ซูเมี่ยวจินใช้ความเร็วเพิ่มขึ้นเพื่อเดินขึ้นเขาฝั่งตะวันออก ครึ่งชั่วโมงต่อมา เสียงของระบบก็ดังขึ้นอย่างตื่นเต้น
[เจ้านาย อีกหนึ่งกิโลเมตรข้างหน้ามีเสือลายพาดกลอนตัวใหญ่ครับ]
[ฮะ! ทำไมนายไม่บอกให้เร็วกว่านี้เล่า ตอนนี้ฉันจะหนีก็สายไปแล้ว บัดซบ!!!]
[อ้าว ก็เจ้านายบอกให้ผมค้นหาสัตว์ใหญ่ไม่ใช่หรือครับ]
[พอเลย! ฉันจะสำรวจแถวนี้ก่อนว่ามีกับดักสัตว์ไหม ถ้ามีจะได้ล่อมันเข้ามาติดกับ]
[ครับ ๆ เจ้านายระวังโสมจะเสียหายด้วยนะครับ]
[รู้แล้วน่า! ฉันจะวางตะกร้าซ่อนไว้แถวนี้ก่อน นายอย่าลืมเตือนฉันล่ะ]
[ทราบแล้วครับเจ้านาย ระวังตัวด้วยนะครับ]
ซูเมี่ยวจินหาที่ซ่อนตะกร้าโสมของเธอเสร็จ เธอเดินมองโดยรอบบริเวณก็ไม่เห็นว่าจะมีกับดักสัตว์อยู่เลย ซูเมี่ยวจินได้แต่ชักมีดพร้าออกมาและตัดสินใจเดินต่อไปยังสถานที่ที่ระบบบอกว่ามีเสือลายพาดกลอนอยู่ ตั้งแต่ร่างกายเธอหายดี ซูเมี่ยวจินก็ไม่ได้ต่อสู้มานานแล้ว วันนี้เธอต้องรับศึกหนักจากเจ้าเสือตัวใหญ่ ซูเมี่ยวจินยอมเสี่ยงที่จะล่ามัน เพราะหากล่าได้ เงินจากการขายมันจะเพิ่มขึ้นอีกมากโข
โฮก!!!!
เสียงคำรามของเสือตัวเขื่องดังมาเมื่อมันเห็นมนุษย์ร่างบาง ซูเมี่ยวจินรอดูท่าทีของมันก่อนจะลงมือ หากว่ามันไม่คิดจะทำร้ายเธอ เธออาจจะเดินกลับไปเอาตะกร้าโสมและรีบไปที่ลำธารตามนัดแทน น่าเสียดายที่เสือตัวนั้นกำลังหิวพอดี มันวิ่งตรงเข้าหาซูเมี่ยวจินด้วยความเร็วสูงสุด
ซูเมี่ยวจินเตรียมรับมืออย่างรวดเร็ว เมื่อเสือพุ่งเข้ามาในระยะต่อสู้ เธอก็กระโจนเข้าใส่พร้อมกัดแกว่งมีดพร้าใส่ร่างของเสือร้ายด้วยความรุนแรงและรวดเร็วไม่ต่างจากเสือตัวนั้นที่ใช้อุ้งเท้าตบเข้าที่ร่างของเธอ ดีที่ซูเมี่ยวจินหลบทันแต่ก็ยังถูกกรงเล็บของมันฉีกเสื้อหนังจนเสียหายอีก
“ไอ้เสือบ้า! แกรู้ไหมว่าเสื้อตัวนี้ราคาเท่าไหร่ บังอาจทำเสื้อฉันเสียหาย ตายซะ!”
ซูเมี่ยวจินใช้ความคล่องแคล่วและว่องไวของเธอหลบหลีกกรงเล็บเสือ เธอยังฟาดฟันมีดพร้าที่คมกริบไปยังจุดตายของเสือร้ายหลายครั้ง น่าเสียดายที่หนังของมันนั้นหนามาก ซูเมี่ยวจินได้แต่ต้องจัดการจุดอ่อนของมันที่ใบหน้าซึ่งเป็นเป้าหมายขนาดเล็ก เธอจำเป็นต้องใช้สมาธิและความแม่นยำจัดการ ไม่อย่างนั้นเธอจะต้องได้รับบาดเจ็บอีกครั้งแน่ ถ้าครั้งนี้เธอบาดเจ็บอีก ฉางเล่ยคงไม่ยอมให้เธอขึ้นเขากับเขาอีกต่อไป
หนึ่งคนหนึ่งเสือโรมรันพันตูกันอยู่นานเกือบหนึ่งชั่วโมง ซูเมี่ยวจินได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยจากกรงเล็บของมัน แต่เสือตัวนั้นกลับกำลังบาดเจ็บสาหัส มันกำลังหาจังหวะที่จะหนีออกจากการต่อสู้ครั้งนี้ หลังจากที่ทำอย่างไรก็ไม่อาจสร้างบาดแผลขนาดใหญ่ให้มนุษย์ตรงหน้า มันไม่คิดว่ามนุษย์ร่างบางคนนี้จะมีความสามารถในการต่อสู้มากกว่ามันเสียอีก
“คิดจะหนีเหรอ! ฝันไปเถอะ!” ซูเมี่ยวจินกระโจนเข้าใส่เสือที่กำลังอ่อนล้าอีกครั้ง
มีดพร้าถูกฟันลงกลางกระโหลกศรีษะของเสือตัวเขื่องอย่างแรง มันได้แต่ร้องเสียงดังออกมาอย่างเจ็บปวด ซูเมี่ยวจินเมื่อเห็นร่างของเสือตรงหน้าทรุดลง เธอรีบฟันมีดเข้าที่คอของมันจนเลือดสาดกระเซ็นไปทั่ว เสือร้ายกระเสือกกระสนอยู่ไม่นานก็แน่นิ่งไปเพราะเสียเลือดมาก
“แฮ่กๆ บ้าเอ้ย! บาดเจ็บอีกจนได้ ฉางเล่ยต้องไม่ให้ฉันขึ้นเขาอีกแน่”
ซูเมี่ยวจินบ่นป้อย ๆ ขณะที่กำลังจัดการกลบเลือดเสือและหาไม้แถวนั้นมามัดเสือเอาไว้เพื่อลากมันไปยังลำธารเพื่อทำความสะอาด ไม่อย่างนั้นสัตว์ตัวอื่นคงตามรอยเลือดมาแน่
[เจ้านายเก่งมากเลยครับ อย่าลืมไปเอาตะกร้าโสมนะครับเจ้านาย]
[อืม… รอฉันจัดการเสือตัวนี้ก่อน นี่มันกี่โมงแล้วเนี่ย]
[ใกล้ถึงเวลานัดกับคุณฉางเล่ยแล้วครับเจ้านาย]
[บ้าจริง! ฉันต้องเร่งมือแล้ว]
ซูเมี่ยวจินถึงแม้จะบาดเจ็บหลายแห่ง แต่ก็เป็นเพียงบาดแผลภายนอก เธอไม่สนใจเลือดที่ไหลออกจากร่างเลยแม้แต่น้อย ตอนนี้เธอมัดเสือเอาไว้กับไม้ขนาดย่อมท่อนหนึ่งอย่างแน่นหนา จากนั้นจึงลากมันไปยังใต้ต้นไม้ที่เธอซ่อนตะกร้าโสมเอาไว้ก่อนหน้านี้อย่างทุลักทุเลเล็กน้อย เนื่องจากสภาพภูมิประเทศบนภูเขาไม่เอื้อให้เธอลากมันไปมาได้ง่ายนัก อีกทั้งขนาดตัวของมันก็ใหญ่มากจริง ๆ หากเป็นคนอื่นที่เจอเสือตัวนี้ ป่านนี้เขาคงกลายเป็นร่างไร้วิญญาณไปนานแล้ว
ฉางเล่ยตอนนี้มาถึงริมลำธารสักพักแล้ว เขามองหาร่างบางของซูเมี่ยวจินก็ไม่เห็นแม้แต่เงา ฉางเล่ยขมวดคิ้วมุ่นอย่างกังวล
“เธอไปถึงไหนกันนะ ทำไมป่านนี้แล้วยังไม่มาอีก” ฉางเล่ยบ่นอยู่คนเดียว
ส่วนคนที่เขากำลังบ่นถึงนั้น ตอนนี้เธอกำลังลากเสือตัวใหญ่มาทางทิศตะวันตกบริเวณลำธารที่นัดกับฉางเล่ยเอาไว้ ซูเมี่ยวจินกัดฟันเร่งความเร็วที่คิดว่าเร็วที่สุดแล้ว แต่จนใจที่เสือตัวนี้หนักเอาการ ทำให้กว่าเธอจะเดินทางมาถึงริมลำธารที่นัดกับฉางเล่ยเอาไว้ก็ใช้เวลากว่าหนึ่งชั่วโมงเลยทีเดียว
“คุณ! นี่คุณบาดเจ็บอีกแล้วเหรอ” ฉางเล่ยที่คอยมองตลอดว่าเมื่อไหร่ซูเมี่ยวจินจะมาถึง เขารีบลุกขึ้นและวิ่งเข้าไปหาเธออย่างเป็นห่วง เมื่อเห็นเธอลากเสือตัวใหญ่มาพร้อมกับรอยเลือดที่ติดอยู่บนเสื้อของซูเมี่ยวจิน
“ฉันไม่เป็นอะไรมากหรอกค่ะ นี่เลือดของเสือตัวนี้ต่างหาก” ซูเมี่ยวจินไม่อยากให้ฉางเล่ยเป็นห่วงจึงบอกไปอย่างนั้น
“ทีหลังอย่าทำแบบนี้อีกนะครับ ถ้าเจอเสือต้องรีบหนีรู้หรือเปล่า หากคุณเป็นอะไรไปผมจะบอกครอบครัวยังไง” ฉางเล่ยที่รับเสือจากมือเล็กของซูเมี่ยวจินมาแล้วลากไปที่ริมลำธารเพื่อล้างคราบเลือดออกแทนเธอ
“ฉันรู้ค่ะ ตอนเจอมันก็จวนตัวแล้ว เลยต้องสู้เพื่อให้รอดนี่แหละ” ซูเมี่ยวจินเดินไปล้างเนื้อล้างตัวไม่ไกลจากบริเวณที่ฉางเล่ยล้างเลือดเสือนัก
“คุณล้างตัวเสร็จก็ไปกินข้าวก่อนนะครับ ผมวางเอาไว้ให้ที่ใต้ต้นไม้แล้ว เดี๋ยวทำความสะอาดเสือตัวนี้เสร็จผมจะตามไป” ฉางเล่ยชี้บอกทางให้ซูเมี่ยวจินและล้างเลือดของเสือต่ออย่างขะมักเขม้น
“ตกลงค่ะ คุณก็รีบมานะ เราจะได้ลงเขาก่อนฟ้ามืด ฉันอยากรีบเอาเสือตัวนี้ไปขายในอำเภอด้วย” ซูเมี่ยวจินรู้ดีว่าหากชาวบ้านรู้เข้าจะต้องมีคนมาพูดมากความกับบ้านฉางอีกแน่ เธอจึงอยากรีบนำเสือไปขายเสียก่อน
“เรื่องนั้นคุณไม่ต้องห่วง ผมจะรีบพาคุณลงเขาและเข้าอำเภอกันวันนี้เลย”
ฉางเล่ยเองก็รู้นิสัยคนในหมู่บ้านดี เมื่อก่อนตอนเขาล่าหมูป่าได้ คนพวกนั้นก็มาเอาเปรียบบ้านพวกเขาโดยใช้เงินเล็กน้อยซื้อเนื้อหมูของพวกเขาไป หลังจากนั้นเป็นต้นมา ฉางเล่ยก็ไม่คิดจะนำสัตว์ใหญ่ที่ล่าได้กลับบ้านอีกเลย
หนึ่งชั่วโมงต่อมา ฉางเล่ยกับซูเมี่ยวจินช่วยกันลากแผ่นไม้ที่มีเสือตัวเขื่องวางอยู่ลงจากภูเขา ระหว่างเดินอย่างไม่เร็วไม่ช้าอยู่นั้น ซูเมี่ยวจินที่กลัวว่าจะไปถึงอำเภอค่ำเกินไปก็เอ่ยขึ้น
“เรารีบไปกันเถอะฉางเล่ย ฉันกลัวว่าจะไปถึงอำเภอค่ำเกินไป”
“ตกลง ผมกลัวว่าคุณจะเหนื่อยเลยไม่อยากเดินเร็วนัก”
“ฉันหายเหนื่อยแล้ว คุณไม่ต้องเป็นห่วงมากนักหรอก บอกแล้วไงว่าฉันเป็นครูสอนการต่อสู้น่ะ” ซูเมี่ยวจินตบอกอวบใหญ่ปุ ๆ อย่างมั่นใจ
“อืม… ผมรู้ครับ แต่คุณก็ยังบาดเจ็บอยู่ดี” ฉางเล่ยไม่กล้ามองหน้าอกหน้าใจของสาวสวยข้าง ๆ เขาได้แต่เสมองไปด้านหน้าเพื่อระวังไม่ให้สะดุดอะไรจนลงเขาช้า
ด้วยความแข็งแกร่งของร่างกายคนทั้งคู่ พวกเขาลงเขาในเวลาเพียงครึ่งชั่วโมงเท่านั้น ฉางเล่ยยังคงอ้อมทางผ่านหมู่บ้านไปยังที่ลับตาคนเพื่อเข้าอำเภอ ซูเมี่ยวจินจดจำเส้นทางนี้เอาไว้ เผื่อวันข้างหน้าเธอจะได้ล่าสัตว์ป่าแล้วเข้าอำเภอด้วยตัวเองได้ ทั้งสองเร่งฝีเท้าเมื่อผ่านหมู่บ้านไปเจอถนนเรียบ ๆ
“โอ้! เจ้าสาวของฉางเล่ยสวยมากจริง ๆ” เสียงลุงใหญ่บ้านฉางที่ตั้งสติได้เป็นคนแรกอดจะชมเสียงดังไม่ได้“ใช่ ๆ เจ้าสามได้ลูกสะใภ้สวยจริง ๆ” พี่ชายหลิวเอ้อหลิงที่เห็นหลานสะใภ้เอ่ยเสริมขึ้นมาเสียงดังเช่นเดียวกัน“พวกลุงอย่าแกล้งภรรยาผมสิครับ ดูสิ เธอทำตัวไม่ถูกแล้ว” ฉางเล่ยยืดอกขึ้นอย่างภูมิใจที่ตัวเองกำลังจะแต่งงานกับคนสวยตรงหน้า เขารู้ดีว่าสีหน้าของซูเมี่ยวจินตอนนี้คงกำลังเขินอายอยู่ ไม่อย่างนั้นแก้มของเธอคงไม่แดงก่ำขึ้นมาจนลามไปถึงคออย่างที่เขากำลังเห็นเป็นแน่“ขอบคุณสำหรับคำชมนะคะคุณลุง” ซูเมี่ยวจินได้ยินฉางเล่ยพูดขึ้น เธอจึงสงบจิตใจตอบกลับผู้อาวุโสอย่างนอบน้อม สายตาคมดุของเธอมองเจ้าบ่าวที่วันนี้หล่อมากในสายตาเธอก็อดที่จะมองเขาสักหลายทีไม่ได้เช่นกันเหล่าผู้อาวุโสเห็นเจ้าบ่าวเจ้าสาวแอบมองกันไปมาก็รีบผลักพวกเขาให้ไปรอต้อนรับแขกที่ลานหน้าบ้าน ฉางเล่ยที่ตั้งตัวได้ก่อนจึงจับมือซูเมี่ยวจินเดินออกไปตามคำสั่งของผู้ใ
หลังกินข้าวเสร็จ ฉางชิงหยูอาสาไปเชิญเพื่อนบ้านที่สนิทกันและยืมโต๊ะเก้าอี้มาไว้ใช้ในงานแต่งงานวันพรุ่งนี้ หลิวเอ้อหลิงบอกให้ฉางเล่ยไปขอซื้อไก่จากเพื่อนบ้านพวกนั้นมาสักหลายตัวเพื่อทำอาหารขึ้นโต๊ะในงานแต่งงาน หลังจากดูแล้วว่ายังขาดเมนูไก่ไปหนึ่งอย่าง สองพ่อลูกจึงออกจากบ้านไปด้วยกันหลิวเอ้อหลิงกับซูเมี่ยวจินจึงช่วยกันตกแต่งบ้านต่อ เหลืออีกเพียงนิดหน่อยก็ตกแต่งเสร็จหมดแล้ว ตอนนี้บ้านฉางเต็มไปด้วยกระดาษและผ้าสีแดงเต็มไปหมด ในห้องนอนของฉางเล่ยเองก็ถูกติดกระดาษเอาไว้เช่นกัน แต่ยังไม่ได้เปลี่ยนผ้าปูเป็นสีแดงมงคล หลิวเอ้อหลิงรอให้ถึงพรุ่งนี้เช้าจึงจะเข้าไปเปลี่ยนให้ลูก ๆ“แม่คะ ฉันติดเสร็จหมดแล้วค่ะ จะให้ทำอะไรต่อคะ” ซูเมี่ยวจินถามขึ้น“ไม่มีอะไรแล้วจ๊ะ เราไปปั้นแป้งเตรียมทำบัวลอยวันพรุ่งนี้กันดีไหม” หลิวเอ้อหลิงนึกถึงขนมบัวลอยที่บ่าวสาวต้องกินในวันแต่งงานขึ้นมาได้ เธอไม่อยากเสียเวลาเตรียมของพรุ่งนี้จึงคิดจะทำเอาไว้ก่อน“ได้ค่ะแม่&r
“เชิญคุณผู้หญิงกับคุณผู้ชายด้านในเลยครับ” เจ้าของร้านผายมือเชิญอย่างนอบน้อม ต่างจากครั้งก่อนที่พวกเขามาขายโสมราวกับหน้ามือเป็นหลังมือ“ขอบคุณครับ/ค่ะ” ฉางเล่ยกับซูเมี่ยวจินเห็นเถ้าแก่ทำแบบนี้เลยไม่อยากเสียมารยาท“พวกคุณนั่งก่อนครับ วันนี้จะมาขายเขากวางในมือนั่นหรือเปล่าครับ” เถ้าแก่ถามด้วยแววตาเป็นประกายระยิบระยับ เพราะเขากำลังจะได้ของดีมาขายอีกแล้ว“ใช่ค่ะ ไม่ทราบว่าคุณรับซื้อยังไงคะเถ้าแก่” ซูเมี่ยวจินถามตรง ๆ เธอไม่เคยขายเขากวางมาก่อนจึงไม่รู้ว่าราคาตลาดเป็นอย่างไร“เขากวางสดขายราคาเป็นขีดครับคุณผู้หญิง เขากวางของคุณใหญ่ขนาดนี้น่าจะได้ราคาสูงมากทีเดียว หลายปีแล้วที่ร้านขายยาไม่มีเขากวางขายครับ” เถ้าแก่บอกตรง ๆ เพื่อที่เขาจะได้รับซื้อเขากวางและนำไปขายทำกำไรต่อเหมือนเคย“ขีดละเท่าไหร่หรือคะเถ้าแก่ ถ้าราคาต่ำไป ฉันจะได้เก็บเอาไว้ก่อน” ซูเมี่ยวจินไม่คิดว่า
ฉางเล่ยถึงกับทึ่งในฝีมือการใช้หน้าไม้ของซูเมี่ยวจิน แต่เขาไม่มีเวลาสงสัยมากนักเมื่อเธอบอกให้เขารีบเข้าไปกลบเลือดกวางที่ตาย เพื่อป้องกันไม่ให้หมาป่าหรือสัตว์ดุร้ายตัวอื่นตามกลิ่นเลือดมาซูเมี่ยวจินมองหาไม้ใหญ่และเถาวัลย์เพื่อใช้มัดกวาง ดีที่ป่าตรงนี้มีทุกอย่างที่เธอต้องการ ซูเมี่ยวจินใช้เวลาไม่นานก็นำของทั้งหมดไปจัดการมัดกวางเอาไว้“ช่วยฉันแบกมันลงจากเขากันเถอะค่ะ ตอนนี้กี่โมงแล้วคะ” ซูเมี่ยวจินยังคงกลัวว่าจะกลับบ้านค่ำมืดเกินไป“สี่โมงเย็นพอดีครับ” ฉางเล่ยยกไม้ที่มีกวางถูกมัดอยู่ขึ้นพาดไหล่อย่างไม่หนักแรง“เรารีบกลับบ้านกันเถอะ พรุ่งนี้ค่อยเอามันไปขายในอำเภอนะคะ”“ตกลงครับ ว่าแต่พรุ่งนี้เราจะใช้จักรยานหรือรถยนต์ไปในอำเภอดีครับ”“ฉันว่าเอาสามล้อของพ่อไปดีกว่าค่ะ ฉันไม่อยากให้ชาวบ้านเห็นรถยนต์เราเร็วนัก ยังไงวันแต่งงานก็ต้องเอารถออกไปจอดหน้าบ้านอย
ทั้งสองกลับมาถึงบ้านก่อนเที่ยงนิดหน่อย หลังจากเก็บเนื้อและผักแช่ไว้ในบ่อน้ำหลังบ้านแล้ว ซูเมี่ยวจินก็ไปอุ่นอาหารรอฉางเล่ยที่กำลังเอาสามล้อไปคืนพ่อที่ไร่ เธอคิดว่าช่วงบ่ายไม่มีอะไรทำ จึงอยากชวนฉางเล่ยขึ้นเขาไปล่าสัตว์ หาสมุนไพรดูสักหน่อย เผื่อว่าจะโชคดีได้เงินอีกสักก้อนฉางเล่ยกลับมากินข้าวพร้อมซูเมี่ยวจินในเวลาไม่นานนัก ระหว่างที่กำลังกินมื้อเที่ยงกันอยู่ ซูเมี่ยวจินก็ชวนฉางเล่ยขึ้นเขา“คุณแน่ใจเหรอว่าจะขึ้นเขาบ่ายนี้” ฉางเล่ยเลิกคิ้วขึ้นอย่างงุนงง“ใช่ค่ะ ยังไงบ่ายนี้พวกเราก็ไม่มีอะไรทำ คุณไม่ได้ไปดูกับดักสัตว์หลายวันแล้ว เผื่อว่าจะได้สัตว์ไปขายในอำเภอพรุ่งนี้สักตัวสองตัวก็ยังดีนะคะ” ซูเมี่ยวจินบอก“ก็ได้ครับ ถ้าอย่างนั้นกินข้าวเสร็จ ผมจะเอากุญแจบ้านไปให้พ่อก่อน คุณรอผมที่บ้านนะครับ ผมไปไม่นาน” ฉางเล่ยพยักหน้าตอบรับ เขาลืมไปเลยว่าวางกับดักสัตว์เอาไว้หลายวันแล้ว เพราะมัวแต่ยุ่งเรื่องงานแต่งงานจึงไม่ได้ขึ้นไปดู
ฉางชิงหยูกับหลิวเอ้อหลิงไปถึงบ้านหลิวในเวลาไม่นาน สองเฒ่าชราที่อายุน้อยกว่าพ่อเฒ่าฉางหลายปีออกมาต้อนรับลูกเขยกับลูกสาวด้วยความดีใจ พอรู้ว่าหลานชายกำลังจะแต่งงาน ทั้งสองก็ดีใจมาก“พวกเราจะไปแน่นอนเอ้อหลิง พ่อกับแม่จะให้พี่ใหญ่เธอพาไปเอง ตั้งแต่หลาน ๆ ไปทำงานในอำเภอ พวกเราก็สบายขึ้นมาก จักรยานที่บ้านก็มีถึงสองคัน ไม่ต้องเป็นห่วงนะ พวกเราจะไปกันตั้งแต่เช้ามืดเลย” แม่หลิวรีบบอกพร้อมรอยยิ้มชรา“ใช่ ๆ นานแล้วที่บ้านเราไม่มีงานมงคล” พ่อหลิวเองก็ดีใจไม่น้อยที่หลานชายกำลังจะเป็นฝั่งเป็นฝาเสียที ทั้งที่อายุก็ไม่น้อยแล้ว“ถ้าพ่อแม่ไม่อยากตื่นเช้านัก พวกเราปั่นจักรยานมารับพวกคุณได้นะคะ” หลิวเอ้อหลิงไม่อยากทำให้พ่อแม่ลำบาก เธอจึงหันไปมองสามี“ใช่ครับ ผมปั่นสามล้อมารับดีไหมครับ พ่อกับแม่จะได้นั่งกันสบายหน่อย”“ไฮ้! ไม่เป็นไร ๆ พวกเราชอบนั่งพ่วงหลังจักรยานของเสี่ยวเค่อมากกว่า” พ่อเ