“พี่ไปรับน้องที่บริษัทอาโมทย์ไปส่งไว้ที่บ้านก่อนนะ เดี๋ยวกลับมาแจมกับพวกเราต่อ” ธนภัทรเอ่ยขึ้นมาอย่างสนิทสนมกับน้อง ๆ ของเลขาสาว เมื่อวางสายจากคนปลายสายแล้ว
“...” ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมา
“พอดีว่าคนขับรถที่บ้านเอารถไปเข้าศูนย์ แล้วอาโมทย์ก็ติดงานด่วนด้วย ไม่มีคนไปส่งน้องให้” ธนภัทรจึงหันมาบอกกับชญานุชที่นั่งเงียบอยู่ข้าง ๆ
“นุชไม่ได้ถามคะ” เธอถลึงตาใส่เขา เพราะเธอก็ไม่ได้อยากรู้เกี่ยวกับกิจวัตรประจำของเขาขนาดนั้น เขาจะทำอะไร จะไปรับไปส่งใคร มันก็ไม่เกี่ยวกับเธออยู่แล้ว เขาไม่จำเป็นต้องรายงานเสียด้วยซ้ำ
“ผมอยากบอก”
ธนภัทรรีบออกไปทันที ดีที่ตอนนี้เขายังไม่ได้แตะเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์เลย เพราะพึ่งหอบพาการจัดสถานที่เสร็จ จึงยังไม่มีอะไรเข้าไปท้อง
“พี่ภัทรมาจากไหนคะเนี้ย ถึงมาได้เร็วขนาดนี้” หญิงสาวเอ่ยขึ้นแซวทันที เพราะพี่ชายที่แสนดีของเธอใช้เวลาไม่ถึงยี่สิบนาทีเสียด้วยซ้ำมาถึงบริษัทแล้ว
“พี่สังสรรค์อยู่ใกล้ ๆ นี่เอง” เขาตอบเธอออกไปตามตรง
“ถ้าอย่างนั้น หนูไปด้วยสิคะ” หญิงสาวตื่นตาขึ้นมาทันที เมื่อได้ยินในสิ่งที่พี่ชายแสนดีของเธอบอก
“พี่จะไปดื่มนะ และจะค้างอยู่ที่นั่นด้วย คืนนี้คงไม่ได้กลับบ้าน” ธนภัทรตอบเธอออกไป
“ไม่เป็นไรคะ พ่อติดงานทั้งคืน หนูไม่กลับบ้านพ่อไม่กล้าว่าอะไรหรอก และอีกอย่างหนูไปกับพี่ภัทร ใครจะกล้าว่า มีหน่วยกล้าตายคอยคุ้มกันให้อยู่แล้ว”
“แก่แดดใหญ่แล้วนะเรา” ธนภัทรยกมือหนายกขึ้นมายีผมของเธออย่างเอ็นดู แล้วเอ่ยแซวเธอออกไปอย่างหยอกล้อ
“น้องพี่ภัทร ก็แสบแบบนี้แหละคะ ว่าแต่พี่จะไปที่ไหน”
“บ้านคุณนุช” เขาตอบเธอออกไป เพราะเธอก็น่ารู้ว่าเป็นบ้านใคร เพราะเขาชอบพูดถึงหญิงสาวที่เอ้ยถึงให้น้องสาวฟังบ่อย ๆ
“ผู้หญิง?”
ธนภัทรจึงพาหญิงสาว หรือน้องสาวต่างสายเลือดที่นับถือกับบิดาของเธอกันมายาวนาน เพราะต้องพึ่งพาอาศัยกันในด้านธุรกิจ
“เกื้อ ว่าแต่สาวที่วุฒิแซวฮอดนั่นคือไผเหรอ” (เกื้อ ว่าแต่หญิงสาวที่วุฒิแซวนั่นคือใครเหรอ) ชญานุชถามคุณพัฒน์ขึ้นมา เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ตอนเย็นที่น้องชายแซว
“บ่ฮู้คือกันครับเอื้อย เขาแค่ให้เกื้อไปส่งที่บริษัทที่เกื้อกับวุฒิไปสมัครงานมา” (ไม่รู้เหมือนกันครับพี่ เขาแค่ให้เกื้อไปส่งที่บริษัทที่เกื้อกับวุฒิไปสมัครงานมา) คุณพัฒน์ตอบพี่สาวเพื่อนออกไปตามตรง เพราะเขาเองก็ไม่รู้อะไรไปมากกว่านี้เหมือนกัน
“เขาไปเฮ็ดหยัง? สมัครงานบ้อ” (เขาไปทำไม? สมัครงานเหรอ) ชนาวุฒิพูดแทรกขึ้นมาทันควัน อย่างอยากรู้
“กูบ่ฮู้ดอก กูบ่ได้ถาม มีหน้าที่แค่ไปส่งทอนั่น” (กูไม่รู้หรอก กูไม่ได้ถาม มีหน้าที่แค่ไปส่งเท่านั่น)
“ขันเป็นกูน่ะ กูสิถามฮอดใส่เสื้อในเบอร์หยังเลย” (ถ้าเป็นกูน่ะ กูจะถามแม้กระทั่งใส่เสื้อชั้นในไซส์อะไรเลย) ชนาวุฒิเอ่ยขึ้นมาด้วยวาจาที่หยาบโล้น
“บักวุฒิ โตกะเป็นแต่แบบนี้ล่ะ มักเห็นผู้หญิงเป็นแค่ของเล่น” (ไอ้วุฒิ แกก็เป็นสะแบบนี้แหละ ชอบเห็นผู้หญิงเป็นแค่ของเล่น) จนชญานุชรีบดุน้องชายออกมาทันที
“พู้น ผัวเอื้อยกลับมาแล้ว...” (นั่น สามีพี่กลับมาแล้ว...) ชนาวุฒิจึงรีบเปลี่ยนเรื่อง เมื่อโดนพี่สาวดุเอา และพอดีกับจังหวะที่รถของธนภัทรกลับมาพอดี
“เว้าอีหยังออกมา เขาบ่ได้เป็นหยังกับเอื้อยเลย เขาแค่บอกเอื้อยว่าชอบ...” (พูดอะไรออกมา เขาไม่ได้เป็นอะไรกับพี่เลย เขาแค่บอกพี่ว่าชอบ...) เธอรีบเอ็ดน้องชายที่พูดอะไรออกมาโต้ง ๆ แบบนี้
“แล้วเอื้อยตอบเขาไปว่าจังใด” (แล้วพี่ตอบเขาออกไปว่ายังไง)
“บ่ได้ตอบหยัง” (ไม่ได้ตอบอะไร)
เพราะชญานุชก็ไม่ได้อะไรเจ้านายหนุ่มออกไปจริง ๆ เมื่อถูกเขาสารภาพว่าเขาชอบเธอ และเธอก็ไม่รู้ว่าควรจะตอบเขาออกไปเช่นไรด้วย
“ปาร์ตี้คืนนี้ พี่ขอฝากน้องสาวอีกคนมาร่วมแจมด้วยนะ” เสียงทุ้มนุ่มของธนภัทรเอ่ยขอชายหนุ่มทั้งสอง เมื่อเดินลงมาจากรถ พร้อมกับหญิงสาวอีกคนที่ตามเขามาด้วย
“บักเกื้อ!!!”
“คุณมุก!”
ทำให้สองหนุ่มนั้นเบิกตาโตขึ้นมาทันที เมื่อเห็นว่าหญิงสาวที่ธรภัทรมาด้วยนั้นคือใคร โดรเฉพาะคุณพัฒน์ที่ทำตัวไม่ถูก เพราะไม่คิดว่าจะได้เจอกันอีก
“พะ พี่เกื้อ...”
“รู้จักกันเหรอ” ชญานุชเอ่ยถามขึ้นมาทันที พร้อมกับมองไปยังสองหนุ่มหนึ่งสาวสลับกันไปมาอย่างต้องการคำอธิบาย
“กะคนนี้แหละเอื้อย ที่บักเกื้อไปส่งมายามเว้น” (ก็คนนี้แหละพี่ ที่ไอ้เกื้อมันไปส่งมาเมื่อตอนกลางวัน) ชนาวุฒิเอ่ยตอบพี่สาวออกไปด้วยน้ำเสียงที่เบาหวิวให้ได้ยินกันแค่สองคน เพราะสองพี่น้องนั้นน้องอยู่ใกล้ ๆ กัน
“อีหยังสิบังเอิญขนาดนั่น” (อะไรจะบังเอิญขนาดนั้น) ชญานุชแทบไม่อยากจะเชื่อ เพราะไม่คิดว่าจะมาเจอกันแบบนี้
“สวัสดีค่ะ มุกดานะคะ เรียกมุกก็พอคะ” หญิงสาวรีบเอ่ยทักทายทุกคนที่อยู่ตรงนี้ เพราะดู ๆ แล้ว เอก้น่าจะอายุน้อยกว่าใคร
“สวัสดีจ้ะ พี่นุชน่ะค่ะ” ชญานุชยิ้มน้อมรับอย่างเป็นมิตร
“หนูเคยได้ยินอยู่คะ พี่ภัทรชอบพูดถึงพี่ให้หนูฟังอยู่บ่อย ๆ” มุกดารินทร์พูดขึ้นมาทันที เมื่อเจอหน้าหญิงสาวที่พี่ชายแสนดีของเอชอบพูดถึง
“ตัวแสบ” ธนภัทรรีบปราบไว้ทันที เพราะกลัวว่ามุกดารินทร์จะพุดอะไรออกไปมากกว่านี้
“มานั่งคะน้องมุก นั่งตรงนั้นเลยก็ได้ ที่ยังว่างพอดี” ชญานุชจึงบอกให้เอไปนั่งลง โดยจัดแจงเป็นที่ข้าง ๆ ที่คุณพัฒน์นั่งอยุ่ เพราะเป็นที่ว่างพอดี
หญิงสาวเดินไปนั่งที่เก้าอี้ว่างอย่างเก้ ๆ กัง ๆ เพราะรู้สึกประหม่าอยู่ไม่น้อย ที่เจอหน้าชายหนุ่มอีกครั้ง แถมครั้งนี้ ยังได้มองหน้าเขาอย่างเต็มตา และได้นั่งใกล้ ๆ เขาอีกด้วย
“เดี๋ยวผมเข้าไปเอาเหล้ามาเติมให้นะครับ” คุณพัฒน์รีบหาข้ออ้าง เมื่อเริ่มทำตัวไม่ถูก ที่มีหญิงสาวมานั่งใกล้ แล้วจึงลุกออกจากตรงนี้ เดินเข้าไปในบ้านทันที ด้วยอาการที่ร้อนรุ่มภายในใจ
“เอ่อ...พี่ภัทรหนูอยากเข้าห้องน้ำ” เมื่อชายหนุ่มเดินออกไป มุกดารินทร์จึงหันมาพูดกับธนภัทร ด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา เพราะไม่กล้าขอเจ้าบ้านออกไปตามตรง
“เดี๋ยวพี่พาไปครับ...” ชนาวุฒิที่ได้ยินในสิ่งที่หญิงสาวพูด ก็รีบขั้นอาสาขึ้นมาทันที
“หยุดเลยน่ะบักวุฒิ” ชญานุชปรามน้องชายเอาไว้ เพราะรู้ว่าน้องชายกำลังคิดอะไรอยู่ แล้วหันมาพูดกับหญิงสาวที่มาใหม่ “เดินเข้าไปในบ้านเลยจ้ะ อยู่เยื้องครัวออกไปนิดหน่อย”
“ขอบคุณคะ”
มุกดารินทร์เดินเข้าไปภายในตามที่เจ้าของบ้านบอก ด้วยท่าทีที่รู้สึกประหม่า ใจจริงก็อยากจะเจอกับชายหนุ่มที่เดินเข้ามาก่อนด้วย จึงหาข้ออ้างเข้าห้องน้ำแทน
“คะ คุณมุก...” น้ำเสียงตะกุกตะกักของคุณพัฒน์ดังขึ้น เมื่อเดินออกมาจากครัว แล้วเจอกันกับหญิงสาวที่เดินเข้ามาพอดี
“คือ...มุกมาเข้าห้องน้ำคะ”
“เดี๋ยวผมพาไปครับ...”
เมื่อเอ่ยเช่นนั้นออกไปแล้ว คุณพัฒน์จึงเป็นฝ่ายเดินนำเธอไปทางห้องน้ำทันที โดยที่มาดารินทร์ก็ยอมเดินตามเขาไป
“พี่เกื้อ อยู่ที่นี่เหรอคะ” เธอจึงถามเขาขึ้นมา เมื่อเดินมาถึงหน้าห้องน้ำ
“บ้านผมอยู่ต่างจังหวัดครับ บ้านหลังนี้เป็นบ้านพี่นุช พี่สาวเพื่อนผมเอง พวกเรามาหางานทำ เลยมาขออาศัยอยู่กับพี่เขาชั่วคราว” เขาบอกเธอออกไปตามตรง โดยไม่คิดที่จะปิดบังเลย
“แล้วได้งานที่ไหนหรือคะ” เธอเลิกคิ้วถามขึ้น
“พึ่งไปสมัครมา ยังไม่รู้เลยว่าจะได้หรือเปล่า”
“ให้มุกช่วยหาให้ไหมคะ”
“ไม่รบกวนคุณมุกหรอกครับ”
“พี่เกื้อเรียกชื่อมุกเฉย ๆ ก็พอแล้วคะ ไม่ต้องเรียกคุณหรอก และพี่เกื้อก็ไม่ต้องเกรงใจมุกด้วย มุกอยากทำอะไรเพื่อเป็นการตอบแทนบ้าง ที่วันนี้พี่เกื้ออุตส่าห์ไปส่งมุก”
“คุณมุกครับ” เขาเรียกเธอขึ้นมาอีกครั้ง
“ค่ะ!”
“ผ้าเช็ดหน้าของคะ เอ่อ...มุกครับ” คุณพัฒน์ล้วงเอาผ้าเช็ดหน้าของเธอเมื่อตอนกลางวัน ที่เขาพกติดตัวไว้ยื่นมาคืนเธอทันที
“พี่เกื้อเก็บเอาไว้ใช้เถอะคะ ไม่ต้องคืนมุกหรอก มุกให้พี่ไปแล้ว” เธอรีบปฏิเสธเขาในทันที และดันมือเขากลับไปคืน
“ถ้าอย่างนั้น มุกเข้าห้องน้ำไปนะครับ ผมจะออกไปข้างนอกก่อน” เขาเก็บผ้าเช็ดหน้าของเธอเอาไว้ในกระเปากางเกงคืน ก่อนที่จะเอ่ยบอกกับเธอ และเดินออกไปทันที เมื่อรู้ตัวว่าเขาเข้ามาในบ้านนานมากแล้ว
จำใจยอมมื้อค่ำสุดพิเศษจบลง มุกดารินทร์ก็ยังคงเอาแต่นั่งชะเง้ออยู่ที่ห้องโถงไม่ยอมขึ้นห้องไปพักผ่อน จนปราโมทย์ที่นั่งอยู่ด้วยถอนหายใจยาว ก่อนที่จะเอ่ยสั่งเด็กสาวรับใช้ที่เป็นหลานสาวของพิไล“ไปตามเกื้อกูลมาที่นี่หน่อย” ปราโมทย์ที่ทนเห็นลูกสาวเป็นแบบนี้ไม่ได้ จึงสั่งให้แม่บ้านไปตามคุณพัฒน์เข้ามาที่บ้านหลังใหญ่ทีนที“ค่ะ คุณท่าน”สักพักคุณพัฒน์ก็เดินเข้ามาถึง เจอกับปราโมทย์นั่งวางมาดขรึมอยู่ที่โซฟาจ้องมองมาที่เขาอย่างเอาเรื่อง แต่เขาทำใจฮึดสู้ยกมือขึ้นไหว้อย่างยอบน้อม โดยที่จะไม่เอ่ยถามอะไรว่าท่านให้คนไปตามทำไมกัน“พามุกดาขึ้นไปนอน นี้ก็ดึกมากแล้วไม่รู้จักหน้าที่เอาเสียเลย” พูดเพียงแค่นั้น ปราโมทย์ก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เดินเดินผ่านหน้าชายหนุ่มขึ้นไปชั้นบนของบ้านทันที เพราะเขาเองก็ง่วงเต็มทนจนตาแทบจะปิดอยู่รอมร่อ“ทำไมถึงไม่ยอมขึ้นนอนล่ะครับ หืมมม” คุณพัฒน์เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนเมื่อเดินเข้าไปหาหญิงสาว และใช้มือโอบรอบเอวพาเธอเดินขึ้นไปด้านบน“มุกไม่อยากนอนคนเดียวค่ะ มันหงุดหงิดทำให้มุกนอนไม่หลับ” เอ่ยบอกเขาพร้อมกับทำหน้ายู่ราวกับเด็กใส่เขาทันทีดูสิขนาดเธอกำลังจะกลายเป็นแม่คนแล้ว แต
มื้อค่ำสุดพิเศษตกเย็นคุณพัฒน์ที่ผล็อยหลับไปตามหญิงสาวนั้น ได้ลืมตาตื่นขึ้นมาในช่วงเวลาเย็น แล้วช้อนเอาร่างเล็กของว่าที่คุณแม่ที่ยังคงหลับสนิทอยู่ขึ้นอย่างทะนุถนอมไปวางที่เตียงกว้างให้เธอได้นอนสบาย ก่อนที่จะออกจากห้องของเธอไป เพื่อที่จะไปซื้อของมาทำอาหารมื้อเย็นให้ตามที่่รับปากเธอเอาไว้“จะไปไหน?” เสียงเข้มของปราโมทย์ถามขึ้นมา เมื่อเขากำลังเดินออกจากบ้านไปที่โรงจอดรถ ที่มีมอเตอร์ไซค์เขาจอดอยู่ด้วยปราโมทย์รู้ว่าชายหนุ่มจะออกไปไหน เพราะได้ยินสิ่งที่ชายหนุ่มพูดกับลูกสาวทุกประโยคเมื่อตอนกลางวัน แต่แค่อยากถามกวนเฉย ๆ“จะออกไปตลาดครับ” คุณพัฒน์ตอบออกไปตามตรง เพราะอาศัยอยู่ที่บ้านท่าน ก็ไม่มีอะไรที่ต้องปิดบังอยู่แล้ว ดีแค่ไหนแล้วที่ท่านยอมให้เขามาอยู่ใกล้กับลูกสาวท่าน“ไปสภาพนี้?” ใบหน้านิ่งขรึมมองสำรวจชายหนุ่มตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า จึงได้แต่เลิกคิ้วถามคุณพัฒน์นั้นสวมเพียงแค่เสื้อยืดกับกางเกงยีนส์ขายาวธรรมดาเท่านั้น ไม่ได้มีสิ่งของราคาแพงอะไรประดับติดตัว แต่ก็ดูดีใบแบบของชายหนุ่มเอง“คือ...” เขาได้แต่ก้มหน้าถ่อมตนไม่กล้าสบตาของปราโมทย์ เพราะสภาพตัวเองที่ไม่มีอะไรคู่ควรกับลูกสาวท่านเลย“เ
อยากหนีไปจากตรงนี้คุณพัฒน์ที่กำลังทำงานสวนอยู่หลังบ้าน ถูกตามตัวให้มาพบกับเจ้าของบ้าน จึงต้องยอมละทิ้งทุกอย่างไว้ แล้วเดินเข้ามาในบ้านใหญ่ทันทีคุณพัฒน์ได้รับอนุญาตจากปราโมทย์ให้พักอาศัยอยู่ที่บ้านหลังนี้ได้ โดยพักอยู่ที่บ้านพักของคนงานแทน มีหน้าที่ดูแลรับใช้มุกดารินทร์ในฐานะพ่อของลูกเท่านั้น และจนกว่าที่มุกดารินทร์จะคลอดแต่คุณพัฒน์จะไม่มีสิทธิ์ขึ้นไปชั้นบนของบ้านหลังใหญ่ และให้อยู่กับมุกดารินทร์ได้ เพราะปราโมทย์ต้องการดูพฤติกรรม ว่ามีความอดทนมากแค่ไหนและปราโมทย์ก็ให้เขาออกจากงานทันที ตั้งแต่ที่เกิดเรื่องขึ้นในวันนั้น ให้มาอยู่ที่บ้านของเขาแทน ส่วนพงษ์พิพัฒน์และธนภัทรจึงยอมให้คุณพัฒน์ทำตามที่ปราโมทย์ขอ เพราะมีทางเดียวที่คุณพัฒน์จะได้อยู่ใกล้ลูกเมีย และเป็นการพิสูจน์ตัวเองด้วยคุณพัฒน์เดินเข้ามาภายในห้องโถงของบ้าน เห็นปราโมทย์นั่งกอดอกอยู่บนโซฟามองมาที่ตน ก็ไม่ได้เอ่ยถามอะไรกลับไป ทำเพียงแค่ยกมือขึ้นไหว้เท่านั้น“ตามป้าไลขึ้นไปข้างบน แล้วทำยังไงก็ได้ให้มุกดายอมกินข้าว เป็นผัวเมียภาษาอะไร เมียไม่กินข้าว ก็ไม่ยอมดูแล...” ใบหน้านิ่งขรึมเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่ง เมื่อคุณพัฒน์มาถึ
ไม่ได้เกิดมาเพียบพร้อมสามวันต่อมาบ้านภัทรไชยาธนภัทรกับบิดาของตนรีบมาหามุกดารินทร์ที่บ้าน หลังจากที่ทำธุระที่ต่างจังหวัดเสร็จก็มุ่งหน้ามาบ้านของหญิงสาวเลยทันทีที่ทราบข่าวว่าเกิดอะไรขึ้น“คุณอาอย่าบังคับน้องให้ไปเอาเด็กออกเลยนะครับ เด็กไม่ได้รู้อะไรด้วยเลย น้องจะเสียใจมากแค่ไหน ที่ทำลายเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเอง แล้วคนที่จะเป็นทุกข์ไม่ใช่แค่มุกดา แต่อาโมทย์เองก็จะรู้สึกผิดไปด้วย...” ธนภัทรร้องขอขึ้นมาทันที ที่รู้ว่าปราโมทย์กำลังจะทำอะไรกับลูกสาว“...” ทุกคนเงียบลงไม่มีใครพูดอะไรออกมาสายตาหันมองไปยังหญิงสาวและชายหนุ่ม ที่หน้าตาบูดซ้ำ เพราะการถูกซ้อมปางตายจากลูกน้องของปราโมทย์ แล้วหันกลับมาเอ่ยกับเจ้าของบ้านต่อ...“ถือว่าเห็นแก่เด็กที่กำลังจะเกิดมา ซึ่งก็คือหลานแท้ ๆ ของอาเอง พ่อเขาก็มีทำไมอาต้องอยากให้ลูกสาวตัวเองทำร้ายอีกหนึ่งชีวิตเพื่ออนาคตด้วยครับ คลอดแล้วค่อยกลับไปเรียนก็ได้”“...” ปราโมทย์ไม่เอ่ยตอบอะไร เมื่อธนภัทรเอ่ยออกมาเช่นนี้“เกื้อกูลก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร น้องออกจะเป็นคนดีคนขยันทำมาหากินคนหนึ่ง เพียงแต่เกิดมากับครอบครัวที่ไม่เพียบพร้อมเหมือนกับพวกเรา แต่ไม่ใช่ว่าวันข้างหน้
ไม่เจียมตัวเอาเสียเลยก๊อก ก๊อก ก๊อก“มีอะไร” เสียงเข้มถามออกไป เมื่อวิศรุตผุนผันเข้ามาหาเขาที่ห้องแบบไม่ได้รอให้คนด้านในอนุญาตเสียก่อนทุกสายตาที่อยู่ในห้องนี้ด้วย ต่างก็หันจ้องมองมาที่วิศรุตเป็นตาเดียวอย่างรอฟังคำตอบ ชายหนุ่มหากได้สนใจไม่ กลับเดินเข้าไปหาปราโมทย์ทันที เพราะมีเรื่องด่วนกว่า“คุณหนูมุกเป็นลมครับ” เสียงกระซิบเอ่ยบอกเบา ๆ เพื่อให้ได้ยินกันแค่สองคน“อะไรน่ะ!!! เป็นลม? แล้วตอนนี้อยู่ที่ไหน” แต่ปราโมทย์ เมื่อได้ยินว่าลูกสาวสุดที่รักเป็นอะไร กลับเก็บอาการไม่อยู่ ตวาดถามเสียงดังขึ้นมาทันที โดยไม่สนใจว่าในที่นี่จะมีใครได้ยินบ้าง เพราะเป็นห่วงลูกสาวจนไม่สามารถควบคุมอะไรได้“อยู่ข้างล่างครับ” วิศรุตเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่งปราโมทย์ไม่ได้สนใจทุกสายตาที่มองมาที่ตน รีบสาวเท้าเดินออกไปจากตรงนี้ ลงมายังจุดที่วิศรุตแจ้งว่าลูกสาวอยู่ที่ไหนและก็เจอกับคุณพัฒน์กำลังอุ้มลูกสาวตนเดินไปทางห้องพยาบาลพอดี จึงได้แต่เดินตามไปแต่ไม่ได้เอ่ยถามอะไรชายหนุ่มออกไปคุณพัฒน์วางมุกดารินทร์ลงที่เตียงในห้องพยาบาลอย่างเบามือ และก็ออกมารออยู่ห่าง ๆ ให้หมอที่ถูกเรียกตัวมาจากโรงพยาบาลตรวจดูอาการหมอที
เอาอะไรไปสู้เขาวิศรุตได้แต่ชำเลืองมองคุณพัฒน์ที่เดินสวนกันอย่างรู้สึกเห็นใจอยู่ไม่น้อย แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ เพราะเขาเองก็ต้องทำตามหน้าที่เหมือนกัน“ให้คนของเราไปจัดการเลยไหมครับ” ถามผู้มีพระคุณที่นั่งหน้าขรึมขึ้นมาทันที ที่เขาเดินเข้ามาภายในห้อง“ไม่ต้อง รอดูไปก่อน ถ้ามันขัดคำสั่งเมื่อไหร่ ค่อยจัดการทีเดียว”ปราโมทย์รีบปราม แล้วนั่งทำงานต่ออยู่ภายในห้องอย่างเงียบ ๆ ไม่ได้สนใจอะไรต่อ แต่สมองก็สั่งการให้เขาอดคิดเรื่องของลูกสาวกับชายหนุ่มที่เขาเรียกมาตักเตือนไม่ได้อยู่ดี“มีหยัง...เว้าบอกกูได้เด้อ เผื่อมึงสิสบายใจขึ้น” (มีอะไร...เล่าให้กูฟังได้น่ะ เผื่อมึงจะสบายใจขึ้น) ชนาวุฒิถามเพื่อนขึ้นมาทันที ที่เห็นคุณพัฒน์เดินกลับเข้ามาทำงานด้วยใบหน้าที่ไม่ค่อยสู้ดีนัก“มันจบลงแล้วล่ะ เฮ็ดงานต่อเถาะอย่าสนใจเรื่องของกูเลย” (มันจบลงแล้วแหล่ะ ทำงานต่อเถอะอย่าสนใจเรื่องของกูเลย) สั่งเรียบเอ่ยบอกเพื่อน แต่ใบหน้าก็ยังแสดงความทุกข์ออกมาอยู่ดี“มักลูกสาวเขาเฮากะสู้ตัวเกื้อ” (รักลูกสาวเขาเราก้ต้องสู้สิเกื้อ)“กูบ่มีอีหยังไปสู้เขาได้ดอก มึงกะเห็น” (กูไม่มีอะไรไปสู้เขาหรอก มึงก็เห็น) พูดตัดพ้อตัวเองขึ้นมาทันท