“เป็นบ้าอะไรยายกันย์”
เธอบ่นตัวเองก่อนจะสตาร์ตรถ แต่กลับสตาร์ตไม่ติด สตาร์ตซ้ำเท่าไรก็ไม่มีปฏิกิริยาทำเอาหญิงสาวทิ้งตัวลงกระแทกเบาะด้วยความเซ็ง
“เป็นอะไรเนี่ย”
ดูนาฬิกาก็เห็นว่าสองทุ่มครึ่งแล้ว หากจะโทรหาลุงคนขับรถของที่บ้านก็คงดึกเกินไป กันยกรไม่เคยดูแลเรื่องรถด้วยตัวเอง เธอแค่ขับได้ตามประสาลูกสาวคนมีเงินทั่วไป แม้บิดาจะไม่ใส่ใจกระนั้นก็ไม่เคยต้องลำบาก
“ไว้โทรพรุ่งนี้แล้วกัน”
ก๊อกๆๆ
หญิงสาวตกใจสะดุ้งโหยงที่อยู่ๆ กระจกด้านข้างก็มีคนมาเคาะ เมื่อหันมองก็เห็นว่าเป็นคนที่เพิกเฉยกันและกันมาตลอดทั้งอาทิตย์
“รถสตาร์ตไม่ติดเหรอครับ”
เธอได้ยินเขาถามแว่วๆ กันยกรหยิบของตนเองก่อนจะเปิดประตูลงไป ร่างสูงกำยำก็ขยับไปยืนห่างอย่างเว้นระยะ
“ใช่ค่ะ สตาร์ตไม่ติด”
“ผมช่วยดูให้ไหมครับ”
คำถามดูง่ายและมีน้ำใจแต่อดไม่ได้เลยที่เธอจะสังเกตแววตาของเขา หากก็ดูไร้แววใดๆ
“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันให้คนที่บ้านมาจัดการ”
“อ้อ ครับ”
ชายหนุ่มยิ้มบางรับพร้อมกับมองกระเป๋าของเธอ
“จะลงไปชั้นหนึ่งเหรอครับ ติดรถผมลงไปก็ได้ จะได้ไม่ต้องลงลิฟต์ให้เสียเวลา”
หญิงสาวอึกอักและดูไม่สบายใจขึ้นมาชัดเจน เธอเม้มริมฝีปากพลางส่ายหน้าแต่ชายหนุ่มก็เอ่ยเสียงขรึม
“เชิญครับเจ้านาย”
เธอนิ่งไปเมื่อเขาเอ่ยเช่นนั้น
“ลูกน้องปล่อยให้เจ้านายเดินลงลิฟต์ไปเองทั้งที่เห็นเต็มสองตา ผมคงเป็นลูกน้องที่ไม่เอาไหนน่าดู”
เขาบอกพร้อมผายมือเชื้อเชิญ
หากยิ่งทำตัวมีระยะห่างก็เท่ากับว่าตนมีความรู้สึกไม่ปกติ ไม่เหมือนชายหนุ่มที่ตีหน้าเฉยและไม่ได้มีท่าทางเป็นพิเศษกับเธอ กันยกรจึงยอมเดินตามคำเชิญของชายหนุ่ม อีกฝ่ายก้าวนำไปยังรถของเขาและเปิดประตูให้เธอซึ่งเป็นด้านข้างคนขับแต่หญิงสาวก็เข้าไปนั่งโดยไม่เรื่องมากหรือถือตัวว่าตนเป็นเจ้านาย
“โทรเรียกแท็กซี่แล้วใช่ไหมครับ หรือบอกให้คนที่บ้านมารับ ลงตรงหน้าตึกเลยใช่ไหมครับ ว่าแต่คุณจะนั่งรอที่ไหน โถงล็อบบี้ตึกเราไม่มีที่นั่งด้วย หรือรอตรงป้ายรถเมล์ดี แต่เวลานี้ไม่ค่อยมีคนเท่าไร”
ชายหนุ่มถามไปด้วยพร้อมออกรถและขับวนลงอย่างช่ำชอง
“ป้ายรถเมล์ค่ะ”
“ครับ”
อีกฝ่ายตอบรับง่ายๆ จากนั้นระหว่างทั้งสองคนก็เงียบไป กันยกรรู้สึกกดดันจนมือเย็นและเหงื่อซึมแม้เวลาจะผ่านไปเพียงไม่นานที่รถเคลื่อนลงมาด้านล่างของตึกสามชั้นออกมาจากบริษัทจนมาหยุดลงใกล้ป้ายรถเมล์ หญิงสาวรีบปลดเข็มขัดทว่านภณต์กลับรั้งไว้
“รอบนรถดีกว่าครับ”
เธอเงยหน้าขึ้นสบตาชายหนุ่มก็เห็นเพียงแววตากับสีหน้าเฉยสนิท
“ตอนนี้ไม่มีคนเลย ไม่รู้ว่าแท็กซี่ที่คุณเรียกจะมาถึงเมื่อไร”
“ฉันยังไม่ได้เรียกน่ะ ว่าจะมารอที่ป้ายรถเมล์”
“งั้นผมดูให้ ถ้ามีแท็กซี่มาผมจะโบกให้แล้วคุณค่อยลงไป”
“แค่นี้ก็รบกวนคุณมากแล้ว ฉันลงไปรอเองก็ได้ เผื่อคุณมีธุระรีบกลับ”
กันยกรปฏิเสธ ทั้งเกรงใจอีกฝ่ายทั้งรู้สึกไม่ดีเมื่ออยู่กับเขาเพียงสองคนในพื้นที่จำกัด
“ถ้าผมรีบคงไม่ออกไปซื้อของกินเข้ามาให้ทีมที่แก้งานหรอก รอในรถเถอะครับเจ้านาย”
น้ำเสียงชายหนุ่มดูเอื่อยลง ทำให้คนที่อึดอัดอยู่แล้วเข้าใจว่าเข้าประชดตนเอง
“ไม่ต้องเรียกฉันแบบนั้นก็ได้ค่ะ”
“อ้อ ครับ”
เขาตอบกลับเสียงเรียบเหมือนเช่นเคย ทั้งที่เธอใช้น้ำเสียงแข็ง กันยกรพยายามสูดหายใจเข้าปอดลึก คิดว่าอย่างน้อยเขาก็รับคำแล้วจึงหันไปมองด้านหลังเพื่อมองแท็กซี่อย่างพยายามไม่สนใจอีกฝ่าย ทว่ากลับต้องขนลุกซู่เมื่อเสียงทุ้มกระซิบชิดริมหู
“นึกว่าคุณชอบเสียอีก”
หญิงสาวผงะออกและหลบไปชิดติดประตูเมื่อร่างสูงกำยำโน้มเข้ามาใกล้
“เห็นคุณชอบเล่นบทเจ้านาย”
“นี่...”
“ครับ?”
กันยกรพูดไม่ออกใบหน้าคมคายขยับมาในระยะประชิดเพียงลมหายใจ ทั้งที่แววตากับสีหน้าไม่เปลี่ยนสักนิดหากเธอก็รู้ว่าเขาจงใจกวนอารมณ์ หญิงสาวผลักอกหนาอย่างแรงทว่าร่างสูงกำยำขยับเพียงเล็กน้อย
“ฉันบอกแล้วไง ว่าให้ทำเป็นไม่รู้จักกัน”
“ผมก็ไม่ได้บอกใครว่าเคยนอน...เอ๊ย เคยรู้จักกับเจ้านายมาก่อน”
เธอทุบอกหนาซ้ำเพราะรู้ว่าเขาแกล้งพูดผิด
“ฉันหมายถึง ทำเป็นไม่รู้จักกัน อย่าแกล้งทำเป็นไม่เข้าใจ”
“เจ้านายเองก็ไม่เห็นปฏิเสธนี่ครับ ว่าไม่รู้จักผม”
ริมฝีปากอิ่มเผยอค้าง ได้เพียงกะพริบตาปริบๆ ฟังอีกฝ่ายพูดต่อ
“คนไม่รู้จักกัน ก็น่าจะไม่เข้าใจเรื่องผมพูด จริงไหม”
“คุณนี่มัน...”
ยังพูดไม่จบชายหนุ่มก็หันกลับไปมองด้านหลังเพราะมีแสงไฟจากรถ
“นั่นแท็กซี่มาแล้ว”
เอ่ยจบเขาก็ลงจากรถไปโบก เมื่อแท็กซี่หยุดลงด้านหลังก็อ้อมมาเปิดประตูให้เธอ กันยกรตีหน้านิ่งและเชิดหน้าขณะลงจากรถของเขา ชายหนุ่มก็ยังเดินไปเปิดประตูแท็กซี่ให้เธออีกด้วย เธอจึงจำต้องพึมพำขอบคุณ
“ขอบคุณค่ะ”
“ไม่เป็นไรครับ ผมยินดีบริการเจ้านายเสมอ”
ดวงตาคู่เรียวงามตวัดขวับมองคนพูดอย่างไม่พอใจ แล้วสะบัดหน้าเข้าไปนั่งในรถดึงประตูปิดทันทีด้วยความหงุดหงิดใจ รู้ว่าอีกฝ่ายแกล้งยั่วโมโหตนแต่หากตอบโต้ก็เหมือนเธอยอมรับว่าตัวเองก็ผิดคำพูดที่ย้ำกับเขาไปเหมือนกัน
นภณต์ หรือ นาย ‘เมฆ’ คนนี้ไม่ใช่คนที่จะรับมือได้ง่ายๆ เลย เธอพลาดตั้งแต่ตัดสินใจเลือกเขาอย่างนั้นใช่ไหม
=====
เมฆอยากบอกเป็นนัยว่า สนใจใช้บริการอีกกันย์เรียกได้เลยสินะ ^^"
“อย่าแรงมากนะคะ”คำเตือนหญิงสาวราวคำบอกชี้ทางสว่างจากนางฟ้าในความรู้สึกนภณต์ เขาจูบแก้มนุ่มแล้วไล้ไปจูบริมฝีปากอิ่มสีอ่อนซ้ำอีกพลางจัดการปราการส่วนล่างของทั้งคู่ แล้วเชื่อมกายแกร่งเข้ากับความนุ่มอบอุ่นช้าๆกันยกรกัดริมฝีปากกับความเสียดเสียวที่ได้รับ ก่อนจะครางผะแผ่วตามแรงรักเน้นแนบแน่นที่ส่งมาจากสะโพกแกร่ง ชายหนุ่มทำตามคำขอกระนั้นก็ยังรัญจวนใจอย่างรุนแรง มือบางเกาะขอบสระไม่ให้ตนทรุดลงไปหรืออาจลื่นขึ้นมา หากก็มีแขนกำยำโอบกายเธอประครองไว้ด้วยริมฝีปากอุ่นจูบเม้มคอกับบ่าของเธอไม่หยุด สัมผัสรุกเร้าเอื่อยเฉื่อยอัดเต็มไปด้วยอานุภาพแห่งเสน่หา สองร่างโยกคลอนไปด้วยกันคลอกับระลอกคลื่นที่กระเพื่อมไหวตามแรงขยับ อารมณ์เร่าร้อนเดือดพล่านไปพร้อมกับความลุ้นระทึกใจกับบทรักแปลกใหม่ กระตุ้นทั้งสองให้ยิ่งเร้าใจมากกว่าเดิมเสียงหวานครางพร่าเบาในลำคอด้วยพยายามสะกดตัวเองไม่ให้ส่งเสียงดังเกินไปนัก ขณะที่ชายหนุ่มก็หอบแรง ลมหายใจร้อนหนักๆ เป่าแก้มกับลำคอเธอตลอดเวลา ทำให้ผิวที่เย็นจัดหวิววาบจนกันยกรรู้สึกราวตัวเองกำลังไข้ขึ้น“เมฆคะ”เธอเร่งชายหนุ่มเมื่อกระแสแปลบปลาบกำลังแผ่ซ่านรวดเร็ว และอีกฝ่ายก็เน้นส่งสะโพก
‘ตอนนี้บ้านเรากำลังมีปัญหาหลายอย่าง กันย์คิดว่าจัดงานคงไม่หมาะเท่าไร คุณพ่อไม่โกรธใช่ไหมคะ ที่กันย์เลือกทำแบบนี้’‘อืม พ่อเข้าใจ อีกอย่างจัดงานแต่งใหญ่โตแล้วยังไง ไม่ได้รับประกันว่าชีวิตคู่จะมีความสุขสักหน่อย ถ้าลูกไม่น้อยใจว่าพ่อไม่จัดงานให้ใหญ่และทุกคนรับรู้กันทั่วเมืองเหมือนยายเก๋ พ่อยังไงก็ได้’กันยกรกราบขอบพระคุณบิดาพร้อมกับนภณต์ หลังจากพูดคุยกันเรื่องสินสอดทองหมั้นแล้วเธอบอกว่าตั้งใจเพียงแค่จะจดทะเบียนสมรสกับนภณต์เท่านั้นท่านก็อนุญาต‘จะจดเมื่อไรก็บอก พ่อจะไปเซ็นเป็นพยานให้เอง’ส่วนคุณการันต์คิดเพียงว่ากันยกรมีความสุขก็พอใจแล้ว เมื่อท่านไม่สามารถดูแลบุตรสาวให้มีความสุขได้ตั้งแต่เด็กจนโต หากเวลานี้เจ้าตัวกำลังจะสร้างชีวิตครอบครัวของตัวเองอย่างสมบูรณ์และเต็มไปด้วยความสุขท่านก็มีความสุขไปด้วยและทั้งสองก็ได้ฤกย์ยามกับวันดีแล้วก็จดทะเบียนสมรสในเดือนต่อมา นอกจากบิดาของกันยกรมาเป็นพยานแล้ว นิชาดาน้องสาวของนภณต์ก็บินมาจากเชียงรายด้วย‘พี่ชายคนเดียวแต่งงาน หมอกจะไม่มาได้ยังไงคะ’แม้จะเป็นเพียงการจดทะเบียนก็ถือว่าแต่งงาน แล้วจากนั้นคุณการันต์ก็พาทุกคนไปเลี้ยงอาหารที่โรงแรม ซึ่งมีธีรดนย์ส
นภณต์ดื่มด่ำรสชาติล้ำลึกแทบเหือดแห้ง เงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเรือนร่างงามหอบหนักตัวอ่อนระทวยเขาก็โน้มไปจูบริมฝีปากสวยที่เผยอหายใจอย่างปลอบใจ มือหนาลูบเต้ากลมกลึงเคล้นหนักมือตามความต้องการอันร้อนแรงที่กำลังพุ่งสูงของตน พลางลุกขึ้นนั่งเพื่อปฏิบัติการรักให้ปลอดภัยกับลูกน้อยนภณต์เคลื่อนกายเชื่องช้าเข้าหาร่างนุ่มอุ่นที่บีบแน่นจนเขาต้องกัดฟันข่มใจตัวเองไม่ให้ทะยานกายรวดเร็วเต็มรักในคราวเดียว ชายหนุ่มหักห้ามร่างกายตัวเองยั้งสะโพกแกร่งยามโยกไหว ไม่ส่งแรงรักทุ่มทั้งตัวใส่ไปยังหญิงสาว เพียงคุกเข่ายันสะโพกขยับเอวอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่ถึงอย่างนั้นก็รับรู้ถึงความอิ่มเอมจากสัมผัสอ่อนโยนระหว่างร่างกายดวงตาคู่เรียวงามมองร่างสูงกำยำกำลังผลักเบียดสะโพกอย่างใส่ใจจนเห็นกล้ามเนื้อขึ้นเป็นมัดสวย แม้อีกฝ่ายจะกัดริมฝีปากแน่น หากแววตาที่ส่งมาถึงเธอก็เต็มไปด้วยความพอใจ และบทรักเชื่องช้าก็นำพาให้หญิงสาวผวาเฮือกอีกครั้งนภณต์พึงพอใจยามได้มองกันยกรหมดสิ้นเรี่ยวแรง นอนครวญครางระทดระทวยหรือดิ้นเร่าเพราะตนเอง เขาเบียดสะโพกไม่หยุด พลางปลายนิ้วโป้งก็บดแนบส่วนบอบบางทำเอาร่างสาวสั่นระรัว ส่งเสียงห้ามเครือพร่า“คุณเมฆ ฉั
“น้องสาวกับแม่เลี้ยงคุณใจร้ายมาก ทำกันขนาดนี้ได้ยังไง ยังดีที่ลูกของเราปลอดภัย”นภณต์ทายาตรงมุมปากรวมถึงแขนและเข่าของเธอพลางบ่นอุบเพราะกันยกรมีรอยชกช้ำแทบจะทั้งตัว โดยที่แขนกับเข่านั้นหนักที่สุดกันยกรซึ่งนั่งพิงหัวเตียงถอนหายใจยาว ทั้งคู่ไปหาหมอมาแล้ว ทั้งตรวจร่างกายและฝากท้องเรียบร้อย เธอโล่งใจมากที่ลูกปลอดภัยดีไม่ได้รับการกระทบกระเทือนใด“ยายเก๋เสียใจมากก็เลยควบคุมตัวเองไม่ได้ ส่วนอาภัสจะสติแตกตามไปด้วยไม่แปลกหรอกค่ะ ท่านรักยายเก๋มาก เป็นฉันก็คงทำใจไม่ได้เหมือนกัน”นภณต์จับมือเธอขึ้นกุมพลางลูบแผ่วเบา ขณะสายตามองมาอย่างแสนรักและกันยกรก็รับรู้ได้“คุณเก่งมากเลยครับที่อยู่กับสองแม่ลูกใจร้ายนั้นมาได้โดยไม่เสียคน ไม่หนีออกจากบ้าน แถมยังการเรียนดีมากอีก ผมนับถือจิตใจของคุณจริงๆ”ชายหนุ่มเอ่ยจากใจอย่างชื่นชม“ฉันต้องใช้ความอดทนมากค่ะตอนที่ยังเด็ก อยากหนีออกจากบ้านตั้งแต่พ่อบอกว่าจะแต่งงานด้วยซ้ำ แต่คุณแม่เคยพูดกับฉันตอนที่ท่านป่วยหนักก่อนเสีย ว่าไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น ห้ามฉันออกจากบ้านเด็ดขาด แต่ฉันก็ออกมาอยู่ข้างนอกตอนเรียนมหา’ ลัยนะคะ ตอนนั้นฉันคิดว่าดูแลตัวเองได้แล้ว มีจุดมุ่งหมายในใจ ไม่ใ
“คุณเมฆเป็นคนรักของกันย์ค่ะ”กันยกรขอคุยกับบิดาภายในห้องทำงานของท่านพร้อมกับนภณต์ แม้ท่านจะบอกให้เธอไปหาหมอก่อนแล้วค่อยคุยวันหลัง ทว่าหญิงสาวบอกว่าเป็นเรื่องสำคัญบิดาจึงตกลง“ฉันก็พอเดาได้ ถามเมฆเขาไปแล้วเหมือนกัน ว่ามารู้จักคบหากับแกได้ยังไง”คุณการันต์บอกเสียงเรียบทำให้กันยกรรีบหันมองคนที่นั่งข้างตน ว่าบอกอะไรกับบิดาไปบ้าง ทว่าชายหนุ่มยิ้มบาง“ตกลงเรื่องที่แกจะคุยมันเรื่องอะไร”เหมือนบิดาต้องการเข้าเรื่องให้เร็วที่สุดกันยกรสีหน้าไม่ค่อยดีนักจนนภณต์สังเกตได้ เข้าใจว่าหญิงสาวกลัวที่จะบอกบิดาว่าท้อง ไม่อย่างนั้นคงไม่ให้เขามาด้วยเพื่ออยู่เคียงข้าง“ผมผิดเองครับ”ชายหนุ่มเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมาเอง กันยกรหันมองเขาอย่างงุนงง ทว่าพออีกฝ่ายพูดต่อเธอก็เผยอปากค้าง“คุณกันย์ท้องครับ”มือบางรีบคว้ามือหนาไว้แต่พูดไม่ออกแล้วหันไปมองบิดาช้าๆ เมื่อท่านเอ่ยเสียงเบา“ท้องเหรอ?”สีหน้าของบิดาที่สงบนิ่ง ทว่าแววตาเอ่อคลอด้วยน้ำทำให้เธอขอบตาร้อนผ่าวไปด้วยส่วนนภณต์มองสองพ่อลูกอย่างไม่เข้าใจว่าเหตุใดทั้งสองจึงมีสีหน้าท่าทางเสียใจ เขาคิดว่าจะถูกด่าที่ชิงสุกก่อนห่าม หรือไม่ก็ไม่ระวังจนทำให้กันยกรท้องก่อนแต่งให
คืนวันเสาร์กันยกรพักที่บ้านเพราะบิดาคิดว่าเธออาจระบมที่ถูกทำร้ายจนไข้ขึ้น‘บ้านมีคนอยู่เยอะ ช่วยกันดูแลได้ กลับไปนอนไข้ขึ้นคนเดียวแกจะทำยังไง’เพิ่งเกิดเรื่องหมาดๆ กันยกรจึงไม่อยากขัดใจบิดา รู้ว่าท่านค่อนข้างเครียด เธอเองมารู้เรื่องสูญเสียหลานยังเสียใจ บิดาของเธอคงเสียใจมากไม่น้อยไปกว่าแม่เลี้ยงกับน้องสาว ใบหน้าท่านจึงได้ดูไม่ดีนักในตอนที่เธอถามถึงเกวลินหญิงสาวปวดระบมไปทั้งตัว และเรื่องลูกของเกวลินก็ทำให้เธอนึกถึงตัวเองขึ้นมา เผชิญเรื่องยุ่งมาหลายวันทำให้กันยกรมีความเครียดสะสม แม้จะกินยาไม่เคยขาดแต่ก็อดกังวลไม่ได้หลังจากถูกทำร้าย ตอนที่ถูกผลักล้มเธอเอาลำตัวด้านข้างและแขนลง ไม่ใช่ส่วนก้นหรือสะโพกกระแทกพื้นตรงๆ แต่กันยกรก็นึกเป็นห่วงลูกมากจนนอนพลิกไปมา‘มารับฉันที่บ้านได้ไหมคะ’หญิงสาวส่งข้อความไปหานภณต์และชายหนุ่มก็โทรกลับมาทันที‘ได้ครับ ว่าแต่มีอะไรหรือเปล่า’กันยกรเม้มริมฝีปากก่อนจะพูดออกไป“ฉันท้องค่ะ”เสียงปลายสายเงียบไปครู่หนึ่งราวใช้เวลาประมวลข้อมูลนาน ทำเอากันยกรใจเต้นแรงขณะรอฟังว่าชายหนุ่มจะพูดอะไร‘ยะฮู้!!’เสียงตะโกนดังมาทำเอาเธอสะดุ้ง‘จริงเหรอครับ คุณไม่ได้อำผมนะ แต่จะว่า