LOGINบนเชิงเขาที่กำลังมีหญิงสาวสองคนยืนจ้องหน้ากันด้วยสายตาดุเดือดปะทะกันกลางอากาศ
หนึ่งคือสตรีรูปโฉมงดงามมั่นใจในตนเอง ท่าทางสูงส่งไม่เคยลงให้ใคร กับอีกหนึ่งเป็นเพียงสตรีรูปร่างธรรมดาแต่ท่าทางอ่อนหวานแลดูอ่อนโยนจริงใจ
ทั้งสองยืนมองกันด้วยประกายตาคล้ายมีขุมพายุโหมกระหน่ำที่บ่งบอกได้ว่าเป็นศัตรูกันมาเนิ่นนาน
เหตุที่เป็นเช่นนี้ สืบเนื่องมาจากทั้งสองเคยเป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่เด็กในพระตำหนักของไทเฮา และยิ่งสนิทสนมเมื่ออยู่นอกเขตพระราชฐาน ยามดำเนินมายังวังข้างนอกเพื่อไหว้พระ
และเชิงเขาแห่งนี้ พวกนางก็เคยมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน
เพ่ยจีเป็นบุตรสาวของนางกำนัลคนสนิทของไทเฮาที่พระนางทรงรักดั่งน้องสาว พระนางจึงมอบพระเมตตาให้มารดาของเพ่ยจีแต่งงานกับชายคนรักได้อย่างใจกว้างเมื่อถึงวัยเพียงยี่สิบปี
ซึ่งเดิมทีตามกฎแล้วนางกำนัลจักได้ออกไปแต่งงานได้นั้น ต้องอายุยี่สิบห้าปี
แต่กระนั้นชีวิตคู่กลับไม่ราบรื่น มารดาของเพ่ยจีถูกชายคนรักนอกใจทิ้งกันไปหลงใหลเพียงภรรยาใหม่ หลายวันที่หายหน้าเขากลับมาพร้อมหญิงแพศยา ทั้งๆ ที่สามารถรับเป็นอนุหรือภรรยารอง หากแต่นังนั่นกลับไม่พอใจ ต่อมาสามียังรวมหัวกับภรรยาใหม่คิดไม่ซื่อต่อสองแม่ลูก หมายยกฐานะขึ้นแทนที่กันในขณะที่เพ่ยจียังอยู่ในครรภ์มารดา
เมื่อความล่วงรู้ถึงไทเฮา พระนางจึงรับตัวมารดาของเพ่ยจีเข้าวังมาเป็นนางกำนัลคนสนิทดังเดิม เพ่ยจีจึงได้เข้ามาอยู่ในความดูแลของไทเฮาจนกระทั่งถือกำเนิด
นางเกิดก่อนลี่เหยาถิงเพียงไม่นาน เมื่อลี่เหยาถิงได้เข้ามาอยู่ในตำหนักของไทเฮาด้วยอีกคน ทั้งสองจึงเป็นเพื่อนกันนับแต่นั้นเป็นต้นมา
พวกนางเติบโตด้วยกันก็จริง แต่ทว่าลี่เหยาถิงมักจะได้ทุกสิ่งยิ่งกว่าเพ่ยจี ด้วยน้ำหนักในพระทัยของไทเฮาย่อมแตกต่าง
ถึงแม้จะมิได้มีเรื่องยศถาบรรดาศักดิ์มากั้นกลางระหว่างสายสัมพันธ์เช่นมิตรสหาย ทว่าทุกคนล้วนคิดได้ว่าเพราะเหตุใด
หากแต่เพ่ยจีกลับคิดไม่ได้ด้วยมีใจริษยาซุกซ่อนอยู่ล้นใจ นางมีนิสัยอ่อนหวานกิริยาอ่อนโยนกิริยาดีงามก็จริง หากแต่ก้นบึ้งในจิตใจนั้น แม้แต่ตัวนางเองก็ยังไม่ตระหนักว่าเลวร้ายปานใด
กระทั่งวันหนึ่ง เหวินเต๋อซึ่งเป็นบุตรชายของราชองครักษ์ส่วนพระองค์ของไทเฮา ที่มักจะได้รับอภิสิทธิ์ให้เป็นเพื่อนเล่นกับสตรีทั้งสองตั้งแต่เด็กในฐานะพี่ชายคนสนิท ในทุกครั้งที่ไทเฮาเสด็จมายังวังฤดูร้อน หรือยามที่พำนักยังอารามนอกวัง เกิดรู้ใจตนเองขึ้นมาเมื่อได้อายุสิบเจ็ดหนาว ว่าชมชอบลี่เหยาถิงในวัยสิบสามปี
เหวินเต๋อในวัยคึกคะนอง ทั้งยังมีนิสัยเปิดเผยไม่เคยเก็บข่มหรือยับยั้งชั่งใจ
จึงแสดงออกชัดเจนถึงความรักที่มีต่อลี่เหยาถิง
และนั่นจึงทำให้เพ่ยจีเปิดเผยธาตุแท้ออกมา
แน่นอนว่าไม่มีผู้ใดล่วงรู้ถึงปีศาจร้ายที่ซุกซ่อนอยู่ในตัวของเพ่ยจี
นางสามารถเก็บงำเอาไว้ได้เป็นอย่างดีไร้ใครสังเกตเห็น
ทั้งสามเติบโตขึ้นมาท่ามกลางวังวนแห่งความรักฉันมิตรสหายที่เริ่มเปราะบางลงเรื่อยๆ เมื่ออายุมากขึ้น...
เพ่ยจีชอบเหวินเต๋อร์ และชอบมากยากจะตัดใจ
ส่วนเหวินเต๋อร์ชอบลี่เหยาถิง เขาชอบนางมากยากจะตัดใจเช่นกัน
แต่ทว่าลี่เหยาถิงมีชายในดวงใจมาเนิ่นนานแล้ว นางจึงไม่อาจเปิดใจให้ชายใดได้อีก
หญิงสาวมีนิสัยตรงไปตรงมา เปิดเผยจริงใจ ไม่เคยปิดบังหรือหลวกลวงใคร นางจึงบอกกล่าวเหวินเต๋อร์ไปตามสัตย์ ว่าหากนางถึงวัยออกเรือนแล้ว นางจะแต่งงานกับเหอหย่งหมิงเท่านั้น ไม่ว่าเมื่อไหร่นางก็จะรอเป็นภรรยาของเหอหย่งหมิงเพียงผู้เดียว ไม่มีสายตาเหลียวแลผู้ใดอีก จากนั้นก็ตัดรอนเหวินเต๋อร์เพื่อมิให้เขาหวังอันใดในตัวนางอีก
ทำให้เหวินเต๋อร์เสียใจมาก เขาดื่มเหล้าเมามายทุกวัน ไม่เป็นอันฝึกเพลงดาบ ร่ายตัวอักษรแม้ครึ่งตัว
จนกระทั่งถูกบิดาลงโทษขั้นรุนแรง โดยการขับไล่ออกจากบ้าน ให้ไปเรียนรู้ความยากลำบากในใต้หล้า ใช้ชีวิตเองเพียงลำพังจนกว่าจะตระหนักว่าสิ่งใดควรมิควร
นับแต่นั้นเหวินเต๋อร์ก็เหมือนหายสาบสูญไป
นั่นจึงทำให้เพ่ยจีที่ชอบเหวินเต๋อร์มาก ไม่อาจได้พบหน้าชายในดวงใจได้อีกเลย
หญิงสาวจึงเอาความผิดทั้งหมดมาลงที่ลี่เหยาถิง
เพ่ยจีเคือดแค้นลี่เหยาถิงเหลือจะกล่าว เพราะลี่เหยาถิงเป็นตัวการที่ทำให้นางดูด้อยกว่าทุกทาง ไม่ว่าจะเป็นรูปโฉมหรือสิ่งของมีค่ามากมาย ทุกสิ่งล้วนเป็นของลี่เหยาถิง ไม่เคยเลยที่เพ่ยจีจะได้อาจเอื้อม
งามกว่าแล้วอย่างไร? มีคนที่รักมากกว่าแล้วอย่างไร? สูงส่งกว่าแล้วอย่างไร? ไหนเล่ายศศักดิ์ที่มี! เฮอะ!
นั่นคือคำถามท้าทายในใจของเพ่ยจีที่มีมาเนิ่นนาน
กระทั่งมารดานางยังเอ็นดูลี่เหยาถิงมากกว่านางที่เป็นลูกสาวแท้ๆ คอยพร่ำใส่หูนางเสมอมาว่านางเป็นเพียงบ่าวไพร่ ต้องคอยรับใช้ลี่เหยาถิงให้ดีตลอดไป อย่าได้ผยองถือตัวว่าเป็นสหาย
หึ! หากมารดาต่อสู้แย่งชิงบิดาจากนังแพศยาของบิดา นางก็คงไม่ต้องมาเป็นเพียงบ่าวไพร่ชั้นต่ำเช่นนี้หรอก
ทุกสิ่งเป็นเพราะมารดาของนางไม่ได้เรื่องเองแท้ๆ ยังจะกล้าสอนสั่งนางอีกรึ?
เพ่ยจีจึงเก็บงำความอิจฉาริษยาเอาไว้ภายในอกจนสุมทรวงคับแน่นไปหมด รอเพียงเวลาที่จะได้สำแดงฤทธิ์เดชออกมาให้สาแก่ใจ เพื่อระบายความน้อยเนื้อต่ำใจที่มีมาตั้งแต่เกิด
หากเป็นสตรีที่มียศศักดิ์มิอาจเทียบชั้นแน่นอนว่าเพ่ยจีย่อมไม่กล้า ทว่ากับลี่เหยาถิงที่เห็นกันมาตั้งแต่เกิด ทั้งยังเป็นเพื่อนกันไร้ซึ่งการแบ่งแยกชนชั้นด้วยอีกฝ่ายมอบความสนิทสนมให้มากกว่าใคร กลับกลายเป็นดาบสองคมอย่างไม่น่าให้อภัย
นอกจากตีตนเสมอกันยังอาจหาญมีความคิดเทียมฟ้าที่จะเหนือกว่า
เพ่ยจีจึงมีความคิดจะแย่งทุกอย่างของลี่เหยาถิงมาเป็นของตน แม้กระทั่งชายในดวงใจ...
อันที่จริงเพ่ยจีเคยได้เจอกับเหอหย่งหมิงแล้วโดยบังเอิญที่ตลาด และก็มิใช่เรื่องยากหากนางจะใช้มารยาเจอกับเขาอีกมาโดยตลอด
ในขณะที่ลี่เหยาถิงมัวแต่เก็บตัวอยู่ในห้องหอเพื่อทำตัวเป็นสตรีที่เพียบพร้อมเพื่อเขา
นางฝึกดีดพิณปักผ้าร่ายกลอนร่างภาพ หมายมั่นที่จะเป็นภรรยาที่ดีของเหอหย่งหมิงจนกว่าจะถึงวันออกเรือน
หลังจากผ่านค่ำคืนร่ำลาด้วยสุราหลายไหยามเช้าย่ำรุ่งผ่านเข้ามาจึงถึงเวลาเอ่ยคำลาที่แท้จริงท่านหมอซุนยังคงเอ่ยสำทับอีก หากว่ามาเยี่ยมเยือนกันคราวหน้า ให้มีลูกเล็กมาด้วยจึงจะดีลี่เหยาถิงได้ฟังก็หน้าแดงหูแดงก้มหน้ารับคำพึมพำ ในขณะที่เหอหย่งหมิงสบประสานสายตากับท่านหมอแน่วนิ่งด้วยความหมายที่รู้กันเฉพาะพวกเขาว่าท่านหมอบำรุงนางอยู่สองปีเพื่อการนี้…เนื่องจากลี่เหยาถิงเคยตกเลือดจนอวัยวะภายในช้ำหนัก การมีลูกอีกคราเกรงว่าจะยากนัก ท่านหมอจึงปรุงยาบำรุงให้นางมาโดยตลอด และยังมอบให้เหอหย่งหมิงทั้งหมด จากนี้ความสามารถเรื่องทายาทก็เป็นหน้าที่ของคนเป็นสามีแล้วเหอหย่งหมิงพาลี่เหยาถิงเดินทางออกมาจากหมู่บ้านซื่อเจี้ยนจวงมาถึงเมืองหลวงในหลายวันถัดมาชายหนุ่มตัดสินใจพาหญิงสาวเข้าเฝ้าฮ่องเต้ซึ่งนับได้ว่าเป็นญาติผู้ใหญ่เพียงคนเดียวที่เหลืออยู่เจี้ยนหยางฉีฮ่องเต้ทรงแปลกพระทัยเป็นอย่างมาก ที่เหอหย่งหมิงยังไม่ตายยิ่งกว่านั้น หลานสาวของพระองค์ก็ยังมีชีวิตอยู่สวรรค์!แล้วศพเหล่านั้นคืออันใด?ดวงพระเนตรหรี่มองตลอดเวลาอย่างไม่อยากเชื่อถือว่าจะเป็นไปได้ “โชคดีเหลือเกินที่เรายังมิได้เรียกคืนจวนแม่ทัพแล้วส่งต่อ
ผ่านไปอีกสองวันสองคืน ในที่สุดการแข่งขันก็รู้ผลผู้ชนะสูงสุดของการประลองคือเหอหย่งหมิงที่สามารถกำชัยคว้าตำแหน่งเจ้าสำนักเหอเสียงคนใหม่เอาไว้ได้ตามประสงค์หลังงานเลี้ยงแต่งตั้งเจ้าสำนักจบลง เหอหย่งหมิงที่ใช้นามว่าฉางยวนก็ใช้เวลาเพียงไม่นาน ในการจัดการสำนักให้อยู่ในที่ในทางเหอหย่งหมิงที่เป็นถึงแม่ทัพดูแลทหารในอาณัติแห่งราชสำนักนับสิบหมื่น จึงมิใช่เรื่องยากหากฉางยวนจะดูแลสมุนในอาณัติของเหอเสียง เปลี่ยนรูปแบบของเหอเสียงแห่งโจรป่าเป็นสำนักคุ้มภัยในใต้หล้าเรื่องนี้ชายหนุ่มได้รับวาจาเห็นชอบจากเจ้าแห่งยุทธภพที่ควบคุมเหนือพิภพด้วยตนเอง จึงง่ายดายยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือยามบ่ายฟ้าใสไร้เมฆบดบังแสงตะวันพาให้สายลมอุ่นร้อนโชยผ่านผืนป่าเขียวขจีระลอกแล้วระลอกเล่าจากเดือนหนึ่งล่วงเลยไปอีกเดือนหนึ่งเดือนแล้วเดือนเล่า ในที่สุดท่านหมอเทวดาก็เดินทางกลับมาจากหาสมุนไพรในป่าใหญ่เหนือหุบเขายอดเมฆาท่านหมอผู้นี้มีนามว่า ซุนผินเขาเป็นชายวัยกลางคน รักสันโดษแต่ชอบช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ด้วยวิชาแพทย์ที่มีเหนือสามัญหากเปรียบเป็นนักพรต เขาย่อมเป็นนักพรตที่ตบะสูง หากเปรียบเป็นชาวยุทธ์ คงไม่แคล้วเป็นรองเพียงเจ้ายุทธภพ
ท้องฟ้าแจ่มใสหมู่เมฆเคลื่อนหายเหล่านกกาบินขับขาน ยามใดที่มีเทศกาลในหมู่บ้าน ทั้งสี่คนก็มักจะจับจูงมือกันเป็นคู่ๆ ไปเที่ยวชมงานวันนี้ก็เช่นกัน หมู่บ้านซื่อเจี้ยนจวง กำลังมีงานครื้นเครงเป็นอย่างมาก เนื่องจากสำนักเหอเสียงแห่งยุทธภพกำลังขาดผู้นำสูงสุด เพราะเจ้าสำนักคนเก่าหายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย เจ้าสำนักคนใหม่นามว่าเฉิงอู่ก็ครองตำแหน่งได้เพียงสามวันพลันจบชีวิตลงอย่างปริศนา อีกทั้งสำนักเหอเสียงแห่งเดิมก็โดนถล่มจนพินาศย่อยยับไม่เหลือซาก ต่อมาเจ้ายุทธภพที่ควบคุมทุกสำนักในใต้หล้าจึงได้ก่อตั้งสำนักเหอเสียงขึ้นมาใหม่ให้อยู่ในอาณาเขตหมู่บ้านแห่งนี้ เพื่อเป็นเกียรติอดีตจอมกระบี่อันดับหนึ่งของแคว้นและจัดงานประชันผู้กล้าขึ้นมา เพื่อคัดเลือกนายเหนือหัวแห่งเหอเสียงคนใหม่ เพื่อเป็นหลักให้ลูกสมุนที่ไร้หัวเหลือแต่หางงานนี้เซียนเซียนจึงส่งเหวินเต๋อร์เข้าประลอง เผื่อว่าจะได้นั่งในตำแหน่งนายหญิงของเจ้าสำนักเหอเสียงแต่ทว่า...หญิงสาวได้หลงลืมไป ว่าสามีตนมิใช่ยอดฝีมือ งานนี้จึงได้เห็นสามีพ่ายแพ้ยับเยิน เซียนเซียนจึงได้แต่ปลอบใจ ว่าไม่เป็นไร ที่บ้านใกล้หมอและมียา หากเหวินเต๋อร์ตายไปก็จะหาสามีใหม่เ
นางกล่าวเสียงเข้มแม้พวงแก้มจะแดงก่ำไปทั่วถึงลำคอเหอหย่งหมิงได้แต่เหม่อมองริมฝีปากนาง ด้วยดวงตาทอประกายร้อนแรงแห่งเพลิงปรารถนากระทั่งถูกฝ่ามือเล็กเอื้อมมาปิดตานั่นล่ะ เขาถึงได้สติกลับมาจากการถูกปีศาจราคะครอบงำ เห็นคนงามส่งค้อนวงใหญ่ใบหน้างอง้ำ จึงตีท่าทางเคร่งขรึมนั่งนิ่งให้นางทายากว่าจะได้กินข้าว ก็หยอกเย้ากันในห้องครัวจนไฟแทบลุกเผาไหม้เครื่องเรือนอยู่เป็นนานหลังมื้ออาหารตามด้วยดื่มยาจนหมดเทียบตามคำสั่งเฉียบขาดของภรรยา เหอหย่งหมิงจึงได้เอ่ยคำอีกครั้ง“เราควรกลับบ้านกันได้แล้ว ข้าจะพาเจ้าเข้าเฝ้าฝ่าบาท”ลี่เหยาถิงพยักหน้าเห็นด้วย ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้นางไม่คิดจะกลับไป แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกัน นางมีสามีพากลับบ้าน ย่อมแตกต่างจากการที่นางรอนแรมกลับไปเพียงลำพัง“รอท่านหมอกลับมาจากหาสมุนไพรก่อนเถิด แล้วเราค่อยลาท่านจากไปพร้อมกัน”หญิงสาวกล่าวเสียงนุ่ม ชายหนุ่มยกยิ้มตอบรับ“ย่อมเป็นเช่นนั้น ท่านหมอเป็นผู้มีพระคุณต่อเราสอง ท่านช่วยชีวิตเจ้าและข้าเอาไว้”เหอหย่งหมิงพอจะจำได้เลือนราง ว่ายามที่เขาตกหน้าผาลงมา มีท่านหมอวัยกลางคนผู้หนึ่งช่วยต่อลมหายใจให้เขาย่างเข้าเดือนสี่ อากาศร้อนกำลังดีเซียนเ
เสียงหายใจหอบกระชั้นสั่นระรัวดังผสานกรุ่นกลิ่นอายวสันต์ เร่าร้อนตลบอบอวลกายแนบกาย ใจชิดใกล้ไม่คิดห่างหายแม้เสี้ยวเวลาเดียว…ถึงแม้เหอหย่งหมิงยังคงนึกหวาดหวั่นว่านางจะจำได้ขึ้นมา ว่าเขาได้ทำพลาดมากมายปานใดแต่ทว่า...ขอเพียงแค่ได้นางคืนมา ได้ยื้อเวลาเพื่อให้นางไม่จากไปไหน จะให้เขาทำอะไร เขายอมทั้งนั้นหวังเพียงอยากเป็นอยู่อย่างนี้ ที่มีนางให้รักต่อไป ยืดเวลาให้เขาได้พิสูจน์หัวใจต่อนางได้อีกครา ก่อนที่วันหนึ่งความทรงจำนางจักกลับมา แล้วเกลียดเขาวันนั้นอาจจะเป็นวันที่สองเราเชื่อมกายใจผูกพันลึกซึ้งถึงจิตวิญญาณ ยากถอนคืนเขาหวังแค่เท่านั้น มีนางเป็นดวงใจตลอดกาล...ยามรุ่งเช้าเข้าวันใหม่ แสงแดดสาดส่องทอประกายไปทั่วใต้นภาในครัวหลังน้อยมีกลิ่นอาหารหอมกรุ่นลอยวนไปทั่วในอากาศผสมผสานกลิ่นยาขมฝาดแสบจมูก ที่ตั่งตรงโต๊ะในครัวมีสามีภรรยาดูแลเอาใจใส่กันและกันไม่ห่าง“สามีข้า นอกจากงามสง่า ยังกร้าวแกร่งยิ่งนัก”เสียงกังวานของลี่เหยาถิงที่ดังออกมาแฝงไปด้วยแววหยอกเย้าและติติงประชดประชัน ยามนั่งดูบาดแผลให้ชายผู้เป็นสามีที่บัดนี้ปริแตกไปทั่วเนื้อตัว จนนางต้องจัดยาสมุนไพรห้ามเลือดและสมานแผลมาพันให้“เป็
ย่ำรุ่งที่เท่าไหร่มิอาจนับยามต้องนั่งเหม่อมองอย่างไร้ตัวตน ย่ำพลบค่ำที่เท่าไหร่แล้วที่เดียวดายหลั่งน้ำตาถามตนเองซ้ำๆ ว่านางเป็นใครในห้องหับอันโดดเดี่ยวอ้างว้าง นางเฝ้าครุ่นคิดอย่างเศร้าสร้อย เฝ้ารอคอยใครบางคนด้วยความทุกข์ระทมไร้ขอบเขตไร้เหตุผลนานเท่าไหร่แล้วที่คาดหวังว่าใครบางคนจักมองมากี่คราแล้วที่หัวใจดวงนี้เพรียกหาเพียงเขาให้เห็นนางด้วยหัวใจอย่างแท้จริงเหอหย่งหมิง...นั่นคือถ้อยประโยควาจาที่ดังสะท้อนกึกก้องอยู่ในห้วงนิทราลี่เหยาถิงสะดุ้งตื่นอย่างตกใจจนร่างอรชรสั่นเทามิอาจควบคุม“เป็นอะไร?”เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยถามทันใดเมื่อสัมผัสได้ถึงร่างระหงในอ้อมกอดที่สั่นไหว นางคล้ายกับตกใจในบางสิ่งหญิงสาวกะพริบตาปริบๆ จ้องมองฝ่าความมืดสลัวในห้องนอน ที่ยามนี้เปลี่ยนจากทิวาเป็นราตรีมานานแล้ว“หย่งหมิง” ลี่เหยาถิงตะเบ็งเรียกนามเจ้าของอ้อมแขน พร้อมผงกศีรษะขึ้นมาแล้วเอื้อมมือกุมสันกรามเขา“อันใด?” ชายหนุ่มนึกฉงนระคนหวาดหวั่นพลันระแวง“เป็นท่าน” หญิงสาวกล่าวเสียงดังเหอหย่งหมิงตั้งใจฟังด้วยอาการตัวเกร็ง“อะไร? จำอะไรได้หรือไร?” เกรงกลัวเหลือเกินว่านางจะจำเรื่องราวเลวร้ายได้ แล้วเกลียดเขาเสียงแหล







