวเอ้อหลิงรอให้ถึงพรุ่งนี้เช้าจึงจะเข้าไปเปลี่ยนให้ลูก ๆ“แม่คะ ฉันติดเสร็จหมดแล้วค่ะ จะให้ทำอะไรต่อคะ” ซูเมี่ยวจินถามขึ้น“ไม่มีอะไรแล้วจ๊ะ เราไปปั้นแป้งเตรียมทำบัวลอยวันพรุ่งนี้กันดีไหม” หลิวเอ้อหลิงนึกถึงขนมบัวลอยที่บ่าวสาวต้องกินในวันแต่งงานขึ้นมาได้ เธอไม่อยากเสียเวลาเตรียมของพรุ่งนี้จึงคิดจะทำเอาไว้ก่อน“ได้ค่ะแม่&r
“เชิญคุณผู้หญิงกับคุณผู้ชายด้านในเลยครับ” เจ้าของร้านผายมือเชิญอย่างนอบน้อม ต่างจากครั้งก่อนที่พวกเขามาขายโสมราวกับหน้ามือเป็นหลังมือ“ขอบคุณครับ/ค่ะ” ฉางเล่ยกับซูเมี่ยวจินเห็นเถ้าแก่ทำแบบนี้เลยไม่อยากเสียมารยาท“พวกคุณนั่งก่อนครับ วันนี้จะมาขายเขากวางในมือนั่นหรือเปล่าครับ” เถ้าแก่ถามด้วยแววตาเป็นประกายระยิบระยับ เพราะเขากำลังจะได้ของดีมาขายอีกแล้ว“ใช่ค่ะ ไม่ทราบว่าคุณรับซื้อยังไงคะเถ้าแก่” ซูเมี่ยวจินถามตรง ๆ เธอไม่เคยขายเขากวางมาก่อนจึงไม่รู้ว่าราคาตลาดเป็นอย่างไร“เขากวางสดขายราคาเป็นขีดครับคุณผู้หญิง เขากวางของคุณใหญ่ขนาดนี้น่าจะได้ราคาสูงมากทีเดียว หลายปีแล้วที่ร้านขายยาไม่มีเขากวางขายครับ” เถ้าแก่บอกตรง ๆ เพื่อที่เขาจะได้รับซื้อเขากวางและนำไปขายทำกำไรต่อเหมือนเคย“ขีดละเท่าไหร่หรือคะเถ้าแก่ ถ้าราคาต่ำไป ฉันจะได้เก็บเอาไว้ก่อน” ซูเมี่ยวจินไม่คิดว่า
ฉางเล่ยถึงกับทึ่งในฝีมือการใช้หน้าไม้ของซูเมี่ยวจิน แต่เขาไม่มีเวลาสงสัยมากนักเมื่อเธอบอกให้เขารีบเข้าไปกลบเลือดกวางที่ตาย เพื่อป้องกันไม่ให้หมาป่าหรือสัตว์ดุร้ายตัวอื่นตามกลิ่นเลือดมาซูเมี่ยวจินมองหาไม้ใหญ่และเถาวัลย์เพื่อใช้มัดกวาง ดีที่ป่าตรงนี้มีทุกอย่างที่เธอต้องการ ซูเมี่ยวจินใช้เวลาไม่นานก็นำของทั้งหมดไปจัดการมัดกวางเอาไว้“ช่วยฉันแบกมันลงจากเขากันเถอะค่ะ ตอนนี้กี่โมงแล้วคะ” ซูเมี่ยวจินยังคงกลัวว่าจะกลับบ้านค่ำมืดเกินไป“สี่โมงเย็นพอดีครับ” ฉางเล่ยยกไม้ที่มีกวางถูกมัดอยู่ขึ้นพาดไหล่อย่างไม่หนักแรง“เรารีบกลับบ้านกันเถอะ พรุ่งนี้ค่อยเอามันไปขายในอำเภอนะคะ”“ตกลงครับ ว่าแต่พรุ่งนี้เราจะใช้จักรยานหรือรถยนต์ไปในอำเภอดีครับ”“ฉันว่าเอาสามล้อของพ่อไปดีกว่าค่ะ ฉันไม่อยากให้ชาวบ้านเห็นรถยนต์เราเร็วนัก ยังไงวันแต่งงานก็ต้องเอารถออกไปจอดหน้าบ้านอย
ทั้งสองกลับมาถึงบ้านก่อนเที่ยงนิดหน่อย หลังจากเก็บเนื้อและผักแช่ไว้ในบ่อน้ำหลังบ้านแล้ว ซูเมี่ยวจินก็ไปอุ่นอาหารรอฉางเล่ยที่กำลังเอาสามล้อไปคืนพ่อที่ไร่ เธอคิดว่าช่วงบ่ายไม่มีอะไรทำ จึงอยากชวนฉางเล่ยขึ้นเขาไปล่าสัตว์ หาสมุนไพรดูสักหน่อย เผื่อว่าจะโชคดีได้เงินอีกสักก้อนฉางเล่ยกลับมากินข้าวพร้อมซูเมี่ยวจินในเวลาไม่นานนัก ระหว่างที่กำลังกินมื้อเที่ยงกันอยู่ ซูเมี่ยวจินก็ชวนฉางเล่ยขึ้นเขา“คุณแน่ใจเหรอว่าจะขึ้นเขาบ่ายนี้” ฉางเล่ยเลิกคิ้วขึ้นอย่างงุนงง“ใช่ค่ะ ยังไงบ่ายนี้พวกเราก็ไม่มีอะไรทำ คุณไม่ได้ไปดูกับดักสัตว์หลายวันแล้ว เผื่อว่าจะได้สัตว์ไปขายในอำเภอพรุ่งนี้สักตัวสองตัวก็ยังดีนะคะ” ซูเมี่ยวจินบอก“ก็ได้ครับ ถ้าอย่างนั้นกินข้าวเสร็จ ผมจะเอากุญแจบ้านไปให้พ่อก่อน คุณรอผมที่บ้านนะครับ ผมไปไม่นาน” ฉางเล่ยพยักหน้าตอบรับ เขาลืมไปเลยว่าวางกับดักสัตว์เอาไว้หลายวันแล้ว เพราะมัวแต่ยุ่งเรื่องงานแต่งงานจึงไม่ได้ขึ้นไปดู
ฉางชิงหยูกับหลิวเอ้อหลิงไปถึงบ้านหลิวในเวลาไม่นาน สองเฒ่าชราที่อายุน้อยกว่าพ่อเฒ่าฉางหลายปีออกมาต้อนรับลูกเขยกับลูกสาวด้วยความดีใจ พอรู้ว่าหลานชายกำลังจะแต่งงาน ทั้งสองก็ดีใจมาก“พวกเราจะไปแน่นอนเอ้อหลิง พ่อกับแม่จะให้พี่ใหญ่เธอพาไปเอง ตั้งแต่หลาน ๆ ไปทำงานในอำเภอ พวกเราก็สบายขึ้นมาก จักรยานที่บ้านก็มีถึงสองคัน ไม่ต้องเป็นห่วงนะ พวกเราจะไปกันตั้งแต่เช้ามืดเลย” แม่หลิวรีบบอกพร้อมรอยยิ้มชรา“ใช่ ๆ นานแล้วที่บ้านเราไม่มีงานมงคล” พ่อหลิวเองก็ดีใจไม่น้อยที่หลานชายกำลังจะเป็นฝั่งเป็นฝาเสียที ทั้งที่อายุก็ไม่น้อยแล้ว“ถ้าพ่อแม่ไม่อยากตื่นเช้านัก พวกเราปั่นจักรยานมารับพวกคุณได้นะคะ” หลิวเอ้อหลิงไม่อยากทำให้พ่อแม่ลำบาก เธอจึงหันไปมองสามี“ใช่ครับ ผมปั่นสามล้อมารับดีไหมครับ พ่อกับแม่จะได้นั่งกันสบายหน่อย”“ไฮ้! ไม่เป็นไร ๆ พวกเราชอบนั่งพ่วงหลังจักรยานของเสี่ยวเค่อมากกว่า” พ่อเ