วิศรุตได้แต่ชำเลืองมองคุณพัฒน์ที่เดินสวนกันอย่างรู้สึกเห็นใจอยู่ไม่น้อย แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ เพราะเขาเองก็ต้องทำตามหน้าที่เหมือนกัน
“ให้คนของเราไปจัดการเลยไหมครับ” ถามผู้มีพระคุณที่นั่งหน้าขรึมขึ้นมาทันที ที่เขาเดินเข้ามาภายในห้อง
“ไม่ต้อง รอดูไปก่อน ถ้ามันขัดคำสั่งเมื่อไหร่ ค่อยจัดการทีเดียว”
ปราโมทย์รีบปราม แล้วนั่งทำงานต่ออยู่ภายในห้องอย่างเงียบ ๆ ไม่ได้สนใจอะไรต่อ แต่สมองก็สั่งการให้เขาอดคิดเรื่องของลูกสาวกับชายหนุ่มที่เขาเรียกมาตักเตือนไม่ได้อยู่ดี
“มีหยัง...เว้าบอกกูได้เด้อ เผื่อมึงสิสบายใจขึ้น” (มีอะไร...เล่าให้กูฟังได้น่ะ เผื่อมึงจะสบายใจขึ้น) ชนาวุฒิถามเพื่อนขึ้นมาทันที ที่เห็นคุณพัฒน์เดินกลับเข้ามาทำงานด้วยใบหน้าที่ไม่ค่อยสู้ดีนัก
“มันจบลงแล้วล่ะ เฮ็ดงานต่อเถาะอย่าสนใจเรื่องของกูเลย” (มันจบลงแล้วแหล่ะ ทำงานต่อเถอะอย่าสนใจเรื่องของกูเลย) สั่งเรียบเอ่ยบอกเพื่อน แต่ใบหน้าก็ยังแสดงความทุกข์ออกมาอยู่ดี
“มักลูกสาวเขาเฮากะสู้ตัวเกื้อ” (รักลูกสาวเขาเราก้ต้องสู้สิเกื้อ)
“กูบ่มีอีหยังไปสู้เขาได้ดอก มึงกะเห็น” (กูไม่มีอะไรไปสู้เขาหรอก มึงก็เห็น) พูดตัดพ้อตัวเองขึ้นมาทันที เมื่อนึกถึงคำพูดของปราโมทย์
“ใจมึงไง ถ้ามึงฮักลูกสาวเขาอีหลี มึงต้องเฮ็ดให้เขาเห็นว่ามึงสามารถเบิ่งและเลี้ยงลูกสาวเขาได้” (ใจมึงไง ถ้ามึงรักลูกสาวเขาจริง ๆ มึงต้องทำให้เขาเห็นว่ามึงสามารถดูแลลูกสาวเขาได้)
“เฮ้อ...กูบ่น่าใฝ่สูงปืนไปเด็ดดอกฟ้าเลยว่ะ ฮู้ทั้งฮู้ว่ามันสิตกลงมาเจ็บแบบนี้ แต่กูกะบ่เจียมโตเจ้าของ” (เฮ้อ...กูไม่น่าใฝ่สูงปืนไปเด็ดดอกฟ้าเลยว่ะ รู้ทั้งรู้ว่ามันจะตกลงมาเจ็บแบบนี้ แต่กูก็ไม่เจียมตัวเอง)
เขาก็ไม่เคยคิดมาก่อนว่าวันนี้จะมาถึง วันที่เขาต้องมาระบายเรื่องความรักให้เพื่อนฟัง เมื่อก่อนเพื่อนมักมาเล่าเรื่องความรักให้ฟังอยู่บ่อย ๆ แต่เขาไม่เคยสนใจเลย เพราะไม่คิดว่าตัวเองจะมอบหัวใจ มีความรักเหมือนคนอื่นเขา
“เออน่า ความรักมันกะเป็นจังซี่ล่ะ จังใดกูกะอยู่ข้างมึง เป็นกำลังใจให้มึงเสมอเพื่อน” (เออน่า ความรักก็เป็นเช่นนี้แหล่ะ ยังไงกูก็ยังอยู่ข้างมึง เป็นกำลังใจให้มึงเสมอเพื่อน) ชนาวุฒิได้แต่ตบไหล่เพื่อนเบา ๆ เชิงให้กำลังใจ เพราะไม่รู้ว่าจะเอ่ยอะไรบอกเพื่อนดี เขาเองก็ยังไม่เคยมีความรักเหมือนกัน
“ขอบใจมึงหลายเด้อ ที่บ่เคยถิ่มกูไปไสเลย” (ขอบคุณมึงมากน่ะ ที่ไม่เคยทิ้งกูไปไหนเลย)
“หมู่กัน สิถิ่มกันได้จังใด ว่าบ่...” (เพื่อนกัน จะทิ้งกันได้ยังไง จริงไหม...)
ทั้งคู่หันมาให้กำลังกัน และจบบทสนทนากันไว้เพียงแค่นั้น ก็ต่างแยกย้ายกันไปทำงานของตัวเองต่อ เพราะตอนนี้ก็ยังไม่ถึงเวลาเลิกงาน
ตกเย็น
มุกดารินทร์...
“ยุ่งกันอยู่หรือเปล่าค่ะ” มุกดารินทร์ถามขึ้นมาทันที ที่เข้ามาหาบิดาในห้องทำงาน แต่กลับเจอสายเคร่งเครียดของผู้เป็นพ่อกับวิศรุตอยู่
“ทำไมถึงมาหาพ่อได้ ไม่มีเรียนหรือไง” ปราโมทย์ปรายสายตามองไปทางลูกสาว และปรับสีหน้าให้ดูเป็นปกติอ่อนโยน แล้วถามขึ้นอย่างแปลกใจที่เห็นลูกสาวมาหาในเวลานี้ ทั้งที่ยังไม่ถึงเวลาเลิกเรียนด้วยซ้ำ
“อาจารย์ยกคลาสค่ะ” เธอตอบบิดาออกไป แล้วเดินเอาของที่ตัวเองซื้อมาไปวางไว้ที่โต๊ะ
“แล้วทำไมลูกสาวพ่อไม่กลับไปรอที่บ้านครับ” เสียงทุ้มนุ่มถามลูกสาวกลับไป เพราะวันนี้อากาศค่อนข้างร้อนมาก
“อยากมานั่งดูคุณพ่อทำงานค่ะ...” ไม่พูดเปล่า เธอยังลากเก้าอี้ตัวว่างมานั่งลงข้าง ๆ กับบิดาและส่งสายตามองอย่างออดอ้อน
“ปากหวานเชียวลูกสาวใครครับเนี่ย” หยอกล้อลูกสาวกลับด้วยน้ำเสียงและท่าทีที่อ่อนโยน จนวิศรุตอดยิ้มไม่ได้กับความน่ารักของสองพ่อลูก
ปราโมทย์เป็นคนไม่ยอมใครง่าย ๆ แต่เมื่ออยู่กับลูกสาวกับต้องยอมสยบให้ เสียดายที่ภรรยาผู้เป็นที่รักจากโลกนี้ไปเร็ว ไม่ได้เห็นมุมน่ารักของสองพ่อลูกแบบนี้ มีแต่วิศรุตที่เห็นจนชินชาไปแล้ว...
“ลูกสาวสุดที่รักของคุณพ่อยังไงละคะ” พูดไปก็เอาไปซบไถไปไถมากับแขนของผู้เป็นพ่ออย่างออดอ้อนเอาใจ
สายตาทั้งสองต่างมองหญิงสาวเพียงคนเดียวในห้องอย่างเอ็นดู และไม่ได้เอ่ยอะไร แบบนี้เขาจะโกรธเธอลงได้ยังไง ก็เธอน่ารักแบบนี้
“ทานอะไรรองท้องกันไหมค่ะ มุกซื้อขนมกับผลไม้มาเยอะเลย พี่รุตทานด้วยกันนะคะ” มุกดารินทร์ถามทั้งสองออกมา พร้อมกับเพยิดหน้าไปทางโต๊ะที่เธอวางของที่ซื้อมา
“ตามสบายเลยครับคุณหนูมุก” วิศรุตรีบปฏิเสธเธอออกไป เพราะตอนนี้ตัวเองก็พึ่งไปทาน จนอิ่มมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“พ่อพึ่งทานเสร็จเอง ว่าแต่ทำไมซื้อแต่ของเปรี้ยวมาทั้งนั้นเลย” ผู้เป็นพ่อตอบลูกสาวออกไปตามตรง แต่กลับเลิกคิ้วถาม เมื่อของที่ลูกสาวซื้อเข้ามานั้น ล้วนแต่มีรสเปรี้ยวทั้งนั้นเลย
“อากาศข้างนอกค่อนข้างร้อน มุกอยากทานอะไรเปรี้ยว ๆ หน่อยค่ะ เผื่อจะได้สดชื่นขึ้นมาบ้าง” ปากตอบบิดา แต่มือก็ยกขึ้นลูบใบหน้าของตัวเองไปด้วย
“ตามสบายเลยครับ...พ่อเตรียมตัวเข้าไปตรวจงานในแผนกก่อน” ปราโมทย์เอ่ยบอก เพราะตอนนี้ก็ถึงเวลาตรวจงานรอบเย็นก่อนถึงเวลาเลิกงานแล้ว
มุกดารินทร์นั่งทานผลไม้อยู่คนเดียวที่ห้องทำงานของบิดาอย่างเอร็ดอร่อย และรู้สึกเบื่อ เมื่ออยู่คนเดียวไม่มีอะไรทำจึงลุกขึ้นหวังจะเดินออกจากห้องไปหาใครบางคน และไม่ลืมที่จะถือผลไม้ไปฝากใครคนนั้นด้วย
“ใบลางานพี่วุฒิ?” พูดคนเดียวเมื่อสายตามองไปเห็นใบลางานเพื่อนของชายหนุ่มที่เธอรู้จักเป็นอย่างดี แต่ก็ไม่ได้สงสัยอะไร เดินออกจากห้องไปทันที
เมื่อเดินออกมาได้ไม่ไกลมากนัก เธอรู้สึกสายตาพร่ามัวหน้ามืดขึ้นมาเสียอย่างนั้น ร่างกายพร้อมจะดับลงทันที จึงหยุดเดินกะทันหัน
“มุก!” เสียงใครบางคนที่เธอคุ้นเคยเป็นอย่างดี เรียกชื่อเธอขึ้นมา
“...” เธอไม่ได้ขานรับ แต่กลับหันไปมองตามเสียง เมื่อรู้ว่าเจ้าของเสียงนั้นเป็นใคร
“มุก...เป็นอะไรหรือเปล่าครับ แล้วเดินมา...” เสียงนุ่มถามขึ้นอย่างเป็นห่วง เมื่อเห็นใบหน้าเธอไม่ค่อยสู้ดีนัก
“มุกเวียนหัวนิดหน่อยค่ะ มุกกำลังจะเอาผลไม้ไปให้พี่เกื้อค่ะ” เธอช้อนสายตามองคนร่างสูง ก่อนที่จะเอ่ยบอกและชูถุงผลไม้ที่เธอตั้งใจเอาไปให้เขา แต่ดันเจอเขาระหว่างทางเสียก่อน
“ไม่ต้องลำบากเอามาให้เลย ไหมไหวมุกนั่งพักก่อนครับ หรือจะกลับไปพักที่ห้องพี่เดินไปส่ง”
“มุกไหวค่ะ”
“พี่ช่วยครับ” คุณพัฒน์เข้าไปช่วยประคองเธออย่างเป็นห่วง คำพูดตักเตือนของบิดาเธอที่เรียกตัวเขาไปพบก่อนหน้านั้น ตอนนี้เขาไม่ได้เก็บเอามาใส่ใจแล้ว เพราะตอนนี้คนตรงหน้าสำคัญกว่าชีวิตเขามาก
มุกดารินทร์ที่ตอนนี้ใบหน้าซีดเซียว ไม่สามารถประคับประคองตัวเองเดินต่อไปได้ จึงทำเพียงแค่พยักหน้ารับ
“มุก!”
จำใจยอมมื้อค่ำสุดพิเศษจบลง มุกดารินทร์ก็ยังคงเอาแต่นั่งชะเง้ออยู่ที่ห้องโถงไม่ยอมขึ้นห้องไปพักผ่อน จนปราโมทย์ที่นั่งอยู่ด้วยถอนหายใจยาว ก่อนที่จะเอ่ยสั่งเด็กสาวรับใช้ที่เป็นหลานสาวของพิไล“ไปตามเกื้อกูลมาที่นี่หน่อย” ปราโมทย์ที่ทนเห็นลูกสาวเป็นแบบนี้ไม่ได้ จึงสั่งให้แม่บ้านไปตามคุณพัฒน์เข้ามาที่บ้านหลังใหญ่ทีนที“ค่ะ คุณท่าน”สักพักคุณพัฒน์ก็เดินเข้ามาถึง เจอกับปราโมทย์นั่งวางมาดขรึมอยู่ที่โซฟาจ้องมองมาที่เขาอย่างเอาเรื่อง แต่เขาทำใจฮึดสู้ยกมือขึ้นไหว้อย่างยอบน้อม โดยที่จะไม่เอ่ยถามอะไรว่าท่านให้คนไปตามทำไมกัน“พามุกดาขึ้นไปนอน นี้ก็ดึกมากแล้วไม่รู้จักหน้าที่เอาเสียเลย” พูดเพียงแค่นั้น ปราโมทย์ก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เดินเดินผ่านหน้าชายหนุ่มขึ้นไปชั้นบนของบ้านทันที เพราะเขาเองก็ง่วงเต็มทนจนตาแทบจะปิดอยู่รอมร่อ“ทำไมถึงไม่ยอมขึ้นนอนล่ะครับ หืมมม” คุณพัฒน์เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนเมื่อเดินเข้าไปหาหญิงสาว และใช้มือโอบรอบเอวพาเธอเดินขึ้นไปด้านบน“มุกไม่อยากนอนคนเดียวค่ะ มันหงุดหงิดทำให้มุกนอนไม่หลับ” เอ่ยบอกเขาพร้อมกับทำหน้ายู่ราวกับเด็กใส่เขาทันทีดูสิขนาดเธอกำลังจะกลายเป็นแม่คนแล้ว แต
มื้อค่ำสุดพิเศษตกเย็นคุณพัฒน์ที่ผล็อยหลับไปตามหญิงสาวนั้น ได้ลืมตาตื่นขึ้นมาในช่วงเวลาเย็น แล้วช้อนเอาร่างเล็กของว่าที่คุณแม่ที่ยังคงหลับสนิทอยู่ขึ้นอย่างทะนุถนอมไปวางที่เตียงกว้างให้เธอได้นอนสบาย ก่อนที่จะออกจากห้องของเธอไป เพื่อที่จะไปซื้อของมาทำอาหารมื้อเย็นให้ตามที่่รับปากเธอเอาไว้“จะไปไหน?” เสียงเข้มของปราโมทย์ถามขึ้นมา เมื่อเขากำลังเดินออกจากบ้านไปที่โรงจอดรถ ที่มีมอเตอร์ไซค์เขาจอดอยู่ด้วยปราโมทย์รู้ว่าชายหนุ่มจะออกไปไหน เพราะได้ยินสิ่งที่ชายหนุ่มพูดกับลูกสาวทุกประโยคเมื่อตอนกลางวัน แต่แค่อยากถามกวนเฉย ๆ“จะออกไปตลาดครับ” คุณพัฒน์ตอบออกไปตามตรง เพราะอาศัยอยู่ที่บ้านท่าน ก็ไม่มีอะไรที่ต้องปิดบังอยู่แล้ว ดีแค่ไหนแล้วที่ท่านยอมให้เขามาอยู่ใกล้กับลูกสาวท่าน“ไปสภาพนี้?” ใบหน้านิ่งขรึมมองสำรวจชายหนุ่มตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า จึงได้แต่เลิกคิ้วถามคุณพัฒน์นั้นสวมเพียงแค่เสื้อยืดกับกางเกงยีนส์ขายาวธรรมดาเท่านั้น ไม่ได้มีสิ่งของราคาแพงอะไรประดับติดตัว แต่ก็ดูดีใบแบบของชายหนุ่มเอง“คือ...” เขาได้แต่ก้มหน้าถ่อมตนไม่กล้าสบตาของปราโมทย์ เพราะสภาพตัวเองที่ไม่มีอะไรคู่ควรกับลูกสาวท่านเลย“เ
อยากหนีไปจากตรงนี้คุณพัฒน์ที่กำลังทำงานสวนอยู่หลังบ้าน ถูกตามตัวให้มาพบกับเจ้าของบ้าน จึงต้องยอมละทิ้งทุกอย่างไว้ แล้วเดินเข้ามาในบ้านใหญ่ทันทีคุณพัฒน์ได้รับอนุญาตจากปราโมทย์ให้พักอาศัยอยู่ที่บ้านหลังนี้ได้ โดยพักอยู่ที่บ้านพักของคนงานแทน มีหน้าที่ดูแลรับใช้มุกดารินทร์ในฐานะพ่อของลูกเท่านั้น และจนกว่าที่มุกดารินทร์จะคลอดแต่คุณพัฒน์จะไม่มีสิทธิ์ขึ้นไปชั้นบนของบ้านหลังใหญ่ และให้อยู่กับมุกดารินทร์ได้ เพราะปราโมทย์ต้องการดูพฤติกรรม ว่ามีความอดทนมากแค่ไหนและปราโมทย์ก็ให้เขาออกจากงานทันที ตั้งแต่ที่เกิดเรื่องขึ้นในวันนั้น ให้มาอยู่ที่บ้านของเขาแทน ส่วนพงษ์พิพัฒน์และธนภัทรจึงยอมให้คุณพัฒน์ทำตามที่ปราโมทย์ขอ เพราะมีทางเดียวที่คุณพัฒน์จะได้อยู่ใกล้ลูกเมีย และเป็นการพิสูจน์ตัวเองด้วยคุณพัฒน์เดินเข้ามาภายในห้องโถงของบ้าน เห็นปราโมทย์นั่งกอดอกอยู่บนโซฟามองมาที่ตน ก็ไม่ได้เอ่ยถามอะไรกลับไป ทำเพียงแค่ยกมือขึ้นไหว้เท่านั้น“ตามป้าไลขึ้นไปข้างบน แล้วทำยังไงก็ได้ให้มุกดายอมกินข้าว เป็นผัวเมียภาษาอะไร เมียไม่กินข้าว ก็ไม่ยอมดูแล...” ใบหน้านิ่งขรึมเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่ง เมื่อคุณพัฒน์มาถึ
ไม่ได้เกิดมาเพียบพร้อมสามวันต่อมาบ้านภัทรไชยาธนภัทรกับบิดาของตนรีบมาหามุกดารินทร์ที่บ้าน หลังจากที่ทำธุระที่ต่างจังหวัดเสร็จก็มุ่งหน้ามาบ้านของหญิงสาวเลยทันทีที่ทราบข่าวว่าเกิดอะไรขึ้น“คุณอาอย่าบังคับน้องให้ไปเอาเด็กออกเลยนะครับ เด็กไม่ได้รู้อะไรด้วยเลย น้องจะเสียใจมากแค่ไหน ที่ทำลายเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเอง แล้วคนที่จะเป็นทุกข์ไม่ใช่แค่มุกดา แต่อาโมทย์เองก็จะรู้สึกผิดไปด้วย...” ธนภัทรร้องขอขึ้นมาทันที ที่รู้ว่าปราโมทย์กำลังจะทำอะไรกับลูกสาว“...” ทุกคนเงียบลงไม่มีใครพูดอะไรออกมาสายตาหันมองไปยังหญิงสาวและชายหนุ่ม ที่หน้าตาบูดซ้ำ เพราะการถูกซ้อมปางตายจากลูกน้องของปราโมทย์ แล้วหันกลับมาเอ่ยกับเจ้าของบ้านต่อ...“ถือว่าเห็นแก่เด็กที่กำลังจะเกิดมา ซึ่งก็คือหลานแท้ ๆ ของอาเอง พ่อเขาก็มีทำไมอาต้องอยากให้ลูกสาวตัวเองทำร้ายอีกหนึ่งชีวิตเพื่ออนาคตด้วยครับ คลอดแล้วค่อยกลับไปเรียนก็ได้”“...” ปราโมทย์ไม่เอ่ยตอบอะไร เมื่อธนภัทรเอ่ยออกมาเช่นนี้“เกื้อกูลก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร น้องออกจะเป็นคนดีคนขยันทำมาหากินคนหนึ่ง เพียงแต่เกิดมากับครอบครัวที่ไม่เพียบพร้อมเหมือนกับพวกเรา แต่ไม่ใช่ว่าวันข้างหน้
ไม่เจียมตัวเอาเสียเลยก๊อก ก๊อก ก๊อก“มีอะไร” เสียงเข้มถามออกไป เมื่อวิศรุตผุนผันเข้ามาหาเขาที่ห้องแบบไม่ได้รอให้คนด้านในอนุญาตเสียก่อนทุกสายตาที่อยู่ในห้องนี้ด้วย ต่างก็หันจ้องมองมาที่วิศรุตเป็นตาเดียวอย่างรอฟังคำตอบ ชายหนุ่มหากได้สนใจไม่ กลับเดินเข้าไปหาปราโมทย์ทันที เพราะมีเรื่องด่วนกว่า“คุณหนูมุกเป็นลมครับ” เสียงกระซิบเอ่ยบอกเบา ๆ เพื่อให้ได้ยินกันแค่สองคน“อะไรน่ะ!!! เป็นลม? แล้วตอนนี้อยู่ที่ไหน” แต่ปราโมทย์ เมื่อได้ยินว่าลูกสาวสุดที่รักเป็นอะไร กลับเก็บอาการไม่อยู่ ตวาดถามเสียงดังขึ้นมาทันที โดยไม่สนใจว่าในที่นี่จะมีใครได้ยินบ้าง เพราะเป็นห่วงลูกสาวจนไม่สามารถควบคุมอะไรได้“อยู่ข้างล่างครับ” วิศรุตเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่งปราโมทย์ไม่ได้สนใจทุกสายตาที่มองมาที่ตน รีบสาวเท้าเดินออกไปจากตรงนี้ ลงมายังจุดที่วิศรุตแจ้งว่าลูกสาวอยู่ที่ไหนและก็เจอกับคุณพัฒน์กำลังอุ้มลูกสาวตนเดินไปทางห้องพยาบาลพอดี จึงได้แต่เดินตามไปแต่ไม่ได้เอ่ยถามอะไรชายหนุ่มออกไปคุณพัฒน์วางมุกดารินทร์ลงที่เตียงในห้องพยาบาลอย่างเบามือ และก็ออกมารออยู่ห่าง ๆ ให้หมอที่ถูกเรียกตัวมาจากโรงพยาบาลตรวจดูอาการหมอที
เอาอะไรไปสู้เขาวิศรุตได้แต่ชำเลืองมองคุณพัฒน์ที่เดินสวนกันอย่างรู้สึกเห็นใจอยู่ไม่น้อย แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ เพราะเขาเองก็ต้องทำตามหน้าที่เหมือนกัน“ให้คนของเราไปจัดการเลยไหมครับ” ถามผู้มีพระคุณที่นั่งหน้าขรึมขึ้นมาทันที ที่เขาเดินเข้ามาภายในห้อง“ไม่ต้อง รอดูไปก่อน ถ้ามันขัดคำสั่งเมื่อไหร่ ค่อยจัดการทีเดียว”ปราโมทย์รีบปราม แล้วนั่งทำงานต่ออยู่ภายในห้องอย่างเงียบ ๆ ไม่ได้สนใจอะไรต่อ แต่สมองก็สั่งการให้เขาอดคิดเรื่องของลูกสาวกับชายหนุ่มที่เขาเรียกมาตักเตือนไม่ได้อยู่ดี“มีหยัง...เว้าบอกกูได้เด้อ เผื่อมึงสิสบายใจขึ้น” (มีอะไร...เล่าให้กูฟังได้น่ะ เผื่อมึงจะสบายใจขึ้น) ชนาวุฒิถามเพื่อนขึ้นมาทันที ที่เห็นคุณพัฒน์เดินกลับเข้ามาทำงานด้วยใบหน้าที่ไม่ค่อยสู้ดีนัก“มันจบลงแล้วล่ะ เฮ็ดงานต่อเถาะอย่าสนใจเรื่องของกูเลย” (มันจบลงแล้วแหล่ะ ทำงานต่อเถอะอย่าสนใจเรื่องของกูเลย) สั่งเรียบเอ่ยบอกเพื่อน แต่ใบหน้าก็ยังแสดงความทุกข์ออกมาอยู่ดี“มักลูกสาวเขาเฮากะสู้ตัวเกื้อ” (รักลูกสาวเขาเราก้ต้องสู้สิเกื้อ)“กูบ่มีอีหยังไปสู้เขาได้ดอก มึงกะเห็น” (กูไม่มีอะไรไปสู้เขาหรอก มึงก็เห็น) พูดตัดพ้อตัวเองขึ้นมาทันท