ตอนนี้เด็กๆ ทั้งสองก็ร้องไห้ตามซูเหยาออกมาเช่นกัน เพราะพวกเขาคิดว่าถ้าน้าเหยาที่ดีกับเขาคนนี้ร้องไห้เสียใจแล้วพวกเขาอาจจะอดตายได้
เสียงของคนทั้งสามร้องไห้ระงมอยู่หน้าบ้านผู้ใหญ่เสียงดัง “มันเกิดอะไรขึ้นเงียบก่อนค่อยๆ พูด” ฉีอันพูดขึ้นห้ามปรามการร้องไห้ของสามแม่ลูกออกมาเสียงดัง
คนทั้งสามที่ได้ยินเสียงของชายคนหนึ่งที่เดินเข้ามาหาพวกตนด้วยท่าทางที่ดูเป็นมิตร พวกเขาก็เหลือเพียงเสียงสะอื้นเท่านั้น
“เสี่ยวผิง เสี่ยวเฟย บอกตาฉีอันไปเลยลูกว่าใครเข้าไปทำอะไรในบ้านของเรา” ซูเหยาบอกกับเด็กน้อยทั้งสองด้วยความอ่อนโยน
เมื่อเห็นคนที่เดินเข้ามาถามเขาก็คือฉีอันผู้ใหญ่บ้านแห่งหมู่บ้านตงไห่จากความทรงจำของร่างนี้
“ครับ/ค่ะ” ทั้งสองพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง การกระทำของลูกชายหญิงได้ทำให้มู่หานรู้สึกแปลกใจอยู่ไม่น้อย พร้อมคิดว่าวันนี้มันเกิดอะไรขึ้นกับคนสามคนในบ้านของเขากัน เขาคิดอย่างงุนงง
“ย่ากับป้าสะใภ้มาเคาะประตูหน้าบ้านของพวกเรา แต่ว่าน้าเหยาได้สั่งเอาไว้ว่าห้ามเปิดประตู เพราะอาจจะเป็นคนไม่ดีพวกเราก็ไม่เปิด
พอสักพักเราสองคนก็ได้ยินเสียงดังออกมาทางหน้าประตูอีกเป็นเสียงที่ดังมาก เราสองคนที่อยู่ในห้องกำลังจะเดินออกมาดู แต่ก็ได้เห็นย่าและป้าสะใภ้เข้ามาในบ้านของเราแล้ว
พวกเขาชี้หน้าพวกเรา พร้อมดุด่าเราสองคน และก็จะเข้ามาถอดเสื้อผ้าที่ผมกับน้องใส่อยู่ แต่ผมกับน้องไม่ยอม ผมจึงได้กัดเข้าไปที่มือของย่า
เขาก็ยกมือขึ้นจะตีผม..ผมฮือๆ..ก็หนีด้วยความตกใจ เพราะเป็นห่วงน้อง ผิงน้อยเองก็กัดป้าสะใภ้เหมือนกัน
จะ..จากนั้นพวกเขาก็เข้าไปเปิดตู้เสื้อผ้าของเราสองคน และเขาก็หอบเอาของพวกเราไป เมื่อย่ากับป้าสะใภ้ไปแล้วผมกับน้องก็กลัวจนร้องไห้
ตะ..แต่ว่าพวกเขาก็กลับมากันอีก ครั้งนี้พวกเขาเอาอ่างมาใส่กับข้าว ข้าวสารที่อยู่ในครัวไปหมดเลย เราสองคนก็วิ่งตามเข้าไปในครัว พวกเราช่วยกันดึงเสื้อของป้ากับย่าเพื่อไม่ให้เอาของไป
แต่สุดท้ายฮึกๆ พะ..พวกเขาก็เอาไปหมดเลย” มู่เฟยเล่าเรื่องราวออกมาพร้อมกับเสียงสะอื้นและน้ำตาก็ไหลออกมาอีกครั้งด้วยความเจ็บใจ
ฉีอันและชาวบ้านที่ได้ฟังในสิ่งที่เด็กน้อยเล่าออกมา พวกเขาก็รู้สึกสะท้านในอก โดยเฉพาะมู่หานที่เขาเองก็ไม่เคยคิดเลยว่าผู้หญิงที่เขาเรียกแม่มาตั้งแต่เด็กจะโหดร้ายได้มากขนาดนี้
ชาวบ้านและผู้ใหญ่บ้านได้มองไปที่ฉินเจียวและจิวเหลียนด้วยสายตาประณามในการกระทำที่เหมือนโจรของทั้งคู่
“เด็กนั่นโกหก” ขิงแก่ก็ยังเป็นขิงแก่ที่พยายามจะกลับดำเป็นขาว
“ถ้าผู้ใหญ่บ้านไม่เชื่อ ไปดูสภาพบ้านของฉันตอนนี้ได้เลย และถ้าหากว่าสองคนนั้นบอกไม่ได้เป็นคนทำ ฉันจะไปแจ้งทางการว่าบ้านฉันมีโจรเข้าบ้าน” ซูเหยาพูดออกมาอย่างไม่ยินยอม
“ทะ..ทางการ แกจะบ้าหรือไง ถ้าอย่างนั้นฉันก็ติดคุกนะสิ”จิวเหลียนพูดออกมาอย่างตะกุกตะกักด้วยความกลัว
“แกจะบ้าหรือไง พวกเราไม่ได้เป็นคนทำ แกจะกลัวอะไร” ฉินเจียวก็ยังคงจะแถต่อไป
“ถ้าอย่างนั้นมู่เฟยคุณไปแจ้งทางการ ฉันกับลูกๆ จะรออยู่ที่บ้าน เพราะว่าเผื่อมีใครคิดจะเข้าไปทำลายหลักฐาน ยังไงซะรอยนิ้วมือคนทำมันก็ต้องยังอยู่ ถ้าทางการมาตรวจยังไงก็ต้องเจออย่างแน่นอน” ซูเหยาพูดข่มขู่ออกมา
รอยนิ้วมืออะไรสมัยนี้ยังไม่มีการตรวจด้วยซ้ำ แต่การหลอกคนชั่วถือว่าไม่ผิด
“กะ..แกไม่ต้องมาพูดขู่ ทางการเขาจะรู้ได้ยังไงว่าใครทำ”ตอนนี้ขิงแก่ก็เริ่มที่จะร้อนตัวออกมาเองเสียแล้ว ซึ่งชาวบ้านก็ได้แต่พากันส่ายหน้าให้กับการกระทำที่ไร้ยางอายนี้
“ก็ทำไมเขาจะตรวจไม่เจอ ฉันเพิ่งจะได้ยินข่าวมาจากพี่ชายสดๆ ร้อนๆ ว่าในเมืองได้เกิดเหตุการณ์ขโมยขึ้น และได้ทิ้งรอยนิ้วมือไว้ทั่วไปหมด
ทางการได้เครื่องมือมาใหม่ใช้เวลาไม่นานเขาก็จับผู้ร้ายคนนั้นได้ ตอนนี้เจ้าคนนั้นก็ได้รับโทษโดนตัดมือไปแล้วเพราะริเป็นโจร หากไม่เชื่อจะรอให้ทางการมาตรวจสอบก็ได้ เดี๋ยวก็จะได้รู้กันว่าเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า” ซูเหยาโกหกตาใสออกมา พร้อมคิดว่าต้องแถค่ะ งานนี้ต้องแถ แม้สีข้างจะถลอกก็ตาม
เหล่าชาวบ้านที่อยู่แต่ในหุบเขา พวกเขาไม่เคยย่างก้าวเข้าไปในเมือง ตอนนี้พวกเขาต่างพากันหน้าซีดกับเรื่องที่ซูเหยาเล่าออกมาแล้ว โดยเฉพาะคนทำผิดสองคนที่เริ่มแข้งขาอ่อนแรง
หน้าซีดขาว เหงื่อผุดขึ้นตามกรอบหน้าและไรผมด้วยความหวาดกลัว ตอนนี้คงจะมีเพียงสองคนที่รู้ว่าเรื่องรอยนิ้วมือไม่มีจริงก็คือมู่หานกับฉีอันผู้ใหญ่บ้าน
“ใช่ตามที่ซูเหยาบอกนั่นแหละ ข้าเข้าเมืองไปก็ได้ยินเขาพูดกันให้ใหญ่โต” ฉีอันได้กล่าวสนับสนุนออกมา เพราะจะได้มีคนหวาดกลัวและจะได้ไม่คิดฉกชิงของผู้อื่น
เมื่อคราวนี้ได้ยินออกมาจากปากของผู้ใหญ่บ้าน ทั้งผมหงอกผมดำก็พากันหวาดกลัวกันมากขึ้นไปอีก
“แล้วหล่อนต้องการอะไร” คนผมหงอกถามมาทางซูเหยาด้วยน้ำเสียงสั่นๆ
‘สำเร็จ เหยื่อติดกับ’ ซูเหยากล่าวในใจแต่ใบหน้าก็ยังคงแสดงท่าทางทุกข์ใจออกมาเหมือนกำลังคิดมาก
“แม่สามีกับพี่สะใภ้ไม่ได้ทำไม่ใช่เหรอคะ แล้วจะอยากรู้ไปทำไมกัน สู้ให้ฉันไปแจ้งทางการให้เขามาตรวจสอบดีกว่า” ซูเหยาพูดออกมาอย่างหน้าซื่อตาใส
“ฉันกับสะใภ้ใหญ่เอาไปเอง ว่ามาแกจะเอายังไง” ฉินเจียวยอมรับออกมาพร้อมกับใบหน้าแดงก่ำด้วยความรู้สึกทั้งโกรธทั้งอาย ทางจิวเหลียนเองก็รู้สึกอับอายมากไม่ต่างกัน
“หนึ่งร้อยหยวน ถ้าไม่ได้ฉันจะไปแจ้งทางการเดี๋ยวนี้” ซูเหยากล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด คนผมดำเมื่อได้ยินเธอแทบจะเป็นลม เพราะเธอมีเงินอยู่หนึ่งร้อยห้าสิบหยวน
ถ้าต้องเสียไปหนึ่งร้อยหยวนก็แทบจะหมดตัว แต่ถ้าไม่เสียเธอก็ต้องถูกตัดมือ ในระหว่างที่ขิงแก่กำลังลังเลใจ
“มู่หานไปอำเภอ” ซูเหยาได้เอ่ยเรียกมู่หานเสียงดัง คิดจะยื้อเวลาเหรอไม่มีทาง
“ฉันจะไปเอาเงินมาให้เดี๋ยวนี้” ฉินเจียวรีบพูดออกมาอย่างลนลาน พร้อมกับรีบผละออกจากกลุ่มคนในทันที
“อย่านานนะคะ ถ้านานเกินครึ่งชั่วโมงฉันจะไปแจ้งทางการเอง” ซูเหยาได้พูดตะโกนตามหลังขิงแก่ที่แทบจะเดินขาพันกันด้วยความชอบใจ
หนุ่มน้อยคนเล็กของครอบครัวเทียนที่ตอนนี้ได้ก้าวเท้าเข้าสู่การเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยปีหนึ่ง คณะบริหารธุรกิจตามที่ตัวเองต้องการ เช่นเดียวกับชายหนุ่มผู้เป็นลูกชายคนโตของซูหลงที่ต้องการจะเป็นพ่อครัวอันดับหนึ่งตามรอยเท้าของคนเป็นพ่ออีกหนึ่งก็คือบุตรชายคนโตของครอบครัวเจียงสามที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่สมาชิกครอบครัวนี้ก็มีเพียงเจียงเจ๋อที่มีครอบครัว ซึ่งตอนนี้เจียงฮวนได้มีน้องสาวน้องชายมาเพิ่มอีกอย่างละหนึ่งทั้งสามคนมีบุคลิกแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงแต่ก็ยังคงสนิทกัน เนื่องจากทั้งสามมีอายุไล่เลี่ยกันเกิดก่อนหลังห่างกันไม่มากทำให้ได้อยู่ปีเดียวกันเทียนหยุนนั้นเป็นเหมืนเมฆตามชื่อล่องลอยอย่างอิสระ แต่ในเรื่องความรับผิดชอบเขามีเต็มร้อยเนื่องจากได้รับการฝึกฝนมาจากผู้เป็นแม่และพ่อในการทำงานซูตงที่แม้จะมีบุคลิกหนาวเหน็บตามชื่อแต่เมื่อไหร่ที่ได้ทำอาหารหรือขนมชายหนุ่มผมยาวผู้นี้จะมีความอ่อนโยนดุจสายน้ำคนสุดท้ายเจียงฮวนชายหนุ่มผู้มีความนิ่งมาตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเขาก็มักจะทำตัวนิ่งอยู่เสมอต้นเสมอปลาย แต่เมื่อไหร่ก็ตามที
ชายหนุ่มที่โดนหญิงสาวคนนี้กอดขาของตนเขาก็ตกใจ แต่เมื่อเห็นอาการอันสั่นเทาของหญิงสาวฮุ่ยหมิ่นก็รู้สึกเห็นใจผู้หญิงคนนี้ไม่น้อย ทำให้เขาก้มตัวลงไปจับไหล่บางของหญิงสาวด้วยมือทั้งสองข้าง“สหายตอนนี้คุณปลอดภัยแล้ว” เสียงอันอ่อนโยนของชายหนุ่มปลอบหญิงสาวที่ยังไม่ยอมลืมตาด้วยความเห็นใจเมื่อหญิงสาวผมสั้นได้ยินเสียงอันทุ้มนุ่มที่อยู่เหนือศีรษะของตนหญิงสาวก็ตัวแข็งทื่อด้วยความตกใจ พร้อมกับลืมตามองสิ่งที่ตัวเองกอดอยู่ก็เห็นเป็นกางเกงสีเขียวของทหารฉินเซียวซานเมื่อเห็นแบบนี้หล่อนจึงได้ผละตัวออกทันทีก่อนที่ตัวเองเกือบจะนั่งลงไปกับพื้นหิมะโชคดีที่ว่าชายหนุ่มจับไหล่ของเธอเอาไว้ ทำให้หล่อนไม่นั่งจ้ำเบ้าลงไปบนพื้นอันเย็นเฉียบ“สหายระวัง” ฮุ่ยหมิ่นกล่าวออกมาเสียงดังด้วยความตกใจที่หญิงคนนี้อยู่ ๆ ก็ผละออกจากเขากะทันหันหญิงสาวผมสั้นเมื่อได้ยินเสียงของคนพูดหล่อนจึงได้แหงนหน้าของตนมองขึ้นไปด้านบน ทำให้ดวงตากลมโตของเธอสบกับดวงตาเรียวคมดุของคนเบื้องหน้าที่กำลังมองเธออยู่เช่นกันในช่วงเวลาที่คนทั้งสองกำลังสบตากั
หิมะตกหนักท่ามกลางฤดูหนาวอันโหดร้ายของปีที่ภัยพิบัติได้มาเยือนในเขตภาคเหนือของประเทศทำให้ทหารต้องเข้าไปช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่อันห่างไกลการเดินทางไปช่วยเหลือประชาชนในครั้งนี้มู่ซือกับฮุ่ยหมิ่นที่ได้เลื่อนตำแหน่งไปด้วยกันเป็นทีมแรก ท่ามกลางหิมะกองสูงพวกเขาจะต้องเดินฝ่าเพื่อไปยังหมู่บ้านเบื้องหน้าที่มีคนติดต่อมาว่าได้ถูกหิมะถล่มหลังคา ทำให้ประชาชนได้รับบาดเจ็บกันเป็นจำนวนมากและยังมีอีกหลายชีวิตที่ติดอยู่ภายใต้ซากหลังคาที่ถล่มทำให้หน่วยงานของพวกเขาจำเป็นต้องให้การช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน แต่การเดินทางฝ่าหิมะไม่ใช่เรื่องง่ายในระหว่างที่ทหารในกลุ่มของสองพี่น้องกำลังเดินทางพวกเขาก็ได้ยินเสียงของสุนัขป่าเห่ากรรโชกเสียงดังเหมือนข่มขู่อะไรบางอย่างด้านหน้าห่างจากพวกเขาไม่มากนัก ทำให้คนในกลุ่มพากันเร่งฝีเท้าของพวกตนให้เร็วขึ้น ท่ามกลางฝูงหมาป่าหกตัวที่ล้อมหญิงสาวสองคน หนึ่งในนั้นเป็นคนที่สองพี่น้องย่อมจะต้องรู้จักเป็นอย่างดี“เจินเจินพวกเราจะทำยังไงกันดีจะไปตามคนมาช่วยดันจะมากลายเป็นอาหารหมาป่าเข้าเสียได้” เสียงหญิงสาวผมสั้นท่าทางทะมัดทะแมงกล่าวกับเพื
ภายนอกถ้ำที่โจรทั้งหกนั่งรอบกองไฟที่พวกมันก่อ บัดนี้ได้มีทหารกลุ่มหนึ่งกำลังโอบล้อมพวกมันตามที่เทียนเฉินได้คาดการณ์เอาไว้“ผู้กองหานพวกเราจะรอถึงเมื่อไหร่ครับ” มู่ซือถามกับครูฝึกของตนด้วยความร้อนใจ เนื่องจากเป็นห่วงน้องชายที่อาสาเป็นตัวประกัน“เกือบได้เวลาแล้วนายก็ใจเย็นลงสักหน่อยเถอะ นายต้องเชื่อใจเทียนเฉินสิ” คนที่เป็นทั้งครูฝึกและกำลังจะเป็นน้องเขยของคนตรงหน้ากล่าว“ผมทราบครับแต่นั่นน้องชายผมนะครับ หากผมใจร้อนป่านนี้ผมบุกเข้าไปแล้ว” คนเป็นว่าที่พี่เมียแย้งพวกเขาซุ่มดูพวกมันมาจะครึ่งคืนแล้วไม่เห็นวี่แววว่าโจรร้ายพวกนี้จะหลับสักที หานจ้านจึงได้นึกถึงสมุนไพรที่มีฤทธิ์ทำให้คนสลบออกมา“มู่ซือนายเอาเจ้านี่ไปเผาให้ควันไปทางพวกมันนะรับรองพวกมันหลับแน่ ไม่หลับก็อาจจะสะลึมสะลือใช้ระวังหน่อยก็แล้วกันผลงานน้องสาวนายเลยนะ” คนเป็นหัวหน้ากลุ่มกล่าวออกมาด้วยความรู้สึกภาคภูมิใจมู่ซือแม้อยากจะพูดอะไรแต่เวลานี้ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมดังนั้นเขาจึงได้นำสหายร่วมรบไปกับตนอีกสองคนเพื่อไปทำตามคำสั่ง
ยามเย็นย่ำท่ามกลางป่าใหญ่ที่ปราศจากเสียงร้องของสัตว์ เทียนเฉินผู้ที่ได้ปลอมตัวเป็นหนึ่งในตัวประกันที่ถูกผู้ร้ายค้าอาวุธเถื่อนจับตัวมาพร้อมกับกลุ่มคนอีกสี่คนหนึ่งในนั้นมีหญิงสาวใบหน้ากลมดวงตาเรียวเล็กอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย เทียนเฉินคิดว่าเด็กคนนี้บางทีน่าจะเป็นเด็กวัยมัธยมที่ถูกเจ้าชั่วพวกนี้จับมา“ลูกพี่อีกนานไหมกว่านายใหญ่จะมา” เสียงของหนึ่งในพ่อค้าอาวุธดังขึ้นขัดความคิดของเจ้าหน้าที่หนุ่มที่ตอนนี้แต่งตัวเหมือนคนทำงานในหน่วยงานวิจัยขององค์กรบางอย่างที่คนร้ายพวกนี้ต้องการตัว“นายก็รอหน่อยเถอะอีกไม่นานเจ้านายก็น่าจะมาแล้ว ว่าแต่ทำไมตัวประกันของเราถึงมีเด็กมาด้วยวะ” ชายหน้าบากที่ถูกเรียกว่าลูกพี่ถามกับลูกน้องที่มีอาวุธปืนอยู่ในมือหลังจากที่มองไปยังหญิงสาวร่างเล็กใบหน้ากลม“ก็ฉันเห็นว่าหล่อนอยู่กับเจ้าหน้าที่พวกนี้ก็เลยจับมาทั้งหมด แต่พี่ว่าหล่อนยังเป็นนักเรียนอยู่เหรอ หรือว่าจะปล่อยหล่อนไปเด็กขนาดนี้คงจะบอกตำรวจหรือทหารอะไรได้ไม่มากหรอก” คนพูดเป็นชายที่มีลูกสาวอยู่ในวัยมัธยมถามความเห็นกับลูกพี่ใหญ่“แกจะบ้าเหรอห
มิเชลรู้สึกว่าเรื่องนี้น่าจะเป็นความฝันที่ไม่ใช่ความจริงหากเป็นความฝันหญิงสาวก็ไม่คิดอยากจะลืมตาตื่นชายหนุ่มที่ฉุดหญิงสาววิ่งมาไกลแล้วจึงได้รู้สึกเบาใจว่าไม่น่าจะมีคนตามพวกเขามาทัน เขาจึงได้ปล่อยข้อมือของหญิงสาวคนนี้ลง“คุณเป็นอะไรหรือเปล่า” หลังจากที่เขาปล่อยมือของตนแล้วชายหนุ่มก็มองหน้าหญิงสาวที่ตอนนี้แม้จะยังสวมแว่นตาอยู่แต่ด้วยการที่พวกเขาวิ่งกันมาไกลก็ยังพอเห็นใบหน้าอันแดงเรื่อจากแสงไฟทำให้ใบหน้านั้นดูน่ารักเทียนเฟยรู้สึกตกใจความคิดของตัวเองอยู่ไม่น้อยนี่เขาชมคนอื่นนอกจากน้องสาวของตน ทางด้านหญิงสาวที่กำลังรู้สึกเขินอายได้มองเห็นอาการเลิ่กลั่กของชายหนุ่มมาดนิ่งหล่อนก็หลุดยิ้มออกมาก่อนที่จะตอบชายที่อยู่ในความทรงจำออกไป“ฉันไม่เป็นไรค่ะแค่รู้สึกเหนื่อยนิดหน่อย” หญิงสาวรู้สึกเหนื่อยหอบตามที่ตนพูดไปจริง ๆ“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วครับ คุณพักอยู่ที่ไหนให้ผมไปส่งเถอะผู้หญิงเดินคนเดียวยามค่ำคืนน่าเป็นห่วง” เทียนเฟยกล่าวตามที่ตัวเองรู้สึก“คือฉันพักอยู่ที่...มันจะสะดวกสำหรับพี่หรือเปล่าคะ” หล่อนแทนตัว