LOGIN“เฮ้ย! บักเกื้อ เกิดอีหยังขึ้นวะ” (เฮ้ย! ไอ้เกื้อ เกิดอะไรขึ้นวะ) ชนาวุฒิร้องทักขึ้นมาทันที เมื่อคุณพัฒน์กลับมาถึงบ้าน
สายตาของชนาวุฒิมองสำรวจเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า ตั้งแต่ที่เขาถอดหมวกกันน็อคออก พร้อมกับสายตาที่มองเขานั้น มีแต่คำถามมากมายที่อยากจะสอบความ และผ้าเช็ดหน้าสีหวานที่เพื่อนมัดปิดหน้านั้นอีก ดูก็รู้ว่าไม่ใช่ของเพื่อนแน่นอน เพราะคุณพัฒน์ไม่ใช่ของสีหวานแบบนี้แน่ ๆ
“อีหยังของมึง” (อะไรของมึง) คุณพัฒน์ได้แต่เลิกคิ้วถามอย่างไม่เข้าใจ เมื่อเพื่อนนั้นจ้องมองเขาแปลก ๆ อย่างจับผิดอีกด้วย
“แค่ไปส่งผู้สาวมาแค่นี้ มึงคือ...” (แค่ไปส่งสาวมาแค่นี้ แต่มึง...) ชนาวุฒิพูดพร้อมกับชี้ไปยังผ้าเช็ดหน้าที่ตอนนี้ตอนนี้เจ้าของดึงลงมาอยู่ที่คอแทน แล้วไหนจะถุงขนมหวานนี้อีก
“เขาให้มา...” คุณพัฒน์บอกพร้อมกับชูถุงขนมไทย ที่มุกดารินทร์ให้มาขึ้นให้แก่เพื่อนดู
“โว๊ะ...บ่ธรรมดาตัวนี้หมู่กู ว่าแต่ไปฮอดไสกันล่ะ ซื่อหยังบอกได้บ้อ” (โว๊ะ...ไม่ธรรมดาเลยนะเพื่อนกู ว่าแต่ไปถึงไหนกันล่ะ ซื่ออะไรบอกได้ไหม) ชนาวุฒิแซวเพื่อนขึ้นมาทันที พร้อมกับถามออกไปอย่างอยากรู้ ว่าเพื่อนเขานั้นจะสานสัมพันธ์กันต่อหรือเปล่า
“บ่” (ไม่)
“บอกแน่ ว่าคนงามนั่นซือหยังกูอยากฮู้” (บอกหน่อย ว่าคนสวยนั่นชื่ออะไรกูอยากรู้) ชนาวุฒิไม่ลดความพยายาม ซักไซ้ถามต่อเพราะต่อมความอยากรู้เกิดทำงานขึ้นมา
“กูบ่บอกมึงดอก” (กูไม่บอกมึงหรอก) คุณพัฒน์รีบบ่ายเบี่ยง และเดินเข้าไปในบ้านทันที เพราะขี้เกียจที่จะตอบคำถามเพื่อน
คุณพัฒน์วางถุงขนมที่หญิงสาวให้มานั้น ไว้ที่โต๊ะอาหารก่อนที่จะเดินถอดกระเป๋าสะพายข้าง ที่ข้างในนั้นเก็บเอกสารสำคัญส่วนตัว เพราะวันนี้พึ่งไปสมัครงานมา
“ขอซิมแน่จักน้อยเด้อ” (ขอซิมหน่อยนิดหนึ่งนะ) ชนาวุฒิยื่นมือออกไปหาถุงขนมของเขาที่วางทันที ที่จึงก็ไม่ใช่ของที่ชอบทานหรอก เพียงแค่อยากจะแกล้งเพื่อนดูเท่านั้นเอง
“บ่ได้ เขาให้กู” (ไม่ได้ เขาให้กู) แต่คุณพัฒน์กลับหวงขึ้นมาจริง ๆ ทั้ง ๆ ที่รู้กันอยู่ว่าพวกเขานั้นไม่เคยทานอะไรพวกนี้อยู่แล้ว
“หวงบ้อ” (หวงเหรอ)
“เออ”
“หึหึ ว่าแต่คนงามซือหยัง” (หึหึ ว่าแต่คนสวยชื่อไร) ชนาวุฒิเห็นอาการหวงของที่จริงจังของเพื่อน จึงเปลี่ยนเรื่องถามเรื่องชื่อของหญิงสาวที่เพื่อนให้ซ้อนท้ายไปวันนี้ต่อ
เพราะรู้ ๆ กันอยู่ ว่ารถของพวกเขานั้น ไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนได้นั่งซ้อนหรอก ขนาดเพื่อนผู้หญิงที่เรียนมาด้วยกันยังไม่มีวาสนาได้ซ้อนเลย แต่วันนี้ชนาวุฒิกลับทอดสะพานหญิงสาวให้ได้ซ้อนท้ายรถของเพื่อน
“มุกดา!”
“ว้าววว... อีหล่ามุกดาของอ้ายเกื้อ” (ว้าววว... น้องมุกดาของพี่เกื้อ) พอรู้ว่าหญิงสาวนั้นชื่ออะไร แต่ชนาวุฒิก็ยังไม่หยุดแซวเย้าแหย่ให้เพื่อนเขิน
“บักห่านี่ สิกินบ่กิน” (ไอ้ห่านี่ จะกินไม่กิน) คุณพัฒน์รีบยื่นถุงขนมนั้นไปให้เพื่อน เพราะกำลังปิดบังอาการเขินอาย
“กิน”
“หึ ผ่าเซ็ดหน่าคงสิหอมคักน้อ บ่ยอมถอดออกเลย” (หึ ผ้าเช็ดหน้าคงจะหอมมากเนอะ ไม่ยอมถอดออกเลย) ชนาวุฒิแซวขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อมองไปยังคอของเพื่อน
“เสือก” คุณพัฒน์เอ็ดไป แล้วจึงแกะผ้าออกมายัดไว้ในกระเป๋ากางเกงแทน
“ได้ผู้สาวแล้วเฮ็ดเป็นลืมกูนะมึง” (ได้ผู้หญิงแล้วทำเป็นลืมกูนะมึง)
“บ่ทันได้” (ยังไม่ทันได้)
“แล้วได่ขอเบอร์โทรฯไว้บ่” (แล้วได้ขอเบอร์โทรฯไว้ไหม) ชนาวุฒิจึงถามกลับไปอีกครั้ง
“บ่ได่ขอ ไผสิกล้าขอว่ะ” (ไม่ได้ขอ ใครจะกล้าขอว่ะ) เขาตอบออกไปตามตรง เพราะไม่กล้าพอที่จะขอเบอร์โทรฯของเธอ แม้แต่หน้ายังไม่กล้าสบตาเลย แล้วจะเอาความกล้าที่ไหนไปขอช่องทางการติดต่อกับเธอ
“อ้าว กระจอกแท้ แล้วสิติดต่อเขาได้จังใด” (อ้าว ใจเสาะจัง แล้วจะติดต่อเขาได้ยังไง)
“คงสิบ่ได้พ้อกันอีกดอก กรุงเทพตั้งใหญ่...ขันพ้อกันอีกกะคงสิเป็นพรมลิขิตแล้วว่ะ” (น่าจะไม่ได้เจอกันอีกหรอก กรุงเทพออกจะกว้าง...ถ้าเจอกันอีกก็คงจะเป็นพรมลิขิตแล้วว่ะ) เขารีบเอ่ยออกมาทันที เพราะคิดว่าคงไม่ได้เจอกันอีกแล้ว
“พรมลิขิตอีหยังอีกสองคนนี้” (พรมลิขิตอะไรอีกสองคนนี้) ชญานุชที่พึ่งจะกลับมา เมื่อได้ยินน้องคุยกัน จึงแทรกขึ้นมาบ้าง
“แซวบักเกื้อเล่นซือ ๆ พอดีมื้อนี้มันได้สาวซ้อนท้ายรถไปนำ” (แซวไอ้เกื้อเล่นเฉย ๆ พอดีวันนี้มันได้สาวซ้อนท้ายรถไปด้วย) ชนาวุฒิจึงตอบพี่สาวออกไปตามตรง
“อีหลีบ้อ” (จริงเหรอ) หน้าคนที่ได้ยินคำตอบ ตาลุกวาวขึ้นมาทันที เพราะตื่นเต้นปนความดีใจ หากว่าน้องจะเปิดใจคบใครสักคน
“แค่บังเอิญซือ ๆ เอื้อย” (แค่บังเอิญเฉย ๆ พี่) คุณพัฒน์รีบตัดบท
“คุยอะไรน่าสนุกจัง” ธนภัทรที่แวะมาส่งเลขาสาว เอ่ยขึ้นมาบ้าง เมื่อกำลังจะกลับออกไป แต่เมื่อเห็นว่าน้องชายของเธออยู่ จึงลงมาจากรถ แล้วเดินเข้ามาภายในบ้านของเธออย่างถือวิสาสะ
“คุณภัทรยังไม่กลับอีกเหรอ” ชญานุชหันไปถามเจ้านายหนุ่ม เพราะไม่คิดว่าเขาจะยังอยู่
“เย็นนี้ตั้งใจจะมาฝากท้องกับคุณ แล้วก็น้อง ๆ ด้วย” เขาเอ่ยบอกเธอถึงจุดประสงค์ของตน แล้วจึงหันไปเอ่ยกับสองหนุ่มต่อเพื่อขออนุญาต “พี่อยู่ทานข้าวด้วยได้หรือเปล่าเกื้อวุฒิ”
“ผมไม่มีความเห็นครับ แล้วแต่เจ้าบ้านเลย” คุณพัฒน์เอ่ยตอบออกไป แล้วหันหน้าไปมองทางพี่สาวของเพื่อน
“อาหารอีสานนะคะ คุณจะทานกับพวกเราได้เหรอ” ชญานุชเปรยขึ้นบอกเจ้านายหนุ่ม เพราะมื้อนี้ พวกเธอตั้งใจจะทำอาหารบ้านเกิดกินกัน
“ไม่ลองไม่รู้” เขาพูดแบบนั้น ก็เดินไปนั่งลงที่โซฟากลางห้องทันทีอย่างสบายใจ โดยไม่สนใจว่าหน้าเจ้าบ้านจะแสดงกิริยาออกมาแบบไหน
“อ้ายกินเหล้าขาวนำหมู่ผมบ่” (พี่ดื่มเหล้าขาวกับพวกผมไหม) ชนาวุฒิถามเจ้านายของพี่สาวขึ้นมาทันที เป็นภาษาบ้านเกิดเพราะความเคยชินที่พูดกับคนสนิท
“บักวุฒิ!” (ไอ้วุฒิ!) ชญานุชที่ได้ยินในสิ่งที่น้องชายเอ่ย ก็ตวาดเสียงขึ้น พร้อมกับค้อนใส่น้องชายทันทีอย่างคาดโทษ
“ดุน้องทำไม” ธนภัทรหันมาเอ็ดเธอ หญิงสาวเพียงคนเดียวที่ดุน้องชาย ก่อนจะหันไปพูดกับชนาวุฒิต่อ “ปกติพี่ก็กินนะ แต่วันนี้ขับรถมาเองคงต้องปฏิเสธ ขืนพี่กินเหล้ากับพวกเรา พี่คงต้องได้ค้างที่นี่ แต่ไม่รู้ว่าเจ้าบ้านจะให้พี่ค้างด้วยหรือเปล่า” ขณะที่ปากพูดกับน้องชายเธอ แต่สายตากับมองมาทางเลาสาว
“ไม่คะ” เธอรีบปฏิเสธทันควัน เมื่อเขาหาข้ออ้างมาค้างที่บ้านเธอ
“โถ่เอื้อย มื้ออื่นวันหยุด ให้อ้ายเพิ่นค้างนำเถาะ นอนหม่องนี้นำกันกับหมู่ข่อยกะได้” (โถ่พี่ พรุ่งนี้วันหยุดให้พี่เขาค้างด้วยเถอะ นอนตรงนี้กับพวกผมก็ได้) ชนาวุฒิรีบแย้งขึ้นมา แล้วชี้บอกพี่สาวว่าให้เขานอนที่กลางห้องด้วยกันกับพวกเขาก็ได้
เพราะบ้านหลังนี้ เป็นเพียงบ้านจัดสรรบังกะโลหลังไม่ใหญ่เท่าไหร่นัก มีเพียงแค่หนึ่งห้องนอนที่มีห้องน้ำภายในตัว หนึ่งห้องโถงรับแขก และมีครัวแยกโซนออกไปอีก ถัดไปก็จะเป็นห้องน้ำใหญ่
“คุณภัทรจะนอนตรงนี้กับพวกน้อง ๆ ได้เหรอคะ” เธอจึงถามเจ้านายหนุ่มขึ้นมา
“ผมไม่เกี่ยงที่หรอก นอนตรงไหนก็ได้หมดแหละ” เขาบอกเธอออกไปตามตรง เพราะลำบากกว่านี้ก็เคยนอนมาหมดแล้ว นับประสาอะไรแค่พื้นห้องรับแขก
“ถ้าอย่างนั้นก็ตามสบายคะ วุฒิไปหุงข้าว” เมื่อไม่กล้าที่จะเอ่ยไล่เขา เธอจึงต้องยอมแล้วเอ่ยสั่งน้องชายออกไป ให้ไปช่วยคุณพัฒน์อยู่ที่ครัว
บทส่งท้าย(จบ)“เรามีลูกอีกคน สร้างครอบครัวไปด้วยกันนะครับ” เสียงนุ่มเอ่ยบอกคนในอ้อมกอด ขณะที่ทั้งคู่กอดก่ายกันอยู่บนที่นอน หลังจากบทเพลงรักรอบล่าสุดจบลง“ค่ะ ขอบคุณนะคะที่กลับมาหามุกกับลูก” เธอช้อนสายตาขึ้นมองเขา และเอ่ยขอบคุณเขาจากใจจริง“ขอบคุณเช่นกันครับ ที่ยังรอพี่ ต่อไปนี้เราจะไม่แยกจากกันไปไหนอีกแล้ว พี่จะดูแลมุกดูแลลูกเป็นอย่างดี จะรัก ทะนุถนอมเทิดทูลดอกฟ้าดอกนี้เป็นอย่างดีเลยครับ พี่สัญญา” เขามองสบตาเธอ ก่อนที่จะเอ่ยให้คำมั่นสัญญาต่อหน้าเธอ แล้วก้มลงหอมขมับเธออย่างอ่อนโยน พร้อมกับอ้อมกอดที่กระชับแน่นขึ้นกว่าเดิม“ช่างรู้จักเปรียบเทียบนะคะ มุกไม่เคยมองพี่ด้อยไปกว่ามุกเลยนะ”“อาบน้ำกันดีกว่าครับ เดินไหวไหม” เขาจึงตัดบทขึ้น แล้วถามเธอออกไปด้วยความเป็นห่วง เพราะจัดหนักเธอไปตั้งหลายยกหลังจากที่ไม่ได้หลอมรวมกันมานาน“...อุ้มหน่อย” เธอมองเขาก่อนที่จะส่ายหน้าเบา ๆ แล้วอ้อนเขาขึ้นมาเหมือนเด็กที่ยังไม่โตทันที“อ้อนเก่งแบบนี้ ไม่รู้ว่านุกูลจะขี้อ้อนเหมือนแม่หรือเปล่า” เขาช้อนเธอขึ้นแนบอกในท่าเจ้าสาว แล้วเอ่ยแซวเธอออกมาอย่างไม่จริงจังนัก“นุกูลเหมือนพี่ไปเสียทุกอย่างเลยค่ะ มุกอุตส่าห์อุ้ม
ไปรำลึกความหลัง NC“ทีนี้เข้าใจคำว่าทองแผ่นเดียวกันหรือยัง” ปราโมทย์เอ่ยขึ้นพร้อมกับจ้องมองไปที่สองหนุ่มสาวที่นั่งอยู่อีกฝั่ง“เข้าใจแล้วค่ะ แล้วทำไมคุณพ่อไม่บอกละคะ ว่าลูกชายเพื่อนพ่อคือพี่เกื้อ” มุกดารินทร์พยักหน้ารับอย่างเข้าใจ แต่ก็ยังโกรธและงอนผู้เป็นพ่ออยู่ดีที่ไม่ได้บอกความจริงและเหตุผลตั้งแต่แรก“ตอนแรกพ่อก็ไม่รู้ พ่อพึ่งจะมาทราบก็ตอนที่เขาบอกว่ารับทุกอย่างที่เป็นลูกได้ ถึงแม้ว่าลูกจะมีลูกแล้ว พ่อเลยเอะใจสืบให้คนประวัติดู แต่ไม่คิดว่าโลกมันจะกลมขนาดนี้ไง ใครจะไปคิดว่าเกื้อกูลเป็นลูกชายของพงษ์พัฒน์เขา น้องชายแท้ ๆ ของคุณพงษ์พิพัฒน์ที่ไปรักษาตัวอยู่ที่ต่างประเทศ” ปราโมทย์จึงอธิบายบอกลูกสาว เพราะตัวเขาเองก็พึ่งมารับรู้ความจริงเมื่อไม่นานมานี้เหมือนกัน“เป็นโชคชะตาฟ้าลิขิตมากกว่าน่ะผมว่า ไปทำผู้หญิงท้องแล้วไม่ยอมกลับไปรับผิดชอบ แถมยังไม่ส่งข่าวอีก เก็บความลับเอาไว้จนมิดเชียว” พงษ์พิพัฒน์จึงเอ่ยเสริม แต่ก็ไม่วายตำหนิน้องชายของตัวเอง“ก็ใครจะไปรู้ ว่าคำหล้าจะท้อง แต่ผมก็กลับไปหาคำหล้าตามสัญญานะพี่ แต่แค่ไปไม่ถึงเกิดอุบัติเหตุเสียก่อนอย่างที่เห็นนั้นแหล่ะเดินไม่ได้อยู่หลายปี แล้วแบบน
ความจริงคือ...“พี่เกื้อ!”ทุกคนต่างหันหน้าไปทางประตูเข้าบ้านตามเสียงของคนที่มานั่น กลับพบร่างสูงที่คุ้นเคย แต่ครั้งนี้กลับแต่งตัวดูมีพื้นฐาน พร้อมกับชายสูงวัยอีกคนที่มาพร้อมกันร่างสูงเดินเข้าไปหาหญิงสาวที่ยืนอ้าปากค้างมองหน้าเขาอย่างงุนงงขณะที่เจอหน้ากันอีกครั้ง ก่อนที่ร่างสูงจะเอ่ยถามย้ำคนตรงหน้าขึ้นมาอีกครั้ง“ว่ายังไงครับ ใครจะไม่ยอมแต่งงานกับพี่เหรอ”“...” มุกดารินทร์ยังคงนิ่งเงียบ เพราะยังทำตัวไม่ถูกและตกใจที่เจอเขาหลังจากที่เขาและเธอแยกจากกันไปนานเกือบสามปี“มุกยินดีที่จะแต่งงานกับพี่หรือเปล่าครับ” เขาถามเธอขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าเธอยังคงเงียบไม่ตอบในสิ่งที่เขาถามไปเมื่อสักครู่ดวงตากลมโตไหวระริกมีน้ำตาเอ่อคลอ มือปัดเช็ดออกแบบลวก ๆ แต่น้ำตามากมายยังคงไหลลงมาอาบแก้มทั้งสองข้างอย่างไม่อาจห้ามอยู่“ฮึก...ตะ แต่งค่ะ มุกจะแต่งงานกับพี่เกื้อ” เสียงสั่นตอบรับคนตรงหน้าแบบไม่ลังเลก่อนที่จะสวมกอดเขาแน่นด้วยความคิดถึงและโหยหา“พอเป็นพ่อของลูกนี่ตอบแบบไม่คิดอะไรเลยน่ะ แทบจะเป็นฝ่ายขอเขาแต่งเสียเองแล้ว” ปราโมทย์อดที่จะแซวลูกสาวออกมาไม่ได้ เพราะก่อนหน้านั้นยังเถียงเขาหลังชนฝา เอาแต่ปฏิเ
แต่งงานกับคนที่เหมาะสมหนึ่งสัปดาห์ต่อมา“มุกไม่แต่งค่ะ มุกจะรอพี่เกื้อ พ่อของนุกูลคนเดียวเท่านั้น” มุกดารินทร์ปฏิเสธ ค้านขึ้นมาทันที เมื่อบิดาของเธอบอกว่าจะให้เธอแต่งงานกับลูกชายของเพื่อนที่พึ่งกลับมาจากต่างประเทศจริง ๆ ซึ่งเป็นใครนั้นเธอก็ไม่เคยรู้ เพราะเธอไม่เคยที่จะสนใจผู้ชายคนอื่นอยู่แล้วแต่เธอแค่คาดไม่ถึง ว่าสิ่งที่บิดาเปรยเอาไว้เมื่อสัปดาห์ที่แล้วนั้นจะเป็นเรื่องจริง ที่จะให้เธอแต่งงานกับลูกชายเพื่อนของท่าน หากว่าคุณพัฒน์ยังไม่กลับมา เพราะนี่ก็ล่วงเลยมาใกล้จะถึงสามปีแล้ว ที่คุณพัฒน์หายเงียบขาดการติดต่อตั้งแต่ที่ไปเรียนต่างประเทศ“แต่คนนี้ลูกชายเพื่อนสนิทพ่อเลยน่ะ กำลังกลับมาจากต่างประเทศด้วย”“จะเป็นใครมาจากไหน มุกก็ไม่สนทั้งนั้นแหล่ะคะ และจะไม่แต่งงานด้วยทั้งนั้น มุกจะมีแค่ผัวเดียวเมียเดียว ก็คือพี่เกื้อเท่านั้น ถึงแม้ว่าพี่เกื้อจะไม่รักมุกกับลูกแล้วก็ตาม” เธอยังคงปฏิเสธเช่นเดิม ถึงแม้ว่าบิดาเธอจะเอ่ยอย่างไรเพราะเธอสัญญากับตัวเองไว้แล้ว ว่าจะไม่รักใครอีกนอกจากพ่อของลูกเท่านั้น ถึงแม้ว่าอนาคตข้างหน้าจะไม่ได้อยู่ด้วยกันก็ตาม เธอจะซื่อสัตย์กับใจตัวเอง“ไหนล่ะ? ไอ้คนที่ลูกรักนัก
วันเวลาเปลี่ยนสองปีผ่านไปวันเวลาผ่านพ้นไปอย่ารวดเร็ว แต่กลับช้าเสียเหลือเกินสำหรับมุกดารินทร์ เพราะกว่าจะผ่านไปได้แต่ละวันเธอต้องอดทนมากขนาดไหน และตอนนี้เองมุกดารินทร์จบการศึกษาเป็นที่เรียบร้อยแล้วตามคาดเอาไว้ภายในสองปี และเธอก็ทำได้และเธอเองก็ได้เข้ามาทำงานในบริษัทของบิดาเธอแล้ว ในตำแหน่งรองประธานและผู้บริหารบริษัทที่บิดาเธอกับวิศรุตอีกคน เพราะบิดาของเธอส่วนใหญ่จะอยู่เลี้ยงหลานที่บ้าน นาน ๆ ทีจะเข้ามาบริษัท...“แม่จ๋าครับ” เสียงเล็กของนุกูล ลูกชายวัยสองขวบครึ่งเอ่ยเรียกเธอขึ้นมาแต่ไกล พร้อมกับวิ่งเข้ามาหาเมื่อผู้เป็นลุงอย่างวิศรุตพาเดินลงมาจากบันไดบ้านชั้นสอง เพราะเมื่อคืนนี้ทั้งคู่นอนด้วยกัน“ครับ” มุกดารินทร์ย่อตัวลงขานรับลูกชาย และสวมกอดทันทีอย่างแสนคิดถึงแสนรักเสียเหลือเกินกุลพัฒน์ หรือ นุกูล ลูกชายวัยสองขวบเศษของเธอกับคุณพัฒน์ นับวันยิ่งแต่ถอดแบบของคนเป็นพ่อไปทุกที ไม่ใช่แค่เพียงเพศและหน้าตาที่เหมือนไปทางผู้เป็นพ่ออย่างเดียว แต่นิสัยก็เริ่มออกไปทางผู้เป็นพ่อด้วยเช่นกัน ซึ่งเธอจะรู้ดีมากที่สุด และมีลูกชายคนนี้แหล่ะ ที่คิดถึงพ่อของลูกเมื่อไหร่ เธอมักจะมองหน้าของลูกชาย คนที่เป็
การจากลารุ่งเช้าผ้าม่านพัดปลิวไหวไปตามแรงลมที่สาดส่องเข้ามาทางหน้าต่างของห้องนอน มุกดารินทร์ลืมตาขึ้นมาอย่างแสนอ่อนล้าเอื้อมมือควานหาร่างแกร่งที่นอนกอดมาทั้งคืน กลับพบเพียงแค่ความว่างเปล่า เพราะเขาคงจะลุกออกไปตั้งนานแล้วสัมผัสจากที่นอนที่เย็นเฉียบสายตากวาดมองไปรอบ ๆ ห้อง ก็ต้องก้มหน้าลงอย่างแสนเศร้า แถมทั้งห้องนอนยังไร้ร่างเล็กและเสียงของลูกน้อย เพราะไม่ได้อยู่ที่ห้องนี้แล้ว เขาน่าจะอุ้มนุกูลออกไปหรือผู้เป็นตาอาจเข้ามาอุ้มออกไป เพราะเวลานี้ก็สายมากแล้ว เป็นอีกวันที่เธอนอนตื่นสายกว่าทุกวัน และอาจเป็นเพราะเมื่อคืนที่เธอแทบจะไม่ได้นอนเลยเพราะบทรักที่เขามอบให้...“ทำไมพี่ไม่ปลุกมุกเลยพี่เกื้อ ใจร้ายจัง”น้ำตาไหลอาบสองข้างแก้มทันที เมื่อนึกน้อยใจที่คุณพัฒน์ลุกออกไปไม่ยอมปลุกเธอขึ้นมา ร่ำลากันบ้างเลย และสายตาก็เหลือบไปเห็นกระดาษแผ่นหนึ่งวางไว้อยู่บนโต๊ะของฝั่งที่เขานอน-ขอโทษนะครับ หากมุกได้อ่านจดหมายฉบับนี้พี่คงขึ้นเครื่องแล้ว ขอโทษอีกครั้งที่พี่ไม่ได้ปลุกมุก พี่คงทำใจจากมุกมาไม่ได้ พี่ไม่อยากให้มุกเห็นความอ่อนแอของพี่ พี่เลยตัดสินใจเลือกออกมาแบบนี้ดีกว่า นุกูลอยู่ที่ห้องคุณพ่อ พี่อยากใ







