Home / ระบบ / ซูเหยาเมื่อฉันกลายเป็นแม่เลี้ยงผู้โหดร้าย / ตอน จ่ายค่าชดเชยมาถ้าไม่จ่ายฉันจะแจ้งทางการ(1)

Share

ตอน จ่ายค่าชดเชยมาถ้าไม่จ่ายฉันจะแจ้งทางการ(1)

“หมู นั่นหมูจริงๆ เสียด้วย ตัวมันใหญ่มากเลย” ฉินเจียวได้ส่งเสียงแหลมของตนร้องออกมาอย่างไม่เกรงใจผู้คนที่ยืนอยู่ตรงนี้เลยสักนิด

“ถอยไป หลบไป ฉันเป็นแม่ของมู่หาน ฉันจะเข้าไปหาลูกชายฉัน” ฉินเจียวทั้งผลักทั้งดันคนรอบข้างให้แหวกทางให้กับตน โดยมีจิวเหลียนหญิงร่างใหญ่เป็นผู้ช่วย

ซูเหยาเมื่อเธอมองเห็นภาพนี้เธอถึงกับเบะปากใส่คนทั้งสอง ‘ช่วยหาก็ไม่ได้ช่วย คิดแต่จะหาผลประโยชน์อย่างเดียว’ เธอคิด

เมื่อเธอเห็นแม่ผัวลูกสะใภ้มหาประลัยเดินมาแล้ว ซูเหยาจึงได้หลบฉากเพื่อมุ่งหน้ากลับบ้านไปหาเด็กน้อยน่ารัก ที่ตอนนี้จะเป็นอย่างไรกันบ้างก็ไม่รู้ และได้กินข้าวกันหรือยัง

แต่เมื่อเธอมาถึงบ้าน เธอก็ได้ยืนช็อกกับสภาพประตูหน้าบ้านของตนไปแล้ว เพราะประตูได้ถูกเปิดออกโดยมีร่องรอยการจามด้วยขวานตัดไม้ซึ่งน่าจะมีขนาดใหญ่

เมื่อซูเหยาได้เห็นสภาพบ้านแบบนี้ ตอนนี้ใจเธอถึงกับหล่นวูบไปเลยทีเดียว เด็กน้อยลูกทั้งสองจะเป็นอย่างไร

“เสี่ยวเฟย เสี่ยวผิงอยู่ที่ไหนกัน ได้ยินเสียงน้าไหม พวกหนูอยู่ไหน” ซูเหยารีบวิ่งเข้าไปด้านในด้วยสีหน้าแตกตื่นมีน้ำตาคลอเธอร้องเรียกหาเด็กน้อยเสียงดัง

“ฮือๆ กลัวแล้วๆ” เสียงสั่นเล็กๆ ร้องด้วยความหวาดกลัวซ้ำๆอย่างคนเสียขวัญ ดังอยู่ที่มุมครัวข้างตู้เก็บอาหาร ซูเหยาเมื่อได้ยินเสียงเล็กๆ นี้ เธอจำได้ว่าเป็นของเสี่ยวเฟยอย่างแน่นอน

“เสี่ยวเฟย เสี่ยวผิง” ซูเหยารีบวิ่งเข้าไปกอดเด็กน้อยอย่างรวดเร็ว เพราะสภาพของเด็กน้อยตอนนี้ทั้งสองกอดกันกลม ร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างน่าสงสาร

“ไม่เป็นไรนะเด็กดี น้ามาแล้ว ไม่ร้องแล้วนะโอ๋ๆ” ซูเหยากอดเด็กทั้งคู่ พร้อมกับเอามือลูบหัวลูบหลังพูดจาปลอบประโลมเด็กทั้งสองอย่างอ่อนโยน

เด็กน้อยทั้งสองที่กำลังตกใจ เมื่อได้ยินน้ำเสียงอ่อนโยนที่พูดกับเขาช้าๆ ซ้ำๆ พวกเขาก็ค่อยๆ คลายสะอื้นลง แต่ว่าก็ยังไม่ถึงกับนิ่งเงียบเสียทีเดียว

ซูเหยาเมื่อเธอรับรู้ได้ว่าเด็กน้อยในอ้อมแขนดีขึ้นมากแล้ว เธอจึงค่อยๆ คลายวงแขนของตนออกอย่างช้าๆ

ตอนนี้เด็กน้อยสองคนได้เงยหน้าที่ยังมีน้ำตาเปรอะแก้ม และดวงตาสีแดงที่บอบช้ำจากการร้องไห้จ้องมองมาที่ ซูเหยา

“น้าเหยา ย่า..ย่า ป้ามาเอาของไปหมดเลย พวกเขาเอาไปหมดแล้ว” เสี่ยวผิงเมื่อเธอเห็นอย่างชัดเจนแล้วว่าเป็นใครที่โอบกอดเธอ

เจ้าตัวน้อยก็โถมตัวเอาแขนเล็กๆ โอบรอบคอซูเหยา พร้อมพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอู้ๆ อี้ๆ แต่ซูเหยาก็ยังพอฟังเข้าใจ ‘ย่าตัวร้าย ป้าชั่วช้ารอฉันก่อน’ ซูเหยาพูดในใจด้วยความโกรธ

“น้าเหยาผ..ผมขอโทษ ที่รักษาของไว้ไม่ได้ฮือๆ” เด็กน้อยเสี่ยวเฟยกล่าวขอโทษซูเหยา พร้อมร้องไห้ออกมาอย่างเสียใจ

“ไม่เป็นไร ไม่ต้องร้องนะ พวกหนูไม่ผิดหรอก ผิดที่คนพวกนั้น หนูสองคนโดนคนพวกนั้นทำร้ายตรงไหนหรือเปล่า”      ซูเหยาลูบหัวเด็กชายตัวน้อย และถามขึ้นมาอย่างอ่อนโยน

“ผิงน้อยปล่อยน้าก่อนลูก มาให้น้าดูร่างกายพวกหนูก่อนว่ามีบาดแผลตรงไหนหรือเปล่า” ซูเหยาบอกกับเด็กหญิงตัวน้อยพร้อมค่อยๆ จับแขนเล็กๆ บอบบางออกจากรอบคอของตนอย่างช้าๆ

เมื่อแขนของผิงน้อยออกจากรอบคอของตนมาได้แล้ว เธอก็ได้จับให้เจ้าตัวน้อยยืนตัวตรง ต่อมาเธอก็ค่อยๆ จับไหล่ของเสี่ยวเฟย เพื่อประคองให้เจ้าตัวน้อยลุกขึ้น

เมื่อเด็กน้อยยืนอยู่ด้านหน้าของเธอแล้ว เธอก็ใช้สายตามองสำรวจร่างของเด็กน้อยทั้งสอง ต่อมาเธอก็ค่อยๆ เปิดเสื้อของเด็กน้อยสำรวจดูตามแขนและลำตัว และก็มาถกขากางเกงของเด็กน้อยดูตามขาว่ามีร่องรอยใดๆ หรือเปล่า เมื่อเห็นว่าเด็กน้อยไม่มีร่องรอยของการบาดเจ็บ เธอถึงรู้สึกโล่งใจ

“พวกนั้นตีหนูสองคนหรือเปล่า” ซูเหยาได้ถามเด็กน้อยที่ต่างก็ยืนนิ่งให้เธอสำรวจพวกเขา

“ไม่ครับ พอผมเข้าไปขวาง ย่าก็ยกมือขึ้นจะตี แต่ผมรีบหลบออกมา ส่วนเสี่ยวผิงก็รีบหลบป้าสะใภ้วิ่งมาหาผมเหมือนกัน” เสี่ยวเฟยตอบแม่เลี้ยงตามความจริง

“ถ้าอย่างนั้นพวกเราไปหาผู้ใหญ่บ้านกัน น้าจะไปเอาเรื่องคนพวกนั้น หนูทนอยู่สภาพนี้ไปก่อนนะ เพราะถ้าเราอยากได้รับความเป็นธรรมจากการถูกรังแกก็ต้องไปสภาพนี้แหละ” ซูเหยาบอกกับเด็กน้อยทั้งสอง และเธอก็ค่อยๆ ยืนขึ้น พร้อมจับมือเด็กน้อยออกไปนอกบ้าน

‘อยากได้ของบ้านซูเหยาคนนี้อย่างนั้นเหรอ มันไม่ง่ายอย่างที่คิดหรอกนะหึหึ’ ซูเหยาคิดอย่างชั่วร้าย

สามคนผู้ใหญ่หนึ่ง เด็กอีกสองพากันเดินจูงมือมาที่บ้านผู้ใหญ่บ้าน ที่ตอนนี้ได้มีชาวบ้านมากหน้าหลายตายืนอยู่ด้วยกันหลายคน

‘ดีทีเดียวพยานเยอะดี’ ซูเหยาคิด เธอมองไปที่เด็กสองคนที่เนื้อตัวมอมแมม เสื้อผ้าหลุดลุ่ยผมเผ้ายุ่งเหยิง ต้องเล่นละครฉากใหญ่สักหน่อยแล้ว

“เด็กๆ ได้เวลาที่พวกเราจะต้องไปทวงข้าวของคืนแล้วล่ะ”   ซูเหยาพูดกับเด็กๆ

“ฮือๆ ช่วยด้วยค่ะผู้ใหญ่บ้าน ช่วยเสี่ยวเฟยเสี่ยวผิงด้วย”     ซูเหยาร้องไห้พร้อมกับตะโกนเสียงดัง

ชาวบ้านที่กำลังดูการชำแหละหมูอยู่ด้วยความสนใจ เมื่อได้ยินน้ำเสียงของซูเหยาที่พูดพร้อมกับร้องไห้ พวกเขาต่างก็พากันหันมามองทางต้นเสียงเป็นตาเดียว

และพวกเขาก็ได้เห็นสภาพของเด็กน้อยสองคนที่ตาแดงช้ำน้ำตาคลอหน่วย เสื้อผ้าหลุดลุ่ย ผมเผ้ายุ่งเหยิง มีซูเหยาจับจูงมืออยู่กันคนละฝั่ง

“เกิดอะไรขึ้นอาเฟย อาผิง บอกพ่อใครทำอะไรลูกกัน” มู่หานเมื่อเขาเห็นสภาพลูกชายหญิงของตนก็รีบวิ่งเข้ามาถามลูกน้อยด้วยความเป็นห่วง

“ยะ.. ย่า” เสี่ยวเฟยตอบพร้อมเอานิ้วชี้ผอมของตนชี้ไปยัง ฉินเจียวที่อยู่ในกลุ่ม “ป้าสะใภ้” เสี่ยวผิงก็ทำตามพี่ชายเช่นกัน

ด้านฉินเจียวกับจิวเหลียนที่ตอนนี้ก็ได้พยายามจะหลบสายตาจากผู้คนที่มองมา ด้วยความอับอาย

“ผู้ใหญ่บ้านต้องให้ความเป็นธรรมกับครอบครัวของฉัน และก็เด็กสองคนนี้นะคะ พวกเขาเอาข้าวของในบ้านของพวกเราไปหมดเลย

พะ.. พวกเขาทำตัวกันยิ่งกว่าโจรเสียอีกฮือๆ ไม่เหลือแม้แต่ข้าวให้พวกเราสี่คนพ่อแม่ลูกไว้กินด้วย

และพวกเราจะมีชีวิตอยู่กันได้ยังไงให้ผ่านหน้าหนาวที่จะมาถึงนี้ได้กัน ถ้าผู้ใหญ่บ้านไม่ให้ความเป็นธรรมกับฉัน ฉันจะไปร้องเรียนทางการในอำเภอ” ซูเหยาร้องไห้คร่ำครวญพร้อมพูดออกมา

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • ซูเหยาเมื่อฉันกลายเป็นแม่เลี้ยงผู้โหดร้าย   ตอนพิเศษที่หก สามหนุ่มหล่อแห่งเมืองหลวงผู้แตกต่าง

    หนุ่มน้อยคนเล็กของครอบครัวเทียนที่ตอนนี้ได้ก้าวเท้าเข้าสู่การเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยปีหนึ่ง คณะบริหารธุรกิจตามที่ตัวเองต้องการ เช่นเดียวกับชายหนุ่มผู้เป็นลูกชายคนโตของซูหลงที่ต้องการจะเป็นพ่อครัวอันดับหนึ่งตามรอยเท้าของคนเป็นพ่ออีกหนึ่งก็คือบุตรชายคนโตของครอบครัวเจียงสามที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่สมาชิกครอบครัวนี้ก็มีเพียงเจียงเจ๋อที่มีครอบครัว ซึ่งตอนนี้เจียงฮวนได้มีน้องสาวน้องชายมาเพิ่มอีกอย่างละหนึ่งทั้งสามคนมีบุคลิกแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงแต่ก็ยังคงสนิทกัน เนื่องจากทั้งสามมีอายุไล่เลี่ยกันเกิดก่อนหลังห่างกันไม่มากทำให้ได้อยู่ปีเดียวกันเทียนหยุนนั้นเป็นเหมืนเมฆตามชื่อล่องลอยอย่างอิสระ แต่ในเรื่องความรับผิดชอบเขามีเต็มร้อยเนื่องจากได้รับการฝึกฝนมาจากผู้เป็นแม่และพ่อในการทำงานซูตงที่แม้จะมีบุคลิกหนาวเหน็บตามชื่อแต่เมื่อไหร่ที่ได้ทำอาหารหรือขนมชายหนุ่มผมยาวผู้นี้จะมีความอ่อนโยนดุจสายน้ำคนสุดท้ายเจียงฮวนชายหนุ่มผู้มีความนิ่งมาตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเขาก็มักจะทำตัวนิ่งอยู่เสมอต้นเสมอปลาย แต่เมื่อไหร่ก็ตามที

  • ซูเหยาเมื่อฉันกลายเป็นแม่เลี้ยงผู้โหดร้าย   ตอนพิเศษที่ห้า สองพี่น้องผู้โดดเดี่ยว2

    ชายหนุ่มที่โดนหญิงสาวคนนี้กอดขาของตนเขาก็ตกใจ แต่เมื่อเห็นอาการอันสั่นเทาของหญิงสาวฮุ่ยหมิ่นก็รู้สึกเห็นใจผู้หญิงคนนี้ไม่น้อย ทำให้เขาก้มตัวลงไปจับไหล่บางของหญิงสาวด้วยมือทั้งสองข้าง“สหายตอนนี้คุณปลอดภัยแล้ว” เสียงอันอ่อนโยนของชายหนุ่มปลอบหญิงสาวที่ยังไม่ยอมลืมตาด้วยความเห็นใจเมื่อหญิงสาวผมสั้นได้ยินเสียงอันทุ้มนุ่มที่อยู่เหนือศีรษะของตนหญิงสาวก็ตัวแข็งทื่อด้วยความตกใจ พร้อมกับลืมตามองสิ่งที่ตัวเองกอดอยู่ก็เห็นเป็นกางเกงสีเขียวของทหารฉินเซียวซานเมื่อเห็นแบบนี้หล่อนจึงได้ผละตัวออกทันทีก่อนที่ตัวเองเกือบจะนั่งลงไปกับพื้นหิมะโชคดีที่ว่าชายหนุ่มจับไหล่ของเธอเอาไว้ ทำให้หล่อนไม่นั่งจ้ำเบ้าลงไปบนพื้นอันเย็นเฉียบ“สหายระวัง” ฮุ่ยหมิ่นกล่าวออกมาเสียงดังด้วยความตกใจที่หญิงคนนี้อยู่ ๆ ก็ผละออกจากเขากะทันหันหญิงสาวผมสั้นเมื่อได้ยินเสียงของคนพูดหล่อนจึงได้แหงนหน้าของตนมองขึ้นไปด้านบน ทำให้ดวงตากลมโตของเธอสบกับดวงตาเรียวคมดุของคนเบื้องหน้าที่กำลังมองเธออยู่เช่นกันในช่วงเวลาที่คนทั้งสองกำลังสบตากั

  • ซูเหยาเมื่อฉันกลายเป็นแม่เลี้ยงผู้โหดร้าย   ตอนพิเศษที่ห้า สองพี่น้องผู้โดดเดี่ยว1

    หิมะตกหนักท่ามกลางฤดูหนาวอันโหดร้ายของปีที่ภัยพิบัติได้มาเยือนในเขตภาคเหนือของประเทศทำให้ทหารต้องเข้าไปช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่อันห่างไกลการเดินทางไปช่วยเหลือประชาชนในครั้งนี้มู่ซือกับฮุ่ยหมิ่นที่ได้เลื่อนตำแหน่งไปด้วยกันเป็นทีมแรก ท่ามกลางหิมะกองสูงพวกเขาจะต้องเดินฝ่าเพื่อไปยังหมู่บ้านเบื้องหน้าที่มีคนติดต่อมาว่าได้ถูกหิมะถล่มหลังคา ทำให้ประชาชนได้รับบาดเจ็บกันเป็นจำนวนมากและยังมีอีกหลายชีวิตที่ติดอยู่ภายใต้ซากหลังคาที่ถล่มทำให้หน่วยงานของพวกเขาจำเป็นต้องให้การช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน แต่การเดินทางฝ่าหิมะไม่ใช่เรื่องง่ายในระหว่างที่ทหารในกลุ่มของสองพี่น้องกำลังเดินทางพวกเขาก็ได้ยินเสียงของสุนัขป่าเห่ากรรโชกเสียงดังเหมือนข่มขู่อะไรบางอย่างด้านหน้าห่างจากพวกเขาไม่มากนัก ทำให้คนในกลุ่มพากันเร่งฝีเท้าของพวกตนให้เร็วขึ้น ท่ามกลางฝูงหมาป่าหกตัวที่ล้อมหญิงสาวสองคน หนึ่งในนั้นเป็นคนที่สองพี่น้องย่อมจะต้องรู้จักเป็นอย่างดี“เจินเจินพวกเราจะทำยังไงกันดีจะไปตามคนมาช่วยดันจะมากลายเป็นอาหารหมาป่าเข้าเสียได้” เสียงหญิงสาวผมสั้นท่าทางทะมัดทะแมงกล่าวกับเพื

  • ซูเหยาเมื่อฉันกลายเป็นแม่เลี้ยงผู้โหดร้าย   ตอนพิเศษที่สี่ กลิ่นคาวเลือดก่อเกิดรัก 2

    ภายนอกถ้ำที่โจรทั้งหกนั่งรอบกองไฟที่พวกมันก่อ บัดนี้ได้มีทหารกลุ่มหนึ่งกำลังโอบล้อมพวกมันตามที่เทียนเฉินได้คาดการณ์เอาไว้“ผู้กองหานพวกเราจะรอถึงเมื่อไหร่ครับ” มู่ซือถามกับครูฝึกของตนด้วยความร้อนใจ เนื่องจากเป็นห่วงน้องชายที่อาสาเป็นตัวประกัน“เกือบได้เวลาแล้วนายก็ใจเย็นลงสักหน่อยเถอะ นายต้องเชื่อใจเทียนเฉินสิ” คนที่เป็นทั้งครูฝึกและกำลังจะเป็นน้องเขยของคนตรงหน้ากล่าว“ผมทราบครับแต่นั่นน้องชายผมนะครับ หากผมใจร้อนป่านนี้ผมบุกเข้าไปแล้ว” คนเป็นว่าที่พี่เมียแย้งพวกเขาซุ่มดูพวกมันมาจะครึ่งคืนแล้วไม่เห็นวี่แววว่าโจรร้ายพวกนี้จะหลับสักที หานจ้านจึงได้นึกถึงสมุนไพรที่มีฤทธิ์ทำให้คนสลบออกมา“มู่ซือนายเอาเจ้านี่ไปเผาให้ควันไปทางพวกมันนะรับรองพวกมันหลับแน่ ไม่หลับก็อาจจะสะลึมสะลือใช้ระวังหน่อยก็แล้วกันผลงานน้องสาวนายเลยนะ” คนเป็นหัวหน้ากลุ่มกล่าวออกมาด้วยความรู้สึกภาคภูมิใจมู่ซือแม้อยากจะพูดอะไรแต่เวลานี้ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมดังนั้นเขาจึงได้นำสหายร่วมรบไปกับตนอีกสองคนเพื่อไปทำตามคำสั่ง

  • ซูเหยาเมื่อฉันกลายเป็นแม่เลี้ยงผู้โหดร้าย   ตอนพิเศษที่สี่ กลิ่นคาวเลือดก่อเกิดรัก 1

    ยามเย็นย่ำท่ามกลางป่าใหญ่ที่ปราศจากเสียงร้องของสัตว์ เทียนเฉินผู้ที่ได้ปลอมตัวเป็นหนึ่งในตัวประกันที่ถูกผู้ร้ายค้าอาวุธเถื่อนจับตัวมาพร้อมกับกลุ่มคนอีกสี่คนหนึ่งในนั้นมีหญิงสาวใบหน้ากลมดวงตาเรียวเล็กอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย เทียนเฉินคิดว่าเด็กคนนี้บางทีน่าจะเป็นเด็กวัยมัธยมที่ถูกเจ้าชั่วพวกนี้จับมา“ลูกพี่อีกนานไหมกว่านายใหญ่จะมา” เสียงของหนึ่งในพ่อค้าอาวุธดังขึ้นขัดความคิดของเจ้าหน้าที่หนุ่มที่ตอนนี้แต่งตัวเหมือนคนทำงานในหน่วยงานวิจัยขององค์กรบางอย่างที่คนร้ายพวกนี้ต้องการตัว“นายก็รอหน่อยเถอะอีกไม่นานเจ้านายก็น่าจะมาแล้ว ว่าแต่ทำไมตัวประกันของเราถึงมีเด็กมาด้วยวะ” ชายหน้าบากที่ถูกเรียกว่าลูกพี่ถามกับลูกน้องที่มีอาวุธปืนอยู่ในมือหลังจากที่มองไปยังหญิงสาวร่างเล็กใบหน้ากลม“ก็ฉันเห็นว่าหล่อนอยู่กับเจ้าหน้าที่พวกนี้ก็เลยจับมาทั้งหมด แต่พี่ว่าหล่อนยังเป็นนักเรียนอยู่เหรอ หรือว่าจะปล่อยหล่อนไปเด็กขนาดนี้คงจะบอกตำรวจหรือทหารอะไรได้ไม่มากหรอก” คนพูดเป็นชายที่มีลูกสาวอยู่ในวัยมัธยมถามความเห็นกับลูกพี่ใหญ่“แกจะบ้าเหรอห

  • ซูเหยาเมื่อฉันกลายเป็นแม่เลี้ยงผู้โหดร้าย   ตอนพิเศษที่สาม แม่คุณจะรับฉันได้จริง ๆ เหรอ 2

    มิเชลรู้สึกว่าเรื่องนี้น่าจะเป็นความฝันที่ไม่ใช่ความจริงหากเป็นความฝันหญิงสาวก็ไม่คิดอยากจะลืมตาตื่นชายหนุ่มที่ฉุดหญิงสาววิ่งมาไกลแล้วจึงได้รู้สึกเบาใจว่าไม่น่าจะมีคนตามพวกเขามาทัน เขาจึงได้ปล่อยข้อมือของหญิงสาวคนนี้ลง“คุณเป็นอะไรหรือเปล่า” หลังจากที่เขาปล่อยมือของตนแล้วชายหนุ่มก็มองหน้าหญิงสาวที่ตอนนี้แม้จะยังสวมแว่นตาอยู่แต่ด้วยการที่พวกเขาวิ่งกันมาไกลก็ยังพอเห็นใบหน้าอันแดงเรื่อจากแสงไฟทำให้ใบหน้านั้นดูน่ารักเทียนเฟยรู้สึกตกใจความคิดของตัวเองอยู่ไม่น้อยนี่เขาชมคนอื่นนอกจากน้องสาวของตน ทางด้านหญิงสาวที่กำลังรู้สึกเขินอายได้มองเห็นอาการเลิ่กลั่กของชายหนุ่มมาดนิ่งหล่อนก็หลุดยิ้มออกมาก่อนที่จะตอบชายที่อยู่ในความทรงจำออกไป“ฉันไม่เป็นไรค่ะแค่รู้สึกเหนื่อยนิดหน่อย” หญิงสาวรู้สึกเหนื่อยหอบตามที่ตนพูดไปจริง ๆ“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วครับ คุณพักอยู่ที่ไหนให้ผมไปส่งเถอะผู้หญิงเดินคนเดียวยามค่ำคืนน่าเป็นห่วง” เทียนเฟยกล่าวตามที่ตัวเองรู้สึก“คือฉันพักอยู่ที่...มันจะสะดวกสำหรับพี่หรือเปล่าคะ” หล่อนแทนตัว

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status