“เฮ้ย! บักเกื้อ เกิดอีหยังขึ้นวะ” (เฮ้ย! ไอ้เกื้อ เกิดอะไรขึ้นวะ) ชนาวุฒิร้องทักขึ้นมาทันที เมื่อคุณพัฒน์กลับมาถึงบ้าน
สายตาของชนาวุฒิมองสำรวจเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า ตั้งแต่ที่เขาถอดหมวกกันน็อคออก พร้อมกับสายตาที่มองเขานั้น มีแต่คำถามมากมายที่อยากจะสอบความ และผ้าเช็ดหน้าสีหวานที่เพื่อนมัดปิดหน้านั้นอีก ดูก็รู้ว่าไม่ใช่ของเพื่อนแน่นอน เพราะคุณพัฒน์ไม่ใช่ของสีหวานแบบนี้แน่ ๆ
“อีหยังของมึง” (อะไรของมึง) คุณพัฒน์ได้แต่เลิกคิ้วถามอย่างไม่เข้าใจ เมื่อเพื่อนนั้นจ้องมองเขาแปลก ๆ อย่างจับผิดอีกด้วย
“แค่ไปส่งผู้สาวมาแค่นี้ มึงคือ...” (แค่ไปส่งสาวมาแค่นี้ แต่มึง...) ชนาวุฒิพูดพร้อมกับชี้ไปยังผ้าเช็ดหน้าที่ตอนนี้ตอนนี้เจ้าของดึงลงมาอยู่ที่คอแทน แล้วไหนจะถุงขนมหวานนี้อีก
“เขาให้มา...” คุณพัฒน์บอกพร้อมกับชูถุงขนมไทย ที่มุกดารินทร์ให้มาขึ้นให้แก่เพื่อนดู
“โว๊ะ...บ่ธรรมดาตัวนี้หมู่กู ว่าแต่ไปฮอดไสกันล่ะ ซื่อหยังบอกได้บ้อ” (โว๊ะ...ไม่ธรรมดาเลยนะเพื่อนกู ว่าแต่ไปถึงไหนกันล่ะ ซื่ออะไรบอกได้ไหม) ชนาวุฒิแซวเพื่อนขึ้นมาทันที พร้อมกับถามออกไปอย่างอยากรู้ ว่าเพื่อนเขานั้นจะสานสัมพันธ์กันต่อหรือเปล่า
“บ่” (ไม่)
“บอกแน่ ว่าคนงามนั่นซือหยังกูอยากฮู้” (บอกหน่อย ว่าคนสวยนั่นชื่ออะไรกูอยากรู้) ชนาวุฒิไม่ลดความพยายาม ซักไซ้ถามต่อเพราะต่อมความอยากรู้เกิดทำงานขึ้นมา
“กูบ่บอกมึงดอก” (กูไม่บอกมึงหรอก) คุณพัฒน์รีบบ่ายเบี่ยง และเดินเข้าไปในบ้านทันที เพราะขี้เกียจที่จะตอบคำถามเพื่อน
คุณพัฒน์วางถุงขนมที่หญิงสาวให้มานั้น ไว้ที่โต๊ะอาหารก่อนที่จะเดินถอดกระเป๋าสะพายข้าง ที่ข้างในนั้นเก็บเอกสารสำคัญส่วนตัว เพราะวันนี้พึ่งไปสมัครงานมา
“ขอซิมแน่จักน้อยเด้อ” (ขอซิมหน่อยนิดหนึ่งนะ) ชนาวุฒิยื่นมือออกไปหาถุงขนมของเขาที่วางทันที ที่จึงก็ไม่ใช่ของที่ชอบทานหรอก เพียงแค่อยากจะแกล้งเพื่อนดูเท่านั้นเอง
“บ่ได้ เขาให้กู” (ไม่ได้ เขาให้กู) แต่คุณพัฒน์กลับหวงขึ้นมาจริง ๆ ทั้ง ๆ ที่รู้กันอยู่ว่าพวกเขานั้นไม่เคยทานอะไรพวกนี้อยู่แล้ว
“หวงบ้อ” (หวงเหรอ)
“เออ”
“หึหึ ว่าแต่คนงามซือหยัง” (หึหึ ว่าแต่คนสวยชื่อไร) ชนาวุฒิเห็นอาการหวงของที่จริงจังของเพื่อน จึงเปลี่ยนเรื่องถามเรื่องชื่อของหญิงสาวที่เพื่อนให้ซ้อนท้ายไปวันนี้ต่อ
เพราะรู้ ๆ กันอยู่ ว่ารถของพวกเขานั้น ไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนได้นั่งซ้อนหรอก ขนาดเพื่อนผู้หญิงที่เรียนมาด้วยกันยังไม่มีวาสนาได้ซ้อนเลย แต่วันนี้ชนาวุฒิกลับทอดสะพานหญิงสาวให้ได้ซ้อนท้ายรถของเพื่อน
“มุกดา!”
“ว้าววว... อีหล่ามุกดาของอ้ายเกื้อ” (ว้าววว... น้องมุกดาของพี่เกื้อ) พอรู้ว่าหญิงสาวนั้นชื่ออะไร แต่ชนาวุฒิก็ยังไม่หยุดแซวเย้าแหย่ให้เพื่อนเขิน
“บักห่านี่ สิกินบ่กิน” (ไอ้ห่านี่ จะกินไม่กิน) คุณพัฒน์รีบยื่นถุงขนมนั้นไปให้เพื่อน เพราะกำลังปิดบังอาการเขินอาย
“กิน”
“หึ ผ่าเซ็ดหน่าคงสิหอมคักน้อ บ่ยอมถอดออกเลย” (หึ ผ้าเช็ดหน้าคงจะหอมมากเนอะ ไม่ยอมถอดออกเลย) ชนาวุฒิแซวขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อมองไปยังคอของเพื่อน
“เสือก” คุณพัฒน์เอ็ดไป แล้วจึงแกะผ้าออกมายัดไว้ในกระเป๋ากางเกงแทน
“ได้ผู้สาวแล้วเฮ็ดเป็นลืมกูนะมึง” (ได้ผู้หญิงแล้วทำเป็นลืมกูนะมึง)
“บ่ทันได้” (ยังไม่ทันได้)
“แล้วได่ขอเบอร์โทรฯไว้บ่” (แล้วได้ขอเบอร์โทรฯไว้ไหม) ชนาวุฒิจึงถามกลับไปอีกครั้ง
“บ่ได่ขอ ไผสิกล้าขอว่ะ” (ไม่ได้ขอ ใครจะกล้าขอว่ะ) เขาตอบออกไปตามตรง เพราะไม่กล้าพอที่จะขอเบอร์โทรฯของเธอ แม้แต่หน้ายังไม่กล้าสบตาเลย แล้วจะเอาความกล้าที่ไหนไปขอช่องทางการติดต่อกับเธอ
“อ้าว กระจอกแท้ แล้วสิติดต่อเขาได้จังใด” (อ้าว ใจเสาะจัง แล้วจะติดต่อเขาได้ยังไง)
“คงสิบ่ได้พ้อกันอีกดอก กรุงเทพตั้งใหญ่...ขันพ้อกันอีกกะคงสิเป็นพรมลิขิตแล้วว่ะ” (น่าจะไม่ได้เจอกันอีกหรอก กรุงเทพออกจะกว้าง...ถ้าเจอกันอีกก็คงจะเป็นพรมลิขิตแล้วว่ะ) เขารีบเอ่ยออกมาทันที เพราะคิดว่าคงไม่ได้เจอกันอีกแล้ว
“พรมลิขิตอีหยังอีกสองคนนี้” (พรมลิขิตอะไรอีกสองคนนี้) ชญานุชที่พึ่งจะกลับมา เมื่อได้ยินน้องคุยกัน จึงแทรกขึ้นมาบ้าง
“แซวบักเกื้อเล่นซือ ๆ พอดีมื้อนี้มันได้สาวซ้อนท้ายรถไปนำ” (แซวไอ้เกื้อเล่นเฉย ๆ พอดีวันนี้มันได้สาวซ้อนท้ายรถไปด้วย) ชนาวุฒิจึงตอบพี่สาวออกไปตามตรง
“อีหลีบ้อ” (จริงเหรอ) หน้าคนที่ได้ยินคำตอบ ตาลุกวาวขึ้นมาทันที เพราะตื่นเต้นปนความดีใจ หากว่าน้องจะเปิดใจคบใครสักคน
“แค่บังเอิญซือ ๆ เอื้อย” (แค่บังเอิญเฉย ๆ พี่) คุณพัฒน์รีบตัดบท
“คุยอะไรน่าสนุกจัง” ธนภัทรที่แวะมาส่งเลขาสาว เอ่ยขึ้นมาบ้าง เมื่อกำลังจะกลับออกไป แต่เมื่อเห็นว่าน้องชายของเธออยู่ จึงลงมาจากรถ แล้วเดินเข้ามาภายในบ้านของเธออย่างถือวิสาสะ
“คุณภัทรยังไม่กลับอีกเหรอ” ชญานุชหันไปถามเจ้านายหนุ่ม เพราะไม่คิดว่าเขาจะยังอยู่
“เย็นนี้ตั้งใจจะมาฝากท้องกับคุณ แล้วก็น้อง ๆ ด้วย” เขาเอ่ยบอกเธอถึงจุดประสงค์ของตน แล้วจึงหันไปเอ่ยกับสองหนุ่มต่อเพื่อขออนุญาต “พี่อยู่ทานข้าวด้วยได้หรือเปล่าเกื้อวุฒิ”
“ผมไม่มีความเห็นครับ แล้วแต่เจ้าบ้านเลย” คุณพัฒน์เอ่ยตอบออกไป แล้วหันหน้าไปมองทางพี่สาวของเพื่อน
“อาหารอีสานนะคะ คุณจะทานกับพวกเราได้เหรอ” ชญานุชเปรยขึ้นบอกเจ้านายหนุ่ม เพราะมื้อนี้ พวกเธอตั้งใจจะทำอาหารบ้านเกิดกินกัน
“ไม่ลองไม่รู้” เขาพูดแบบนั้น ก็เดินไปนั่งลงที่โซฟากลางห้องทันทีอย่างสบายใจ โดยไม่สนใจว่าหน้าเจ้าบ้านจะแสดงกิริยาออกมาแบบไหน
“อ้ายกินเหล้าขาวนำหมู่ผมบ่” (พี่ดื่มเหล้าขาวกับพวกผมไหม) ชนาวุฒิถามเจ้านายของพี่สาวขึ้นมาทันที เป็นภาษาบ้านเกิดเพราะความเคยชินที่พูดกับคนสนิท
“บักวุฒิ!” (ไอ้วุฒิ!) ชญานุชที่ได้ยินในสิ่งที่น้องชายเอ่ย ก็ตวาดเสียงขึ้น พร้อมกับค้อนใส่น้องชายทันทีอย่างคาดโทษ
“ดุน้องทำไม” ธนภัทรหันมาเอ็ดเธอ หญิงสาวเพียงคนเดียวที่ดุน้องชาย ก่อนจะหันไปพูดกับชนาวุฒิต่อ “ปกติพี่ก็กินนะ แต่วันนี้ขับรถมาเองคงต้องปฏิเสธ ขืนพี่กินเหล้ากับพวกเรา พี่คงต้องได้ค้างที่นี่ แต่ไม่รู้ว่าเจ้าบ้านจะให้พี่ค้างด้วยหรือเปล่า” ขณะที่ปากพูดกับน้องชายเธอ แต่สายตากับมองมาทางเลาสาว
“ไม่คะ” เธอรีบปฏิเสธทันควัน เมื่อเขาหาข้ออ้างมาค้างที่บ้านเธอ
“โถ่เอื้อย มื้ออื่นวันหยุด ให้อ้ายเพิ่นค้างนำเถาะ นอนหม่องนี้นำกันกับหมู่ข่อยกะได้” (โถ่พี่ พรุ่งนี้วันหยุดให้พี่เขาค้างด้วยเถอะ นอนตรงนี้กับพวกผมก็ได้) ชนาวุฒิรีบแย้งขึ้นมา แล้วชี้บอกพี่สาวว่าให้เขานอนที่กลางห้องด้วยกันกับพวกเขาก็ได้
เพราะบ้านหลังนี้ เป็นเพียงบ้านจัดสรรบังกะโลหลังไม่ใหญ่เท่าไหร่นัก มีเพียงแค่หนึ่งห้องนอนที่มีห้องน้ำภายในตัว หนึ่งห้องโถงรับแขก และมีครัวแยกโซนออกไปอีก ถัดไปก็จะเป็นห้องน้ำใหญ่
“คุณภัทรจะนอนตรงนี้กับพวกน้อง ๆ ได้เหรอคะ” เธอจึงถามเจ้านายหนุ่มขึ้นมา
“ผมไม่เกี่ยงที่หรอก นอนตรงไหนก็ได้หมดแหละ” เขาบอกเธอออกไปตามตรง เพราะลำบากกว่านี้ก็เคยนอนมาหมดแล้ว นับประสาอะไรแค่พื้นห้องรับแขก
“ถ้าอย่างนั้นก็ตามสบายคะ วุฒิไปหุงข้าว” เมื่อไม่กล้าที่จะเอ่ยไล่เขา เธอจึงต้องยอมแล้วเอ่ยสั่งน้องชายออกไป ให้ไปช่วยคุณพัฒน์อยู่ที่ครัว
จำใจยอมมื้อค่ำสุดพิเศษจบลง มุกดารินทร์ก็ยังคงเอาแต่นั่งชะเง้ออยู่ที่ห้องโถงไม่ยอมขึ้นห้องไปพักผ่อน จนปราโมทย์ที่นั่งอยู่ด้วยถอนหายใจยาว ก่อนที่จะเอ่ยสั่งเด็กสาวรับใช้ที่เป็นหลานสาวของพิไล“ไปตามเกื้อกูลมาที่นี่หน่อย” ปราโมทย์ที่ทนเห็นลูกสาวเป็นแบบนี้ไม่ได้ จึงสั่งให้แม่บ้านไปตามคุณพัฒน์เข้ามาที่บ้านหลังใหญ่ทีนที“ค่ะ คุณท่าน”สักพักคุณพัฒน์ก็เดินเข้ามาถึง เจอกับปราโมทย์นั่งวางมาดขรึมอยู่ที่โซฟาจ้องมองมาที่เขาอย่างเอาเรื่อง แต่เขาทำใจฮึดสู้ยกมือขึ้นไหว้อย่างยอบน้อม โดยที่จะไม่เอ่ยถามอะไรว่าท่านให้คนไปตามทำไมกัน“พามุกดาขึ้นไปนอน นี้ก็ดึกมากแล้วไม่รู้จักหน้าที่เอาเสียเลย” พูดเพียงแค่นั้น ปราโมทย์ก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เดินเดินผ่านหน้าชายหนุ่มขึ้นไปชั้นบนของบ้านทันที เพราะเขาเองก็ง่วงเต็มทนจนตาแทบจะปิดอยู่รอมร่อ“ทำไมถึงไม่ยอมขึ้นนอนล่ะครับ หืมมม” คุณพัฒน์เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนเมื่อเดินเข้าไปหาหญิงสาว และใช้มือโอบรอบเอวพาเธอเดินขึ้นไปด้านบน“มุกไม่อยากนอนคนเดียวค่ะ มันหงุดหงิดทำให้มุกนอนไม่หลับ” เอ่ยบอกเขาพร้อมกับทำหน้ายู่ราวกับเด็กใส่เขาทันทีดูสิขนาดเธอกำลังจะกลายเป็นแม่คนแล้ว แต
มื้อค่ำสุดพิเศษตกเย็นคุณพัฒน์ที่ผล็อยหลับไปตามหญิงสาวนั้น ได้ลืมตาตื่นขึ้นมาในช่วงเวลาเย็น แล้วช้อนเอาร่างเล็กของว่าที่คุณแม่ที่ยังคงหลับสนิทอยู่ขึ้นอย่างทะนุถนอมไปวางที่เตียงกว้างให้เธอได้นอนสบาย ก่อนที่จะออกจากห้องของเธอไป เพื่อที่จะไปซื้อของมาทำอาหารมื้อเย็นให้ตามที่่รับปากเธอเอาไว้“จะไปไหน?” เสียงเข้มของปราโมทย์ถามขึ้นมา เมื่อเขากำลังเดินออกจากบ้านไปที่โรงจอดรถ ที่มีมอเตอร์ไซค์เขาจอดอยู่ด้วยปราโมทย์รู้ว่าชายหนุ่มจะออกไปไหน เพราะได้ยินสิ่งที่ชายหนุ่มพูดกับลูกสาวทุกประโยคเมื่อตอนกลางวัน แต่แค่อยากถามกวนเฉย ๆ“จะออกไปตลาดครับ” คุณพัฒน์ตอบออกไปตามตรง เพราะอาศัยอยู่ที่บ้านท่าน ก็ไม่มีอะไรที่ต้องปิดบังอยู่แล้ว ดีแค่ไหนแล้วที่ท่านยอมให้เขามาอยู่ใกล้กับลูกสาวท่าน“ไปสภาพนี้?” ใบหน้านิ่งขรึมมองสำรวจชายหนุ่มตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า จึงได้แต่เลิกคิ้วถามคุณพัฒน์นั้นสวมเพียงแค่เสื้อยืดกับกางเกงยีนส์ขายาวธรรมดาเท่านั้น ไม่ได้มีสิ่งของราคาแพงอะไรประดับติดตัว แต่ก็ดูดีใบแบบของชายหนุ่มเอง“คือ...” เขาได้แต่ก้มหน้าถ่อมตนไม่กล้าสบตาของปราโมทย์ เพราะสภาพตัวเองที่ไม่มีอะไรคู่ควรกับลูกสาวท่านเลย“เ
อยากหนีไปจากตรงนี้คุณพัฒน์ที่กำลังทำงานสวนอยู่หลังบ้าน ถูกตามตัวให้มาพบกับเจ้าของบ้าน จึงต้องยอมละทิ้งทุกอย่างไว้ แล้วเดินเข้ามาในบ้านใหญ่ทันทีคุณพัฒน์ได้รับอนุญาตจากปราโมทย์ให้พักอาศัยอยู่ที่บ้านหลังนี้ได้ โดยพักอยู่ที่บ้านพักของคนงานแทน มีหน้าที่ดูแลรับใช้มุกดารินทร์ในฐานะพ่อของลูกเท่านั้น และจนกว่าที่มุกดารินทร์จะคลอดแต่คุณพัฒน์จะไม่มีสิทธิ์ขึ้นไปชั้นบนของบ้านหลังใหญ่ และให้อยู่กับมุกดารินทร์ได้ เพราะปราโมทย์ต้องการดูพฤติกรรม ว่ามีความอดทนมากแค่ไหนและปราโมทย์ก็ให้เขาออกจากงานทันที ตั้งแต่ที่เกิดเรื่องขึ้นในวันนั้น ให้มาอยู่ที่บ้านของเขาแทน ส่วนพงษ์พิพัฒน์และธนภัทรจึงยอมให้คุณพัฒน์ทำตามที่ปราโมทย์ขอ เพราะมีทางเดียวที่คุณพัฒน์จะได้อยู่ใกล้ลูกเมีย และเป็นการพิสูจน์ตัวเองด้วยคุณพัฒน์เดินเข้ามาภายในห้องโถงของบ้าน เห็นปราโมทย์นั่งกอดอกอยู่บนโซฟามองมาที่ตน ก็ไม่ได้เอ่ยถามอะไรกลับไป ทำเพียงแค่ยกมือขึ้นไหว้เท่านั้น“ตามป้าไลขึ้นไปข้างบน แล้วทำยังไงก็ได้ให้มุกดายอมกินข้าว เป็นผัวเมียภาษาอะไร เมียไม่กินข้าว ก็ไม่ยอมดูแล...” ใบหน้านิ่งขรึมเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่ง เมื่อคุณพัฒน์มาถึ
ไม่ได้เกิดมาเพียบพร้อมสามวันต่อมาบ้านภัทรไชยาธนภัทรกับบิดาของตนรีบมาหามุกดารินทร์ที่บ้าน หลังจากที่ทำธุระที่ต่างจังหวัดเสร็จก็มุ่งหน้ามาบ้านของหญิงสาวเลยทันทีที่ทราบข่าวว่าเกิดอะไรขึ้น“คุณอาอย่าบังคับน้องให้ไปเอาเด็กออกเลยนะครับ เด็กไม่ได้รู้อะไรด้วยเลย น้องจะเสียใจมากแค่ไหน ที่ทำลายเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเอง แล้วคนที่จะเป็นทุกข์ไม่ใช่แค่มุกดา แต่อาโมทย์เองก็จะรู้สึกผิดไปด้วย...” ธนภัทรร้องขอขึ้นมาทันที ที่รู้ว่าปราโมทย์กำลังจะทำอะไรกับลูกสาว“...” ทุกคนเงียบลงไม่มีใครพูดอะไรออกมาสายตาหันมองไปยังหญิงสาวและชายหนุ่ม ที่หน้าตาบูดซ้ำ เพราะการถูกซ้อมปางตายจากลูกน้องของปราโมทย์ แล้วหันกลับมาเอ่ยกับเจ้าของบ้านต่อ...“ถือว่าเห็นแก่เด็กที่กำลังจะเกิดมา ซึ่งก็คือหลานแท้ ๆ ของอาเอง พ่อเขาก็มีทำไมอาต้องอยากให้ลูกสาวตัวเองทำร้ายอีกหนึ่งชีวิตเพื่ออนาคตด้วยครับ คลอดแล้วค่อยกลับไปเรียนก็ได้”“...” ปราโมทย์ไม่เอ่ยตอบอะไร เมื่อธนภัทรเอ่ยออกมาเช่นนี้“เกื้อกูลก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร น้องออกจะเป็นคนดีคนขยันทำมาหากินคนหนึ่ง เพียงแต่เกิดมากับครอบครัวที่ไม่เพียบพร้อมเหมือนกับพวกเรา แต่ไม่ใช่ว่าวันข้างหน้
ไม่เจียมตัวเอาเสียเลยก๊อก ก๊อก ก๊อก“มีอะไร” เสียงเข้มถามออกไป เมื่อวิศรุตผุนผันเข้ามาหาเขาที่ห้องแบบไม่ได้รอให้คนด้านในอนุญาตเสียก่อนทุกสายตาที่อยู่ในห้องนี้ด้วย ต่างก็หันจ้องมองมาที่วิศรุตเป็นตาเดียวอย่างรอฟังคำตอบ ชายหนุ่มหากได้สนใจไม่ กลับเดินเข้าไปหาปราโมทย์ทันที เพราะมีเรื่องด่วนกว่า“คุณหนูมุกเป็นลมครับ” เสียงกระซิบเอ่ยบอกเบา ๆ เพื่อให้ได้ยินกันแค่สองคน“อะไรน่ะ!!! เป็นลม? แล้วตอนนี้อยู่ที่ไหน” แต่ปราโมทย์ เมื่อได้ยินว่าลูกสาวสุดที่รักเป็นอะไร กลับเก็บอาการไม่อยู่ ตวาดถามเสียงดังขึ้นมาทันที โดยไม่สนใจว่าในที่นี่จะมีใครได้ยินบ้าง เพราะเป็นห่วงลูกสาวจนไม่สามารถควบคุมอะไรได้“อยู่ข้างล่างครับ” วิศรุตเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่งปราโมทย์ไม่ได้สนใจทุกสายตาที่มองมาที่ตน รีบสาวเท้าเดินออกไปจากตรงนี้ ลงมายังจุดที่วิศรุตแจ้งว่าลูกสาวอยู่ที่ไหนและก็เจอกับคุณพัฒน์กำลังอุ้มลูกสาวตนเดินไปทางห้องพยาบาลพอดี จึงได้แต่เดินตามไปแต่ไม่ได้เอ่ยถามอะไรชายหนุ่มออกไปคุณพัฒน์วางมุกดารินทร์ลงที่เตียงในห้องพยาบาลอย่างเบามือ และก็ออกมารออยู่ห่าง ๆ ให้หมอที่ถูกเรียกตัวมาจากโรงพยาบาลตรวจดูอาการหมอที
เอาอะไรไปสู้เขาวิศรุตได้แต่ชำเลืองมองคุณพัฒน์ที่เดินสวนกันอย่างรู้สึกเห็นใจอยู่ไม่น้อย แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ เพราะเขาเองก็ต้องทำตามหน้าที่เหมือนกัน“ให้คนของเราไปจัดการเลยไหมครับ” ถามผู้มีพระคุณที่นั่งหน้าขรึมขึ้นมาทันที ที่เขาเดินเข้ามาภายในห้อง“ไม่ต้อง รอดูไปก่อน ถ้ามันขัดคำสั่งเมื่อไหร่ ค่อยจัดการทีเดียว”ปราโมทย์รีบปราม แล้วนั่งทำงานต่ออยู่ภายในห้องอย่างเงียบ ๆ ไม่ได้สนใจอะไรต่อ แต่สมองก็สั่งการให้เขาอดคิดเรื่องของลูกสาวกับชายหนุ่มที่เขาเรียกมาตักเตือนไม่ได้อยู่ดี“มีหยัง...เว้าบอกกูได้เด้อ เผื่อมึงสิสบายใจขึ้น” (มีอะไร...เล่าให้กูฟังได้น่ะ เผื่อมึงจะสบายใจขึ้น) ชนาวุฒิถามเพื่อนขึ้นมาทันที ที่เห็นคุณพัฒน์เดินกลับเข้ามาทำงานด้วยใบหน้าที่ไม่ค่อยสู้ดีนัก“มันจบลงแล้วล่ะ เฮ็ดงานต่อเถาะอย่าสนใจเรื่องของกูเลย” (มันจบลงแล้วแหล่ะ ทำงานต่อเถอะอย่าสนใจเรื่องของกูเลย) สั่งเรียบเอ่ยบอกเพื่อน แต่ใบหน้าก็ยังแสดงความทุกข์ออกมาอยู่ดี“มักลูกสาวเขาเฮากะสู้ตัวเกื้อ” (รักลูกสาวเขาเราก้ต้องสู้สิเกื้อ)“กูบ่มีอีหยังไปสู้เขาได้ดอก มึงกะเห็น” (กูไม่มีอะไรไปสู้เขาหรอก มึงก็เห็น) พูดตัดพ้อตัวเองขึ้นมาทันท