ก่อนฟ้าสว่างวันต่อมา คนทั้งครอบครัวฉางรีบลุกมาทำอาหารเหมือนปกติ วันนี้ยังมีซูเมี่ยวจินที่แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าเก่าของเธอที่ถึงแม้จะมีรูกระสุนอยู่แต่ก็ยังสวมใส่ได้ไม่ขัดตามาช่วยงานเล็ก ๆ น้อย ๆ
“เมี่ยวจินจะขึ้นเขากับฉางเล่ยจริงเหรอลูก” หลิวเอ้อหลิงเอ่ยขึ้นอย่างเป็นห่วง
“ใช่ค่ะคุณป้า สองคนช่วยกันเผื่อจะได้สัตว์มาขายมากขึ้นสักหน่อย”
“พี่สาว เรียกแม่ได้แล้วมั้งคะ อีกไม่นานพี่ก็จะเป็นพี่สะใภ้หนูแล้วนะ” เสียงใสของฉางเซียงจูเอ่ยขึ้นอย่างร่าเริง
“ฮ่า ฮ่า ถ้าคุณลุงกับคุณป้าไม่รังเกียจ ฉันก็จะเรียกตามที่น้องสาวบอกนะคะ”
“ไฮ้! ใครจะรังเกียจเมี่ยวจินได้กัน เรียกพ่อกับแม่ก็ดีนะ” ฉางชิงหยูยิ้มรับคำ
ฉางเล่ยหันมองคนสวยที่พูดคุยกับครอบครัวเขาอย่างสนิทสนมก็อมยิ้มอยู่คนเดียว เขาไม่คิดเลยว่าตัวเองจะมีวาสนาได้รับภรรยาที่ทั้งสวยทั้งดีแบบซูเมี่ยวจิน
“พ่อ แม่ พี่สาว ดูพี่ใหญ่สิคะ ยิ้มใหญ่เลย ฮ่า ฮ่า” ฉางเซียงจูล้อเลียนพี่ชาย
“พูดมากน่าเซียงจู รีบหั่นผักเร็วเข้า เตาร้อนแล้ว” ฉางเล่ยที่อายจนหูแดงหันไปบ่นน้องสาวที่กล้าล้อเลียนเขา
บรรยากาศในบ้านฉางเช้านี้เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและความอบอุ่น ซูเมี่ยวจินคิดในใจว่าเธอตัดสินใจไม่ผิดที่เชื่อระบบ หลังจากนี้เธอจะทำให้ครอบครัวสามีร่ำรวยยิ่งขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ เพื่ออนาคตที่ดีของทุกคน
หลังอาหารมื้อเช้าผ่านพ้นไป ทุกคนแยกย้ายกันออกจากบ้านตอนหกโมงเช้า แม้แต่ชาวบ้านในหมู่บ้านที่เกียจคร้านก็ยังไม่มีใครออกจากบ้านเหมือนกับคนบ้านฉางที่ขยันขันแข็ง
ซูเมี่ยวจินสะพายตะกร้าสานและเหน็บมีดพร้าเล่มโตไว้ที่เข็มขัด ฉางเล่ยมองว่าที่ภรรยาซึ่งดูท่าทางทะมัดทะแมงด้วยแววตาสงสัย
“คุณมองฉันแบบนั้นทำไมกัน?” ซูเมี่ยวจินรู้สึกถึงสายตาของเขาจึงเอ่ยถาม
“เมื่อก่อนคุณทำงานอะไรเหรอ? ผมดูแล้วคุณไม่เหมือนผู้หญิงคนอื่นเลย”
“อืม… ฉันเคยเป็นครูสอนการต่อสู้น่ะ คุณไม่ต้องคิดมาก เรื่องล่าสัตว์ฉันก็ชำนาญไม่น้อยเหมือนกันนะ” ซูเมี่ยวจินโกหกเรื่องอาชีพเก่าโดยตาไม่กระพริบ
“อ้อ! ผมถึงว่าดูท่าทางคุณคล่องแคล่วกว่าผู้หญิงในหมู่บ้านเสียอีก วันนี้เราจะแยกกันหรือล่าสัตว์ด้วยกันล่ะ” ฉางเล่ยที่มีหน้าไม้ประจำตัวถามขึ้น เขาอยากเดินทางพร้อมกับเธอเผื่อว่าเธอจะเกิดอันตรายอีก เขาจะได้ช่วยเหลือทัน
“เราแยกกันดีกว่านะคะ เที่ยงวันค่อยไปพบกันที่ลำธารบนภูเขา” ซูเมี่ยวจินไม่อยากให้ว่าที่สามีตกใจเมื่อเห็นฝีมือการต่อสู้ของเธอ
“คุณต้องระวังตัวให้มากนะครับ ผมเป็นห่วง” ฉางเล่ยผิดหวังเล็กน้อยที่สาวเจ้าไม่ยอมเดินทางไปพร้อมกับเขา
“ฉันรู้ค่ะ คุณไม่ต้องกังวลมากเกินไป ฉันจะระวังตัวให้ดี” ซูเมี่ยวจินรับปากด้วยสีหน้าจริงจังระหว่างที่พวกเขากำลังเดินขึ้นภูเขา
ฉางเล่ยที่ไม่รู้จะชวนเธอคุยเรื่องอะไรดีได้แต่เงียบและเดินต่อไป ซูเมี่ยวจินเองก็ไม่ใช่คนช่างพูดจึงเงียบตามเขา ในใจของฉางเล่ยสงสัยไม่น้อยว่าทำไมซูเมี่ยวจินถึงได้บาดเจ็บ แต่ตลอดมาเขาไม่กล้าถามเรื่องเหล่านี้กับเธอ เขากลัวว่านี่จะเป็นเรื่องส่วนตัวที่เธอไม่อยากเล่า เขาจึงไม่อยากละลาบละล้วง
ซูเมี่ยวจินใช้ปลายหางตามองชายร่างใหญ่ที่เดินเคียงข้าง เธอคิดว่าฉางเล่ยคงสงสัยในตัวเธอไม่น้อยว่าเป็นใครมาจากไหน เพียงแต่เรื่องนี้มันน่าเหลือเชื่อมากเกินไป ซูเมี่ยวจินจึงได้แต่ต้องคิดเรื่องโกหกเอาไว้ล่วงหน้าเพื่อไม่ให้เขาสงสัย ยังดีที่ฉางเล่ยไม่ถามอะไรต่อ เธอจึงพรูลมหายใจออกอย่างโล่งอก
ทั้งสองใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงในการขึ้นเขาไปในป่าลึก ฉางเล่ยที่ต้องไปเก็บเหยื่อจากกับดักที่เขาวางเอาไว้หันไปบอกซูเมี่ยวจิน
“คุณเดินทางระวังด้วยนะครับ คนในหมู่บ้านวางกับดักเอาไว้ไม่น้อย ผมจะไปเก็บเหยื่อที่วางกับดักเอาไว้ก่อน เราค่อยไปพบกันที่ลำธารฝั่งตะวันตกตอนเที่ยงนะ ผมห่ออาหารเที่ยงมาเผื่อคุณไว้แล้ว”
“ได้ค่ะ คุณไม่ต้องเป็นห่วงฉันมากนักหรอก ฉันไม่ใช่เด็กเสียหน่อย คุณเองก็ระวังตัวด้วยนะคะ ไว้เจอกันค่ะ” ซูเมี่ยวจินโบกมือและหันหลังเดินไปในป่าด้านทิศตะวันออกอย่างไม่เร่งรีบ เธอไม่รู้ว่าฉางเล่ยวางกับดักไว้ตรงไหนบ้าง แต่อย่างน้อยการได้เดินสำรวจภูเขานี้จะทำให้เธอรู้ว่าพอจะหาเงินจากป่าที่นี่ได้บ้างหรือไม่ ซูเมี่ยวจินอยากหาเงินสำหรับงานแต่งงานด้วยตัวเองมากกว่าจะใช้เงินของครอบครัวฉาง
[เจ้านาย เดินลึกเข้าไปอีกประมาณ 2 กิโลเมตร ที่นั่นมีโสมป่าชั้นดีขึ้นอยู่ครับ]
[หืม? นายมีประโยชน์เรื่องพวกนี้ด้วยเหรอ]
[แน่นอนว่าต้องมีสิครับ ผมสามารถตรวจสอบพื้นที่ในระยะ 5 กิโลเมตรรอบตัวเจ้านายได้เลยนะครับ]
[งั้นก็ขอบใจนายมาก ว่าแต่อย่าลืมตรวจดูด้วยว่ามีสัตว์ป่าตัวใหญ่บ้างหรือเปล่านะ ฉันอยากล่าสัตว์ใหญ่ไปขายในอำเภอ เผื่อจะได้เงินมาสักก้อน]
[รับทราบครับเจ้านาย]
ซูเมี่ยวจินเดินเร็วขึ้นอีกหน่อยเพื่อไปให้ถึงจุดที่ระบบบอกว่ามีโสมป่า เธอกลัวว่าจะมีสัตว์ป่าที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ดึงมันขึ้นมากินเสียก่อน
ฉางเล่ยเดินขึ้นไปบนเขาอีกระยะหนึ่ง ก่อนที่เขาจะแยกไปทางป่าตะวันตกเพื่อเก็บกับดักที่วางเอาไว้ ในใจของเขาถึงแม้จะเป็นห่วงซูเมี่ยวจินมากแค่ไหน แต่เขาก็ไม่อยากขัดใจเธอที่อยากเดินทางในป่าคนเดียว
ซูเมี่ยวจินไปถึงที่อยู่ของโสมป่าในเวลาไม่นาน เธอค่อย ๆ ขุดโสมป่าด้วยกิ่งไม้แห้งแถวนั้นแทนการใช้มีดพร้า เพราะกลัวว่ารากของโสมจะเสียหาย
[เจ้านายอย่าทำให้รากขาดนะครับ เดี๋ยวจะเสียราคา]
[ฉันรู้แล้วน่า นายอย่าย้ำบ่อยนักได้ไหม น่ารำคาญ!]
ระบบได้แต่เงียบไปเมื่อถูกเจ้านายดุ มันยังต้องให้เจ้านายทำภารกิจเพื่อเพิ่มระดับขั้นของมันให้กลับไปอยู่ในจุดสูงสุด เพื่อที่จะได้เดินทางกลับสู่มิติเดิมของมันในอนาคต ถึงแม้ว่าจะต้องใช้เวลานานกว่าที่ระดับขั้นจะเพิ่มขึ้น แต่อย่างน้อยมันก็ยังมีหวังที่จะกลับไปยังที่ที่จากมา
ซูเมี่ยวจินใช้เวลาขุดเกือบ 15 นาที กว่าที่จะดึงโสมป่าออกมาจากดินได้อย่างสมบูรณ์ เธอมองโสมป่าหนาประมาณสองนิ้วด้วยความตกตะลึง
[ระบบ โสมนี่อายุกี่ปี]
[ตอบเจ้านาย อายุ 200 ปีครับ]
[โอ้! โสมป่าธรรมชาติราคาในยุคนี้ต้องดีมากใช่ไหม]
[ใช่ครับเจ้านาย คุณต้องเก็บอย่างระมัดระวังนะครับ อย่าให้เกิดความเสียหาย]
[ตกลง ๆ นายดูแถวนี้สิว่ามีสัตว์ป่าตัวใหญ่อยู่บ้างไหม]
[ภายในรัศมี 5 กิโลเมตรจากตัวเจ้านายไม่พบสัตว์ใหญ่ครับ มีแต่กระต่ายป่า]
[ไม่เป็นไร ถ้าอย่างนั้นฉันจะขึ้นเขาไปอีกหน่อย นายคอยบอกฉันด้วยเล่าถ้าเจอสัตว์ใหญ่ เข้าใจไหม]
[เข้าใจแล้วครับเจ้านาย]
ซูเมี่ยวจินหาใบไม้แถวนั้นมาห่อโสมอย่างดี เธอนำโสมใส่ไว้ในตะกร้าสะพายหลังพร้อมรอยยิ้ม เงินก้อนแรกในยุคนี้ของเธอจะได้มาหลังจากขายโสมป่า ซูเมี่ยวจินเดินขึ้นเขาต่อไปอย่างอารมณ์ดี
ฉางเล่ยไปดูกับดักสัตว์ที่วางเอาไว้ก็พบว่ามีไก่ป่ากับกระต่ายป่าเหมือนทุกครั้งเท่านั้นที่ติดกับดัก ส่วนหลุมดักสัตว์ใหญ่ที่เขาไปดูมากลับว่างเปล่า สร้างความเสียใจให้กับฉางเล่ยไม่น้อย เพราะเขาอยากหาเงินเป็นสินสอดให้ซูเมี่ยวจินสักหน่อยเพื่อไม่ให้เธอต้องอับอายคนในหมู่บ้านที่แต่งมาแล้วกลับไม่ได้รับสินสอดสักนิด
“โอ้! เจ้าสาวของฉางเล่ยสวยมากจริง ๆ” เสียงลุงใหญ่บ้านฉางที่ตั้งสติได้เป็นคนแรกอดจะชมเสียงดังไม่ได้“ใช่ ๆ เจ้าสามได้ลูกสะใภ้สวยจริง ๆ” พี่ชายหลิวเอ้อหลิงที่เห็นหลานสะใภ้เอ่ยเสริมขึ้นมาเสียงดังเช่นเดียวกัน“พวกลุงอย่าแกล้งภรรยาผมสิครับ ดูสิ เธอทำตัวไม่ถูกแล้ว” ฉางเล่ยยืดอกขึ้นอย่างภูมิใจที่ตัวเองกำลังจะแต่งงานกับคนสวยตรงหน้า เขารู้ดีว่าสีหน้าของซูเมี่ยวจินตอนนี้คงกำลังเขินอายอยู่ ไม่อย่างนั้นแก้มของเธอคงไม่แดงก่ำขึ้นมาจนลามไปถึงคออย่างที่เขากำลังเห็นเป็นแน่“ขอบคุณสำหรับคำชมนะคะคุณลุง” ซูเมี่ยวจินได้ยินฉางเล่ยพูดขึ้น เธอจึงสงบจิตใจตอบกลับผู้อาวุโสอย่างนอบน้อม สายตาคมดุของเธอมองเจ้าบ่าวที่วันนี้หล่อมากในสายตาเธอก็อดที่จะมองเขาสักหลายทีไม่ได้เช่นกันเหล่าผู้อาวุโสเห็นเจ้าบ่าวเจ้าสาวแอบมองกันไปมาก็รีบผลักพวกเขาให้ไปรอต้อนรับแขกที่ลานหน้าบ้าน ฉางเล่ยที่ตั้งตัวได้ก่อนจึงจับมือซูเมี่ยวจินเดินออกไปตามคำสั่งของผู้ใ
หลังกินข้าวเสร็จ ฉางชิงหยูอาสาไปเชิญเพื่อนบ้านที่สนิทกันและยืมโต๊ะเก้าอี้มาไว้ใช้ในงานแต่งงานวันพรุ่งนี้ หลิวเอ้อหลิงบอกให้ฉางเล่ยไปขอซื้อไก่จากเพื่อนบ้านพวกนั้นมาสักหลายตัวเพื่อทำอาหารขึ้นโต๊ะในงานแต่งงาน หลังจากดูแล้วว่ายังขาดเมนูไก่ไปหนึ่งอย่าง สองพ่อลูกจึงออกจากบ้านไปด้วยกันหลิวเอ้อหลิงกับซูเมี่ยวจินจึงช่วยกันตกแต่งบ้านต่อ เหลืออีกเพียงนิดหน่อยก็ตกแต่งเสร็จหมดแล้ว ตอนนี้บ้านฉางเต็มไปด้วยกระดาษและผ้าสีแดงเต็มไปหมด ในห้องนอนของฉางเล่ยเองก็ถูกติดกระดาษเอาไว้เช่นกัน แต่ยังไม่ได้เปลี่ยนผ้าปูเป็นสีแดงมงคล หลิวเอ้อหลิงรอให้ถึงพรุ่งนี้เช้าจึงจะเข้าไปเปลี่ยนให้ลูก ๆ“แม่คะ ฉันติดเสร็จหมดแล้วค่ะ จะให้ทำอะไรต่อคะ” ซูเมี่ยวจินถามขึ้น“ไม่มีอะไรแล้วจ๊ะ เราไปปั้นแป้งเตรียมทำบัวลอยวันพรุ่งนี้กันดีไหม” หลิวเอ้อหลิงนึกถึงขนมบัวลอยที่บ่าวสาวต้องกินในวันแต่งงานขึ้นมาได้ เธอไม่อยากเสียเวลาเตรียมของพรุ่งนี้จึงคิดจะทำเอาไว้ก่อน“ได้ค่ะแม่&r
“เชิญคุณผู้หญิงกับคุณผู้ชายด้านในเลยครับ” เจ้าของร้านผายมือเชิญอย่างนอบน้อม ต่างจากครั้งก่อนที่พวกเขามาขายโสมราวกับหน้ามือเป็นหลังมือ“ขอบคุณครับ/ค่ะ” ฉางเล่ยกับซูเมี่ยวจินเห็นเถ้าแก่ทำแบบนี้เลยไม่อยากเสียมารยาท“พวกคุณนั่งก่อนครับ วันนี้จะมาขายเขากวางในมือนั่นหรือเปล่าครับ” เถ้าแก่ถามด้วยแววตาเป็นประกายระยิบระยับ เพราะเขากำลังจะได้ของดีมาขายอีกแล้ว“ใช่ค่ะ ไม่ทราบว่าคุณรับซื้อยังไงคะเถ้าแก่” ซูเมี่ยวจินถามตรง ๆ เธอไม่เคยขายเขากวางมาก่อนจึงไม่รู้ว่าราคาตลาดเป็นอย่างไร“เขากวางสดขายราคาเป็นขีดครับคุณผู้หญิง เขากวางของคุณใหญ่ขนาดนี้น่าจะได้ราคาสูงมากทีเดียว หลายปีแล้วที่ร้านขายยาไม่มีเขากวางขายครับ” เถ้าแก่บอกตรง ๆ เพื่อที่เขาจะได้รับซื้อเขากวางและนำไปขายทำกำไรต่อเหมือนเคย“ขีดละเท่าไหร่หรือคะเถ้าแก่ ถ้าราคาต่ำไป ฉันจะได้เก็บเอาไว้ก่อน” ซูเมี่ยวจินไม่คิดว่า
ฉางเล่ยถึงกับทึ่งในฝีมือการใช้หน้าไม้ของซูเมี่ยวจิน แต่เขาไม่มีเวลาสงสัยมากนักเมื่อเธอบอกให้เขารีบเข้าไปกลบเลือดกวางที่ตาย เพื่อป้องกันไม่ให้หมาป่าหรือสัตว์ดุร้ายตัวอื่นตามกลิ่นเลือดมาซูเมี่ยวจินมองหาไม้ใหญ่และเถาวัลย์เพื่อใช้มัดกวาง ดีที่ป่าตรงนี้มีทุกอย่างที่เธอต้องการ ซูเมี่ยวจินใช้เวลาไม่นานก็นำของทั้งหมดไปจัดการมัดกวางเอาไว้“ช่วยฉันแบกมันลงจากเขากันเถอะค่ะ ตอนนี้กี่โมงแล้วคะ” ซูเมี่ยวจินยังคงกลัวว่าจะกลับบ้านค่ำมืดเกินไป“สี่โมงเย็นพอดีครับ” ฉางเล่ยยกไม้ที่มีกวางถูกมัดอยู่ขึ้นพาดไหล่อย่างไม่หนักแรง“เรารีบกลับบ้านกันเถอะ พรุ่งนี้ค่อยเอามันไปขายในอำเภอนะคะ”“ตกลงครับ ว่าแต่พรุ่งนี้เราจะใช้จักรยานหรือรถยนต์ไปในอำเภอดีครับ”“ฉันว่าเอาสามล้อของพ่อไปดีกว่าค่ะ ฉันไม่อยากให้ชาวบ้านเห็นรถยนต์เราเร็วนัก ยังไงวันแต่งงานก็ต้องเอารถออกไปจอดหน้าบ้านอย
ทั้งสองกลับมาถึงบ้านก่อนเที่ยงนิดหน่อย หลังจากเก็บเนื้อและผักแช่ไว้ในบ่อน้ำหลังบ้านแล้ว ซูเมี่ยวจินก็ไปอุ่นอาหารรอฉางเล่ยที่กำลังเอาสามล้อไปคืนพ่อที่ไร่ เธอคิดว่าช่วงบ่ายไม่มีอะไรทำ จึงอยากชวนฉางเล่ยขึ้นเขาไปล่าสัตว์ หาสมุนไพรดูสักหน่อย เผื่อว่าจะโชคดีได้เงินอีกสักก้อนฉางเล่ยกลับมากินข้าวพร้อมซูเมี่ยวจินในเวลาไม่นานนัก ระหว่างที่กำลังกินมื้อเที่ยงกันอยู่ ซูเมี่ยวจินก็ชวนฉางเล่ยขึ้นเขา“คุณแน่ใจเหรอว่าจะขึ้นเขาบ่ายนี้” ฉางเล่ยเลิกคิ้วขึ้นอย่างงุนงง“ใช่ค่ะ ยังไงบ่ายนี้พวกเราก็ไม่มีอะไรทำ คุณไม่ได้ไปดูกับดักสัตว์หลายวันแล้ว เผื่อว่าจะได้สัตว์ไปขายในอำเภอพรุ่งนี้สักตัวสองตัวก็ยังดีนะคะ” ซูเมี่ยวจินบอก“ก็ได้ครับ ถ้าอย่างนั้นกินข้าวเสร็จ ผมจะเอากุญแจบ้านไปให้พ่อก่อน คุณรอผมที่บ้านนะครับ ผมไปไม่นาน” ฉางเล่ยพยักหน้าตอบรับ เขาลืมไปเลยว่าวางกับดักสัตว์เอาไว้หลายวันแล้ว เพราะมัวแต่ยุ่งเรื่องงานแต่งงานจึงไม่ได้ขึ้นไปดู
ฉางชิงหยูกับหลิวเอ้อหลิงไปถึงบ้านหลิวในเวลาไม่นาน สองเฒ่าชราที่อายุน้อยกว่าพ่อเฒ่าฉางหลายปีออกมาต้อนรับลูกเขยกับลูกสาวด้วยความดีใจ พอรู้ว่าหลานชายกำลังจะแต่งงาน ทั้งสองก็ดีใจมาก“พวกเราจะไปแน่นอนเอ้อหลิง พ่อกับแม่จะให้พี่ใหญ่เธอพาไปเอง ตั้งแต่หลาน ๆ ไปทำงานในอำเภอ พวกเราก็สบายขึ้นมาก จักรยานที่บ้านก็มีถึงสองคัน ไม่ต้องเป็นห่วงนะ พวกเราจะไปกันตั้งแต่เช้ามืดเลย” แม่หลิวรีบบอกพร้อมรอยยิ้มชรา“ใช่ ๆ นานแล้วที่บ้านเราไม่มีงานมงคล” พ่อหลิวเองก็ดีใจไม่น้อยที่หลานชายกำลังจะเป็นฝั่งเป็นฝาเสียที ทั้งที่อายุก็ไม่น้อยแล้ว“ถ้าพ่อแม่ไม่อยากตื่นเช้านัก พวกเราปั่นจักรยานมารับพวกคุณได้นะคะ” หลิวเอ้อหลิงไม่อยากทำให้พ่อแม่ลำบาก เธอจึงหันไปมองสามี“ใช่ครับ ผมปั่นสามล้อมารับดีไหมครับ พ่อกับแม่จะได้นั่งกันสบายหน่อย”“ไฮ้! ไม่เป็นไร ๆ พวกเราชอบนั่งพ่วงหลังจักรยานของเสี่ยวเค่อมากกว่า” พ่อเ