ฉางเล่ยพาซูเมี่ยวจินมาถึงอำเภอตอนห้าโมงครึ่งพอดี ผู้คนในอำเภอที่เลิกงานและกำลังกลับบ้านต่างมองชายหญิงสองคนที่ลากซากเสือตัวเขื่องมาอย่างตกตะลึง หลายปีแล้วที่พวกเขาไม่เคยเห็นคนล่าเสือมาขายในอำเภอ
“นี่ ๆ ดูพวกเขาสิ ล่าเสือตัวใหญ่ขนาดนี้มาได้ ช่างเก่งกันจริง ๆ”
“ใช่ ๆ คนหนึ่งก็สูงหล่อ อีกคนก็สวยดุ สมกันอย่างกับอะไรดี”
“บ๊ะ! ฉันชวนให้ดูเสือไม่ใช่ดูคน”
เสียงพูดคุยที่ดังเข้าหูฉางเล่ยและซูเมี่ยวจินทำเอาทั้งสองคนอดที่จะอมยิ้มไม่ได้ที่เห็นพวกเขาตื่นตะลึงกับเสือตัวใหญ่
“ผมจะพาคุณเอามันไปขายที่ร้านอาหารของรัฐนะครับ ที่นั่นผมนำสัตว์ที่ล่าได้ไปขายเป็นประจำ เขาให้ราคายุติธรรมมาก” ฉางเล่ยหันไปบอกซูเมี่ยวจิน
“อืม… คุณเคยขายเสือมาก่อนหรือเปล่าฉางเล่ย”
“ไม่เคยเลย มีแค่หมูป่ากับกวางเท่านั้นที่ผมเคยนำมาขาย”
“ไม่เป็นไร ฉันคิดว่าเสือตัวนี้น่าจะขายได้ราคาไม่น้อย หนังของมันยังมีราคาด้วย”
“นั่นสินะ เงินที่ได้คุณก็เก็บเอาไว้ใช้จ่ายเถอะ ผมจะขายไก่ป่ากับกระต่ายป่าในตะกร้าก็พอแล้ว” ฉางเล่ยรู้ดีว่าเสือตัวนี้ไม่มีส่วนของเขา เพราะซูเมี่ยวจินล่าได้มา
“เงินนี่เราต้องเก็บเอาไว้จัดงานแต่งงานนะ ส่วนเรื่องของใช้ส่วนตัวของฉัน ฉันจะหาเงินมาซื้อเองทีหลัง” ซูเมี่ยวจินเอ่ยถึงเรื่องที่เธอคิดเอาไว้
“ไม่ดีมั้งคุณ ผมเป็นผู้ชายนะ จะให้คุณออกเงินแต่งงานได้ยังไงกัน” ฉางเล่ยขมวดคิ้ว
“ทำไมจะไม่ดีล่ะ ถ้ามัวแต่รอคุณหาเงิน ฉันจะไม่ถูกนินทาแย่เหรอ” ซูเมี่ยวจินหาข้ออ้างเพื่อให้เขารับเงินนี้เก็บเอาไว้ เธอไม่รู้ว่ายุคนี้การแต่งงานต้องใช้เงินเท่าไหร่
“อ่า… ผมขอโทษที่คิดน้อยไป ถ้าอย่างนั้นเงินก้อนนี้ถือว่าผมยืมคุณ รอให้ผมล่าสัตว์ได้มากกว่านี้ก่อน ผมจะคืนเงินให้คุณนะครับ” ฉางเล่ยเอ่ยอย่างเกรงใจ
“คุณนี่นะ หลังแต่งงานเราก็เป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว เรื่องเงินพวกนี้ยังจะมาคิดเล็กคิดน้อยอีก” ซูเมี่ยวจินบ่นชายร่างใหญ่ที่ซื่อเกินไปแล้ว
ก่อนที่ฉางเล่ยจะได้เอ่ยอะไรต่อ พวกเขาก็มาถึงหน้าร้านอาหารของรัฐกันพอดี ฉางเล่ยจึงต้องกลืนคำพูดเอาไว้ก่อนจะเอ่ยบอกพนักงานหน้าร้านให้เรียกผู้จัดการของร้านออกมา เขามาขายสัตว์ป่าที่นี่จนสนิทสนมกับพนักงานและผู้จัดการหลายปีแล้ว พนักงานพยักหน้ารับคำแล้วหันหลังกลับเข้าร้านไปเรียกผู้จัดการ
“โอ้! ฉางเล่ย คุณเก่งจริง ๆ ที่ล่าเสือมาได้” ผู้จัดการร้านเจี่ยงซูเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้ม
“ผมไม่ได้ล่าเองครับ เป็นว่าที่ภรรยาผมล่ามาได้” ฉางเล่ยไม่กล้าอ้างความดีความชอบ
“หืม? ว่าที่ภรรยา นี่คุณกำลังจะแต่งงานเหรอ?” เจี่ยงซูถามอย่างสงสัย
“ใช่ครับ ไม่ทราบว่าเสือตัวนี้ผู้จัดการจะรับซื้อเท่าไหร่ครับ เงินนี่พวกผมจะเก็บไว้จัดงานแต่งงานน่ะครับ” ฉางเล่ยรีบกล่าวเข้าเรื่อง เขากลัวว่าจะกลับถึงบ้านช้า
“อ่า… ขอผมตรวจสอบดูสักครู่นะ ถ้าหนังเสือสมบูรณ์ดี ผมจะให้ราคาสูงเลยล่ะ”
ผู้จัดการมองหญิงสาวสวยจัดที่ยืนข้างกันกับฉางเล่ยแวบหนึ่ง เขาไม่กล้ามองเธอนานจนอาจเสียมารยาทได้ แต่ในใจนั้นกลับคิดไม่ถึงว่าหญิงสาวร่างบางคนนี้เป็นคนล่าเสือได้ เขาไม่ค่อยเชื่อคำพูดของฉางเล่ยสักเท่าไหร่ หากว่าเป็นสองคนช่วยกันล่ามา เขาคิดว่าเป็นไปได้มากกว่า
“ผมตรวจสอบดูแล้ว หนังของเสือสมบูรณ์ดีมาก เดี๋ยวคุณยกเสือตัวนี้เข้าไปชั่งในร้านก่อนดีกว่านะ ตรงนี้คนเริ่มมองกันเยอะแล้ว” ผู้จัดการสังเกตเห็นคนในอำเภอเริ่มยืนมองมาทางร้านของพวกเขาซึ่งปิดทำการก่อนหน้านี้ไม่นาน เขากลัวว่าลูกค้าจะเข้าร้านมาตอนที่พวกเขาเก็บร้านกันแล้ว
ฉางเล่ยและซูเมี่ยวจินพยักหน้ารับคำของเจี่ยงซู ทั้งสองช่วยกันยกเสือเข้าไปในร้านโดยไม่หนักแรงนัก ทำเอาพนักงานร้านที่คิดจะมาช่วยฉางเล่ยยกถึงกับยืนอึ้งไปเมื่อเห็นสาวสวยร่างบางยกมันขึ้นมาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ฉางเล่ยเดินตามหลังผู้จัดการร้านเข้าไปด้านหลัง เขากับซูเมี่ยวจินวางร่างของเสือลงไปบนตาชั่งขนาดใหญ่ตามที่ผู้จัดการบอก น้ำหนักวิ่งขึ้นไปอย่างรวดเร็วจนมันหยุดที่ 170 กิโลกรัม นับว่าเสือตัวนี้ใหญ่โตมากจริง ๆ
“โอ้! น้ำหนักดีมาก ผมให้ราคากิโลกรัมละ 20 หยวน คุณคิดว่ายังไงฉางเล่ย”
“ได้ครับ ขอบคุณผู้จัดการมากที่ให้ราคาสูงขนาดนี้” ฉางเล่ยรู้ดีว่าเนื้อสัตว์ป่าทั่วไปคงขายราคานี้ไม่ได้แน่ นับว่าครั้งนี้พวกเขาน่าจะมีเงินจัดงานแต่งงานแล้ว
“ส่วนหนังเสือผมให้ราคาแยกนะครับ หนังเสือผืนใหญ่ขนาดนี้คงขายได้ราคาสูงแน่ เสือทั้งตัวครั้งนี้ผมให้ราคาซื้อคุณ 4,000 หยวน พวกคุณพอใจหรือไม่”
“พอใจครับ ขอบคุณผู้จัดการเจี่ยงมากครับที่ให้ราคาสูงมากขนาดนี้”
“ไฮ้! คุณไม่รู้อะไร เนื้อเสือหายากมากนะ ผมสามารถขายได้กำไรสองเท่าเลยเชียว”
ผู้จัดการเจี่ยงขอตัวไปเอาเงินในห้องทำงานมาให้ฉางเล่ย ซูเมี่ยวจินไม่คิดว่าเสือตัวเดียวจะทำเงินได้มากถึงขนาดนี้ เงินจำนวนมากที่กำลังจะได้รับ คงช่วยให้บ้านฉางสามารถสร้างบ้านใหม่ได้แน่ เพียงแต่ซูเมี่ยวจินไม่อยากอยู่ในหมู่บ้าน เธออยากพาครอบครัวฉางย้ายไปอยู่ในที่ที่เจริญกว่านี้
“เงินสี่พันหยวนอยู่ในกระเป๋าใบนี้ เก็บไว้ให้ดีล่ะ คนอื่นเห็นเข้าจะเกิดความโลภได้ คราวหน้าถ้ามีสัตว์ป่าดี ๆ ก็นำมาขายให้ผมเหมือนเดิมนะ” เจี่ยงซูส่งกระเป๋าให้
“ขอบคุณผู้จัดการเจี่ยงมากครับ ครั้งหน้าผมจะนำมาขายที่นี่เหมือนเดิม” ฉางเล่ยรับกระเป๋ามาเก็บเอาไว้ ตอนแรกเขาคิดจะขายไก่ป่าและกระต่ายป่าของตัวเอง แต่ซูเมี่ยวจินเห็นว่าได้เงินเยอะแล้ว เธอจึงให้เขาเก็บเอาไว้ทำอาหารกินที่บ้านแทน
ซูเมี่ยวจินพยักหน้าลาผู้จัดการเจี่ยงและเดินข้างกายฉางเล่ยออกจากร้านไปหลังได้รับเงิน เธออยากซื้อชุดชั้นในใหม่สักหลายตัว เพราะตอนนี้เธอยังคงต้องใช้เสื้อชั้นในเก่าและซักแทบจะวันเว้นวัน
“ฉางเล่ย พาฉันไปซื้อชุดชั้นในได้ไหม ฉันไม่มีใส่แล้ว” ซูเมี่ยวจินหันไปถาม
“เอ่อ… ผมไม่รู้ว่าร้านขายของแบบนั้นอยู่ที่ไหน เราไปดูที่สหกรณ์ก่อนดีไหม” ฉางเล่ยยกมือเกาหัวอย่างอาย ๆ ของส่วนตัวพวกนี้เขามักจะให้น้องสาวแวะซื้อกลับบ้านมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา
“ตกลง คุณนำทางเถอะ อ้อ! ในอำเภอมีร้านขายยาสมุนไพรหรือเปล่า”
“หืม? คุณถามทำไมเหรอ หรือว่าคุณป่วย” ฉางเล่ยหันไปถามอย่างสงสัย
“เปล่าหรอก ฉันอยากเอาสมุนไพรที่เก็บได้ไปขายน่ะ”
“อืม… รอให้คุณซื้อของที่สหกรณ์เสร็จก่อน ผมจะพาคุณไปร้านขายยาดู”
“ขอบคุณมากนะ” ซูเมี่ยวจินยิ้มบาง ในที่สุดเธอก็จะมีเงินส่วนตัวแล้ว ส่วนเงินซื้อชุดชั้นในคงต้องขอจากฉางเล่ยที่เพิ่งได้เงินก้อนใหญ่มาก่อนหน้านี้
“ไม่ต้องขอบคุณ เงินในกระเป๋านี่คุณใช้ได้เต็มที่เลยนะ”
“อืม… คุณเลือกเสื้อผ้าใหม่ให้พ่อ แม่กับเซียงจูด้วยสิ อย่าลืมของตัวคุณเองล่ะ วันแต่งงานยังไงเราก็ต้องสวมชุดใหม่กัน” ซูเมี่ยวจินไม่ลืมที่จะบอกให้เขาซื้อของ
“แต่… นี่เป็นเงินของคุณนะครับ” ฉางเล่ยไม่กล้าใช้เงินที่ซูเมี่ยวจินหามาอย่างลำบาก
“เงินคุณ เงินฉันอะไรกัน บอกแล้วไงว่าเราเป็นครอบครัวเดียวกัน ฉันอยากให้ทุกคนมีเสื้อผ้าดี ๆ ใส่ในงาน คุณเลือกให้ดี ๆ ล่ะ อย่าขี้เหนียวเด็ดขาด” ซูเมี่ยวจินหันไปทำสีหน้าจริงจัง เธอกลัวว่าเขาจะประหยัดจนเลือกแต่เสื้อผ้าธรรมดา
“ขอบคุณมากนะคุณซู” ฉางเล่ยหันไปเอ่ยอย่างซาบซึ้ง
“เรียกฉันว่าเมี่ยวจินเถอะ อีกไม่นานเราก็จะแต่งงานกันแล้วนะ” ซูเมี่ยวจินรู้สึกขัดหูไม่น้อยที่ฉางเล่ยเรียกเธอเหมือนคนแปลกหน้า
“ตกลงเมี่ยวจิน” ฉางเล่ยอมยิ้มที่ในที่สุดเขาได้เรียกชื่อเธอตรง ๆ เสียที เขาไม่กล้าเอ่ยปากก่อนหากเธอไม่อนุญาต
ทั้งสองไปถึงสหกรณ์ในเวลาไม่นาน ซูเมี่ยวจินเข้าไปถามพนักงานขายก็รู้ว่าต้องไปเลือกขนาดเองที่ชั้นวาง ส่วนเสื้อผ้าในร้านนี้ก็มีแต่แบบทั่วไปเท่านั้น เธออยากได้เสื้อผ้าที่ดีกว่านี้ให้ครอบครัวฉางมากกว่า ซูเมี่ยวจินจึงบอกให้ฉางเล่ยไม่ต้องเลือกเสื้อผ้าที่นี่ รอวันหลังค่อยเข้าไปในมณฑลเพื่อซื้อของเตรียมงานแต่ง
“โอ้! เจ้าสาวของฉางเล่ยสวยมากจริง ๆ” เสียงลุงใหญ่บ้านฉางที่ตั้งสติได้เป็นคนแรกอดจะชมเสียงดังไม่ได้“ใช่ ๆ เจ้าสามได้ลูกสะใภ้สวยจริง ๆ” พี่ชายหลิวเอ้อหลิงที่เห็นหลานสะใภ้เอ่ยเสริมขึ้นมาเสียงดังเช่นเดียวกัน“พวกลุงอย่าแกล้งภรรยาผมสิครับ ดูสิ เธอทำตัวไม่ถูกแล้ว” ฉางเล่ยยืดอกขึ้นอย่างภูมิใจที่ตัวเองกำลังจะแต่งงานกับคนสวยตรงหน้า เขารู้ดีว่าสีหน้าของซูเมี่ยวจินตอนนี้คงกำลังเขินอายอยู่ ไม่อย่างนั้นแก้มของเธอคงไม่แดงก่ำขึ้นมาจนลามไปถึงคออย่างที่เขากำลังเห็นเป็นแน่“ขอบคุณสำหรับคำชมนะคะคุณลุง” ซูเมี่ยวจินได้ยินฉางเล่ยพูดขึ้น เธอจึงสงบจิตใจตอบกลับผู้อาวุโสอย่างนอบน้อม สายตาคมดุของเธอมองเจ้าบ่าวที่วันนี้หล่อมากในสายตาเธอก็อดที่จะมองเขาสักหลายทีไม่ได้เช่นกันเหล่าผู้อาวุโสเห็นเจ้าบ่าวเจ้าสาวแอบมองกันไปมาก็รีบผลักพวกเขาให้ไปรอต้อนรับแขกที่ลานหน้าบ้าน ฉางเล่ยที่ตั้งตัวได้ก่อนจึงจับมือซูเมี่ยวจินเดินออกไปตามคำสั่งของผู้ใ
หลังกินข้าวเสร็จ ฉางชิงหยูอาสาไปเชิญเพื่อนบ้านที่สนิทกันและยืมโต๊ะเก้าอี้มาไว้ใช้ในงานแต่งงานวันพรุ่งนี้ หลิวเอ้อหลิงบอกให้ฉางเล่ยไปขอซื้อไก่จากเพื่อนบ้านพวกนั้นมาสักหลายตัวเพื่อทำอาหารขึ้นโต๊ะในงานแต่งงาน หลังจากดูแล้วว่ายังขาดเมนูไก่ไปหนึ่งอย่าง สองพ่อลูกจึงออกจากบ้านไปด้วยกันหลิวเอ้อหลิงกับซูเมี่ยวจินจึงช่วยกันตกแต่งบ้านต่อ เหลืออีกเพียงนิดหน่อยก็ตกแต่งเสร็จหมดแล้ว ตอนนี้บ้านฉางเต็มไปด้วยกระดาษและผ้าสีแดงเต็มไปหมด ในห้องนอนของฉางเล่ยเองก็ถูกติดกระดาษเอาไว้เช่นกัน แต่ยังไม่ได้เปลี่ยนผ้าปูเป็นสีแดงมงคล หลิวเอ้อหลิงรอให้ถึงพรุ่งนี้เช้าจึงจะเข้าไปเปลี่ยนให้ลูก ๆ“แม่คะ ฉันติดเสร็จหมดแล้วค่ะ จะให้ทำอะไรต่อคะ” ซูเมี่ยวจินถามขึ้น“ไม่มีอะไรแล้วจ๊ะ เราไปปั้นแป้งเตรียมทำบัวลอยวันพรุ่งนี้กันดีไหม” หลิวเอ้อหลิงนึกถึงขนมบัวลอยที่บ่าวสาวต้องกินในวันแต่งงานขึ้นมาได้ เธอไม่อยากเสียเวลาเตรียมของพรุ่งนี้จึงคิดจะทำเอาไว้ก่อน“ได้ค่ะแม่&r
“เชิญคุณผู้หญิงกับคุณผู้ชายด้านในเลยครับ” เจ้าของร้านผายมือเชิญอย่างนอบน้อม ต่างจากครั้งก่อนที่พวกเขามาขายโสมราวกับหน้ามือเป็นหลังมือ“ขอบคุณครับ/ค่ะ” ฉางเล่ยกับซูเมี่ยวจินเห็นเถ้าแก่ทำแบบนี้เลยไม่อยากเสียมารยาท“พวกคุณนั่งก่อนครับ วันนี้จะมาขายเขากวางในมือนั่นหรือเปล่าครับ” เถ้าแก่ถามด้วยแววตาเป็นประกายระยิบระยับ เพราะเขากำลังจะได้ของดีมาขายอีกแล้ว“ใช่ค่ะ ไม่ทราบว่าคุณรับซื้อยังไงคะเถ้าแก่” ซูเมี่ยวจินถามตรง ๆ เธอไม่เคยขายเขากวางมาก่อนจึงไม่รู้ว่าราคาตลาดเป็นอย่างไร“เขากวางสดขายราคาเป็นขีดครับคุณผู้หญิง เขากวางของคุณใหญ่ขนาดนี้น่าจะได้ราคาสูงมากทีเดียว หลายปีแล้วที่ร้านขายยาไม่มีเขากวางขายครับ” เถ้าแก่บอกตรง ๆ เพื่อที่เขาจะได้รับซื้อเขากวางและนำไปขายทำกำไรต่อเหมือนเคย“ขีดละเท่าไหร่หรือคะเถ้าแก่ ถ้าราคาต่ำไป ฉันจะได้เก็บเอาไว้ก่อน” ซูเมี่ยวจินไม่คิดว่า
ฉางเล่ยถึงกับทึ่งในฝีมือการใช้หน้าไม้ของซูเมี่ยวจิน แต่เขาไม่มีเวลาสงสัยมากนักเมื่อเธอบอกให้เขารีบเข้าไปกลบเลือดกวางที่ตาย เพื่อป้องกันไม่ให้หมาป่าหรือสัตว์ดุร้ายตัวอื่นตามกลิ่นเลือดมาซูเมี่ยวจินมองหาไม้ใหญ่และเถาวัลย์เพื่อใช้มัดกวาง ดีที่ป่าตรงนี้มีทุกอย่างที่เธอต้องการ ซูเมี่ยวจินใช้เวลาไม่นานก็นำของทั้งหมดไปจัดการมัดกวางเอาไว้“ช่วยฉันแบกมันลงจากเขากันเถอะค่ะ ตอนนี้กี่โมงแล้วคะ” ซูเมี่ยวจินยังคงกลัวว่าจะกลับบ้านค่ำมืดเกินไป“สี่โมงเย็นพอดีครับ” ฉางเล่ยยกไม้ที่มีกวางถูกมัดอยู่ขึ้นพาดไหล่อย่างไม่หนักแรง“เรารีบกลับบ้านกันเถอะ พรุ่งนี้ค่อยเอามันไปขายในอำเภอนะคะ”“ตกลงครับ ว่าแต่พรุ่งนี้เราจะใช้จักรยานหรือรถยนต์ไปในอำเภอดีครับ”“ฉันว่าเอาสามล้อของพ่อไปดีกว่าค่ะ ฉันไม่อยากให้ชาวบ้านเห็นรถยนต์เราเร็วนัก ยังไงวันแต่งงานก็ต้องเอารถออกไปจอดหน้าบ้านอย
ทั้งสองกลับมาถึงบ้านก่อนเที่ยงนิดหน่อย หลังจากเก็บเนื้อและผักแช่ไว้ในบ่อน้ำหลังบ้านแล้ว ซูเมี่ยวจินก็ไปอุ่นอาหารรอฉางเล่ยที่กำลังเอาสามล้อไปคืนพ่อที่ไร่ เธอคิดว่าช่วงบ่ายไม่มีอะไรทำ จึงอยากชวนฉางเล่ยขึ้นเขาไปล่าสัตว์ หาสมุนไพรดูสักหน่อย เผื่อว่าจะโชคดีได้เงินอีกสักก้อนฉางเล่ยกลับมากินข้าวพร้อมซูเมี่ยวจินในเวลาไม่นานนัก ระหว่างที่กำลังกินมื้อเที่ยงกันอยู่ ซูเมี่ยวจินก็ชวนฉางเล่ยขึ้นเขา“คุณแน่ใจเหรอว่าจะขึ้นเขาบ่ายนี้” ฉางเล่ยเลิกคิ้วขึ้นอย่างงุนงง“ใช่ค่ะ ยังไงบ่ายนี้พวกเราก็ไม่มีอะไรทำ คุณไม่ได้ไปดูกับดักสัตว์หลายวันแล้ว เผื่อว่าจะได้สัตว์ไปขายในอำเภอพรุ่งนี้สักตัวสองตัวก็ยังดีนะคะ” ซูเมี่ยวจินบอก“ก็ได้ครับ ถ้าอย่างนั้นกินข้าวเสร็จ ผมจะเอากุญแจบ้านไปให้พ่อก่อน คุณรอผมที่บ้านนะครับ ผมไปไม่นาน” ฉางเล่ยพยักหน้าตอบรับ เขาลืมไปเลยว่าวางกับดักสัตว์เอาไว้หลายวันแล้ว เพราะมัวแต่ยุ่งเรื่องงานแต่งงานจึงไม่ได้ขึ้นไปดู
ฉางชิงหยูกับหลิวเอ้อหลิงไปถึงบ้านหลิวในเวลาไม่นาน สองเฒ่าชราที่อายุน้อยกว่าพ่อเฒ่าฉางหลายปีออกมาต้อนรับลูกเขยกับลูกสาวด้วยความดีใจ พอรู้ว่าหลานชายกำลังจะแต่งงาน ทั้งสองก็ดีใจมาก“พวกเราจะไปแน่นอนเอ้อหลิง พ่อกับแม่จะให้พี่ใหญ่เธอพาไปเอง ตั้งแต่หลาน ๆ ไปทำงานในอำเภอ พวกเราก็สบายขึ้นมาก จักรยานที่บ้านก็มีถึงสองคัน ไม่ต้องเป็นห่วงนะ พวกเราจะไปกันตั้งแต่เช้ามืดเลย” แม่หลิวรีบบอกพร้อมรอยยิ้มชรา“ใช่ ๆ นานแล้วที่บ้านเราไม่มีงานมงคล” พ่อหลิวเองก็ดีใจไม่น้อยที่หลานชายกำลังจะเป็นฝั่งเป็นฝาเสียที ทั้งที่อายุก็ไม่น้อยแล้ว“ถ้าพ่อแม่ไม่อยากตื่นเช้านัก พวกเราปั่นจักรยานมารับพวกคุณได้นะคะ” หลิวเอ้อหลิงไม่อยากทำให้พ่อแม่ลำบาก เธอจึงหันไปมองสามี“ใช่ครับ ผมปั่นสามล้อมารับดีไหมครับ พ่อกับแม่จะได้นั่งกันสบายหน่อย”“ไฮ้! ไม่เป็นไร ๆ พวกเราชอบนั่งพ่วงหลังจักรยานของเสี่ยวเค่อมากกว่า” พ่อเ