ในระหว่างที่ซูเหยาได้รอฉินเจียวเอาเงินมาให้ตนอยู่ เธอก็ได้หันไปพูดกับมู่หานที่กำลังสำรวจลูกชายหญิงของตน
“ฉันต้องการแยกออกมาจากบ้านมู่อย่างเด็ดขาด คุณทำให้ได้ไหม” ซูเหยาพูดพร้อมกับมองหน้าสามีในนามของตน ที่ตอนนี้ได้ยืนขึ้นมาประสานสายตากับเธอแล้วอย่างหนักแน่น
“ผมเองก็เคยคิดจะแยกบ้านออกมาเหมือนกัน แต่ว่าตอนนี้เรายังไม่มีเงินซื้อที่ดินและเงินสำหรับสร้างบ้าน ไหนจะที่นาอีก ถ้าเราย้ายออกมาจะหาเงินที่ไหนไปเช่าที่ทำกินกัน” มู่หานเขาพรั่งพรูคำพูดในสิ่งที่เขาเคยคิดเอาไว้ออกมา
“คุณตอบฉันได้ไหมตอนนี้ปีอะไร” ซูเหยาถามในสิ่งที่ตนสงสัย เนื่องจากในนิยายไม่ได้กล่าวเอาไว้ เธอรู้แต่เพียงว่าสถานที่แห่งนี้เป็นโลกที่อ้างอิงมาจากเดิมเพียงเท่านั้น
“คุณเป็นอะไรไป ไม่ใช่ว่าโดนแม่และพี่สะใภ้ตีหัวหรอกนะแม้แต่วันเดือนปีก็หลงลืมเสียหมด ปีนี้เป็นปี 1965 ยังไงล่ะ” มู่หานบอกกับภรรยาสาวในนาม
ซูเหยาเมื่อได้ยินสิ่งที่มู่หานพูด เธอถึงกับอยากจะต่อว่าระบบเสียจริง ที่บังคับส่งเธอมาอยู่ในช่วงก่อนปีการปฏิวัติวัฒนธรรมครั้งใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่ถึงปีข้างหน้า
“ฉันมีเงิน คุณรีบไปขอซื้อที่ดินกับลุงผู้ใหญ่บ้านซะในตอนนี้และเรื่องที่ดินทำกินคุณไม่ต้องห่วง ฉันจะหาทางออกเอง” ซูเหยาพูดขึ้นอย่างตัดสินใจเด็ดขาด
‘เรื่องที่ดินทำกินจะไปคิดมากทำไมล่ะ เพราะตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไปหลังการปฏิวัติจะต้องทำงานร่วมกัน โดยไม่แบ่งที่ทำกินของใครเป็นของใคร และยังถูกควบคุมโดยเจ้าหน้าที่รัฐอีก
สิ่งที่สำคัญก็คือจะต้องแยกบ้านให้ได้ ไม่อย่างนั้นปีหน้าจะทำอะไรก็ลำบากมากกว่าที่เป็นอยู่ในตอนนี้อย่างแน่นอน’ ซูเหยาพูดกับตนเองในใจ
มู่หานเมื่อเห็นว่าภรรยาของตนสีหน้าไม่สู้ดี ตัวเขาก็รู้สึกตกใจอยู่ไม่น้อย “คุณเป็นอะไรหรือเปล่า” มู่หานถามซูเหยาด้วยความเป็นห่วง
“นี่เงิน แล้วหล่อนจะต้องไม่ไปแจ้งทางการแล้วนะ” ฉินเจียวพูดพร้อมกับรีบส่งเงินไปที่ซูเหยาด้วยความโมโห
“ผู้ใหญ่บ้านคะ ครอบครัวของฉันต้องการแยกบ้านและตัดขาดออกจากบ้านมู่ค่ะ” ซูเหยาเมื่อเธอรับเงินมาแล้วจึงพูดออกมาเสียงดัง
“หล่อนอยากจะแยกบ้านอย่างนั้นเหรอ ก็ดีออกไปเลยแล้วอย่าซมซานกลับมากันนะ” เสียงพูดแหลมสูงของฉินเจียวดังขึ้น พร้อมกับทำหน้าเย้ยหยัน เพราะเธอคิดว่าคนพวกนี้จะต้องไม่มีที่ไปอย่างแน่นอน
“ไม่กลับอย่างแน่นอนค่ะ เพราะฉันจะให้ทุกคนที่อยู่ที่นี่ช่วยเป็นพยานในการตัดขาดครั้งนี้ด้วย” ซูเหยาก็พูดใส่หน้าแม่สามีอย่างหนักแน่น
“มู่หานว่ายังไง” ผู้ใหญ่บ้านฉีอันหันไปถามความเห็นของ มู่หานที่ยืนนิ่งอยู่
“ตกลงครับ รบกวนลุงผู้ใหญ่ช่วยดูที่สำหรับปลูกบ้านให้ผมด้วย และก็ทำเรื่องหนังสือตัดขาดด้วยครับ” มู่หานพูดขึ้นหลังจากที่เขาตัดสินใจได้
‘ลองเชื่อใจซูเหยาดูสักครั้งก็แล้วกัน เพราะดูเหมือนว่าในตอนนี้เธอจะเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ’ มู่หานคิดกับตนเอง
“จิวเหลียน หล่อนไปตามคนที่บ้านมู่มาให้หมด เพราะเราจะตัดขาดกับพวกหมาตาขาวเหล่านี้ให้สิ้นซาก เป็นตายร้ายดีจะได้ไม่ต้องมายุ่งกัน
ฉันจะบอกให้แกรู้เอาไว้นะว่า แซ่มู่ของตระกูลฝั่งสามีฉันก็จะไม่ให้แกใช้ เพราะแกมันเป็นแค่เด็กที่ถูกเก็บมาเลี้ยงเท่านั้น” ฉินเจียวพูดออกอย่างเย้ยหยัน
มู่หานที่เขาเองก็พอรู้และระแคะระคายเรื่องนี้มาตั้งแต่เด็กอยู่บ้าง เมื่อมาได้ยินความจริงในตอนนี้เขาถึงกับพูดไม่ออกและรู้สึกเสียใจอย่างที่สุด
ตั้งแต่ยังเด็กเขาก็ทนความลำบากทุกอย่างเพื่อทำให้ทุกคนในครอบครัวได้กินอิ่ม นอนอุ่น ยกเว้นแต่ตัวเองที่ต้องไปนอนซุกกองฟางเก่าๆ กลิ่นอับชื้น หาของป่ากินไปวันๆ
“คุณไม่ต้องคิดมากไปหรอกค่ะ พวกเขาไม่ใช่ครอบครัวของคุณก็จริง แต่ว่าคุณยังมีลูกอีกสองคนและฉันที่เป็นครอบครัวของคุณ พวกเราไปสร้างครอบครัวของเรากัน” ซูเหยาพูดปลอบใจพระเอกของเรื่อง
มู่หานเมื่อเขาได้ยินถ้อยคำที่จริงใจของภรรยาและมองไปที่ลูกๆ ของตน เขาเองก็คิดตามและก็ได้คลายความเศร้าลง ‘ใครไม่ต้องการเขาก็ช่าง แต่เขายังมีลูกและเมียอยู่’
ตอนนี้ครอบครัวมู่ก็พากันมาครบทุกคนแล้ว นำโดยมู่จางที่เป็นเจ้าบ้านคนปัจจุบัน ซูเหยาเพิ่งจะได้เห็นคนที่เก็บมู่หานออกมาจากป่าก็วันนี้แหละ
“มู่หานลูกคิดดีแล้วอย่างนั้นเหรอ” มู่จางที่ยังคงมีความรักให้กับมู่หานอยู่บ้าง ถามออกมาอย่างเป็นกังวล
เขาเองก็รู้ถึงความผิดของตนเช่นกัน ที่ทำเป็นหลับหูหลับตามาตลอดปล่อยให้บ้านลูกชายคนรองถูกรังแกอยู่เสมอ ทั้งที่ความจริงแล้วเขาเป็นอาของมู่หานแท้ๆ
แต่เขาไม่สามารถดูแลลูกชายเพียงคนเดียวของพี่ชายตามที่รับปากเอาไว้กับพี่ชายได้เลย ตอนนี้เขาก็คงจะต้องบอกความจริงออกมาเสียแล้ว
“แซ่มู่ มู่หานจะยังคงใช้เหมือนเดิม” เสียงของมู่จางยังพูดไม่ทันจบ เสียงเล็กแหลมของฉินเจียวก็เอ่ยขัดขึ้นเสียก่อน
“ไม่ได้มันเป็นลูกที่คุณเก็บมาเลี้ยงนะ จะให้มันมาใช้แซ่ร่วมกับพวกเราทำไมกัน คนไม่มีญาติพี่น้องแบบมันจะเป็นลูกหลานโจรหรือเปล่าก็ไม่รู้”
เพี๊ยะ! ยังไม่ทันที่ฉินเจียวจะพูดจบฝ่ามือของมู่จางก็ตบลงบนใบหน้าของหล่อน ตอนนี้ฉินเจียวรู้สึกเจ็บปวดเป็นอย่างมากที่สามีตบหน้าเธอต่อหน้าคนมากมาย
หนุ่มน้อยคนเล็กของครอบครัวเทียนที่ตอนนี้ได้ก้าวเท้าเข้าสู่การเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยปีหนึ่ง คณะบริหารธุรกิจตามที่ตัวเองต้องการ เช่นเดียวกับชายหนุ่มผู้เป็นลูกชายคนโตของซูหลงที่ต้องการจะเป็นพ่อครัวอันดับหนึ่งตามรอยเท้าของคนเป็นพ่ออีกหนึ่งก็คือบุตรชายคนโตของครอบครัวเจียงสามที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่สมาชิกครอบครัวนี้ก็มีเพียงเจียงเจ๋อที่มีครอบครัว ซึ่งตอนนี้เจียงฮวนได้มีน้องสาวน้องชายมาเพิ่มอีกอย่างละหนึ่งทั้งสามคนมีบุคลิกแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงแต่ก็ยังคงสนิทกัน เนื่องจากทั้งสามมีอายุไล่เลี่ยกันเกิดก่อนหลังห่างกันไม่มากทำให้ได้อยู่ปีเดียวกันเทียนหยุนนั้นเป็นเหมืนเมฆตามชื่อล่องลอยอย่างอิสระ แต่ในเรื่องความรับผิดชอบเขามีเต็มร้อยเนื่องจากได้รับการฝึกฝนมาจากผู้เป็นแม่และพ่อในการทำงานซูตงที่แม้จะมีบุคลิกหนาวเหน็บตามชื่อแต่เมื่อไหร่ที่ได้ทำอาหารหรือขนมชายหนุ่มผมยาวผู้นี้จะมีความอ่อนโยนดุจสายน้ำคนสุดท้ายเจียงฮวนชายหนุ่มผู้มีความนิ่งมาตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเขาก็มักจะทำตัวนิ่งอยู่เสมอต้นเสมอปลาย แต่เมื่อไหร่ก็ตามที
ชายหนุ่มที่โดนหญิงสาวคนนี้กอดขาของตนเขาก็ตกใจ แต่เมื่อเห็นอาการอันสั่นเทาของหญิงสาวฮุ่ยหมิ่นก็รู้สึกเห็นใจผู้หญิงคนนี้ไม่น้อย ทำให้เขาก้มตัวลงไปจับไหล่บางของหญิงสาวด้วยมือทั้งสองข้าง“สหายตอนนี้คุณปลอดภัยแล้ว” เสียงอันอ่อนโยนของชายหนุ่มปลอบหญิงสาวที่ยังไม่ยอมลืมตาด้วยความเห็นใจเมื่อหญิงสาวผมสั้นได้ยินเสียงอันทุ้มนุ่มที่อยู่เหนือศีรษะของตนหญิงสาวก็ตัวแข็งทื่อด้วยความตกใจ พร้อมกับลืมตามองสิ่งที่ตัวเองกอดอยู่ก็เห็นเป็นกางเกงสีเขียวของทหารฉินเซียวซานเมื่อเห็นแบบนี้หล่อนจึงได้ผละตัวออกทันทีก่อนที่ตัวเองเกือบจะนั่งลงไปกับพื้นหิมะโชคดีที่ว่าชายหนุ่มจับไหล่ของเธอเอาไว้ ทำให้หล่อนไม่นั่งจ้ำเบ้าลงไปบนพื้นอันเย็นเฉียบ“สหายระวัง” ฮุ่ยหมิ่นกล่าวออกมาเสียงดังด้วยความตกใจที่หญิงคนนี้อยู่ ๆ ก็ผละออกจากเขากะทันหันหญิงสาวผมสั้นเมื่อได้ยินเสียงของคนพูดหล่อนจึงได้แหงนหน้าของตนมองขึ้นไปด้านบน ทำให้ดวงตากลมโตของเธอสบกับดวงตาเรียวคมดุของคนเบื้องหน้าที่กำลังมองเธออยู่เช่นกันในช่วงเวลาที่คนทั้งสองกำลังสบตากั
หิมะตกหนักท่ามกลางฤดูหนาวอันโหดร้ายของปีที่ภัยพิบัติได้มาเยือนในเขตภาคเหนือของประเทศทำให้ทหารต้องเข้าไปช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่อันห่างไกลการเดินทางไปช่วยเหลือประชาชนในครั้งนี้มู่ซือกับฮุ่ยหมิ่นที่ได้เลื่อนตำแหน่งไปด้วยกันเป็นทีมแรก ท่ามกลางหิมะกองสูงพวกเขาจะต้องเดินฝ่าเพื่อไปยังหมู่บ้านเบื้องหน้าที่มีคนติดต่อมาว่าได้ถูกหิมะถล่มหลังคา ทำให้ประชาชนได้รับบาดเจ็บกันเป็นจำนวนมากและยังมีอีกหลายชีวิตที่ติดอยู่ภายใต้ซากหลังคาที่ถล่มทำให้หน่วยงานของพวกเขาจำเป็นต้องให้การช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน แต่การเดินทางฝ่าหิมะไม่ใช่เรื่องง่ายในระหว่างที่ทหารในกลุ่มของสองพี่น้องกำลังเดินทางพวกเขาก็ได้ยินเสียงของสุนัขป่าเห่ากรรโชกเสียงดังเหมือนข่มขู่อะไรบางอย่างด้านหน้าห่างจากพวกเขาไม่มากนัก ทำให้คนในกลุ่มพากันเร่งฝีเท้าของพวกตนให้เร็วขึ้น ท่ามกลางฝูงหมาป่าหกตัวที่ล้อมหญิงสาวสองคน หนึ่งในนั้นเป็นคนที่สองพี่น้องย่อมจะต้องรู้จักเป็นอย่างดี“เจินเจินพวกเราจะทำยังไงกันดีจะไปตามคนมาช่วยดันจะมากลายเป็นอาหารหมาป่าเข้าเสียได้” เสียงหญิงสาวผมสั้นท่าทางทะมัดทะแมงกล่าวกับเพื
ภายนอกถ้ำที่โจรทั้งหกนั่งรอบกองไฟที่พวกมันก่อ บัดนี้ได้มีทหารกลุ่มหนึ่งกำลังโอบล้อมพวกมันตามที่เทียนเฉินได้คาดการณ์เอาไว้“ผู้กองหานพวกเราจะรอถึงเมื่อไหร่ครับ” มู่ซือถามกับครูฝึกของตนด้วยความร้อนใจ เนื่องจากเป็นห่วงน้องชายที่อาสาเป็นตัวประกัน“เกือบได้เวลาแล้วนายก็ใจเย็นลงสักหน่อยเถอะ นายต้องเชื่อใจเทียนเฉินสิ” คนที่เป็นทั้งครูฝึกและกำลังจะเป็นน้องเขยของคนตรงหน้ากล่าว“ผมทราบครับแต่นั่นน้องชายผมนะครับ หากผมใจร้อนป่านนี้ผมบุกเข้าไปแล้ว” คนเป็นว่าที่พี่เมียแย้งพวกเขาซุ่มดูพวกมันมาจะครึ่งคืนแล้วไม่เห็นวี่แววว่าโจรร้ายพวกนี้จะหลับสักที หานจ้านจึงได้นึกถึงสมุนไพรที่มีฤทธิ์ทำให้คนสลบออกมา“มู่ซือนายเอาเจ้านี่ไปเผาให้ควันไปทางพวกมันนะรับรองพวกมันหลับแน่ ไม่หลับก็อาจจะสะลึมสะลือใช้ระวังหน่อยก็แล้วกันผลงานน้องสาวนายเลยนะ” คนเป็นหัวหน้ากลุ่มกล่าวออกมาด้วยความรู้สึกภาคภูมิใจมู่ซือแม้อยากจะพูดอะไรแต่เวลานี้ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมดังนั้นเขาจึงได้นำสหายร่วมรบไปกับตนอีกสองคนเพื่อไปทำตามคำสั่ง
ยามเย็นย่ำท่ามกลางป่าใหญ่ที่ปราศจากเสียงร้องของสัตว์ เทียนเฉินผู้ที่ได้ปลอมตัวเป็นหนึ่งในตัวประกันที่ถูกผู้ร้ายค้าอาวุธเถื่อนจับตัวมาพร้อมกับกลุ่มคนอีกสี่คนหนึ่งในนั้นมีหญิงสาวใบหน้ากลมดวงตาเรียวเล็กอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย เทียนเฉินคิดว่าเด็กคนนี้บางทีน่าจะเป็นเด็กวัยมัธยมที่ถูกเจ้าชั่วพวกนี้จับมา“ลูกพี่อีกนานไหมกว่านายใหญ่จะมา” เสียงของหนึ่งในพ่อค้าอาวุธดังขึ้นขัดความคิดของเจ้าหน้าที่หนุ่มที่ตอนนี้แต่งตัวเหมือนคนทำงานในหน่วยงานวิจัยขององค์กรบางอย่างที่คนร้ายพวกนี้ต้องการตัว“นายก็รอหน่อยเถอะอีกไม่นานเจ้านายก็น่าจะมาแล้ว ว่าแต่ทำไมตัวประกันของเราถึงมีเด็กมาด้วยวะ” ชายหน้าบากที่ถูกเรียกว่าลูกพี่ถามกับลูกน้องที่มีอาวุธปืนอยู่ในมือหลังจากที่มองไปยังหญิงสาวร่างเล็กใบหน้ากลม“ก็ฉันเห็นว่าหล่อนอยู่กับเจ้าหน้าที่พวกนี้ก็เลยจับมาทั้งหมด แต่พี่ว่าหล่อนยังเป็นนักเรียนอยู่เหรอ หรือว่าจะปล่อยหล่อนไปเด็กขนาดนี้คงจะบอกตำรวจหรือทหารอะไรได้ไม่มากหรอก” คนพูดเป็นชายที่มีลูกสาวอยู่ในวัยมัธยมถามความเห็นกับลูกพี่ใหญ่“แกจะบ้าเหรอห
มิเชลรู้สึกว่าเรื่องนี้น่าจะเป็นความฝันที่ไม่ใช่ความจริงหากเป็นความฝันหญิงสาวก็ไม่คิดอยากจะลืมตาตื่นชายหนุ่มที่ฉุดหญิงสาววิ่งมาไกลแล้วจึงได้รู้สึกเบาใจว่าไม่น่าจะมีคนตามพวกเขามาทัน เขาจึงได้ปล่อยข้อมือของหญิงสาวคนนี้ลง“คุณเป็นอะไรหรือเปล่า” หลังจากที่เขาปล่อยมือของตนแล้วชายหนุ่มก็มองหน้าหญิงสาวที่ตอนนี้แม้จะยังสวมแว่นตาอยู่แต่ด้วยการที่พวกเขาวิ่งกันมาไกลก็ยังพอเห็นใบหน้าอันแดงเรื่อจากแสงไฟทำให้ใบหน้านั้นดูน่ารักเทียนเฟยรู้สึกตกใจความคิดของตัวเองอยู่ไม่น้อยนี่เขาชมคนอื่นนอกจากน้องสาวของตน ทางด้านหญิงสาวที่กำลังรู้สึกเขินอายได้มองเห็นอาการเลิ่กลั่กของชายหนุ่มมาดนิ่งหล่อนก็หลุดยิ้มออกมาก่อนที่จะตอบชายที่อยู่ในความทรงจำออกไป“ฉันไม่เป็นไรค่ะแค่รู้สึกเหนื่อยนิดหน่อย” หญิงสาวรู้สึกเหนื่อยหอบตามที่ตนพูดไปจริง ๆ“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วครับ คุณพักอยู่ที่ไหนให้ผมไปส่งเถอะผู้หญิงเดินคนเดียวยามค่ำคืนน่าเป็นห่วง” เทียนเฟยกล่าวตามที่ตัวเองรู้สึก“คือฉันพักอยู่ที่...มันจะสะดวกสำหรับพี่หรือเปล่าคะ” หล่อนแทนตัว