เพ่ยจีสร้างสถานการณ์ทำทีบังเอิญเจอกับเหอหย่งหมิงบ่อยๆ ใช้ความอ่อนโยนอ่อนหวานกิริยางดงามเข้ามัดใจ แม้แต่ความอ่อนแอเพื่อให้บุรุษปกป้อง นางก็นำมาใช้
ชายชาตินักรบที่มีนิสัยหยาบกระด้างเติบโตมากับค่ายทหารจนอายุยี่สิบปี ไม่เคยได้สัมผัสมารยาแห่งสตรีวังหลังอย่างเหอหย่งหมิงจึงหลงกลโดยง่าย
กระทั่งไม้ตายที่จักทำให้เขากลายเป็นคนรักนางก็สามารถทำได้ไม่ยากเย็น
เพ่ยจีทำตัวเองให้บาดเจ็บและอยู่ในภาวะอ่อนแอเพื่อให้เหอหย่งหมิงเข้าช่วยเหลือโดยบังเอิญ ก่อเกิดสัมพันธ์ที่เรียกได้ว่าคนคุ้นเคยกัน เนื่องจากบังเอิญเจอกันบ่อยเหลือเกิน
ต่อมาหญิงสาวยังว่าจ้างอันธพาลที่เห็นแก่เงินให้ติดต่อกับโจรป่าเข้ามาทำร้ายเหอหย่งหมิง ยามที่นางกับเขาได้เจอกันตรงเชิงเขาอันมีทิวทัศน์งดงาม
ในแผนนั้นนางแสร้งทำเป็นตัวถ่วงให้เขา ด้วยการกระโดดกอดขาเขา กอดแขนเขา ยามที่เขากำลังต่อสู้
จนกระทั่งเขาพลาดท่าแล้วบาดเจ็บ นางก็ดูแลเขาอย่างดี ไม่ทิ้งกันไปที่ใดจนเขาซาบซึ้งใจ นางจึงบอกรักเขาและขอคบหาเพื่อดูใจอย่างเปิดเผย
เรื่องนี้หากไม่บอกต่อก็ไม่สนุก!
เพ่ยจีจึงได้บอกกล่าวกับลี่เหยาถิงทุกเรื่องราวหลังจากที่ได้คบหากับเหอหย่งหมิงแล้วเป็นที่เรียบร้อย
เป็นความจริงที่ว่า เพ่ยจีรู้อยู่แก่ใจว่าลี่เหยาถิงปักใจต่อเหอหย่งหมิง และก็เป็นความจริงอีกเช่นกันว่าลี่เหยาถิงรู้ดีแก่ใจว่าเพ่ยจีชอบเหวินเต๋อร์มาก เพราะนั่นก็คือเหตุผลหนึ่งที่ลี่เหยาถิงต้องจัดการให้เหวินเต๋อร์ตัดใจจากนางอย่างเด็ดขาด
หากแต่ลี่เหยาถิงก็มิอาจคาดเดาใจของบุรุษได้ นางไม่คิดว่าเหวินเต๋อร์จะหายตัวไป
‘เป็นเพราะเจ้า เหวินเต๋อร์ของข้าจึงหายตัวไปไม่กลับมา’
‘ข้าจะพรากชายที่เจ้ารักไปจากเจ้าบ้าง…’
ประโยคนี้เพ่ยจีกล่าวด้วยเสียงนุ่มละมุนตามวิสัย หากแต่ริมฝีปากกลับแย้มยิ้มเย้ยหยันชัดเจน
ลี่เหยาถิงได้แต่ยืนอึ้งนิ่งนาน ด้วยไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าเพ่ยจีจักมีความคิดเช่นนี้
เป็นเพื่อนกันมาหลายปีตั้งแต่จำความได้ เพ่ยจีอ่อนโยนกับนางเสมอมา อ่อนหวานไร้ที่ติ ทุกคนไว้ใจเพ่ยจีมาก ท่านยายก็เช่นกัน และนางก็ไว้ใจถึงขั้นให้เป็นเพื่อนรักไม่แบ่งแยกชนชั้น
ทว่านิสัยเช่นลี่เหยาถิงมีหรือจะยอมแพ้
นางไม่มีวันปล่อยให้ชายในดวงใจกลายเป็นเครื่องมือให้สตรีวิปลาสเช่นเพ่ยจีแน่
และยิ่งไม่ยอมปล่อยให้บุตรชายของลุงเหอถูกการกระทำของปีศาจนามว่าเพ่ยจีครอบงำ
ลี่เหยาถิงจึงเข้าหาเหอหย่งหมิง และพยายามบอกความจริงข้อนี้ทุกครั้งที่เจอหน้ากัน
แน่นอนว่ามันสายเกินไปแล้ว
เหอหย่งหมิงกับเพ่ยจีสานสัมพันธ์กันจนกลายเป็นคนรักกันไปแล้ว
ทำให้ลี่เหยาถิงที่มีลักษณะจริงใจเปิดเผยกลายเป็นหญิงหยิ่งยโสเกรี้ยวกราดเอาแต่ใจอย่างเหลือร้าย
และยิ่งนางเปิดปากถึงความชั่วช้าของเพ่ยจีที่มีลักษณะนุ่มนวลอ่อนโยน เอาแต่ร่ำไห้ตัวสั่นเช่นนั้น
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า ลี่เหยาถิงจักกลายเป็นตัวอันใดในสายตาของเหอหย่งหมิง
ลี่เหยาถิงพยายามแล้วที่จะทำตัวสงบเสงี่ยม พูดจาดีๆ แต่ทว่าบุคลิกของนางเป็นเช่นนี้มาแต่ไหนแต่ไร จึงกลายเป็นประชดประชันร่ายมารยาไปเสียสิ้น
จนสุดท้าย ลี่เหยาถิงก็ใช้วิธีขั้นเด็ดขาด นั่นก็คือขอสมรสพระราชทานเสียเลย
เหตุผลนั้น นางล้วนคิดมาดีแล้วทุกสิ่ง
หนึ่งคือนางรักเขาทั้งใจ และสองเพื่อตอบแทนลุงเหอ นางต้องดูแลบุตรชายของลุงเหอให้ดี ไม่มีใครมาเปลี่ยนความคิดนี้ของนางได้
เหตุผลเหล่านี้ ไม่มีใครรู้ แต่ทว่า นางเคยใช้กล่าวอ้างให้เหวินเต๋อร์ตัดใจจากนาง
และมันก็ได้ผล ทำให้เหวินเต๋อร์ที่ชอบนางมาหลายปีไม่ตัดใจเสียที ต้องออกจากบ้านไปไม่กลับมานั่นล่ะ
ทว่ายามนี้มีเหตุผลเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งประการ นั่นก็คือเพื่อดึงเหอหย่งหมิงออกจากเพ่ยจี
และแล้วเหอหย่งหมิงก็ไม่ทำให้นางผิดหวัง เมื่อเขาได้รับคำสั่งให้ออกไปกำราบชนเผ่าแห่งหนึ่งและกำชัยจากศึกนั้นได้สำเร็จในเวลาเพียงไม่นาน
ลี่เหยาถิงจึงเป็นรางวัลรอเขาอยู่ด้วยสมรสพระราชทานที่ยังไม่เปิดเผยจนกว่าเขาจะกลับเข้าวังหลวงมา
หญิงสาวมิได้สนใจเลยสักนิดว่าอีกฝ่ายจะเต็มใจรับหรือไม่ นั่นคือนิสัยของนาง
บนเชิงเขาแห่งเดิมยังคงมีหญิงสาวสองคนยืนจ้องหน้ากันด้วยสายตาดุเดือดปะทะกันกลางอากาศ
ฝ่ายหนึ่งที่มีรูปลักษณ์สะคราญโฉมมากกว่าเอื้อมมือขึ้นมาสะบัดตบหน้าอีกฝ่ายหนึ่งเสียงดัง เพี๊ยะ อีกครั้ง หลังจากที่นางได้ยินประโยคหนึ่งจากอีกฝ่ายว่า
เหอหย่งหมิงถูกข้าวางยาปลุกกำหนัดในคืนเข้าหอ ทำให้เขาต้องหลับหูหลับตาร่วมรักกับเจ้าสาวเช่นนาง หลังจากที่ไม่สมปรารถนากับหญิงคนรักของเขาในเรือนพักแห่งนั้น
ประโยคนี้ของเพ่ยจีเสียดแทงใจของลี่เหยาถิงอย่างแรง
เพราะนางคิดเพียงว่าได้ร่วมรักกับเขาตามธรรมนองคลองธรรมอันเหมาะสม ทั้งยังมั่นใจในเสน่ห์แห่งสตรีของตนเองยิ่งนัก
ใครจะไปคาดคิดว่า เขาร่วมรักกับนางก็เพราะถูกวางยา!
หญิงสาวสะบัดมือใส่หน้าอีกฝ่ายฉาดใหญ่
เพี๊ยะ
และอีกทีแรงๆ
เพี๊ยะ
ใบหน้าของเพ่ยจีสะบัดตามแรงตบอีกครั้ง และอีกครั้ง
ครานี้นางรับรู้ได้ถึงรสเค็มปร่าของเลือดในโพรงปาก หากแต่นางก็เพียงแค่แสยะยิ้มแล้วเอ่ยเสียงเย็นว่า
“วันนี้ข้านัดเจอกับหย่งหมิงที่นี่ เจ้าควรเข้ามาขัดขวางข้าเหมือนทุกครั้งด้วยล่ะ หึหึ!”
จบคำก็หันหลังเดินจากไปยังทิศทางหนึ่ง
เป็นอีกคราที่ลี่เหยาถิงได้แต่อึ้งนิ่งไป
ทุกอย่างเกินคาดการณ์ของนางทั้งสิ้น นางแค่มายืนไว้อาลัยให้ท่านยาย เพ่ยจีก็มาปรากฏตัวยั่วโทสะ อีกทั้งยังมี....
ทันใดนั้น หางตาคู่งามก็เหลือบไปเห็นชายหนุ่มรูปงามผู้หนึ่งกำลังเดินอยู่ไกลๆ ก่อนจะไปหยุดยืนยังมุมหนึ่งของเชิงเขาแห่งนี้
เหอหย่งหมิง...
เขาไม่กลับจวนมาหานาง แต่มาตามนัดเพ่ยจี...
เพ่ยจีสร้างสถานการณ์ทำทีบังเอิญเจอกับเหอหย่งหมิงบ่อยๆ ใช้ความอ่อนโยนอ่อนหวานกิริยางดงามเข้ามัดใจ แม้แต่ความอ่อนแอเพื่อให้บุรุษปกป้อง นางก็นำมาใช้ชายชาตินักรบที่มีนิสัยหยาบกระด้างเติบโตมากับค่ายทหารจนอายุยี่สิบปี ไม่เคยได้สัมผัสมารยาแห่งสตรีวังหลังอย่างเหอหย่งหมิงจึงหลงกลโดยง่ายกระทั่งไม้ตายที่จักทำให้เขากลายเป็นคนรักนางก็สามารถทำได้ไม่ยากเย็นเพ่ยจีทำตัวเองให้บาดเจ็บและอยู่ในภาวะอ่อนแอเพื่อให้เหอหย่งหมิงเข้าช่วยเหลือโดยบังเอิญ ก่อเกิดสัมพันธ์ที่เรียกได้ว่าคนคุ้นเคยกัน เนื่องจากบังเอิญเจอกันบ่อยเหลือเกินต่อมาหญิงสาวยังว่าจ้างอันธพาลที่เห็นแก่เงินให้ติดต่อกับโจรป่าเข้ามาทำร้ายเหอหย่งหมิง ยามที่นางกับเขาได้เจอกันตรงเชิงเขาอันมีทิวทัศน์งดงามในแผนนั้นนางแสร้งทำเป็นตัวถ่วงให้เขา ด้วยการกระโดดกอดขาเขา กอดแขนเขา ยามที่เขากำลังต่อสู้จนกระทั่งเขาพลาดท่าแล้วบาดเจ็บ นางก็ดูแลเขาอย่างดี ไม่ทิ้งกันไปที่ใดจนเขาซาบซึ้งใจ นางจึงบอกรักเขาและขอคบหาเพื่อดูใจอย่างเปิดเผยเรื่องนี้หากไม่บอกต่อก็ไม่สนุก!เพ่ยจีจึงได้บอกกล่าวกับลี่เหยาถิงทุกเรื่องราวหลังจากที่ได้คบหากับเหอหย่งหมิงแล้วเป็นที่เรียบร้อยเป
บนเชิงเขาที่กำลังมีหญิงสาวสองคนยืนจ้องหน้ากันด้วยสายตาดุเดือดปะทะกันกลางอากาศหนึ่งคือสตรีรูปโฉมงดงามมั่นใจในตนเอง ท่าทางสูงส่งไม่เคยลงให้ใคร กับอีกหนึ่งเป็นเพียงสตรีรูปร่างธรรมดาแต่ท่าทางอ่อนหวานแลดูอ่อนโยนจริงใจทั้งสองยืนมองกันด้วยประกายตาคล้ายมีขุมพายุโหมกระหน่ำที่บ่งบอกได้ว่าเป็นศัตรูกันมาเนิ่นนานเหตุที่เป็นเช่นนี้ สืบเนื่องมาจากทั้งสองเคยเป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่เด็กในพระตำหนักของไทเฮา และยิ่งสนิทสนมเมื่ออยู่นอกเขตพระราชฐาน ยามดำเนินมายังวังข้างนอกเพื่อไหว้พระและเชิงเขาแห่งนี้ พวกนางก็เคยมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนเพ่ยจีเป็นบุตรสาวของนางกำนัลคนสนิทของไทเฮาที่พระนางทรงรักดั่งน้องสาว พระนางจึงมอบพระเมตตาให้มารดาของเพ่ยจีแต่งงานกับชายคนรักได้อย่างใจกว้างเมื่อถึงวัยเพียงยี่สิบปีซึ่งเดิมทีตามกฎแล้วนางกำนัลจักได้ออกไปแต่งงานได้นั้น ต้องอายุยี่สิบห้าปีแต่กระนั้นชีวิตคู่กลับไม่ราบรื่น มารดาของเพ่ยจีถูกชายคนรักนอกใจทิ้งกันไปหลงใหลเพียงภรรยาใหม่ หลายวันที่หายหน้าเขากลับมาพร้อมหญิงแพศยา ทั้งๆ ที่สามารถรับเป็นอนุหรือภรรยารอง หากแต่นังนั่นกลับไม่พอใจ ต่อมาสามียังรวมหัวกับภรรยาใหม่คิดไม่ซื่อต
พระราชพิธีพระศพของไทเฮาผ่านพ้นไปแล้วจนสิ้นหากแต่ลี่เหยาถิงยังคงเศร้าสลดไม่เจือจาง นางยังคงโหยหาท่านยายทุกวัน ครั้นนึกขึ้นได้ว่าชีวิตมิได้มีเพียงเท่านี้ นางจึงพาร่างของตนเองมายืนทอดอารมณ์คิดคำนึงถึงบุคคลสำคัญในชีวิตยังเชิงเขาชายป่านอกเมือง ที่ซึ่งนางมักจะแอบหนีมาเล่นซน จนท่านยายทนไม่ไหวต้องลอบเสด็จตามมาเที่ยวด้วยกันหลายปีมาแล้วที่เชิงเขาแห่งนี้ยังงดงามไม่เปลี่ยนแปลง แต่ที่เปลี่ยนไปก็คือตัวบุคคลที่โรยราตามวัยส่วนตัวนางที่เคยเป็นเพียงเด็กน้อย ก็เติบใหญ่เป็นสาวงามสะพรั่งประโยคนี้ล้วนเป็นท่านยายที่พูดให้นางฟังท่านยายบอกว่า ยามที่นางยังเป็นเด็ก นางมีส่วนคล้ายท่านพ่อ แต่เมื่อโตขึ้นจนอายุสิบห้านางกลับเหมือนท่านแม่ความงดงามที่ล้ำเลิศนี้ ทำบุรุษมากหน้าต่างหมายปอง แต่ทว่าด้วยใจที่ยึดติดไม่ต่างจากผู้ให้กำเนิด จึงทำให้นางเฝ้ารอเหอหย่งหมิงมาโดยตลอดลี่เหยาถิงไม่เคยคิดว่าตนเองทำผิด ที่นางปักใจรักใคร่ชายผู้นี้ตั้งแต่นางจำความได้และรับรู้เรื่องราวของลุงเหอผ่านท่านยายที่เล่าให้ฟัง นางก็ฝังใจมาโดยตลอดว่าเหอหย่งหมิงย่อมเหมือนกับลุงเหอผู้เป็นบิดาของเขาแม้จะยังไม่เคยพบหน้าแต่ทว่านางก็ยังรอคอยที่จะไ
เหอหย่งหมิงอาศัยอยู่กับมารดาอีกเมืองหนึ่ง ส่วนลุงเหอ พ่อของเขาเป็นทหารประจำกองทัพให้กับหุบเขาเชื่อมใจกระทั่งมารดาของเขาตาย บิดาของเขาจึงพาเข้าเมืองหลวง และเลี้ยงดูในค่ายทหาร กระทั่งบิดาของเขาตายในสนามรบเพื่อปกป้ององค์เหนือหัว คงเหลือเขาที่แสดงฝีมือแทนบิดาสืบมาจนได้เป็นแม่ทัพและได้นางเป็นรางวัลนี่ล่ะนางยังจำได้ว่าครั้งแรกที่นางเจอเหอหย่งหมิง ยามนั้นนางในวัยเด็กแปดหนาว เขาอายุสิบสามนางได้เจอเขาที่ไปร่วมงานในพระราชวังกับบิดาของเขา นางวิ่งเล่นลับตาบ่าวรับใช้จนข้อเท้าแพลงเดินไม่ได้ เขาเห็นเข้าก็เลยช่วยนางไว้เขาให้นางขี่หลังจนกลับมาถึงตำหนักไทเฮา จากนั้นเป็นต้นมา นางก็ไม่ได้เจอเขาอีกทว่าข่าวคราวของเขาก็มาถึงนางโดยตลอด เป็นนางที่ขอให้ท่านยายส่งคนไปสืบมา ไม่ว่าเขาจักไปประจำยังชายแดนฝั่งใดของแว่นแคว้น ล้วนไม่เกินสายลับของท่านยายเรียกได้ว่า นางแอบหลงรักเขาเพราะบิดาของเขานั่นล่ะแต่นอกเหนือจากนั้นแล้ว ทุกข่าวของเขาและการกระทำที่กล้าหาญต่างๆ ของเขา ยิ่งทำให้นางมีรักปักใจนี่คือนิสัยของลี่เหยาถิง ซึ่งไม่ต่างจากผู้เป็นมารดาและบิดาเลยสักนิดนอกจากดื้อรั้นเอาแต่ใจ นางยังเป็นสตรีที่เที่ยงตรงและเ
หนึ่งเดือนต่อมา...สตรีร่างระหงของสาวสะพรั่งวัยสิบหกหนาวในอาภรณ์หรูหราสมฐานะฮูหยินหนึ่งเดียวแห่งจวนแม่ทัพเหอ นางยังคงนั่งจิบชาอยู่ริมหน้าต่างในห้องส่วนตัวด้วยอารมณ์ขุ่นมัวไม่สร่างซา ใบหน้างดงามราวเทพธิดาบึ้งตึงตลอดเวลา ประกายในดวงตาราวดวงดาราบนฟากฟ้าก็เผยเพียงความแค้นเคืองไร้ที่สิ้นสุดฝ่ามือเรียวเล็กปัดกาน้ำชาบนโต๊ะทิ้งอย่างแรง ยังผลน้ำชาอุ่นหกกระเซ็นไปทั่วบ่าวไพร่ที่ยืนรอรับใช้อยู่หน้าห้องได้ยินเสียงแตกของกระเบื้องเคลือบดังลั่นเช่นนั้น ก็ได้แต่ยืนตัวสั่น ไม่กล้าเข้ามา เนื่องจากยังไม่มีคำสั่งเรียกหา พวกนางย่อมไม่กล้าเปิดประตูเสนอหน้าทั้งนั้นลี่เหยาถิงกำมือแน่นทุบโต๊ะตรงหน้าอย่างแรงหมายระบายโทสะที่มันแน่นจนคับอกนางโกรธเหอหย่งหมิงจนพูดไม่ออก บอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไรนางไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าเหตุใดเขาถึงชอบแต่เพ่ยจี สตรีนางนั้นมีดีที่ใด และยิ่งไม่เข้าใจยิ่งกว่า ก็คือเขาทิ้งนางไปหลังจากแต่งงานกันนับตั้งแต่คืนเข้าหอจนกระทั่งถึงวันนี้ เขาก็เอาแต่หมกตัวอยู่ในค่ายทหารถึงแม้ไม่กี่วันหลังจากแต่งงาน เขาจะกลับมารับตัวนางไปยกน้ำชาตามประเพณี ทว่านางกลับมองไม่เห็นอะไรเลยในสายตาคมดำของเขานอกจาก
แสงตะวันเบิกฟ้าเสียดแทงหมู่เมฆาลงมาจนเบื้องล่างนภาสว่างจ้าไปทั่ว เหล่าสกุณาขับขานร้องรับกันดังไกลเป็นทอดๆบนเตียงนอนกว้างใหญ่ภายในห้องหอที่เกิดเหตุการณ์ร้อนแรงเมื่อยามค่ำคืน บัดนี้คงเหลือเพียงความยับเยินให้ได้เห็นเหอหย่งหมิงลืมตาตื่นขึ้นมาก่อนอีกฝ่ายที่ยังคงนอนหลับใหลในสภาพเปลือยเปล่าร่างสง่าที่ไร้อาภรณ์เช่นกันค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งเพื่อดึงสติของตนเองให้กลับมาสายตาคมปลาบเหลือบไปมองคนข้างกายกัน เห็นนางยังคงหลับตาพริ้มไร้วี่แววว่าจะตื่นขึ้นมาเนื้อตัวขาวผ่องนวลเนียนของนางบัดนี้มีแต่ริ้วรอยเป็นจ้ำเต็มไปหมด เนื้อนุ่มอิ่มน้ำหลายจุดมีรอยฟันขบกัดไม่ไกลกันมีร่องรอยของผ้าปูเตียงที่ยับย่น อันเกิดจากการพัวพันระหว่างเขากับนาง ทั้งยังมีคราบเลือดสีแดงฉานเป็นด่างเป็นดวงปะปนกับคราบน้ำขาวขุ่นไปทั่ว กลิ่นคาวคละคลุ้งตลบอบอวลไปทั้งห้องชายหนุ่มจำได้ดี ว่าเขาเข้าหอกับนางได้ร้อนเร่าปานใด และร้อนแรงแค่ไหนเดิมทีเขามิใช่บุรุษหยาบช้าหรือเป็นชายกักขฬะ ที่ทำการร่วมรักกับสตรีรุนแรงเช่นนี้และยิ่งไม่เคยเสียการควบคุมตัวตนเลยสักคราแต่ทว่าเมื่อคืน เขากลับเกิดอาการกระสันจนเกินยับยั้ง ทั้งยังหลุดการควบคุมอารมณ์กำหนัดข