เข้าสู่ระบบบทที่ 12 พี่ชอบกินเด็กครับ
ปัง!
เสียงปิดประตูทำให้บุษบาเดินออกมาจากห้องนอน มองเห็นน้องสาวฝาแฝดใบหน้าดูไม่ค่อยสบายใจนัก เพราะคิ้วเรียวสวยขมวดมุ่น ทั้งริมฝีปากเม้มตึง
“เป็นอะไรพลอย”
เฮือก!!
อุณากรรณสะดุ้งทันทีเพราะมัวแต่คิดเรื่องบนรถจนไม่ได้ยินเสียงพี่สาวฝาแฝดเดินออกมาจากห้องนอน
“ไม่มีอะไร”
รีบแสร้งเดินไปรินน้ำในครัวเพื่อปรับสีหน้า
“อย่ามาโกหกเลย เราเป็นฝาแฝดกันนะ แค่มองหน้าก็รู้แล้วว่ามีเรื่อง”
อุณากรรณยกน้ำขึ้นดื่มแล้วเดินออกจากห้องครัวตรงไปทางโถงนั่งเล่นของคอนโดมิเนียมขนาดกว้างพอสมควร
ขณะเดินไปพยายามคิดหาคำพูดบอกพี่สาว ตอนนี้เธอทำเรื่องยุ่งยากกว่าเดิม บุษบาต้องใจเสียแน่เมื่อได้ยิน
ตุบ!
หลังจากทิ้งร่างบนโซฟาแล้ววางแก้วน้ำลง จึงหันไปมองพี่สาวฝาแฝดตรง ๆ ตัดสินใจพูดความจริงออกไปดีกว่า
“พี่เพลิงจะให้พ่อกับแม่ไปหาฤกษ์แล้ว”
“ห๊า!! อะไรนะ ไหน ๆ พลอยบอกมีวิธี แล้ว แล้วนี่แค่พลอยไปทำงานวันเดียว ทำไมกลายเป็นแบบนี้”
“ใจเย็น ๆ สิแพร พลอยเองก็ไม่เข้าใจ ตามที่แพรเล่ามา พี่เพลิงก็ดูไม่ได้ชอบอะไรแพร ซ้ำยังยืดเวลาขอดูใจออกไปอีก แต่ค่ำนี้หลังจากกลับจากทานข้าวกับลูกค้า ก่อนลงจากรถพี่เพลิงก็บอกจะให้พ่อกับแม่ไปดูฤกษ์”
“ก่อนลงจากรถ? แล้วตอนอยู่ในรถคุยอะไรกัน ไม่มีเค้าลางอะไรบ้างเหรอ หรือว่าพี่เพลิงจับได้”
“ไม่มีทาง!! ถ้าจับได้พี่เพลิงต้องพูดแล้ว แต่นี่ไม่นะ”
บุษบาเอียงหน้ามองน้องสาวที่เบือนหน้าแดงซ่านหนีสายตาหวานของแฝดพี่
“มีเรื่องอะไรในรถใช่ไหม”
“เปล๊า!”
“พูดมาพลอย!”
อุณากรรณแม้ว่าจะแก่นเซี้ยวและดื้อรั้นไม่ฟังใคร แต่ถ้าบุษบาแฝดพี่ใช้น้ำเสียงเข้มดุแบบนี้ อุณากรรณก็เสียงอ่อนลงทุกครั้ง
“ก็ ก็แค่จูบ”
“จูบ!!”
“กะ ก็ พี่เพลิงบอกว่าปกติก็จูบกันทุกวันอยู่แล้ว ละ แล้วพลอยก็ปฏิเสธไม่ได้”
อุณากรรณพยายามแก้ตัวตะกุกตะกัก ดวงตากลมมองไปด้านข้างขณะที่บุษบาจ้องเขม็ง
“ไม่ พลอย ฟังนะ พี่เพลิงไม่เคยจูบแพร”
“ห๊า! ว่าไงนะ”
คราวนี้แฝดน้องตวัดหน้าหันกลับมามองพี่สาวร้องเสียงหลง แววตาจากงุงงนสงสัยกลายเป็นโกรธขึ้งเมื่อรู้ว่าตัวเองโดนหลอก
“พลอยโดนพี่เพลิงจับได้แล้ว”
น้ำเสียงอ่อนใจของบุษบายิ่งทำให้อุณากรรณกรุ่นโกรธคนร่างโตขโมยจูบ
“ไม่มีทาง ไม่ใช่”
บุษบาเริ่มส่ายหน้าเมื่ออุณากรรณยังยืนกรานทั้ง ๆ ที่ก็เห็นอยู่ว่าอัคคีจับโป๊ะเรื่องการสลับตัวได้แล้ว
“ไม่งั้นพี่เพลิงไม่หลอกพลอยอย่างนี้หรอก หลอกแล้วพลอยก็เชื่ออีก เฮ้อ! ทำยังไงดี”
“แล้วถ้าจับได้ว่าเป็นพลอย ทำไมถึงต้องหาฤกษ์แต่งงานด้วย ไม่ พลอยไม่เชื่อ”
“ตามใจ ตอนนี้พลอยก็หาทางแก้เอาเองแล้วกัน เรียนผูกก็เรียนแก้ แพรไปนอนล่ะ พรุ่งนี้ไปเรียนแต่เช้า”
อุณากรรณมองพี่สาวฝาแฝดที่ลุกขึ้นเดินกลับเข้าห้องนอน ทิ้งความสงสัยไว้ให้เธอนั่งขบคิด พอนึกไปถึงคนร่างสูงจึงเผลอยกมือขึ้นแตะริมฝีปาก
ชีพจรยังเต้นรัวใบหน้าเห่อร้อนเมื่อคิดถึงจูบนั้น เข้มข้นหนักหน่วงจนตัวเธอเองไม่อาจปฏิเสธได้
ต้องหาทางให้ได้ ฉันไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ หรอก
“สวัสดียามเช้าค่ะพี่ลิซ่า”
อุณากรรณเอ่ยน้ำเสียงหวานใสเมื่อมาถึงที่ทำงานในเช้าวันต่อมา พร้อมวางกาแฟร้อนลงบนโต๊ะให้เลขานุการบอสใหญ่
“นี่แพรซื้อมาฝาก”
“ขอบใจ ถึงว่ามาช้า บอสมาสักพักแล้ว”
สาวสวยร่างสูงโปร่งสวมชุดทำงานรัดกุมกว่าเมื่อวาน กางเกงขายาวสีเข้มเสื้อเชิ้ตสีขาวและคลุมทับด้วยสูทผ้าทวิต ยกข้อมือขึ้นดูเวลา
“แต่พี่ลิซ่ายังอีกตั้งสิบนาทีนะคะถึงจะถึงเวลาเข้างาน”
“ถ้าปกติก็ไม่สายหรอก แต่ถ้าบอสมาถึงก่อนให้ถือว่าสาย”
“มีงี้ด้วย”
“อย่าบ่นนักเลย บอสกำลังเตรียมตัวบินด่วนไปสิงคโปร์”
อุณากรรณวางกระเป๋าแล้วนั่งลงที่เก้าอี้ตัวเมื่อวาน ใบหน้ากระจ่างใสขึ้นเมื่อรู้ว่าบอสใหญ่กำลังจะเดินทาง
“ดีจริง สำนักงานจะได้ไม่ยุ่งเพราะโทรศัพท์สาว ๆ”
“น้อย ๆ หน่อยเถอะแพร”
“ค่า”
อุณากรรณยิ้มหวานรับปากแล้วจึงเปิดคอมพิวเตอร์ แว่วเสียงพี่ลิซ่ารับโทรศัพท์ภายใน
“ค่ะบอส ได้ค่ะ คะ อ้อ น้องแพรมาแล้วค่ะ ค่ะ ได้ค่ะ”
อุณากรรณแสร้งทำโน้นนี่แต่หูตะแคงฟังว่าพี่ลิซ่าพูดว่าอะไรบ้าง พอได้ยินชื่อของตัวเองจึงหันกลับไปมองเต็มตัว เลขานุการสาวยกมือทำท่าให้เบาเสียงก่อนขณะที่ยังรับฟังคำสั่งจากบอสในสาย กระทั่งวางโทรศัพท์แล้วจึงหันกลับมาหา
“น้องแพร บอสเรียก”
“เรียกทำไมแต่เช้า”
“มีหน้าที่ทำงานก็ทำ จะบ่นทำไม ไป ๆ เข้าไปได้แล้ว”
อุณากรรณลุกขึ้นพร้อมหยิบกระดาษและปากกาเข้าไปด้วย ลอบสูดลมหายใจก่อนจะยกมือเคาะประตู
ก๊อก ก๊อก
“เข้ามา”
เพียงได้ยินเสียงทุ้มชีพจรเต้นรัวตื่นเต้น ภาพในหัวตัดไปยังภายในรถหรูเมื่อคืน
“แพร! ยืนทำอะไร? เข้าไปสิ บอสเรียกสองรอบแล้ว”
เสียงพี่ลิซ่าทำให้อุณากรรณได้สติหลังจากยืนนิ่งงันไปหลายนาที รวบรวมความกล้าอีกครั้งแล้วเปิดประตูเข้าไป
แสงสว่างจ้าด้านหลังชายหนุ่มร่างสูงที่นั่งอยู่ตรงเก้าอี้ตัวใหญ่หลังโต๊ะทำงาน เกิดเงาสลัวพาดใบหน้าแกร่งทำให้มองไม่เห็นสีหน้า
“บอสเรียกมีอะไรหรือเปล่าคะ”
เธอยังยืนตรงประตูไม่ยอมเดินเข้าไป จนอัคคีต้องเรียกซ้ำอีกครั้ง
“ปิดประตู แล้วมานี่”
คลิก!
เสียงประตูเบากริบแต่ทำไห้อุณากรรณสะดุ้ง ตอนนี้เธอทั้งตื่นเต้นและหวาดหวั่น ทุกปลายประสาทอ่อนไหว จำใจลากเท้าไปยังหน้าโต๊ะทำงาน
“ไม่ มานี่ครับ”
สายตากลมโตดั่งกวางน้อยมองมือใหญ่ที่ทำสัญลักษณ์กวักเรียกให้ไปยืนด้านข้าง
“ไม่เป็นไรค่ะ แพรยืนตรงนี้ก็ได้ค่ะ”
“จะมาตรงนี้หรือจะให้พี่ไปหาดีครับ”
อัคคีเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนุ่มแต่แฝงว่าเอาจริง อุณากรรณชั่งใจก่อนจะตัดสินใจเดินตรงไปยังหลังโต๊ะทำงาน
“มาตรงนี้สิครับ”
เธอมองมือที่ตบลงบนโต๊ะทำงานจึงส่ายหน้าทันที
“ไม่ค่ะ ไม่เหมาะ ว้าย! พี่เพลิง”
มือใหญ่คว้าตัวเธอยกนั่งบนโต๊ะทำงาน ส่วนคนตัวโตลากเก้าอี้ที่ตัวเองนั่งอยู่เลื่อนมาขวางไว้ เท้ามือลงสองข้างเพื่อกันไม่ให้คนตัวเล็กกว่าหนีลงจากโต๊ะได้ แล้วซบหน้าลงบนหน้าท้องด้วยท่ามิดแหม่จนอุณากรรณต้องรีบใช้มือจับหน้าของอัคคีไว้ให้เงยขึ้น แต่เขายังฝืนไม่ยอม
“พี่เพลิง มันไม่เหมาะ นี่มันที่ทำงาน!”
“พี่จะไม่อยู่หลายวัน พี่ขอแค่นี้เองครับ”
มือคนตัวเล็กจับศีรษะของอัคคีแน่นไม่ให้เขาก้มต่ำลงไปอีก เส้นผมดกหนานุ่มมือจนอุณากรรณอยากจะชอนไชนิ้วมือให้ทั่ว
“หรือว่าเลน่าจะไปกับพี่ดี”
“ไม่ค่ะ!”
เสียงแหลมสูงรีบปฏิเสธเสียจนอัคคีต้องหัวเราะออกมาก่อนจะยืดกายขึ้น เท้ามือบนโต๊ะแล้วโน้มร่างลงให้ระดับสายตาอยู่ระดับเดียวกัน
“พี่ไม่อยู่ จะคิดถึงพี่ไหมครับ”
คราวนี้อุณากรรณไปไม่ถูกเมื่อดวงตาคมล้ำลึกด้วยประกายปรารถนาตรึงเธอไว้พร้อมเสียงทุ้มนุ่มราวกับน้ำผึ้ง ใจต้องการค้านออกไปว่าเราเพิ่งเจอกันได้วันเดียว แต่ความเป็นจริงอัคคีและบุษบาตัวจริงเจอกันมาอาทิตย์กว่าแล้ว
“เออ ค่ะ”
ปากเล็กรีบรับปากทันทีเมื่อหน้าแกร่งโน้มลงมาใกล้ อุณากรรณดันบ่าของคนร่างสูงไว้
“พี่เพลิงคะ เราอยู่ในที่ทำงานนะคะ มันไม่เหมาะ”
“ถ้างั้น เป็นที่อื่นได้ใช่ไหมครับคนดี”
อัคคีขยับตัวเข้าไปใกล้ใจต้องการครอบครองริมฝีปากบางสวยคู่นั้น แต่เขาเองรู้กาลเทศะว่าไม่ควรทำตัวเยี่ยงนี้ในที่ทำงาน จึงทำเพียงสูดดมความหอมจากแก้มนุ่มตรงหน้าก่อนยืดกายขึ้น
“พี่ไม่แกล้งแล้ว ตั้งใจทำงานเป็นเด็กดีนะครับ แล้วพี่จะซื้อขนมมาฝาก”
“พี่เพลิงเห็นแพรเป็นเด็กไปได้นะคะ ไม่ต้องซื้อมาฝากก็ได้ค่ะ”
ร่างเล็กบอบบางค่อยเลื่อนตัวลงจากโต๊ะโดยมีมือใหญ่ช่วยประคอง
“ไม่เด็กได้ยังไงครับ เพิ่งจะยี่สิบสอง ตอนพี่ยี่สิบเลน่าเพิ่งจะสิบขวบเองนะ”
“อ้อ งั้นพี่เพลิงก็แก่แล้วสินะคะ”
อุณากรรณสังเกตเห็นว่าแผ่นอกแกร่งกระเพื่อมขึ้นเบา ๆ
“ไม่หรอก พี่ยังไม่แก่ เป็นเลน่าต่างหากที่เด็กไป แต่ไม่เป็นไรนะครับ”
“ฮื้อ ทำไมคะ”
อัคคีขยับตัวเข้าไปใกล้กระซิบตรงข้างหูเบา ๆ ทั้งที่อยู่กับเพียงสองคนในห้อง
“พี่ชอบกินเด็กครับ โดยเฉพาะเด็กที่ชื่อเลน่า”
พ่วงแก้มทั้งสองข้างของเลน่าค่อยขึ้นสีแดงกระจายจนทั่วทั้งสองข้าง ใช้มือผลักไหล่คนร่างโตออกแล้วเบี่ยงกายหลบมือใหญ่ที่กำลังจะคว้าเธอไว้
“พี่เพลิงเดินทางปลอดภัยนะคะ ไม่มีอะไรแล้ว แพรขอตัวไปทำงานก่อน”
อัคคีไม่รั้งตัวของอุณากรรณไว้อีก เขาปล่อยให้ร่างระหงซอยเท้าเร่งรีบออกจากห้อง แล้วจึงหยิบโทรศัพท์ต่อสายออกไปหาพ่อทันที
“ว่าไงเพลิง”
“ครับพ่อ เรื่องแต่งงาน”
“ทำไม แกจะมาโยกโย้ไม่ได้นะ ไหนแกบอกจะขอดูใจกันก่อน นี่ยังไม่ทันถึงเดือนเลย”
“โธ่พ่อ ฟังก่อนสิครับ ผมจะโทรมาบอกว่าให้พ่อหาฤกษ์ได้เลยครับ เร็วเท่าไรยิ่งดีครับพ่อ”
“ห๊า! ว่าไงนะ แก แกไม่พูดเล่นใช่ไหม”
“ผมจะพูดเล่นได้ยังไงครับพ่อ ผมเป็นผู้บริหารนะครับ ไม่พูดกลับกลอกอยู่แล้วครับ”
“ได้ ฉันจะหาฤกษ์เร็วที่สุด สักกลางปีหน้าไหมอีกเก้าเดือน แม่แกจะเตรียมตัวทันไหมนะ”
“เก้าเดือนนานไปครับพ่อ ผมให้เวลาแค่สามเดือน”
“สามเดือน!! ไอ้เพลิง นั่นแกต้องให้ฝ่ายหญิงเตรียมตัวบ้างสิ บ้านเขาก็มีหน้ามีตา เพื่อนฝูง ญาติพี่น้อง”
“สามเดือนนี่ก็นานแล้วนะครับ แจ้งทางฝ่ายหญิงว่าผมจะเป็นคนออกค่าใช้จ่ายทุกอย่าง แต่ขอให้เร็วที่สุดครับ อ้อ ไม่ต้องให้น้องเขาทำอะไรนะครับ ให้เขาแค่เลือกการ์ด ลองชุดพอครับ ที่เหลือจ้างให้หมดครับ”
“อะไรกันว่ะเนี่ย งานแต่งงานผู้หญิงเขาก็อยากมีส่วนร่วมด้วยหรือเปล่าไอ้เพลิง”
“ผมบอกเงื่อนไขไปแล้ว ส่วนพ่อกับแม่จะทำได้ทันหรือเปล่า นั้นก็แล้วแต่นะครับ”
“เดี๋ยว ไอ้เพลิง ไอ้เพลิง!!”
ประกายจ้องโทรศัพท์หลังจากที่ลูกชายวางสายไปแล้วก่อนจะหันไปหาภรรยาที่นั่งทำหน้าสงสัย
“ที่รัก ไอ้เพลิงมันยอมแต่งแล้ว”
“ว่าไงนะคะ จริงหรือเปล่า เพลิงหลอกเราหรือเปล่าคุณ”
“ไม่ ๆ ๆ ไอ้เพลิงให้เวลาเราแค่สามเดือนต้องจัดการทุกอย่างให้เสร็จโดยที่เจ้าสาวต้องไม่ทำอะไร”
“สามเดือน!!”
“ใช่สามเดือน ใจร้อนเหมือนพ่อมันเลย ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
พิศดุจดาวมองสามีที่ยืนทั้งยิ้มทั้งหัวเราะอย่างอารมณ์ดี ใจคนเป็นแม่เองก็ดีใจ แต่เรื่องนี้มันดูตงิด ๆ ยังไงชอบกล
บทที่ 13 หนีเที่ยว“พลอย จะออกไปข้างนอกเหรอ”บุษบาที่นั่งอยู่ตรงโซฟาห้องนั่งเล่นเงยหน้าขึ้นจากโทรศัพท์มือถือ เอ่ยทักเมื่อเห็นอุณากรรณแต่งตัวจัดเต็มในชุดรัดรูปสีดำตัวสั้น ตัวเสื้อควานลึกยังดีที่มีเสื้อคลุมตัวเล็กพอให้ปกปิดบ้าง รองเท้าส้นสูงสีดำสานไขว้ประดับคริสตัลคู่เก่งราคาแพง ดัดผมลอนเล็กน้อยเป็นคลื่นสยายลงกลางหลัง แต่งหน้าสโมคกี้อายแต่ไม่เข้มมาก ริมฝีปากสีแดงสด“ใช่แล้ว นุ้ยกับติซ่าชวนไปเที่ยวผับเปิดใหม่”“ใครกัน?”“โธ่เอ้ย! แพร ก็เพื่อนร่วมงานยังไงล่ะ แพรไปทำงานเป็นอาทิตย์นี่ไม่รู้จักใครเลยเหรอไง”อุณากรรณพูดพรางหมุนดูตัวเองในกระจกหน้าต่างบานใหญ่ที่สะท้อนหน้าหวานซึ้งเพื่อสำรวจความเรียบร้อยอีกครั้ง“แล้วนี่พี่เพลิงรู้หรือเปล่า”“เกี่ยวอะไรกับพี่เพลิงด้วยแพร”อุณากรรณคว้ากระเป๋าหนังแกะสีดำทรงสี่เหลี่ยมขนาดเก้านิ้วขึ้นสะพายไหล่ เอี้ยวหน้ามองบุษบาฝาแฝดที่เหมือนตัวเองดั่งเงาในกระจก แต่นิสัยผิดแผกแตกต่างราวฟ้ากับดิน“อ้าว ก็พี่เพลิงเขาโทรหาทุกวันไม่ใช่เหรอ ถ้าพี่เพลิงโทรมาหาจะทำยังไง”นึกไปถึงอัคคี อย่างที่บุษบาบอกเขาโทรศัพท์มาจากสิงคโปร์ทุกวันจริง ๆ แต่โทรไม่นาน แค่ถามว่าทำอะไร กินข้าวห
บทที่ 12 พี่ชอบกินเด็กครับปัง!เสียงปิดประตูทำให้บุษบาเดินออกมาจากห้องนอน มองเห็นน้องสาวฝาแฝดใบหน้าดูไม่ค่อยสบายใจนัก เพราะคิ้วเรียวสวยขมวดมุ่น ทั้งริมฝีปากเม้มตึง“เป็นอะไรพลอย”เฮือก!! อุณากรรณสะดุ้งทันทีเพราะมัวแต่คิดเรื่องบนรถจนไม่ได้ยินเสียงพี่สาวฝาแฝดเดินออกมาจากห้องนอน“ไม่มีอะไร”รีบแสร้งเดินไปรินน้ำในครัวเพื่อปรับสีหน้า“อย่ามาโกหกเลย เราเป็นฝาแฝดกันนะ แค่มองหน้าก็รู้แล้วว่ามีเรื่อง”อุณากรรณยกน้ำขึ้นดื่มแล้วเดินออกจากห้องครัวตรงไปทางโถงนั่งเล่นของคอนโดมิเนียมขนาดกว้างพอสมควรขณะเดินไปพยายามคิดหาคำพูดบอกพี่สาว ตอนนี้เธอทำเรื่องยุ่งยากกว่าเดิม บุษบาต้องใจเสียแน่เมื่อได้ยินตุบ!หลังจากทิ้งร่างบนโซฟาแล้ววางแก้วน้ำลง จึงหันไปมองพี่สาวฝาแฝดตรง ๆ ตัดสินใจพูดความจริงออกไปดีกว่า“พี่เพลิงจะให้พ่อกับแม่ไปหาฤกษ์แล้ว”“ห๊า!! อะไรนะ ไหน ๆ พลอยบอกมีวิธี แล้ว แล้วนี่แค่พลอยไปทำงานวันเดียว ทำไมกลายเป็นแบบนี้”“ใจเย็น ๆ สิแพร พลอยเองก็ไม่เข้าใจ ตามที่แพรเล่ามา พี่เพลิงก็ดูไม่ได้ชอบอะไรแพร ซ้ำยังยืดเวลาขอดูใจออกไปอีก แต่ค่ำนี้หลังจากกลับจากทานข้าวกับลูกค้า ก่อนลงจากรถพี่เพลิงก็บอกจะให้พ่อก
บทที่ 11 แต่งงานกันให้เร็วที่สุดภายในรถเงียบสนิท หลังจากอุณากรรณบอกทางไปคอนโดมิเนียมซึ่งอยู่ใกล้กับที่ทำงาน ตัวเธอเองนั่งนิ่งไม่พูดไม่จา หันหน้าหนีคนร่างโตไปนอกรถ มองรถบนถนนที่ยังหนาตาแม้ว่าดึกแล้วก็ตาม“พรุ่งนี้ไปทานข้าวกลางวันกัน”จู่ ๆ อัคคีเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบในรถ อุณากรรณไม่ตอบยังนั่งหันหน้าออกไปนอกรถ“เลน่า ยังงอนอยู่อีกเหรอครับ”“ใครงอนกันคะ แพรเปล่าสะหน่อย แค่ง่วง”เสียงหวานนุ่มขึ้นเสียงสูงเล็กน้อยไม่รู้ตัว ตอบทั้งที่ไม่หันหน้ามองคนร่างโตด้ายข้างแม้แต่น้อย จนเขาเองถอนหายใจ“ต่อไปพี่จะไม่พบกับเกรซอีก”“ก็แล้วแต่บอสสิคะ”“พี่จะไม่ติดต่อกับผู้หญิงคนอื่นอีก”ผู้หญิงคนอื่น? คงมีหลายคนสินะคราวนี้อุณากรรณไม่นั่งนิ่งเงียบ เอี้ยวหน้ากลับไปหาอัคคีทันควันเมื่อได้ยิน สีหน้าแสดงอารมณ์โกรธแต่ยังไม่รู้ตัวจนคนร่างสูงจ้องมองอย่างเผลอไผล“ก็แล้วแต่บอสสิคะ ไม่ใช่ธุระของแพร ไม่ต้องบอกแพรก็ได้ค่ะ”ดวงตากลมโตวิบวับแพรวระยับขณะที่พูดน้ำเสียงกระแทกเล็กน้อย จ้องตอบนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มออกดำไม่ลดละ แต่เพราะอัคคีเองไม่ปิดบังความปรารถนา แววตาจึงล้ำลึกขึ้นจนเป็นอุณากรรณต้องเบือนหน้าหนีพ่วงแก้มแดงซ่าน“ก
บทที่ 10 ใครเอาแต่ใจ ใครดื้อเพียงไม่นานนักรถหรูเลี้ยวเข้าถนนกว้างโค้งของโรงแรมระดับชั้นนำ“ที่จริงพี่เพลิงน่าจะให้คุณเกรซมา แพรแต่งตัวไม่เหมาะเลยค่ะ”“ไม่หรอก เลน่าแต่งตัวมาดีแล้ว อีกอย่างแทนตัวเองว่าเลน่าก็ถูกแล้วไม่ต้องแทนตัวเองว่าแพรกับพี่อีก”“ทำไมล่ะคะ แพรจะพูดชื่อไหนก็ได้นี่คะ ก็มันชื่อของแพร”อัคคีไม่ตอบ เขาเดินลงจากรถลงไปก่อนรอกระทั่งอุณากรรณลงจากรถจึงยื่นแขนออกมาให้คล้อง สังเกตว่าหญิงสาวชะงักคิดก่อนแต่ไม่นานเท่านั้นก็ยอมคล้องแขนเขาเดินขึ้นโถงบันไดลำแขนแกร่งแน่นอบอุ่นถึงร้อนจัด อุณากรรณมองมือตัวเองที่จับลำแขนนั้นไว้ มือเรียวเล็กของเธอเมื่อเทียบกับเขาแล้วยิ่งดูเล็กไปถนัดใจ“มาเถอะ พี่จะแนะนำให้รู้จัก”อุณากรรณละสายตาออกจากท่อนแขนแกร่ง มองตรงไปทางโต๊ะรับรองที่โทรศัพท์มาจองไว้ มีชายหนุ่มสองคนยืนรออยู่ก่อนหน้าแล้ว หน้าตาคล้ายเป็นคนชนชาติจีนดั่งเช่นคนสิงคโปร์ทั่ว ๆ ไป สวมชุดสูทนักธุรกิจ รูปร่างสันทัดไม่สูงไม่เตี้ย แต่พออัคคีเดินเข้าไปใกล้ทำให้ชายหนุ่มทั้งสองดูเตี้ยลงไปทันที“ริชาร์ด คาล นี่เลน่า คู่หมั้นผมครับ”คราวนี้อุณากรรณยิ้มไม่ออกแต่ก็พูดแก้ตัวไม่ได้ต่อหน้านักธุรกิจชาวสิงคโ
บทที่ 9 พี่เพลิงอุณากรรณนั่งเขี่ยมือเล่นอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อนในชีวิต เมื่อกลางวันตอนอยู่ในลิฟต์สองต่อสองว่าแย่แล้ว ตกเย็นพอขึ้นมานั่งรถคันเดียวกัน แม้ว่ารถคันใหญ่แต่ยังรับรู้ถึงไออุ่นจากคนตัวโตด้านข้างอยู่ดีทั้งกลิ่นบุหรี่ กลิ่นกายชาย สารพัดที่ทำให้สาวสะพรั่งอย่างเธอว้าวุ่นได้ จึงพยายามหาอย่างอื่นทำเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจไปจากอัคคีดวงหน้าหวานซึ้งเบี่ยงไปด้านข้างเพื่อมองถนนท่ามกลางรถมากมายของเมืองหลวงที่ขยับไปได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น“วันนี้รถติดหน่อยนะครับนาย”เสียงชุมพลเอ่ยถึงขึ้นขณะที่รถแล่นจนเกือบจะคลาน“ไม่เป็นไร ยังพอมีเวลา”เสียงทุ้มต่ำด้านข้างคุยโต้ตอบกับคนขับรถสนิทสนมจนอุณากรรณแปลกใจ เธอมักไม่ค่อยพบคนในระดับนี้พูดคุยกับคนขับรถมาก่อน ส่วนใหญ่มักไว้ตัวและท่ามาก จึงเอี้ยวหน้าไปมอง ถึงกับสะดุ้งตกใจจริง ๆ เพราะเจอเข้ากับนัยน์ตาสีน้ำตาลที่หลุบมองเธออยู่ก่อนแล้วอย่างค้นหา“น้องแพรไม่เมื่อยเหรอครับ”“คะ คะ อะไรนะคะ”ใบหน้าคมเข้มยิ้มกว้างเมื่อได้ยินเสียงตอบมึนงง“ก็พี่ถามว่าน้องแพรไม่เมื่อยเหรอครับ นั่งตัวลีบอยู่ตรงนั้น ขยับมาอีกก็ได้นะ พี่ไม่กัดหรอก”“เออ ไม่เป็นไรค่ะ แพรไม่เมื่อยค
บทที่ 8 บอสขณะที่อัคคีกำลังเดินขึ้นอาคารสำนักงานก่อนจะเหลือบสายตามองเห็นหญิงสาวร่างสูงโปร่งของบุษบา ซึ่งวันนี้ดูสูงกว่าทุกวัน ทีแรกเขาเองไม่ได้ใส่ใจแต่เมื่อกวาดตามองอีกครั้งพลันสะดุดเข้ากับรองเท้าส้นสูงแบบสานพันข้อเท้า จึงไล่สายตาขึ้นไปยังใบหน้าอีกครั้ง หน้าหวานซึ้งยังคงเดิม สวยดั่งนางในวรรณคดี แต่มีบางอย่างผิดแปลกไปคงเป็นทรงผมที่ไม่มัดรวบตึงเหมือนทุกวัน หรือเพราะเสื้อผ้า กระโปรงสั้นเหนือเข่าอวดท่อนขาเรียวยาวขาวนวล หรือจะเป็นเพราะเสียงหัวเราะหวานนุ่มเบา ๆ เมื่อกำลังฟังเพื่อนนินทานินทา!! เมื่อเขาเดินเข้าใกล้จึงได้ยินเสียงของคนร่างอวบพูดขึ้นพร้อมคว้าเอวของบุษบาเข้าใกล้ จนตัวบุษบาเองหัวเราะร่วนออกมาอัคคีเริ่มชักสีหน้าจึงเรียกเสียงดังขึ้นให้พนักงานในบริษัทรับรู้ว่าเขาได้ยินและไม่พอใจร่างระหงของบุษบาไม่ได้สะดุ้งขึ้นเหมือนทุกครั้ง เธอเพียงยืดแผ่นหลังขึ้นเล็กน้อยแล้วค่อยเหลียวกลับมาสบตากับเขาดวงตากลมโตปนซึ้งซึ่งเหมือนจะรื้นนน้ำตาทุกครั้ง วันนี้กระจ่างใสพร้อมร่องรอยติเตียนส่งตรงมายังเขา จนอัคคีจดจ้องตอบอีกครั้งด้วยตาคมดุ“ค่ะ บอส”อัคคีหรี่ตาลงเล็กน้อยเพียงแวบเดียวก่อนเอ่ยเสียงราบเรียบ







