พ่อแม่ฉางเดินทางไปถึงหมู่บ้านเสิ่นก่อนเที่ยงวันเล็กน้อย ที่ต้องล่าช้าเช่นนี้เพราะหมู่บ้านเสิ่นนั้นอยู่ห่างไกลและเส้นทางกันดารกว่าหมู่บ้านเติ้ง ฉางชิงหยูที่เพิ่งได้รับจักรยานสามล้อคันใหม่จึงปั่นอย่างระมัดระวัง เขากลัวรถคันใหม่จะเสียหายจึงปั่นช้าไม่ต่างจากเต่าคลานสักเท่าไหร่ ทำเอาหลิวเอ้อหลิงบ่นมาตลอดทางถึงความกังวลเกินเหตุของสามีเธอ
“พ่อ แม่ พี่ใหญ่” ฉางชิงหยูตะโกนเรียกเมื่อไปถึงหน้าบ้านตระกูลฉาง
“หืม? เสียงใครมาน่ะ เจ้าใหญ่ไปดูสิ” ฉางเซินบอกลูกชายคนโต
“ครับพ่อ” ฉางต้าหลางที่กลับมาดูแลพ่อแม่ตอนเที่ยงรีบลุกขึ้นออกจากบ้านไป
“พี่ใหญ่ สวัสดีครับ พวกเรามาเชิญไปงานแต่งงานฉางเล่ยครับ” ฉางชิงหยูเห็นพี่ชายเดินออกมาก็รีบตะโกนบอกพร้อมรอยยิ้ม
“อ้าว เจ้าสามเองเหรอ เข้ามาก่อนมา พ่อแม่กำลังกินข้าวพอดี มากินด้วยกันนะ”
“ขอบคุณครับพี่ใหญ่ ผมเอาจักรยานเข้าไปจอดข้างในได้ไหมพี่” ฉางชิงหยูกลัวว่าคนในหมู่บ้านจะมาวุ่นวายกับรถของเขา
“โอ้! พวกเธอมีจักรยานกันแล้วเหรอ ได้สิ ๆ พี่จะเปิดประตูให้ จูงเข้ามาเลย”
ฉางชิงหยูยิ้มแป้น เขารีบเข็นจักรยานเข้าไปพร้อมกับภรรยาที่ทักทายพี่ชายสามีอย่างฉางต้าหลางก่อนหน้านี้
“พ่อ แม่ น้องสามกับสะใภ้สามมาหาครับ” ฉางต้าหลางตะโกนบอกพ่อกับแม่ที่อายุมากแล้วแต่ยังแข็งแรงอยู่เสียงดัง
“โอ้ หลายปีไม่ได้เจอกัน เจ้าสามกับสะใภ้สามเป็นยังไงบ้าง เข้ามา ๆ” อู๋หลิน แม่ของฉางชิงหยูร้องเรียกลูก ๆ พร้อมรอยยิ้มชราที่แย้มบานเต็มใบหน้า
“สวัสดีครับ/ค่ะ พ่อ แม่” ฉางชิงหยูกับหลิวเอ้อหลิงทักทายพร้อมกัน
“นั่งก่อน ๆ ลมอะไรหอบพวกเธอมาหาคนแก่อย่างพวกเราได้ล่ะเนี่ย” ฉางเซินถามลูกชายคนเล็กพร้อมรอยยิ้ม
“โธ่! พ่อครับ พวกผมขอโทษที่ไม่ได้มาเยี่ยมหลายปี เซียงจูใกล้จะเข้ามหาวิทยาลัยแล้วนะครับ พอดีกับที่ฉางเล่ยกำลังจะแต่งงานอีกสองวันข้างหน้า พวกเราเลยมาเชิญพ่อ แม่กับพี่ชายไปร่วมงานครับ” ฉางชิงหยูอธิบายถึงเรื่องที่มาวันนี้
“งานแต่งจะจัดเมื่อไหร่ล่ะลูก” อู๋หลินถามขึ้นอย่างเมตตา
“วันเสาร์นี้ครับแม่ พวกพ่อ แม่ พี่ใหญ่ พี่รอง กับคนในครอบครัวมีรถสำหรับเดินทางไปงานที่หมู่บ้านเติ้งไหมครับ ถ้าไม่มีพวกเราจะได้มารับตั้งแต่เช้า” ฉางชิงหยูถามถึงเรื่องสำคัญ เพราะระยะทางจากที่นี่ไปหมู่บ้านพวกเขาไม่ใช่ใกล้ ๆ
“เจ้าสามไม่ต้องห่วงหรอก พี่ใหญ่จะบอกหลิวซิงกับหลิวหยางให้พาไปเอง พวกเขามีรถจักรยาน เราพ่วงที่นั่งไปเองได้” ฉางต้าหลางซึ่งมีลูกชายฝาแฝดทำงานในอำเภอบอกพร้อมรอยยิ้ม
“มัวแต่คุยกันอยู่นั่นแหละ รีบกินข้าวก่อนเร็วเข้า เจ้าใหญ่ยังต้องไปที่ไร่อีก” ฉางเซินกลัวว่าลูกชายคนโตจะเข้างานช่วงบ่ายช้าจึงรีบบอกลูก ๆ
“ครับพ่อ ผมจะรีบกินข้าวก่อน แล้วจะไปที่ไร่บอกน้องรองด้วย พวกเขาน่าจะดีใจที่รู้ว่าบ้านเจ้าสามกำลังจะมีงานมงคล” ฉางต้าหลางพยักหน้ารับคำ
ระหว่างทานอาหาร ผู้เฒ่าทั้งสองต่างถามไถ่ถึงความเป็นมาเป็นไปเรื่องฉางเล่ยและซูเมี่ยวจิน พอพวกเขารู้ว่าว่าที่สะใภ้คนใหม่มีความสามารถและร่ำรวยก็ยิ่งกลัวว่าพวกเขาจะไปทำให้ครอบครัวลูกชายคนเล็กขายหน้า ถึงแม้ที่บ้านจะไม่ได้ยากจนขนาดนั้น แต่ก็ไม่ได้ร่ำรวยอะไร
“ทุกคนไม่ต้องกังวลไปนะคะ เมี่ยวจินเป็นเด็กดี เธอจะไม่ดูถูกพวกคุณหรอกค่ะ” หลิวเอ้อหลิงยิ้มบอก เธออยู่กับเมี่ยวจินมาหลายวัน จึงรู้ดีว่าถึงแม้เมี่ยวจินจะดูดุไปหน่อย แต่ความจริงแล้วเธอไม่เคยมองว่าพวกเขาฐานะต่างกันเลยแม้แต่น้อย
“เฮ้อ! เราก็แก่เฒ่ากันแล้ว ก่อนตายได้เห็นฉางเล่ยแต่งงานก็พอใจมากแล้วล่ะ”
“พ่อทำไมพูดแบบนี้ล่ะครับ พี่ใหญ่ดูแลพ่อกับแม่ดีขนาดนี้ ต้องอยู่อีกนานจนพวกผมมีหลานโน่นแหละครับ” ฉางชิงหยูรีบปรามพ่อตัวเองไม่ให้พูดในทางไม่ดี
“ตาแก่! อย่าพูดจาให้ลูก ๆ เป็นห่วงสิ อ้อ! พวกลูกจะให้สะใภ้ใหญ่กับสะใภ้รองไปช่วยทำอาหารที่บ้านหรือเปล่า พวกเราจะได้ออกเดินทางกันตั้งแต่เช้ามืด” อู๋หลินเอ็ดสามีแล้วหันไปถามลูกชายคนเล็กกับสะใภ้
“ไม่เป็นไรค่ะแม่ งานแต่งครั้งนี้เราเชิญแค่พวกคุณกับครอบครัวพ่อของฉันเท่านั้นค่ะ เมี่ยวจินอยากจัดแค่งานในครอบครัว เธอไม่อยากให้พวกชาวบ้านในหมู่บ้านมาวุ่นวายที่บ้านพวกเราน่ะค่ะ” หลิวเอ้อหลิงอธิบายตามที่ลูกสะใภ้บอกเอาไว้
“หืม? เกิดอะไรขึ้นที่หมู่บ้านหรือเปล่าน้องสาม” ฉางต้าหลางขมวดคิ้วมุ่น
ฉางชิงหยูมองหน้าภรรยา พอเห็นเธอพยักหน้าให้พูด เขาจึงเล่าเรื่องเมื่อเช้านี้ให้กับทุกคนในบ้านฟังทั้งหมด
ปัง!!!
“ชาวบ้านพวกนี้น่ารังเกียจจริง ๆ ดีที่บ้านเรามีผู้ชายเยอะ ในหมู่บ้านนี้ถึงไม่มีใครกล้ามายุ่งกับครอบครัวพวกเรา” ฉางเซินตบโต๊ะเสียงดังอย่างโมโห เขาไม่คิดว่าหมู่บ้านที่ลูกชายคนเล็กอยู่จะมีคนขี้อิจฉาจนกล้าสร้างเรื่องให้หลานชาย
“พ่ออย่าโมโหไปเลยนะครับ เมี่ยวจินเขามีฐานะพิเศษ หลังจากนี้ชาวบ้านพวกนั้นคงไม่กล้ามาใส่ร้ายบ้านเราแล้วล่ะครับ” ฉางชิงหยูรีบปลอบพ่อตัวเองที่โกรธจนหน้าแดงก่ำขึ้นมา ท่านชรามากแล้ว เขาจึงกลัวว่าพ่อจะป่วยเพราะความโกรธ
“ตาแก่ สงบสติอารมณ์หน่อยเถอะน่า อายุปูนนี้แล้วยังจะโกรธเรื่องพวกนี้อีก” อู๋หลินอดที่จะบ่นสามีไม่ได้ เขาอายุมากกว่าเธอห้าปี ปีนี้ก็ใกล้จะ 80 แล้ว
หลังจากปลอบใจฉางเซินกันไม่นาน ฉางต้าหลางก็ขอตัวไปที่ไร่เพื่อบอกข่าวน้องชายคนรองของเขา ความจริงตระกูลฉางของหมู่บ้านเสิ่น ไม่จำเป็นต้องทำงานแลกแต้มก็สามารถอยู่ได้อย่างสบาย เพราะลูกหลานพวกเขาต่างทำงานในอำเภอกันทั้งนั้น ทำให้ที่บ้านไม่ขาดแคลนเรื่องกินอยู่ อีกทั้งหลาน ๆ พวกเขายังแต่งงานมีครอบครัวและอาศัยอยู่ในหมู่บ้านนี้ด้วย ทำให้ตระกูลฉางกลายเป็นตระกูลที่ใหญ่ที่สุดในหมู่บ้านเสิ่น ส่วนบ้านตระกูลหลิวของหลิวเอ้อหลิงก็ได้รับการดูแลจากตระกูลฉางมาตลอด ทำให้สองตระกูลไม่มีใครกล้าหาเรื่อง
“คุณคะ ฉันลืมเอาของฝากลงมาให้พ่อกับแม่ คุณคุยกับพวกท่านไปก่อนนะ ฉันจะไปเอามาเก็บไว้ในบ้านก่อน” หลิวเอ้อหลิงนึกถึงอาหารแห้งที่เอามาฝากบ้านใหญ่
“ตกลง คุณไปเถอะ อีกสักพักเราค่อยไปบ้านหลิวกัน” ฉางชิงหยูไม่ลืมที่จะไปบ้านพ่อตาแม่ยายเขาเพื่อเชิญไปร่วมงานด้วย
หลิวเอ้อหลิงพยักหน้ารับคำสามีพร้อมรอยยิ้ม เธอไม่ได้มาเยี่ยมพ่อแม่ตัวเองหลายปีแล้วเช่นกัน ไม่รู้ว่าตอนนี้พวกท่านเป็นอย่างไรบ้าง โชคดีที่มีตระกูลฉางคอยช่วยดูแล ทำให้บ้านพ่อแม่เธอไม่ถูกคนในหมู่บ้านรังแกเหมือนเมื่อก่อนที่เธอจะแต่งงานกับตระกูลฉาง
ฉางชิงหยูกับหลิวเอ้อหลิงนั่งคุยเล่นที่บ้านใหญ่จนกระทั่งพ่อแม่เขาเริ่มง่วงนอนตอนบ่าย ทั้งสองจึงขอตัวไปที่บ้านตระกูลหลิวเพื่อส่งข่าว
“ไปเถอะ ๆ เฒ่าหลิวคงดีใจที่เห็นสะใภ้มาเยี่ยม” อู๋หลินเดินมาส่งลูกชายลูกสะใภ้พร้อมรอยยิ้มที่หน้าประตู
“ไปก่อนนะครับแม่ พ่อ ไว้เจอกันวันเสาร์นี้ครับ” ฉางชิงหยูโบกมือลาและปั่นจักรยานสามล้อออกไปพร้อมหลิวเอ้อหลิง
ระหว่างทางมีชาวบ้านมองดูพวกเขาสองสามีภรรยา แต่ไม่มีใครกล้าปากมากเหมือนในหมู่บ้านเติ้ง ใครไม่รู้กันบ้างว่าพ่อเฒ่าฉางอารมณ์ร้ายขนาดไหน ถ้ามีใครกล้าพูดถึงคนบ้านฉางในทางไม่ดี คนบ้านฉางทั้งตระกูลจะรวมตัวกันมาด่าพวกเขาถึงหน้าประตูบ้านเลยเชียวล่ะ พวกเขามีหรือจะอยากขายหน้าแบบนั้น ชาวบ้านจึงเลือกที่จะไม่พูดถึงเรื่องคนบ้านฉางอีก
“โอ้! เจ้าสาวของฉางเล่ยสวยมากจริง ๆ” เสียงลุงใหญ่บ้านฉางที่ตั้งสติได้เป็นคนแรกอดจะชมเสียงดังไม่ได้“ใช่ ๆ เจ้าสามได้ลูกสะใภ้สวยจริง ๆ” พี่ชายหลิวเอ้อหลิงที่เห็นหลานสะใภ้เอ่ยเสริมขึ้นมาเสียงดังเช่นเดียวกัน“พวกลุงอย่าแกล้งภรรยาผมสิครับ ดูสิ เธอทำตัวไม่ถูกแล้ว” ฉางเล่ยยืดอกขึ้นอย่างภูมิใจที่ตัวเองกำลังจะแต่งงานกับคนสวยตรงหน้า เขารู้ดีว่าสีหน้าของซูเมี่ยวจินตอนนี้คงกำลังเขินอายอยู่ ไม่อย่างนั้นแก้มของเธอคงไม่แดงก่ำขึ้นมาจนลามไปถึงคออย่างที่เขากำลังเห็นเป็นแน่“ขอบคุณสำหรับคำชมนะคะคุณลุง” ซูเมี่ยวจินได้ยินฉางเล่ยพูดขึ้น เธอจึงสงบจิตใจตอบกลับผู้อาวุโสอย่างนอบน้อม สายตาคมดุของเธอมองเจ้าบ่าวที่วันนี้หล่อมากในสายตาเธอก็อดที่จะมองเขาสักหลายทีไม่ได้เช่นกันเหล่าผู้อาวุโสเห็นเจ้าบ่าวเจ้าสาวแอบมองกันไปมาก็รีบผลักพวกเขาให้ไปรอต้อนรับแขกที่ลานหน้าบ้าน ฉางเล่ยที่ตั้งตัวได้ก่อนจึงจับมือซูเมี่ยวจินเดินออกไปตามคำสั่งของผู้ใ
หลังกินข้าวเสร็จ ฉางชิงหยูอาสาไปเชิญเพื่อนบ้านที่สนิทกันและยืมโต๊ะเก้าอี้มาไว้ใช้ในงานแต่งงานวันพรุ่งนี้ หลิวเอ้อหลิงบอกให้ฉางเล่ยไปขอซื้อไก่จากเพื่อนบ้านพวกนั้นมาสักหลายตัวเพื่อทำอาหารขึ้นโต๊ะในงานแต่งงาน หลังจากดูแล้วว่ายังขาดเมนูไก่ไปหนึ่งอย่าง สองพ่อลูกจึงออกจากบ้านไปด้วยกันหลิวเอ้อหลิงกับซูเมี่ยวจินจึงช่วยกันตกแต่งบ้านต่อ เหลืออีกเพียงนิดหน่อยก็ตกแต่งเสร็จหมดแล้ว ตอนนี้บ้านฉางเต็มไปด้วยกระดาษและผ้าสีแดงเต็มไปหมด ในห้องนอนของฉางเล่ยเองก็ถูกติดกระดาษเอาไว้เช่นกัน แต่ยังไม่ได้เปลี่ยนผ้าปูเป็นสีแดงมงคล หลิวเอ้อหลิงรอให้ถึงพรุ่งนี้เช้าจึงจะเข้าไปเปลี่ยนให้ลูก ๆ“แม่คะ ฉันติดเสร็จหมดแล้วค่ะ จะให้ทำอะไรต่อคะ” ซูเมี่ยวจินถามขึ้น“ไม่มีอะไรแล้วจ๊ะ เราไปปั้นแป้งเตรียมทำบัวลอยวันพรุ่งนี้กันดีไหม” หลิวเอ้อหลิงนึกถึงขนมบัวลอยที่บ่าวสาวต้องกินในวันแต่งงานขึ้นมาได้ เธอไม่อยากเสียเวลาเตรียมของพรุ่งนี้จึงคิดจะทำเอาไว้ก่อน“ได้ค่ะแม่&r
“เชิญคุณผู้หญิงกับคุณผู้ชายด้านในเลยครับ” เจ้าของร้านผายมือเชิญอย่างนอบน้อม ต่างจากครั้งก่อนที่พวกเขามาขายโสมราวกับหน้ามือเป็นหลังมือ“ขอบคุณครับ/ค่ะ” ฉางเล่ยกับซูเมี่ยวจินเห็นเถ้าแก่ทำแบบนี้เลยไม่อยากเสียมารยาท“พวกคุณนั่งก่อนครับ วันนี้จะมาขายเขากวางในมือนั่นหรือเปล่าครับ” เถ้าแก่ถามด้วยแววตาเป็นประกายระยิบระยับ เพราะเขากำลังจะได้ของดีมาขายอีกแล้ว“ใช่ค่ะ ไม่ทราบว่าคุณรับซื้อยังไงคะเถ้าแก่” ซูเมี่ยวจินถามตรง ๆ เธอไม่เคยขายเขากวางมาก่อนจึงไม่รู้ว่าราคาตลาดเป็นอย่างไร“เขากวางสดขายราคาเป็นขีดครับคุณผู้หญิง เขากวางของคุณใหญ่ขนาดนี้น่าจะได้ราคาสูงมากทีเดียว หลายปีแล้วที่ร้านขายยาไม่มีเขากวางขายครับ” เถ้าแก่บอกตรง ๆ เพื่อที่เขาจะได้รับซื้อเขากวางและนำไปขายทำกำไรต่อเหมือนเคย“ขีดละเท่าไหร่หรือคะเถ้าแก่ ถ้าราคาต่ำไป ฉันจะได้เก็บเอาไว้ก่อน” ซูเมี่ยวจินไม่คิดว่า
ฉางเล่ยถึงกับทึ่งในฝีมือการใช้หน้าไม้ของซูเมี่ยวจิน แต่เขาไม่มีเวลาสงสัยมากนักเมื่อเธอบอกให้เขารีบเข้าไปกลบเลือดกวางที่ตาย เพื่อป้องกันไม่ให้หมาป่าหรือสัตว์ดุร้ายตัวอื่นตามกลิ่นเลือดมาซูเมี่ยวจินมองหาไม้ใหญ่และเถาวัลย์เพื่อใช้มัดกวาง ดีที่ป่าตรงนี้มีทุกอย่างที่เธอต้องการ ซูเมี่ยวจินใช้เวลาไม่นานก็นำของทั้งหมดไปจัดการมัดกวางเอาไว้“ช่วยฉันแบกมันลงจากเขากันเถอะค่ะ ตอนนี้กี่โมงแล้วคะ” ซูเมี่ยวจินยังคงกลัวว่าจะกลับบ้านค่ำมืดเกินไป“สี่โมงเย็นพอดีครับ” ฉางเล่ยยกไม้ที่มีกวางถูกมัดอยู่ขึ้นพาดไหล่อย่างไม่หนักแรง“เรารีบกลับบ้านกันเถอะ พรุ่งนี้ค่อยเอามันไปขายในอำเภอนะคะ”“ตกลงครับ ว่าแต่พรุ่งนี้เราจะใช้จักรยานหรือรถยนต์ไปในอำเภอดีครับ”“ฉันว่าเอาสามล้อของพ่อไปดีกว่าค่ะ ฉันไม่อยากให้ชาวบ้านเห็นรถยนต์เราเร็วนัก ยังไงวันแต่งงานก็ต้องเอารถออกไปจอดหน้าบ้านอย
ทั้งสองกลับมาถึงบ้านก่อนเที่ยงนิดหน่อย หลังจากเก็บเนื้อและผักแช่ไว้ในบ่อน้ำหลังบ้านแล้ว ซูเมี่ยวจินก็ไปอุ่นอาหารรอฉางเล่ยที่กำลังเอาสามล้อไปคืนพ่อที่ไร่ เธอคิดว่าช่วงบ่ายไม่มีอะไรทำ จึงอยากชวนฉางเล่ยขึ้นเขาไปล่าสัตว์ หาสมุนไพรดูสักหน่อย เผื่อว่าจะโชคดีได้เงินอีกสักก้อนฉางเล่ยกลับมากินข้าวพร้อมซูเมี่ยวจินในเวลาไม่นานนัก ระหว่างที่กำลังกินมื้อเที่ยงกันอยู่ ซูเมี่ยวจินก็ชวนฉางเล่ยขึ้นเขา“คุณแน่ใจเหรอว่าจะขึ้นเขาบ่ายนี้” ฉางเล่ยเลิกคิ้วขึ้นอย่างงุนงง“ใช่ค่ะ ยังไงบ่ายนี้พวกเราก็ไม่มีอะไรทำ คุณไม่ได้ไปดูกับดักสัตว์หลายวันแล้ว เผื่อว่าจะได้สัตว์ไปขายในอำเภอพรุ่งนี้สักตัวสองตัวก็ยังดีนะคะ” ซูเมี่ยวจินบอก“ก็ได้ครับ ถ้าอย่างนั้นกินข้าวเสร็จ ผมจะเอากุญแจบ้านไปให้พ่อก่อน คุณรอผมที่บ้านนะครับ ผมไปไม่นาน” ฉางเล่ยพยักหน้าตอบรับ เขาลืมไปเลยว่าวางกับดักสัตว์เอาไว้หลายวันแล้ว เพราะมัวแต่ยุ่งเรื่องงานแต่งงานจึงไม่ได้ขึ้นไปดู
ฉางชิงหยูกับหลิวเอ้อหลิงไปถึงบ้านหลิวในเวลาไม่นาน สองเฒ่าชราที่อายุน้อยกว่าพ่อเฒ่าฉางหลายปีออกมาต้อนรับลูกเขยกับลูกสาวด้วยความดีใจ พอรู้ว่าหลานชายกำลังจะแต่งงาน ทั้งสองก็ดีใจมาก“พวกเราจะไปแน่นอนเอ้อหลิง พ่อกับแม่จะให้พี่ใหญ่เธอพาไปเอง ตั้งแต่หลาน ๆ ไปทำงานในอำเภอ พวกเราก็สบายขึ้นมาก จักรยานที่บ้านก็มีถึงสองคัน ไม่ต้องเป็นห่วงนะ พวกเราจะไปกันตั้งแต่เช้ามืดเลย” แม่หลิวรีบบอกพร้อมรอยยิ้มชรา“ใช่ ๆ นานแล้วที่บ้านเราไม่มีงานมงคล” พ่อหลิวเองก็ดีใจไม่น้อยที่หลานชายกำลังจะเป็นฝั่งเป็นฝาเสียที ทั้งที่อายุก็ไม่น้อยแล้ว“ถ้าพ่อแม่ไม่อยากตื่นเช้านัก พวกเราปั่นจักรยานมารับพวกคุณได้นะคะ” หลิวเอ้อหลิงไม่อยากทำให้พ่อแม่ลำบาก เธอจึงหันไปมองสามี“ใช่ครับ ผมปั่นสามล้อมารับดีไหมครับ พ่อกับแม่จะได้นั่งกันสบายหน่อย”“ไฮ้! ไม่เป็นไร ๆ พวกเราชอบนั่งพ่วงหลังจักรยานของเสี่ยวเค่อมากกว่า” พ่อเ