เข้าสู่ระบบบทที่ 13 หนีเที่ยว
“พลอย จะออกไปข้างนอกเหรอ”
บุษบาที่นั่งอยู่ตรงโซฟาห้องนั่งเล่นเงยหน้าขึ้นจากโทรศัพท์มือถือ เอ่ยทักเมื่อเห็นอุณากรรณแต่งตัวจัดเต็มในชุดรัดรูปสีดำตัวสั้น ตัวเสื้อควานลึกยังดีที่มีเสื้อคลุมตัวเล็กพอให้ปกปิดบ้าง รองเท้าส้นสูงสีดำสานไขว้ประดับคริสตัลคู่เก่งราคาแพง ดัดผมลอนเล็กน้อยเป็นคลื่นสยายลงกลางหลัง แต่งหน้าสโมคกี้อายแต่ไม่เข้มมาก ริมฝีปากสีแดงสด
“ใช่แล้ว นุ้ยกับติซ่าชวนไปเที่ยวผับเปิดใหม่”
“ใครกัน?”
“โธ่เอ้ย! แพร ก็เพื่อนร่วมงานยังไงล่ะ แพรไปทำงานเป็นอาทิตย์นี่ไม่รู้จักใครเลยเหรอไง”
อุณากรรณพูดพรางหมุนดูตัวเองในกระจกหน้าต่างบานใหญ่ที่สะท้อนหน้าหวานซึ้งเพื่อสำรวจความเรียบร้อยอีกครั้ง
“แล้วนี่พี่เพลิงรู้หรือเปล่า”
“เกี่ยวอะไรกับพี่เพลิงด้วยแพร”
อุณากรรณคว้ากระเป๋าหนังแกะสีดำทรงสี่เหลี่ยมขนาดเก้านิ้วขึ้นสะพายไหล่ เอี้ยวหน้ามองบุษบาฝาแฝดที่เหมือนตัวเองดั่งเงาในกระจก แต่นิสัยผิดแผกแตกต่างราวฟ้ากับดิน
“อ้าว ก็พี่เพลิงเขาโทรหาทุกวันไม่ใช่เหรอ ถ้าพี่เพลิงโทรมาหาจะทำยังไง”
นึกไปถึงอัคคี อย่างที่บุษบาบอกเขาโทรศัพท์มาจากสิงคโปร์ทุกวันจริง ๆ แต่โทรไม่นาน แค่ถามว่าทำอะไร กินข้าวหรือยัง น้องสาวฝาแฝดยักไหล่ ยิ้มหวานให้บุษบาก่อนจะก้มลงหอมแก้ม
“ฟอด! ช่างเขาสิ เขายังไม่กลับมาสักหน่อย เห็นว่ากลับวันจันทร์ นี่วันเสาร์นะแพร วันเสาร์ใครเขาอยู่บ้านกัน อ้อ คงยกเว้นแพรคนเดียว”
“จ้า คงมีแต่แพรที่ชอบอยู่บ้าน แล้วนี่คุยกับแม่หรือยัง ทางนั้นส่งฤกษ์แต่งงานมาแล้วนะ”
“ชิ ก็ส่งไปสิ พลอยไม่ได้จะแต่ง แพรก็ไม่แต่ง ให้เจ้าบ่าวแต่งไปคนเดียว”
“พลอยจะบ้าเหรอ ถ้าไม่แต่งก็รีบพูดบอกพี่เพลิงสิ”
“แพรก็บอกเองสิ”
“พลอย!! แพรจะไปพูดได้ยังไงในเมื่อพลอยยังปลอมตัวเป็นแพรอยู่นะ”
“รู้แล้ว ๆ ล่ะน่า เดี๋ยวรอพี่เพลิงกลับมาก่อนแล้วพลอยจะพูด พลอยไปแล้วเดี๋ยวจะดึก”
“ระวังตัวด้วยล่ะ แล้วอย่าดึกมากนะ”
“จ้าพี่สาวคนสวย ไปนะ”
บุษบามองตามหลังน้องสาวที่เดินออกไปจากห้องพัก ส่ายหน้าถอนใจ นี่ยังไม่รู้ตัวอีกว่ากำลังโดนอัคคีตะล่อมอยู่ทั้ง ๆ ที่เป็นคนคิดช่างแผนการเอง ไม่รู้ว่าอุณากรรณไปทำท่าไหนถึงทำให้อัคคีเร่งงานแต่งขนาดนี้ ถึงแม้ว่าตัวเธอเองจะมีส่วนทำให้เกิดเรื่องขึ้นด้วยการเรียกตัวของอุณากรรณกลับมาจากสิงคโปร์
ถ้าเป็นเรื่องเอาตัวรอดในการชีวิต อุณากรรณนับว่าเป็นผู้หญิงเก่งคนหนึ่ง แต่พอเป็นเรื่องชายหญิงทำไมถึงกลายเป็นอ่อนหัดไม่ทันอัคคีไปได้
เอาเถอะ! ปล่อยให้ทั้งอุณากรรณและอัคคีจัดการด้วยตัวเองจะดีกว่า ส่วนเธอจะขออยู่เงียบ ๆ มองคนทั้งคู่เดินเข้าสู่ประตูวิวาห์
“กรี๊ด!!”
เสียงผู้คน เสียงดนตรีอึกทึกดังกระหึ่มในผับหรูย่านถนนชั้นนำของเมืองหลวง อุณากรรณพาร่างสูงโปร่งในชุดรัดรูปเดินผ่านโต๊ะแล้วโต๊ะเล่ากระทั่งถึงโต๊ะของติซ่าและนุ้ยที่นัดกันไว้
“มาแล้วจ้า”
“แพรมาแล้ว โอ้โฮ้! นี่แต่งตัวกะจะฆ่าคนอื่นในผับให้ตายไปเลยหรือไง”
“บ้าน่าติซ่า แต่งปกติ แล้วนี่เปิดขวดหรือยัง”
“ยัง รออยู่”
“จะมีคนอื่นมาอีกไหม”
“ไม่มีแล้ว มากันแค่นี้ล่ะ คนอื่นเขาไม่ว่าง”
นุ้ยในชุดเดรสพอดีตัวในร่างอวบเล็กน้อยพอน่ารักเอ่ยตอบ ทั้งสามคนต้องตะโกนคุยกันเพราะเสียงในผับค่อนข้างดัง
“งั้นเปิดขวดเลย”
อุณากรรณขยับร่างขึ้นนั่งเก้าอี้ทรงสูงที่ผับมักนิยมใช้กันเพื่อประหยัดพื้นที่ โต๊ะกลมเล็กแค่พอว่างเครื่องดื่มหนึ่งชุดคือเหล้าหนึ่งขวด ถังน้ำแข็งและแก้วเท่านั้น
“คนเยอะเหมือนกันนะ”
อุณากรรณตะโกนคุยกับติซ่าขณะที่เด็กพนักงานในร้านกำลังชงเหล้า มองไปรอบ ๆ ดูแล้วส่วนใหญ่เป็นพนักงานออฟฟิศ
“วันนี้วันเสาร์ก็เยอะเป็นธรรมดา โอ้ย! โน้น คนอะไรหล่อชะมัด”
อุณากรรณหันไปมองตามมือของติซ่าสบตาเข้ากับชายหนุ่มร่างสูงโปร่งหน้าตาดีมีรสนิยม เสื้อผ้าตลอดทั้งตัวเป็นแบรนด์เนมราคาแพง
“ก็พอได้นะ”
“แพร พอได้งั้นเหรอ นั่นต้องเรียกเทพบุตรแล้ว”
“ฮึ คนหล่อกว่านี้มีอีกเยอะนะติซ่า”
“ไหนใครหล่อกว่า พูดสิ”
“ก็ อย่างบอสไง”
“บอส! แพร อย่างบอสน่ะก็เทพบุตร แต่เป็นเทพบุตรซาตานนะ ดุขนาดนั้น ไม่เอาด้วยคนหรอก”
อุณากรรณหัวเราะร่าชอบใจพรางยกแก้วขึ้นขยับชนแก้วกับติซ่าและนุ้ย
“มาชนแก้ว แด่เพื่อนใหม่”
“แด่เพื่อนใหม่”
“แด่เพื่อนใหม่”
ทั้งติซ่าและนุ้ยพูดขึ้นพร้อมกันและพากันยกแก้วเหล้าขึ้นดื่มรวดเดียวหมด
“คอแข็งเหมือนนะแพร”
“เคยสะแล้วติซ่า”
“งั้นเราก็ไม่ต้องกลัวว่าจะต้องหิ้วปีกแพรกลับบ้านแล้ว ถ้างั้นขนอีกแก้ว”
อุณากรรณยกแก้วขึ้นชนเมื่อผสมเหล้าให้ตัวเองเสร็จเรียบร้อย กระดกรวดเดียวจนหมด
ทำงานบนเรือเธอก็มักโดนแขกบนเรือเรียกให้ดื่มตลอดจนคอแข็งประมาณหนึ่ง เมื่อดื่มไปสักสองแก้วฤทธิ์แอลกอฮอล์เริ่มไหลวนในกระแสเลือดจนอุณากรรณได้อารมณ์ครึกครื้น ลุกขึ้นเต้นตามติซ่า
เหล้าผสมน้ำแก้วแล้วแก้วเล่าที่เพื่อนใหม่ทั้งสามต่างยกชนไม่หยุด ทั้งเต้นทั้งร้องจนทั้งสามคนเริ่มไม่ไหว
“แพร เราว่าออกไปนั่งด้านหน้าในห้องโต๊ะพูลดีกว่า”
“ทำไมล่ะ กำลังมันเลย”
อุณากรรณชะโชกหน้าไปถามนุ้ย มือยังถือแก้วเหล้าในมือ
“เวียนหัวคนเยอะ ไปห้องโต๊ะพูลดีกว่า สบายด้วย”
“ก็ได้ตามใจ ไปช่วยกันถือ”
อุณากรรณหยิบแก้วเหล้าของตัวเองขึ้นมาและถังน้ำแข็ง ส่วนติซ่ารับหน้าทีถือขวดเหล้าขวดโซดา ส่วนนุ้ยตัวเล็กกว่าใครเพื่อนเลยอาสาถือขวดน้ำที่เหลือ
ทั้งสามคนค่อยเดินตะแคงตัวลีบแทรกคนในผับออกไปในส่วนสำหรับเล่นพูลซึ่งคนน้อยกว่ามาก
“โต๊ะนั้นว่าง”
อุณากรรณบุ้ยใบ้ไปทางโต๊ะว่างตัวหนึ่งติดมุมห้อง ติซ่าจึงเดินเร็วรี่เข้าไปก่อนเพื่อกันที่ให้ จากนั้นคนทั้งสามก็ได้นั่งพักหลังจากที่ยืนเต้นมานาน
“คนน้อยจริง ๆ ด้วย ดีเหมือนกันนะ ถ้าอยากเต้นก็เต้นได้ไม่มีใครว่า ถ้าอยากจะเล่นพลูก็เล่น”
อุณากรรณเอ่ยขึ้นพูดลอย ๆ
“เออ ใช่ แพรเล่นพูลเป็นไหม”
“ก็เป็นบ้างนะ”
“ไปงั้นเราไปเล่นกัน”
“โอ้ย! แต่นี่ตาเริ่มลายแล้ว จะเมาแล้ว เล่นไม่ไหวหรอก”
“ไป ไป ลองดู เร็วสิแพรลุกขึ้น”
ติซ่าดึงมือให้อุณากรรณลุกขึ้นจากเก้าอี้และดันหลังกระทั่งถึงโต๊ะพูลตัวที่ว่างอยู่
ด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่ดื่มไปมากทำให้อุณากรรณถึงกับเซตามแรงเพื่อน ยืนไม่ตรงดีนัก
“ติซ่าจะไหวเหรอ เรามองเห็นลูกสีดำตรงนั้นมีสองลูก”
ติซ่ามองตามนิ้วมือของอุณากรรณที่ชี้ไปยังมุมโต๊ะ
“นั่นมันมีลูกเดียว แพรดูท่าจะเมาแล้วล่ะสิ”
“อืม ก็ดื่มไปหลายแก้ว แต่นั่งพักสักหน่อยก็คงหาย”
“ไม่ ไม่ เล่นก่อนเร็ว เราอยากเห็นแพรเล่น”
อุณากรรณหัวเราะออกมาหยิบไม้พลูขึ้นมา มองหาชอล์กสำหรับขัดหัวไม้คิว หันไปอีกโต๊ะจึงเห็นวางอยู่บนมุมโต๊ะอีกตัว จึงเดินเซเล็กน้อยถัดตัวไปชนขอบโต๊ะ ทั้งหัวเราะตัวเองที่เมาจนยืนอยู่ กำลังก้มลงไปหยิบแท่งชอล์กขัดหัวไม้ สายตาพลันเหลือบมองขึ้นไปเห็นบอสใหญ่เดินอยู่ด้านนอก จึงตกใจจนทำไม้คิวพูลตกพื้น
“แพร เป็นอะไรไป”
ติซ่าเองเมาไม่น้อยไปกว่ากัน เดินเซไปหาอุณากรรณแล้วก้มลงหยิบไม้คิวพูลขึ้นมาส่งให้
“ฉะ ฉัน เอื้อก ตายแน่ ๆ เอื้อก”
ติซ่ามองอย่างมึนงงเมื่ออุณากรรณเอาแต่จ้องไปยังนอกห้องทั้งพูดสะอึกตลอดเวลา
“ตายอะไรกัน นุ้ย แกมาดูเพื่อนสิ ยายแพรเป็นอะไรไปไม่รู้ ยืนนิ่งไม่ขยับเลย”
นุ้ยพาร่างอวบเดินเข้าไปหาเพื่อนทั้งสอง เพราะดื่มน้อยกว่านุ้ยเลยยังพอมีสติ
“แพรเป็นอะไร”
อุณากรรณได้สติเมื่อนุ้ยเขย่าแขน พยายามหาทางหลบชายร่างสูงบอสใหญ่ที่กำลังเดินขึ้นบันไดมา ตรงไปทางเข้าผับ
เขารู้ได้ยังไงว่ามานี่!
ร่างในชุดรัดรูปสีดำรีบหันหลังกลับ มองไปทางซ้ายมือเห็นชายหนุ่มรูปหล่อคนนั้นกำลังเล่นพูลกับเพื่อน รูปร่างส่วนสูงพอใช้ได้ จึงรีบเดินไปหาแต่เพราะฤทธิ์เหล้า เวลาเดินจึงเดินเป๋ไปเป๋มาน่าขัน
ดวงตากลมโตเหลียวมองด้านหลังเห็นอัคคีหยุดตรงหน้าผับรับโทรศัพท์ จากนั้นจึงหันมาทางห้องโต๊ะพูล
มีคนโทรรายงาน! นายอัคคีให้คนคอยตามเราเหรอ ตาบ้า
บทที่ 13 หนีเที่ยว“พลอย จะออกไปข้างนอกเหรอ”บุษบาที่นั่งอยู่ตรงโซฟาห้องนั่งเล่นเงยหน้าขึ้นจากโทรศัพท์มือถือ เอ่ยทักเมื่อเห็นอุณากรรณแต่งตัวจัดเต็มในชุดรัดรูปสีดำตัวสั้น ตัวเสื้อควานลึกยังดีที่มีเสื้อคลุมตัวเล็กพอให้ปกปิดบ้าง รองเท้าส้นสูงสีดำสานไขว้ประดับคริสตัลคู่เก่งราคาแพง ดัดผมลอนเล็กน้อยเป็นคลื่นสยายลงกลางหลัง แต่งหน้าสโมคกี้อายแต่ไม่เข้มมาก ริมฝีปากสีแดงสด“ใช่แล้ว นุ้ยกับติซ่าชวนไปเที่ยวผับเปิดใหม่”“ใครกัน?”“โธ่เอ้ย! แพร ก็เพื่อนร่วมงานยังไงล่ะ แพรไปทำงานเป็นอาทิตย์นี่ไม่รู้จักใครเลยเหรอไง”อุณากรรณพูดพรางหมุนดูตัวเองในกระจกหน้าต่างบานใหญ่ที่สะท้อนหน้าหวานซึ้งเพื่อสำรวจความเรียบร้อยอีกครั้ง“แล้วนี่พี่เพลิงรู้หรือเปล่า”“เกี่ยวอะไรกับพี่เพลิงด้วยแพร”อุณากรรณคว้ากระเป๋าหนังแกะสีดำทรงสี่เหลี่ยมขนาดเก้านิ้วขึ้นสะพายไหล่ เอี้ยวหน้ามองบุษบาฝาแฝดที่เหมือนตัวเองดั่งเงาในกระจก แต่นิสัยผิดแผกแตกต่างราวฟ้ากับดิน“อ้าว ก็พี่เพลิงเขาโทรหาทุกวันไม่ใช่เหรอ ถ้าพี่เพลิงโทรมาหาจะทำยังไง”นึกไปถึงอัคคี อย่างที่บุษบาบอกเขาโทรศัพท์มาจากสิงคโปร์ทุกวันจริง ๆ แต่โทรไม่นาน แค่ถามว่าทำอะไร กินข้าวห
บทที่ 12 พี่ชอบกินเด็กครับปัง!เสียงปิดประตูทำให้บุษบาเดินออกมาจากห้องนอน มองเห็นน้องสาวฝาแฝดใบหน้าดูไม่ค่อยสบายใจนัก เพราะคิ้วเรียวสวยขมวดมุ่น ทั้งริมฝีปากเม้มตึง“เป็นอะไรพลอย”เฮือก!! อุณากรรณสะดุ้งทันทีเพราะมัวแต่คิดเรื่องบนรถจนไม่ได้ยินเสียงพี่สาวฝาแฝดเดินออกมาจากห้องนอน“ไม่มีอะไร”รีบแสร้งเดินไปรินน้ำในครัวเพื่อปรับสีหน้า“อย่ามาโกหกเลย เราเป็นฝาแฝดกันนะ แค่มองหน้าก็รู้แล้วว่ามีเรื่อง”อุณากรรณยกน้ำขึ้นดื่มแล้วเดินออกจากห้องครัวตรงไปทางโถงนั่งเล่นของคอนโดมิเนียมขนาดกว้างพอสมควรขณะเดินไปพยายามคิดหาคำพูดบอกพี่สาว ตอนนี้เธอทำเรื่องยุ่งยากกว่าเดิม บุษบาต้องใจเสียแน่เมื่อได้ยินตุบ!หลังจากทิ้งร่างบนโซฟาแล้ววางแก้วน้ำลง จึงหันไปมองพี่สาวฝาแฝดตรง ๆ ตัดสินใจพูดความจริงออกไปดีกว่า“พี่เพลิงจะให้พ่อกับแม่ไปหาฤกษ์แล้ว”“ห๊า!! อะไรนะ ไหน ๆ พลอยบอกมีวิธี แล้ว แล้วนี่แค่พลอยไปทำงานวันเดียว ทำไมกลายเป็นแบบนี้”“ใจเย็น ๆ สิแพร พลอยเองก็ไม่เข้าใจ ตามที่แพรเล่ามา พี่เพลิงก็ดูไม่ได้ชอบอะไรแพร ซ้ำยังยืดเวลาขอดูใจออกไปอีก แต่ค่ำนี้หลังจากกลับจากทานข้าวกับลูกค้า ก่อนลงจากรถพี่เพลิงก็บอกจะให้พ่อก
บทที่ 11 แต่งงานกันให้เร็วที่สุดภายในรถเงียบสนิท หลังจากอุณากรรณบอกทางไปคอนโดมิเนียมซึ่งอยู่ใกล้กับที่ทำงาน ตัวเธอเองนั่งนิ่งไม่พูดไม่จา หันหน้าหนีคนร่างโตไปนอกรถ มองรถบนถนนที่ยังหนาตาแม้ว่าดึกแล้วก็ตาม“พรุ่งนี้ไปทานข้าวกลางวันกัน”จู่ ๆ อัคคีเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบในรถ อุณากรรณไม่ตอบยังนั่งหันหน้าออกไปนอกรถ“เลน่า ยังงอนอยู่อีกเหรอครับ”“ใครงอนกันคะ แพรเปล่าสะหน่อย แค่ง่วง”เสียงหวานนุ่มขึ้นเสียงสูงเล็กน้อยไม่รู้ตัว ตอบทั้งที่ไม่หันหน้ามองคนร่างโตด้ายข้างแม้แต่น้อย จนเขาเองถอนหายใจ“ต่อไปพี่จะไม่พบกับเกรซอีก”“ก็แล้วแต่บอสสิคะ”“พี่จะไม่ติดต่อกับผู้หญิงคนอื่นอีก”ผู้หญิงคนอื่น? คงมีหลายคนสินะคราวนี้อุณากรรณไม่นั่งนิ่งเงียบ เอี้ยวหน้ากลับไปหาอัคคีทันควันเมื่อได้ยิน สีหน้าแสดงอารมณ์โกรธแต่ยังไม่รู้ตัวจนคนร่างสูงจ้องมองอย่างเผลอไผล“ก็แล้วแต่บอสสิคะ ไม่ใช่ธุระของแพร ไม่ต้องบอกแพรก็ได้ค่ะ”ดวงตากลมโตวิบวับแพรวระยับขณะที่พูดน้ำเสียงกระแทกเล็กน้อย จ้องตอบนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มออกดำไม่ลดละ แต่เพราะอัคคีเองไม่ปิดบังความปรารถนา แววตาจึงล้ำลึกขึ้นจนเป็นอุณากรรณต้องเบือนหน้าหนีพ่วงแก้มแดงซ่าน“ก
บทที่ 10 ใครเอาแต่ใจ ใครดื้อเพียงไม่นานนักรถหรูเลี้ยวเข้าถนนกว้างโค้งของโรงแรมระดับชั้นนำ“ที่จริงพี่เพลิงน่าจะให้คุณเกรซมา แพรแต่งตัวไม่เหมาะเลยค่ะ”“ไม่หรอก เลน่าแต่งตัวมาดีแล้ว อีกอย่างแทนตัวเองว่าเลน่าก็ถูกแล้วไม่ต้องแทนตัวเองว่าแพรกับพี่อีก”“ทำไมล่ะคะ แพรจะพูดชื่อไหนก็ได้นี่คะ ก็มันชื่อของแพร”อัคคีไม่ตอบ เขาเดินลงจากรถลงไปก่อนรอกระทั่งอุณากรรณลงจากรถจึงยื่นแขนออกมาให้คล้อง สังเกตว่าหญิงสาวชะงักคิดก่อนแต่ไม่นานเท่านั้นก็ยอมคล้องแขนเขาเดินขึ้นโถงบันไดลำแขนแกร่งแน่นอบอุ่นถึงร้อนจัด อุณากรรณมองมือตัวเองที่จับลำแขนนั้นไว้ มือเรียวเล็กของเธอเมื่อเทียบกับเขาแล้วยิ่งดูเล็กไปถนัดใจ“มาเถอะ พี่จะแนะนำให้รู้จัก”อุณากรรณละสายตาออกจากท่อนแขนแกร่ง มองตรงไปทางโต๊ะรับรองที่โทรศัพท์มาจองไว้ มีชายหนุ่มสองคนยืนรออยู่ก่อนหน้าแล้ว หน้าตาคล้ายเป็นคนชนชาติจีนดั่งเช่นคนสิงคโปร์ทั่ว ๆ ไป สวมชุดสูทนักธุรกิจ รูปร่างสันทัดไม่สูงไม่เตี้ย แต่พออัคคีเดินเข้าไปใกล้ทำให้ชายหนุ่มทั้งสองดูเตี้ยลงไปทันที“ริชาร์ด คาล นี่เลน่า คู่หมั้นผมครับ”คราวนี้อุณากรรณยิ้มไม่ออกแต่ก็พูดแก้ตัวไม่ได้ต่อหน้านักธุรกิจชาวสิงคโ
บทที่ 9 พี่เพลิงอุณากรรณนั่งเขี่ยมือเล่นอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อนในชีวิต เมื่อกลางวันตอนอยู่ในลิฟต์สองต่อสองว่าแย่แล้ว ตกเย็นพอขึ้นมานั่งรถคันเดียวกัน แม้ว่ารถคันใหญ่แต่ยังรับรู้ถึงไออุ่นจากคนตัวโตด้านข้างอยู่ดีทั้งกลิ่นบุหรี่ กลิ่นกายชาย สารพัดที่ทำให้สาวสะพรั่งอย่างเธอว้าวุ่นได้ จึงพยายามหาอย่างอื่นทำเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจไปจากอัคคีดวงหน้าหวานซึ้งเบี่ยงไปด้านข้างเพื่อมองถนนท่ามกลางรถมากมายของเมืองหลวงที่ขยับไปได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น“วันนี้รถติดหน่อยนะครับนาย”เสียงชุมพลเอ่ยถึงขึ้นขณะที่รถแล่นจนเกือบจะคลาน“ไม่เป็นไร ยังพอมีเวลา”เสียงทุ้มต่ำด้านข้างคุยโต้ตอบกับคนขับรถสนิทสนมจนอุณากรรณแปลกใจ เธอมักไม่ค่อยพบคนในระดับนี้พูดคุยกับคนขับรถมาก่อน ส่วนใหญ่มักไว้ตัวและท่ามาก จึงเอี้ยวหน้าไปมอง ถึงกับสะดุ้งตกใจจริง ๆ เพราะเจอเข้ากับนัยน์ตาสีน้ำตาลที่หลุบมองเธออยู่ก่อนแล้วอย่างค้นหา“น้องแพรไม่เมื่อยเหรอครับ”“คะ คะ อะไรนะคะ”ใบหน้าคมเข้มยิ้มกว้างเมื่อได้ยินเสียงตอบมึนงง“ก็พี่ถามว่าน้องแพรไม่เมื่อยเหรอครับ นั่งตัวลีบอยู่ตรงนั้น ขยับมาอีกก็ได้นะ พี่ไม่กัดหรอก”“เออ ไม่เป็นไรค่ะ แพรไม่เมื่อยค
บทที่ 8 บอสขณะที่อัคคีกำลังเดินขึ้นอาคารสำนักงานก่อนจะเหลือบสายตามองเห็นหญิงสาวร่างสูงโปร่งของบุษบา ซึ่งวันนี้ดูสูงกว่าทุกวัน ทีแรกเขาเองไม่ได้ใส่ใจแต่เมื่อกวาดตามองอีกครั้งพลันสะดุดเข้ากับรองเท้าส้นสูงแบบสานพันข้อเท้า จึงไล่สายตาขึ้นไปยังใบหน้าอีกครั้ง หน้าหวานซึ้งยังคงเดิม สวยดั่งนางในวรรณคดี แต่มีบางอย่างผิดแปลกไปคงเป็นทรงผมที่ไม่มัดรวบตึงเหมือนทุกวัน หรือเพราะเสื้อผ้า กระโปรงสั้นเหนือเข่าอวดท่อนขาเรียวยาวขาวนวล หรือจะเป็นเพราะเสียงหัวเราะหวานนุ่มเบา ๆ เมื่อกำลังฟังเพื่อนนินทานินทา!! เมื่อเขาเดินเข้าใกล้จึงได้ยินเสียงของคนร่างอวบพูดขึ้นพร้อมคว้าเอวของบุษบาเข้าใกล้ จนตัวบุษบาเองหัวเราะร่วนออกมาอัคคีเริ่มชักสีหน้าจึงเรียกเสียงดังขึ้นให้พนักงานในบริษัทรับรู้ว่าเขาได้ยินและไม่พอใจร่างระหงของบุษบาไม่ได้สะดุ้งขึ้นเหมือนทุกครั้ง เธอเพียงยืดแผ่นหลังขึ้นเล็กน้อยแล้วค่อยเหลียวกลับมาสบตากับเขาดวงตากลมโตปนซึ้งซึ่งเหมือนจะรื้นนน้ำตาทุกครั้ง วันนี้กระจ่างใสพร้อมร่องรอยติเตียนส่งตรงมายังเขา จนอัคคีจดจ้องตอบอีกครั้งด้วยตาคมดุ“ค่ะ บอส”อัคคีหรี่ตาลงเล็กน้อยเพียงแวบเดียวก่อนเอ่ยเสียงราบเรียบ







