“ชื่อเสียงอย่างนั้นเหรอ ฉันไม่ต้องการหรอก ฉันต้องการแค่กินอิ่ม นอนหลับ ทำงานให้ได้เงินที่สามารถเก็บเอาไว้ได้เองไม่ต้องส่งให้ใคร” ซือซิงร้องไห้พร้อมกับพูดในสิ่งที่อยู่ในใจออกมา อีกคำรบด้วยอาการสะอึกสะอื้น
“พวกคุณคงได้ยินสิ่งที่น้องสะใภ้ของฉันพูดแล้วนะคะ ฉันหวังว่าพวกคุณคงไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับเธออีก
อ๋อคุณสามารถถามลูกชายของคุณได้เลยว่าจะเอายังไง” ซูเหยาที่มากับครอบครัวได้สักพักแล้ว เดินเข้ามายืนข้างซือซิงแล้วพูดออกมา
“ผมไม่หย่า แล้วผมก็ต้องการจะแยกบ้านด้วย” มู่อันที่ได้พยุงพ่อของตนเดินเข้ามาพร้อมกับมู่หานที่พยุงพ่อของตนอยู่อีกด้านพูดขึ้นเสียงดัง
“แก.. แกมันเป็นหมาป่าตาขาว เห็นเมียดีกว่าแม่ ได้ถ้าแกอยากแยกแกก็ออกไปแต่ตัว ข้าวของอะไรฉันก็จะไม่แบ่งให้ แล้วพวกแกก็อย่าซมซานกลับมาก็แล้วกัน
อ๋อแล้วก็เอาพ่อขี้โรคของแกไปด้วย หนอยมีเงินพากันไปหาหมอ แต่ไม่นึกถึงคนที่บ้านว่าจะมีกินไม่มีกิน” ฉินเจียวพูดเสียงดังอย่างคนเห็นแก่ตัว
“มันจะเกินไปแล้วนะฉินเจียว มู่จางนั่นเป็นสามีของหล่อนนะ หล่อนอยู่ด้วยกันมาตั้งนาน ขนาดลูกชายของหล่อน..” หญิงวัยกลางคนที่เริ่มรู้ตัวว่าพูดมากไป ได้เอามือปิดปากของตน
ซูเหยาที่ยืนฟังอยู่ เมื่อได้ยินคำพูดและท่าทางของหญิงที่วัยเดียวกับแม่เธอ ต่อมเผือก แค่กๆ ไม่ใช่สิ ต่อมความอยากรู้ก็ได้เริ่มเปิดโหมดทำงานทันที
แต่แล้วความอยากรู้ของเธอก็ต้องมีอันชะงักลง เมื่อได้มีเสียงแหลมๆ ดังขัดจังหวะขึ้นมา
“ก็เพราะว่าเป็นสามีของฉันยังไงล่ะ ในเมื่อทำงานไม่ได้ ฉันก็หวังดีให้ไปอยู่กับลูกคนที่ต้องการดูแลเขาได้แบบนี้ไม่ดีหรือยังไงกัน” ฉินเจียวหญิงใจดำพูดออกมาหน้าตาเฉย
“ฉันจะหย่า แค่กๆ” มู่จางที่ได้ยินคำพูดอันร้ายกาจออกมาจากหญิงที่เขาอยู่ด้วยตลอดสามสิบปีพูดขึ้น
ฉินเจียวที่ได้ยินการตัดสินใจของสามีแบบนี้ ก็รู้สึกตกใจอยู่บ้าง แต่เมื่อเธอได้มองสามีที่เริ่มแก่และยังป่วยกระเสาะกระแสะแบบนี้อีก เธอก็ไม่เหลือความรู้สึกดีๆ อะไรอีก
“หย่าก็หย่าสิ อายุเราสองคนก็ไม่ใช่น้อยๆ แล้ว หย่าก็ดีเหมือนกัน แต่ฉันบอกไว้ก่อนนะ ฉันจะอยู่กับเจ้าใหญ่ แล้วบ้านก็ต้องเป็นของฉันด้วย” ฉินเจียวพูดอย่างคนหน้าด้านออกมาตามเดิม
‘โอ้แม่เจ้า ขิงแก่นางนี้ช่างหน้าด้านเกินไปแล้ว’ ซูเหยาคิด
“ได้ แต่หล่อนจะต้องแบ่งเงินที่เจ้าสามทำงานแล้วส่งเข้าส่วนกลางที่บ้านออกมาอย่างยุติธรรม” มู่จางพูดออกมาอย่างเดือดดาลไม่ยอมอ่อนข้อเช่นกัน และเขาก็ไอออกมา ซึ่งอาการไอครั้งนี้มากกว่าเดิม เนื่องจากเขาโมโหผู้หญิง หน้าด้าน
“เงิน เงิน เงิน ทำอย่างกับเจ้าสามทำงานได้เยอะแยะ ตอนนี้ฉันเหลือแค่สามสิบหยวนเท่านั้นแหละ ถ้าอยากได้ก็เอาไปสิบห้าหยวน จะเอาหรือไม่ก็ตามใจ” ฉินเจียวผู้ไม่ยอมเสียเปรียบใครพูดโกหกออกมา
“พ่อครับพอเถอะ พ่อยิ่งไม่สบายอยู่ มีแค่นั้นผมก็เอาแค่นั้นแหละครับ” มู่อันรีบกล่าวห้ามพ่อของตน พร้อมจับแขนของพ่อเป็นการห้าม
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ไปบ้านผู้ใหญ่กันเถอะ เรื่องจะได้เรียบร้อยกันภายในวันนี้” มู่จางพูดพร้อมกับให้ลูกชายทั้งสองช่วยพยุงตนเดินมุ่งหน้าไปหาผู้ใหญ่บ้าน
ดวงตาที่เริ่มเป็นฝ้าจางๆ ของมู่จางไม่ได้หลงเหลือความอาวรณ์ใดๆ ต่อภรรยาผู้ใจดำของตนแม้แต่น้อย จะมีก็เพียงแต่ความรู้สึกเสียใจ ที่ไม่สามารถช่วยลูกชายของเขาได้
‘เขาช่างเป็นพ่อผู้ไร้ประโยชน์เสียจริง’ มู่จางคิด ท่าทางความเศร้าของเขาไม่ได้หนีพ้นจากสายตาลูกชายทั้งสองไปได้
“พ่อครับ ต่อไปพวกเราจะช่วยดูแลพ่อเองนะครับ ตอนนี้พ่อจะต้องทำตามคำสั่งหมออย่างเคร่งครัด เพื่อให้ร่างกายพ่อได้กลับมาแข็งแรงดังเดิม” มู่หานปลอบชายชราที่แม้จะไม่ใช่พ่อของเขาจริงๆ แต่ก็ได้เลี้ยงดูเขามาตั้งแต่แบเบาะอย่างนุ่มนวล
“เรื่องราวของบ้านมู่ก็ให้พวกเขาจัดการกันเอาเอง ตอนนี้พวกเราก็เข้าไปในที่ของเรากันเถอะค่ะ ดีนะที่เราล้อมรั้วเอาไว้ก่อน” ซูเหยาพูดขึ้น
“อาสะใภ้พวกเราเข้าบ้านกันเถอะค่ะ หนูเอาซาลาเปาขาวอวบมาฝากอาสะใภ้ด้วยนะคะ” ลูกชิ้นลูกเล็กพูดออกมาอย่างน่ารัก พร้อมกับจับมืออันแสนเย็นของซือซิงเอาไว้แน่น
“ยังมีขนมจีบหมูด้วยนะครับ ผมรับรองว่าอาสะใภ้จะต้องชอบอย่างแน่นอน” เจ้าลูกชิ้นลูกใหญ่ก็พูดขึ้นพร้อมกับเดินไปจับมือของซือซิงที่ว่างเปล่าอยู่อีกด้าน
ซือซิงเมื่อเธอได้รับไออุ่นจากมือเล็กๆ ของเด็กน้อยทั้งสอง ทำให้หัวใจที่รู้สึกหนาวเหน็บนั้นได้รับความอบอุ่นกลับมาอีกครั้ง เธอจึงได้ยกยิ้มส่งให้เด็กน้อยทั้งสอง
ซูเหยาและครอบครัวเมื่อได้เห็นรอยยิ้มบางของซือซิง พวกเขาก็รู้สึกดีใจขึ้นมาบ้าง “โชคดีนะที่บ้านเรามีเจ้าลูกชิ้นสองลูกนี้” หว่านชิงพูดขึ้นพร้อมกับฉีกยิ้มออกมา
หนุ่มน้อยคนเล็กของครอบครัวเทียนที่ตอนนี้ได้ก้าวเท้าเข้าสู่การเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยปีหนึ่ง คณะบริหารธุรกิจตามที่ตัวเองต้องการ เช่นเดียวกับชายหนุ่มผู้เป็นลูกชายคนโตของซูหลงที่ต้องการจะเป็นพ่อครัวอันดับหนึ่งตามรอยเท้าของคนเป็นพ่ออีกหนึ่งก็คือบุตรชายคนโตของครอบครัวเจียงสามที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่สมาชิกครอบครัวนี้ก็มีเพียงเจียงเจ๋อที่มีครอบครัว ซึ่งตอนนี้เจียงฮวนได้มีน้องสาวน้องชายมาเพิ่มอีกอย่างละหนึ่งทั้งสามคนมีบุคลิกแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงแต่ก็ยังคงสนิทกัน เนื่องจากทั้งสามมีอายุไล่เลี่ยกันเกิดก่อนหลังห่างกันไม่มากทำให้ได้อยู่ปีเดียวกันเทียนหยุนนั้นเป็นเหมืนเมฆตามชื่อล่องลอยอย่างอิสระ แต่ในเรื่องความรับผิดชอบเขามีเต็มร้อยเนื่องจากได้รับการฝึกฝนมาจากผู้เป็นแม่และพ่อในการทำงานซูตงที่แม้จะมีบุคลิกหนาวเหน็บตามชื่อแต่เมื่อไหร่ที่ได้ทำอาหารหรือขนมชายหนุ่มผมยาวผู้นี้จะมีความอ่อนโยนดุจสายน้ำคนสุดท้ายเจียงฮวนชายหนุ่มผู้มีความนิ่งมาตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเขาก็มักจะทำตัวนิ่งอยู่เสมอต้นเสมอปลาย แต่เมื่อไหร่ก็ตามที
ชายหนุ่มที่โดนหญิงสาวคนนี้กอดขาของตนเขาก็ตกใจ แต่เมื่อเห็นอาการอันสั่นเทาของหญิงสาวฮุ่ยหมิ่นก็รู้สึกเห็นใจผู้หญิงคนนี้ไม่น้อย ทำให้เขาก้มตัวลงไปจับไหล่บางของหญิงสาวด้วยมือทั้งสองข้าง“สหายตอนนี้คุณปลอดภัยแล้ว” เสียงอันอ่อนโยนของชายหนุ่มปลอบหญิงสาวที่ยังไม่ยอมลืมตาด้วยความเห็นใจเมื่อหญิงสาวผมสั้นได้ยินเสียงอันทุ้มนุ่มที่อยู่เหนือศีรษะของตนหญิงสาวก็ตัวแข็งทื่อด้วยความตกใจ พร้อมกับลืมตามองสิ่งที่ตัวเองกอดอยู่ก็เห็นเป็นกางเกงสีเขียวของทหารฉินเซียวซานเมื่อเห็นแบบนี้หล่อนจึงได้ผละตัวออกทันทีก่อนที่ตัวเองเกือบจะนั่งลงไปกับพื้นหิมะโชคดีที่ว่าชายหนุ่มจับไหล่ของเธอเอาไว้ ทำให้หล่อนไม่นั่งจ้ำเบ้าลงไปบนพื้นอันเย็นเฉียบ“สหายระวัง” ฮุ่ยหมิ่นกล่าวออกมาเสียงดังด้วยความตกใจที่หญิงคนนี้อยู่ ๆ ก็ผละออกจากเขากะทันหันหญิงสาวผมสั้นเมื่อได้ยินเสียงของคนพูดหล่อนจึงได้แหงนหน้าของตนมองขึ้นไปด้านบน ทำให้ดวงตากลมโตของเธอสบกับดวงตาเรียวคมดุของคนเบื้องหน้าที่กำลังมองเธออยู่เช่นกันในช่วงเวลาที่คนทั้งสองกำลังสบตากั
หิมะตกหนักท่ามกลางฤดูหนาวอันโหดร้ายของปีที่ภัยพิบัติได้มาเยือนในเขตภาคเหนือของประเทศทำให้ทหารต้องเข้าไปช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่อันห่างไกลการเดินทางไปช่วยเหลือประชาชนในครั้งนี้มู่ซือกับฮุ่ยหมิ่นที่ได้เลื่อนตำแหน่งไปด้วยกันเป็นทีมแรก ท่ามกลางหิมะกองสูงพวกเขาจะต้องเดินฝ่าเพื่อไปยังหมู่บ้านเบื้องหน้าที่มีคนติดต่อมาว่าได้ถูกหิมะถล่มหลังคา ทำให้ประชาชนได้รับบาดเจ็บกันเป็นจำนวนมากและยังมีอีกหลายชีวิตที่ติดอยู่ภายใต้ซากหลังคาที่ถล่มทำให้หน่วยงานของพวกเขาจำเป็นต้องให้การช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน แต่การเดินทางฝ่าหิมะไม่ใช่เรื่องง่ายในระหว่างที่ทหารในกลุ่มของสองพี่น้องกำลังเดินทางพวกเขาก็ได้ยินเสียงของสุนัขป่าเห่ากรรโชกเสียงดังเหมือนข่มขู่อะไรบางอย่างด้านหน้าห่างจากพวกเขาไม่มากนัก ทำให้คนในกลุ่มพากันเร่งฝีเท้าของพวกตนให้เร็วขึ้น ท่ามกลางฝูงหมาป่าหกตัวที่ล้อมหญิงสาวสองคน หนึ่งในนั้นเป็นคนที่สองพี่น้องย่อมจะต้องรู้จักเป็นอย่างดี“เจินเจินพวกเราจะทำยังไงกันดีจะไปตามคนมาช่วยดันจะมากลายเป็นอาหารหมาป่าเข้าเสียได้” เสียงหญิงสาวผมสั้นท่าทางทะมัดทะแมงกล่าวกับเพื
ภายนอกถ้ำที่โจรทั้งหกนั่งรอบกองไฟที่พวกมันก่อ บัดนี้ได้มีทหารกลุ่มหนึ่งกำลังโอบล้อมพวกมันตามที่เทียนเฉินได้คาดการณ์เอาไว้“ผู้กองหานพวกเราจะรอถึงเมื่อไหร่ครับ” มู่ซือถามกับครูฝึกของตนด้วยความร้อนใจ เนื่องจากเป็นห่วงน้องชายที่อาสาเป็นตัวประกัน“เกือบได้เวลาแล้วนายก็ใจเย็นลงสักหน่อยเถอะ นายต้องเชื่อใจเทียนเฉินสิ” คนที่เป็นทั้งครูฝึกและกำลังจะเป็นน้องเขยของคนตรงหน้ากล่าว“ผมทราบครับแต่นั่นน้องชายผมนะครับ หากผมใจร้อนป่านนี้ผมบุกเข้าไปแล้ว” คนเป็นว่าที่พี่เมียแย้งพวกเขาซุ่มดูพวกมันมาจะครึ่งคืนแล้วไม่เห็นวี่แววว่าโจรร้ายพวกนี้จะหลับสักที หานจ้านจึงได้นึกถึงสมุนไพรที่มีฤทธิ์ทำให้คนสลบออกมา“มู่ซือนายเอาเจ้านี่ไปเผาให้ควันไปทางพวกมันนะรับรองพวกมันหลับแน่ ไม่หลับก็อาจจะสะลึมสะลือใช้ระวังหน่อยก็แล้วกันผลงานน้องสาวนายเลยนะ” คนเป็นหัวหน้ากลุ่มกล่าวออกมาด้วยความรู้สึกภาคภูมิใจมู่ซือแม้อยากจะพูดอะไรแต่เวลานี้ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมดังนั้นเขาจึงได้นำสหายร่วมรบไปกับตนอีกสองคนเพื่อไปทำตามคำสั่ง
ยามเย็นย่ำท่ามกลางป่าใหญ่ที่ปราศจากเสียงร้องของสัตว์ เทียนเฉินผู้ที่ได้ปลอมตัวเป็นหนึ่งในตัวประกันที่ถูกผู้ร้ายค้าอาวุธเถื่อนจับตัวมาพร้อมกับกลุ่มคนอีกสี่คนหนึ่งในนั้นมีหญิงสาวใบหน้ากลมดวงตาเรียวเล็กอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย เทียนเฉินคิดว่าเด็กคนนี้บางทีน่าจะเป็นเด็กวัยมัธยมที่ถูกเจ้าชั่วพวกนี้จับมา“ลูกพี่อีกนานไหมกว่านายใหญ่จะมา” เสียงของหนึ่งในพ่อค้าอาวุธดังขึ้นขัดความคิดของเจ้าหน้าที่หนุ่มที่ตอนนี้แต่งตัวเหมือนคนทำงานในหน่วยงานวิจัยขององค์กรบางอย่างที่คนร้ายพวกนี้ต้องการตัว“นายก็รอหน่อยเถอะอีกไม่นานเจ้านายก็น่าจะมาแล้ว ว่าแต่ทำไมตัวประกันของเราถึงมีเด็กมาด้วยวะ” ชายหน้าบากที่ถูกเรียกว่าลูกพี่ถามกับลูกน้องที่มีอาวุธปืนอยู่ในมือหลังจากที่มองไปยังหญิงสาวร่างเล็กใบหน้ากลม“ก็ฉันเห็นว่าหล่อนอยู่กับเจ้าหน้าที่พวกนี้ก็เลยจับมาทั้งหมด แต่พี่ว่าหล่อนยังเป็นนักเรียนอยู่เหรอ หรือว่าจะปล่อยหล่อนไปเด็กขนาดนี้คงจะบอกตำรวจหรือทหารอะไรได้ไม่มากหรอก” คนพูดเป็นชายที่มีลูกสาวอยู่ในวัยมัธยมถามความเห็นกับลูกพี่ใหญ่“แกจะบ้าเหรอห
มิเชลรู้สึกว่าเรื่องนี้น่าจะเป็นความฝันที่ไม่ใช่ความจริงหากเป็นความฝันหญิงสาวก็ไม่คิดอยากจะลืมตาตื่นชายหนุ่มที่ฉุดหญิงสาววิ่งมาไกลแล้วจึงได้รู้สึกเบาใจว่าไม่น่าจะมีคนตามพวกเขามาทัน เขาจึงได้ปล่อยข้อมือของหญิงสาวคนนี้ลง“คุณเป็นอะไรหรือเปล่า” หลังจากที่เขาปล่อยมือของตนแล้วชายหนุ่มก็มองหน้าหญิงสาวที่ตอนนี้แม้จะยังสวมแว่นตาอยู่แต่ด้วยการที่พวกเขาวิ่งกันมาไกลก็ยังพอเห็นใบหน้าอันแดงเรื่อจากแสงไฟทำให้ใบหน้านั้นดูน่ารักเทียนเฟยรู้สึกตกใจความคิดของตัวเองอยู่ไม่น้อยนี่เขาชมคนอื่นนอกจากน้องสาวของตน ทางด้านหญิงสาวที่กำลังรู้สึกเขินอายได้มองเห็นอาการเลิ่กลั่กของชายหนุ่มมาดนิ่งหล่อนก็หลุดยิ้มออกมาก่อนที่จะตอบชายที่อยู่ในความทรงจำออกไป“ฉันไม่เป็นไรค่ะแค่รู้สึกเหนื่อยนิดหน่อย” หญิงสาวรู้สึกเหนื่อยหอบตามที่ตนพูดไปจริง ๆ“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วครับ คุณพักอยู่ที่ไหนให้ผมไปส่งเถอะผู้หญิงเดินคนเดียวยามค่ำคืนน่าเป็นห่วง” เทียนเฟยกล่าวตามที่ตัวเองรู้สึก“คือฉันพักอยู่ที่...มันจะสะดวกสำหรับพี่หรือเปล่าคะ” หล่อนแทนตัว