EP.4
"ขอบคุณสำหรับที่พักและข้าวฟรีค่ะ" ฉันบอกแล้วยิ้มให้คนหน้านิ่งก่อนจะเดินไปหยิบของตัวเอง "เสื้อผ้าพี่ถ้าเนยซักแล้วจะเอามาคืนนะ"
"อืม" เขาตอบแค่นั้นแล้วก้มหน้าเล่นมือถืออยู่ตรงโซฟาต่อ
"เนยไปแล้ว ลาก่อนค่ะ" ฉันบอกก่อนจะหมุนตัวกลับมาทางประตู
"เดี๋ยว" เสียงของพี่นธีดังขึ้นอีกครั้ง
"คะ"
"ห้องตรงข้ามว่าง เผื่อเธออยากย้าย" เขาบอกโดยที่ไม่ได้มองมาทางฉัน
"เนยจ่ายไม่ไหวหรอกค่ะ ว่าจะลองหาไกล ๆ มหา'ลัยดูห้องราคาถูกคงมี"ฉันยิ้มบาง ๆ แล้วมองใบหน้าด้านข้างของเขา
ทำไมเหมือนจะอ่านความคิดฉันออกอย่างนั้นแหละ เพราะฉันก็คิดอยู่ว่าจะทำยังไงดีกับเรื่องย้ายหอ คงอยู่ที่เดิมไม่ได้อีกแล้ว
"ค่าเช่าพันกว่า" เขาบอกเสียงเรียบ
ฉันทำตาโตเมื่อได้ยินประโยคนั้น คอนโดนี้ฉันเคยได้ยินจากญานินว่าค่าเช่าเจ็ดพันขึ้นและนั่นแค่ห้องที่แทบจะไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกใด ๆ
เมื่อกี้หูฉันแว่วหรือเขากำลังอำเล่น
"ห้องพี่ค่าเช่าหมื่นกว่า ห้องตรงข้ามพันกว่ามันคงมีอะไรซักอย่างมั้ยคะ" ฉันพูดแล้วกลืนน้ำลายลงคออย่างกลัว ๆ
"ยังไม่มีใครตาย" เขาปรายตามามองฉันเหมือนอยากจะพูดว่า 'อย่ามาคิดไร้สาระ'
"ทำไมมันถูกล่ะคะ"
"เจ้าของห้องรวยแล้ว" เขาบอกแล้วหันกลับไปมองมือถือเหมือนเดิม "อยู่ต่างประเทศ"
"พันกว่าจริงเนยจะย้ายมาวันนี้เลย" ฉันพูดทีเล่นทีจริงแต่สีหน้าพี่นธีกลับจริงจังยิ่งกว่าอะไรแล้วหันมาบอกฉัน
"ก็ไปเก็บของ"
"หา!?"
"ฉันไม่ชอบการพูดซ้ำ" เขาหยัดตัวลุกขึ้นแล้วเดินไปหยิบกุญแจ "จะไปส่ง"
"..."
เป็นการย้ายหอที่ปุ๊บปั๊บและเร็วยิ่งกว่าความคิดของฉันอีก ไม่ถึงสิบนาทีฉันก็มายืนอยู่หน้าห้องตัวเองโดยที่มันยังคงเปิดแง้มไว้เพราะเมื่อคืนเอาแต่หนีไอ้ผู้ชายคนนั้นจนลืม กุญแจยังเสียบคาอยู่ตรงประตู
แต่ห้องฉันมันไม่มีของมีค่าอะไรให้ต้องเป็นห่วงหรอก แพงสุดก็แค่คอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊กที่ใช้มาตั้งแต่ขึ้นมอปลาย
ฉันเพิ่งจะเดินไปบอกเจ้าของหอว่าจะย้ายออกจากห้อง ทีแรกป้าก็โวยวายใหญ่แต่พอฉันบอกว่าไม่รับค่าประกันห้องคืนแกก็เงียบไปและปัดมือไล่ฉันอย่างเสียอารมณ์
"พี่นั่งรอในห้องก่อนก็ได้ค่ะ แล้ว...เนยจะติดต่อเจ้าของห้องยังไง กุญแจห้อง สัญญาเช่าล่ะ"
"เขียนทีหลัง" เขาเบียดตัวเข้าไปในห้องกวาดสายตามองห้องนอนขนาดย่อมของฉันแล้วเดินไปหยุดอยู่ปลายเตียงก่อนจะหย่อนตัวนั่งลง
"เนยจะรีบเก็บค่ะ หรือว่าพี่จะกลับก่อนก็ได้เพราะเนยคงใช้เวลา" ฉันบอกแล้วเดินไปหยุดอยู่ตรงตู้เสื้อผ้าอย่างชั่งใจ
ยังคงคิดว่ามันไม่ใช่ความจริง ฉันอาจจะฝันไป
เพี๊ยะ
"โอ้ย~..." ฉันลูบแก้มตัวเองปอย ๆ หลังจากที่ตบดูเพื่อทดสอบว่ามันคือความจริงไม่ใช่ความฝัน คอนโดหรูค่าเช่าพันกว่าเนี่ยนะ พี่นธีคงไม่แกล้งหลอกให้ขนของเล่นใช่มั้ย
"ทำอะไร" เขาขมวดคิ้วยุ่งเมื่อฉันหันไปมอง
"เปล่าค่ะ" ยิ้มแห้ง
"เป็นโรคจิตเหรอ ชอบทำร้ายตัวเอง" นี่คงเป็นประโยคที่ยาวที่สุดในรอบสองวันที่เราคุยกันมา แต่มันยังเป็นคำพูดที่ไม่ค่อยน่าฟังเหมือนเดิม
แต่คำพูดเมื่อกี้มันหมายความว่ายังไงกันนะ ทำอย่างกับเขารู้ว่าฉันเคยทำร้ายตัวเองอย่างนั้นแหละ หรือว่า เขาคือ คนที่ช่วยชีวิตวันนั้น
"พี่นธีไม่มีแฟนเหรอ" ฉันเปลี่ยนเรื่องคุยแล้วเริ่มเก็บเสื้อผ้าของตัวเอง
ที่จริงของในห้องฉันมันไม่ได้มีอะไรหรอกเพราะฉันมาเรียนที่นี่มีเพียงกระเป๋าเดินทางใบเดียวเท่านั้น
"ไม่" เขาตอบแค่นั้นและฉันก็ไม่ได้หันไปมองว่าเขาทำสีหน้าแบบไหน
"ทำไมล่ะคะ พี่น่าจะมีคนชอบเยอะ เพื่อนเนยยังชอบเลย สาว ๆ อักษรมีแต่คนกรี๊ด" เพื่อนที่ว่าฉันหมายถึงยัยใบเฟิร์นที่มันปลื้มพี่นธี พอรู้ว่าเป็นพี่ชายยัยนินแทบจะเป็นลมล้มพับ "หรือมีคนที่ชอบแล้ว"
"ไม่อยากมี ไม่ชอบผูกมัด" เขาตอบแล้วทิ้งตัวลงนอนบนที่นอนสีหวานแหววของฉันพร้อมกับหลับตาลงแล้วพูดออกมาอีกประโยค "ไม่อยากวุ่นวาย"
"..." ฉันเงียบแล้วแอบมองเขาที่หลับตาเอาแขนวางพาดบนหน้าผากของตัวเอง "แปลว่าอยากมีแบบไม่ผูกมัดถูกมั้ย"
"..." เขาไม่ตอบหลับตาอยู่แบบนั้นจนฉันคิดว่าเขาคงอยากพักผ่อนจึงปล่อยให้เขานอนไปไม่กล้ารบกวนอีกจนกระทั่งเก็บของเสร็จ
"เรียบร้อยแล้วค่ะ" ฉันบอกพี่นธีแต่เขากลับไม่ขยับตัวเลยแม้แต่น้อย หรือปล่อยให้หลับไปก่อน ที่เขาง่วงแบบนี้ก็เป็นเพราะฉันที่มัวแต่ถ่วงเวลาทั้งคืน
ฉันทรุดตัวลงนั่งกับพื้นข้างเตียงเพราะเตียงนี้มีขนาดแค่สามฟุตครึ่งทำให้เขาคนเดียวนอนแทบจะเต็มพื้นที
พี่นธีขยับพลิกตัวนอนหันมาทางฉันที่กำลังจ้องหน้าเขาอยู่อย่างใช้ความคิด ทำให้มองเห็นใบหน้าหล่อเหล่าชัดเจนในระยะไม่ถึงเมตร
นี่คงเป็นระยะที่ใกล้ที่สุดที่ได้มองหน้าเขาตั้งแต่รู้จักกันมา เขาดูดีกว่าตอนนั้นที่ฉันแอบปลื้มอีก
ทำไมอยู่ ๆ พี่นธีถึงดีกับฉันนะ หรือมันก็แค่ความบังเอิญที่ทำให้เขามาเจอฉันในสถานการณ์ตกอับแบบนี้ แล้วทำไมเขาถึงทำเหมือนกับรู้ว่าฉันกำลังหนีอะไรอยู่เลยล่ะ
"..." เพราะมัวแต่จ้องเขาอยู่นานและคิดอะไรเรื่อยเปื่อยจนไม่รู้ตัวว่าเจ้าของใบหน้าหล่อเหลานั้นกำลังลืมตาขึ้นมามองอยู่ รู้ตัวอีกทีเขาก็พูดออกมาเล่นเอาฉันตกใจหลุดจากความคิดฟุ้งซ่าน "มองอะไร"
"คะ! ปะ...เปล่าค่ะ เห็นยุงกำลังเกาะหน้าพี่" ว่าแล้วฉันก็แกล้งตบไปที่แก้มเขาทันที
เพี๊ยะ
"...!" พี่นธีขมวดคิ้วแล้วยกมือขึ้นมาลูบแก้มตัวเองก่อนจะหยัดตัวลุกขึ้นจากที่นอนหันกลับมามองฉันอย่างเอาเรื่อง
"มันบินไปแล้ว ไม่ทันค่ะ" ว่าแล้วฉันก็รีบลุกขึ้นแล้วเดินไปที่กระเป๋าของตัวเอง "เนยเก็บของเสร็จแล้ว ไปกันเถอะ"
รังสีอัมหิตที่ส่งผ่านมาทางสายตาทำให้ฉันต้องรีบหาทางหนีทันที เขาจะโกรธฉันมั้ยเนี่ย คนฉลาดอย่างพี่นธีต้องไม่เชื่อแน่ว่าเมื่อกี้นี้ฉันตบยุง
ตอนนี้นั่งนิ่งมองฉันเหมือนอยากจะกระทืบด้วยหรือเปล่านะ ฉันไม่กล้าหันไปมองเลย
"..." เขานั่งเงียบอยู่นานแต่สุดท้ายก็ยอมลุกจากเตียงแล้วเดินมาหยิบกระเป๋าใบใหญ่ของฉันไปเงียบ ๆ
เมื่อเห็นเขาเดินนำไปแล้วจึงรีบถือกระเป๋าอีกใบและดึงผ้าปูที่นอน หมอนมาไว้ในอ้อมแขน เดินไปหยิบกระเป๋าโน้ตบุ๊คแล้วรีบวิ่งตามเขาออกไปอย่างทุลักทุเล
เหตุผลที่ของใช้ฉันมีแค่นี้ก็เพราะหลังจากเหตุการณ์ในคืนนั้นเมื่อหลายเดือนก่อน ฉันก็ตื่นขึ้นมาในโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งโดยที่ไม่มีใครอยู่ข้างกายและไม่ได้รับรู้เลยว่าคนที่เข้ามาช่วยฉันในวันนั้นเป็นใคร
โชคดีที่เขาหยิบมือถือและสัมภาระที่เป็นกระเป๋าเดินทางของฉันมาไว้ให้ด้วย ถามพยาบาลและหมอก็บอกไม่ได้ว่าใครคือคนช่วยเอาไว้
เกิดเป็นความรู้สึกบางอย่างติดค้างอยู่ที่ไม่ได้ขอบคุณเขาแล้วยังไม่รู้ตัวตนของเขาอีกจนถึงวันนี้ ทำได้แค่ขอบคุณเขาในใจทุกครั้งที่นึกถึงเรื่องวันขึ้นมา ถ้าเขาไม่เข้ามาช่วยไว้ฉันคงไม่มีชีวิตรอดมายืนอยู่ตรงนี้ได้...
Special lตอนนี้ฉันอยู่ปีสองส่วนพี่นธีก็อยู่ปีสี่แล้วจึงวุ่นวายกับการทำโปรเจ็กต์ แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ยังต้องเจอกันทุกวันนอนด้วยกันทุกคืนเพราะถือว่าเราคือชีวิตประจำวันของอีกฝ่ายไปแล้วพี่นธียังคงเป็นคนน่ารักของฉันเหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง นอกเสียจากเรื่องที่เขาพูดมากขึ้นและเปิดเผยสิ่งที่คิดในใจมากกว่าเดิมหลายเท่า"ปุยนุ่น มากินข้าว.." ฉันเรียกปุยนุ่นด้วยการเทอาหารเม็ดใส่ถ้วยของมัน พอได้ยินเสียงมันก็รีบวิ่งมาทันที ก่อนจะค่อย ๆ ละเมียดละไมกินอาหารในถ้วยที่มันเป็นเจ้าของแต่เพียงผู้เดียวอย่างสบายใจเมี้ยว ~ ครืด ~ ครืด ~"คะ" (ยังไม่ได้กินข้าวใช่ไหม) เสียงของพี่นธีดังขึ้นมาจากปลายสาย พอหันไปมองนาฬิกาก็เป็นเวลาเกือบทุ่ม เขาคงกำลังจะกลับเพราะทุกวันที่เขาทำงานในคณะกับเพื่อนตัวเองมักจะกลับห้องเวลานี้ตลอด"ยังค่ะ เนยรอกินกับพี่"(โอเคครับจะรีบกลับ) แล้วเขาก็กดวางสายไปปล่อยให้ฉันยิ้มกับโทรศัพท์มือถือของตัวเองอยู่คนเดียว น่าแปลกที่เจอกันทุกวันแต่ก็ยังมีความสุขที่แฟนตัวเองโทร.หาและพูดคุยด้วยประโยคทั่วไปครืด ~ ครืด ~พอพี่นธีวางสายไปญานินก็โทร.เข้ามาต่อ ช่วงนี้มันดูกังวลเรื่องแฟนตัวเอง คิด
EP.49"ง้อแค่เนี้ย !" เขาพูดเสียงสูงด้วยความไม่พอใจแต่ก็ขยับตัวมาคร่อมฉันไว้บนเตียง"แค่นี้อะไร เนยง้อตั้งแต่ออกจากบ้าน""..." เขาทำหน้ามุ่ยแล้วก็ค่อย ๆ คลี่ยิ้มออกมาก่อนจะเลื่อนใบหน้าลงมาพูดใกล้จนรู้สึกถึงลมหายใจที่พ่นรดลงมาบนแก้ม "พูดแล้วนะว่าจะมานอนกับพี่""อะไรกัน พี่นธีบอกแล้วนะว่าไม่ต้องมา""เมื่อกี้แค่ประชด" ยอมรับว่าตัวเองประชดอีก"ลงไปกินข้าวได้แล้วผู้ใหญ่รอเรานะ" ฉันพยายามเบี่ยงตัวลุกขึ้นแต่อีกคนก็ล็อกไว้อย่างเดิม แล้วยังเอาจมูกมาคลอเคลียแก้มและลงไปซุกไซ้ซอกคออีก "อื้อ... พี่นธี เดี๋ยวคนอื่นจะสงสัย""คิดถึง" เขาไม่ฟังที่ฉันพูดเลยสักนิดเดียวเลื่อนใบหน้าขึ้นมาแล้วระดมจูบฉันอีกยกใหญ่ จากที่ทีแรกขัดขืนก็ต้องคล้อยตามจูบตอบเขาไป จนผ่านไปเกือบห้านาทีก็ได้ยินเสียงญานินโวยวายอยู่ข้างนอกฉันจึงรีบดันตัวพี่นธีออกทันทีคราวนี้เขายอมแต่โดยดี คงพอใจแล้วแหละ"แม่บอกให้ลงไปกินข้าว..." ยัยนินลากเสียงยาวแล้วเคาะห้องเบา ๆ เราสองคนจึงรีบลุกจากเตียงแล้วเปิดประตูออกจากห้อง "โอ๊ย ! อะไรของพี่เนี่ย !""..." พอเดินออกไปพี่นธีก็เอามือผลักหัวน้องตัวเองจนเซแล้วเดินเบี่ยงตัวออกไปเหมือนไม่พอใจที่ญานินมาข
EP.48"ฉันเกลียดผัวแก" พอใบเฟิร์นพูดจบฉันก็หันไปคาดโทษพี่นธีเพราะเขาชอบพูดให้คนอื่นรู้สึกแย่อยู่นั่นแหละ"แค่ล้อเล่นเอง" พี่นธีบอกใบเฟิร์นแล้วก็ทำหน้านิ่งแต่สุดท้ายก็อมยิ้มออกมา ยัยนั่นถึงได้โล่งใจเพราะคงคิดว่าจะได้เกลียดพี่นธีจริง ๆ คราวนี้"เนยแค่ใส่อันนี้ถ่ายรูป เดี๋ยวจะสวมตัวนี้ทับแล้วค่ะ" ฉันบอกพี่นธีก่อนจะหยิบเสื้อว่ายน้ำแขนยาวมาสวมทับ จนพี่นธีพอใจแล้วยอมยิ้มออกมา"ไปเล่นเครื่องเล่นกันเถอะ" ใบเฟิร์นชวนแล้วเดินนำเราไป ตอนนี้ญานินเลิกบ้าแล้ว จริง ๆ มันก็คงจะแค่แกล้งเล่นนั่นแหละ ยัยนินไม่ใช่คนที่จะงี่เง่าเป็นเด็กแบบนั้น"อันนี้เนยไม่เล่นนะ เนยกลัว" ฉันบอกแล้วก้าวถอยหลังมองเครื่องเล่นขนาดใหญ่ที่ดูหวาดเสียวนั่น"มาทั้งทีเล่นเถอะ" ว่าแล้วยัยใบเฟิร์นก็ลากแขนฉันขึ้นไปด้านบนสุดก่อนจะบังคับนั่งห่วงที่นั่งกันได้สี่คน รับรู้ได้ว่าหัวใจมันเต้นแรงแทบจะหลุดออก"ถ้าฉันหัวใจวายตายแกรับผิดชอบนะ" ฉันพูดแล้วจับมือพี่นธีกับมือยัยใบเฟิร์นอีกฝั่งไว้แน่น"แกไม่ตายหรอก คิดไว้ว่าถ้าตายพี่นธีจะมีเมียใหม่แกก็ไม่ตายแล้ว" ยัยใบเฟิร์นพูดจบพี่นธีก็หัวเราะออกมาเบา ๆ "พี่ !! ปล่อยเลยค่ะ""กรี๊ด !!" ฉันกรีดร้อง
EP.47"พี่ไม่ได้อยากกินเบียร์" เจ้าของใบหน้าหล่อเหลาพูดพร้อมกับดึงฉันลงไปนั่งคร่อมท่าเดิมแต่ครั้งนี้เราเปลือยเปล่าทั้งคู่ "อยากกินนมเมียมากกว่า"ฉันขำออกมากับคนหน้านิ่งที่ตอนนี้มีรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ผุดขึ้นมาแล้วยังคำพูดที่ดูไม่เหมาะกับพี่นธีอีก"ได้ค่ะเดี๋ยวเนยป้อนให้" ฉันขยับตัวขึ้นแล้วป้อนนมให้เขา สายตาพี่นธีเหมือนจะระทึกกับสิ่งที่ฉันทำไม่น้อย"อื้อ ~""อื้ม ~ เนย..." เสียงครางดังในลำคอเล็ดลอดออกมา ขณะที่เจ้าตัวเอาแต่ดูดเลียจนอกอวบคู่งามของฉันเต็มไปด้วยน้ำลายมันวาวทั้งสองข้าง เขาใช้มือประคองมันเข้าปากสลับไปมาอีกข้างบีบขยำฟ้อนเฟ้นเบามือจนเรียกความต้องการจากฉันมากขึ้นเรื่อย ๆฉันขยับมือไปกำรอบแกนกายใหญ่บีบเบา ๆ นวดคลายเป็นจังหวะแล้วชักรูดขึ้นลงจนพี่นธีต้องผละริมฝีปากออกครางเบา ๆ"เนย... พี่จะตายแล้ว ซี้ด ขยับมา" เขารีบเร่งเร้าฉันจึงตอบสนองด้วยกายจับแกนกายจ่อกับช่องทางรักที่เปียกชื้นแล้วขยับตัวนั่งลงจนมันเลื่อนเข้ามาสุดความยาว สร้างความเสียววาบหวามตรงช่วงท้องน้อย ภายในบีบรัดตัวตนของเขาอย่างพอใจ"เนยจะทำให้พี่มีความสุขนะคะ" ฉันยิ้มแล้วดันแผงอกของคนตัวโตกว่าจนเขาทิ้งตัวพิงกับโซฟา เรียกร้อยย
EP.46หลายเดือนต่อมา"พี่นธี... กับข้าวพร้อมแล้ว" ฉันเดินไปหาคนที่กำลังแต่งตัวด้วยชุดนักศึกษาอยู่ตรงกระจก ก่อนจะหยิบเอาเน็กไทที่มีเข็มกลัดมหาวิทยาลัยติดสวมให้เขาอย่างเอาใจ ไม่บ่อยนักที่จะได้เห็นเขาแต่งตัวด้วยชุดนักศึกษาถูกระเบียบแบบนี้"ขอบคุณครับ" คนพี่พูดเพราะแล้วส่งยิ้มเล็ก ๆ มาให้"วันนี้สอบเสร็จกี่โมงคะ" "สอบวิชาเดียว เที่ยงก็กลับมาแล้ว เนยสอบถึงสี่โมงใช่ไหมเดี๋ยวพี่ไปรับ" เขาพูดแล้วโน้มลงมาจุ๊บแก้มฉันพร้อมกับรอยยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่มีแค่ฉันเท่านั้นที่จะเห็นมันบ่อย ๆ"ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวเนยมากับเฟิร์นก็ได้"เขาเปลี่ยนสรรพนามเรียกฉันแล้วด้วย แทนตัวเองว่าพี่จนฟังดูอบอุ่นและใกล้ชิดกันมากขึ้น บางทีอากาศดี ๆ อารมณ์ดี ๆ ก็เรียกฉันว่าน้องเนยอีกต่างหาก น่ารักใช่ไหมล่ะพี่นธีไม่เคยขอฉันเป็นแฟนและเขาไม่เคยบอกรักฉัน มันอาจจะดูน่าน้อยใจเมื่อใครต้องเจอแบบนี้แต่ฉันว่ามันก็ไม่ได้สำคัญเท่ากับการกระทำที่อีกฝ่ายมีให้เขาดีกับฉันทุกอย่างจนฉันลืมไปแล้วว่าเขาเคยร้ายกับฉันครั้งหนึ่ง'อันนี้ของนิเนย กินไม่ได้เดี๋ยวตื่นมางอนกูอีก กูง้อไม่เก่งนะไอ้คิว มึงวางลงเลย''เดี๋ยวกูถามเมียก่อนว่าให้ไปไหม''จะมีใค
EP.45หลายวันต่อมาหลังจากวันนั้นฉันก็อยู่เฝ้าพ่อตัวเองอีกสองวันจนหมออนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาล พี่นธีบอกให้พ่อฉันไปพักอยู่คอนโดมิเนียมที่แม่ของเขาซื้อเอาไว้ปล่อยเช่าเพราะเป็นห่วงความปลอดภัย เนื่องจากคู่กรณีของเราเป็นคนที่ค่อนข้างมีอิทธิพลพ่อของพี่นธีรู้จักกับพ่อฉันแค่ไม่ได้สนิทกันแต่ก็พอที่จะช่วยเหลือกันได้ ยิ่งตอนนี้พวกท่านคิดว่าฉันกับพี่นธีคบกันอยู่ด้วยพ่อแม่ของพี่นธีรู้จักฉันดีเพราะฉันคบกับญานินมานานและแวะเวียนไปที่บ้านบ่อย ๆ เรื่องของเราจึงไม่เป็นคำถามสำหรับพวกท่านนัก"พ่อแกหายดีแล้วใช่ไหม" ใบเฟิร์นถามขึ้นมาตอนที่ฉันกำลังเข้าห้องเรียนและหย่อนสะโพกลงนั่งเก้าอี้"อืม ดีแล้ว""เรื่องคดีล่ะ" ฉันเล่าเรื่องทั้งหมดให้ใบเฟิร์นฟังแล้ว ส่วนญานินไม่ต้องเล่ายัยนั่นก็รู้"เรื่องนั้นพี่นธีจัดการ ฉันไม่ค่อยรู้เรื่องพวกนี้เลย" ฉันบอกไปตามจริงเพราะไอ้ที่พี่นธีพูดเป็นฉาก ๆ ไม่เข้าสมองฉันเลย"มีผัวดีก็ดีไป" ใบเฟิร์นพูดออกมาอย่างขำ ๆ สักพักญานินก็มา และตามหลังด้วยอาจารย์บทสนทนาจึงจบลง"ไปกินคณะบริหารไหม มีคนบอกให้ไปลองชิมร้านก๋วยเตี๋ยวขลุกขลิก" ญานินเอ่ยแล้วรีบเก็บของตัวเอง "คนที่ว่านั่นพี่ทศกัณฐ์