LOGIN
....เริ่มพลบค่ำแล้ว แสงจากดวงจันทร์เริ่มทอประกายเหนือยอดไม้
เงาร่างสูงโปร่งในชุดขาวสะอาดราวหิมะ ยืนเดี่ยวกลางลานหินของสำนักกระบี่
ผมดำยาวสลวยพลิ้วตามสายลม แววตาเย็นสงบ แต่ดาบในมือกลับคมกล้าไร้ผู้เทียบ
เขาคือ “ไป๋เยว่หลิง" อัจฉริยะกระบี่หนึ่งเดียวในร้อยปี
ทุกครั้งที่เขาวาดกระบี่ เงาของจันทร์ราวกับแตกกระจายไปทั่วลานประลอง
ทั้งอาจารย์ ศิษย์พี่ ศิษย์น้อง แม้แต่ชาวบ้าน โดยเฉพาะผู้หญิง ต่างหลงไหลในรูปร่างหน้าตาที่หล่อราวเทพบุตรจากสวรรค์ของเขา
แต่...เบื้องหลังแววตานิ่งสงบนี้ ซ่อนดวงใจที่เต็มไปด้วยบาดแผล
เพราะยามก้าวข้ามประตูเรือนตระกูลใหญ่สกุลไป๋ เขากลับไม่มีวันใดสงบสุข
พ่อเลี้ยงกับแม่เลี้ยงกลับกลั่นแกล้งเขาอย่างไร้ปรานี
เขาถูกวางยาพิษในอาหารตั้งแต่เด็ก ตลอดจนถึงส่งคนลอบทำร้ายซ้อมเขาในยามค่ำคืน
และหากเขาหยิบกระบี่ขึ้นมาตอบโต้ เขาจะถูกลงโทษด้วยการเฆี่ยนอย่างรุนแรงทุกครั้ง
บาดแผล...ที่ผู้อื่นไม่เห็น เหล่านั้นสะสมอยู่ในใจของเขามาตั้งแต่เด็กๆ จนบัดนี้เขาอายุได้ 18 ปีแล้ว
นั่นคือสาเหตุที่ไป๋เยว่หลิงชอบฝึกกระบี่อยู่ที่สำนักจนดึกดื่น ไม่อยากกลับบ้าน
....ค่ำคืนนี้มืดเหมือนทุกคืน เด็กหนุ่มเดินก้าวเข้าบ้านด้วยก้าวช้า ๆ
แม้ร่างสูงโปร่งของเขาจะสง่างาม แต่ทันทีที่ประตูเปิด เสียงหัวเราะเยาะเย้ยดังขึ้น
“กลับมาอีกแล้วเหรอเจ้าไป๋จอมปลอม”
ลูกชายแท้ ๆ ของพ่อเลี้ยงและแม่เลี้ยงปรากฏตัว แววตาเต็มไปด้วยความริษยา
มือเล็ก ๆ ของเขาทำท่าจะผลักไส แต่ไป๋เยว่หลิงเพียงแค่ก้มหน้าเดินเข้าไป
เขากลั้นเสียงคำพูดและทุกอารมณ์ไว้ เพราะทุกครั้งที่เขาแสดงอารมณ์ออกมา
พ่อเลี้ยงกับแม่เลี้ยงจะยิ่งหาความผิดใส่ ดังนั้นเขาจึงเลือกอดทนและเงียบ
ก้าวเท้าไปตามทางเดินยาวของบ้าน บรรยากาศรอบตัวเย็นยะเยือกจนเหมือนถูกล็อกด้วยน้ำแข็ง
มันขว้างก้อนหินเล็กๆใส่ศรีษะเขาจนมีเลือดออกนิดหน่อย แต่เขาก็ทำเป็นไม่สนใจ
มันยิ่งได้ใจกระโดดมาถีบข้างหลังจนเขาล้ม และกระทืบซ้ำหลายครั้ง
เสร็จกิจสาแก่ใจมันแล้วก็ถุยน้ำลายใส่และเดินจากไป
ไป๋เยว่หลิงจึงเปิดประตู้เข้าห้องตัวเอง เขาหยุดยืน มองเงาในกระจก
ร่างสูงโปร่ง ผิวขาวดั่งจันทร์ ทว่าสายตายังคงว่างเปล่า
ความอัปยศที่ต้องทนทุกคืนสะสมอยู่ในใจมากมาย แต่เขากลับไม่พูดไม่จา
ขณะที่เขาแกะกระดุมเสื้อนั่งมองกระจกเพื่อเตรียมทำแผล มือลูกสาวของพ่อเลี้ยงแม่เลี้ยงก็ยื่นจากด้านหลังเข้ามาจับหน้าอกเขา
นางสวมใส่ชุดบางๆ หน้าอกใหญ่ของนางชิดแผ่นหลังเยว่หลิง และนางเอาลิ้นมาเลียที่ซอกรูหูของเขาพรางกระซิบว่า
"ใครทำร้ายเจ้าเยี่ยงนี้น้องข้า มาสิเดี๋ยวพี่สาวจะปลอบประโลมให้" มือของนางลูบไล้หน้าท้องซิกแพ็คของเขา ปลายนิ้วสัมผัสลอนสูงต่ำของหน้าท้องช้าๆ
ไป๋เยว่หลิงครางกระเส่าเบาๆ "ไม่... ท่านพี่ ...ข้าไม่"
"ไม่อะไร! เดี๋ยวข้าจะทำให้เจ้าสบายตัวเอง อย่าลืมว่าทั้งบ้านนี้มีแค่ข้าที่เอ็นดูเจ้า!"
มันก็จริง ท่านพี่แม้นางจะไม่ใช่พี่สาวแท้ๆ แต่ก็มีเพียงนางที่เอาเสื้อผ้าชุดใหม่สวยๆ อาหารอร่อยๆ ขนม ฯลฯ มาให้เขา
ไป๋เยว่หลิงยอมแต่โดยดีไม่ขัดขืน
เมื่อนางเห็นเช่นนั้น นางเอาเชือกที่เตรียมมามัดมือทั้งสองของน้องชายไพร่ไว้ด้านหลัง
ไป๋เยว่หลิงรู้งานดี เขาคุกเข่าลงคลานสี่ขาไปหาพี่สาว และนางยกนิ้วเท้ายื่นให้บริเวณปาก
ไป๋เยว่หลิงอ้าปากอมๆดูดๆนิ้วเท้าให้นาง ๆ มีอารมณ์พลุ่งพล่านแกะกระดุมออกจนเห็นหน้าอกชัดเจน
นางเอาสองมือคลึงเต้าตัวเองอย่าเมามันส์ แล่บลิ้นมาเลียที่มุมปาก พลางมองน้องชายที่รักที่กำลังดูดดื่มนิ้วเท้าของเธอเพื่อกระตุ้นอารมณ์
"ดีมากน้องชายข้า เจ้าหมาน้อยแสนน่ารักของพี่ เลียให้ครบทุกนิ้ว เร็ว ๆ" ว่าแล้วนางก็กระแทกเท้าใส่ปากไป๋เยว่หลิง
เวลาผ่านไปราวๆ 2 เค่อ เมื่อนางเสร็จสมอารมณ์แล้วจึงลุกขึ้นใส่เสื้อผ้าเรียบร้อย และนำยาทาแผลอย่างดีวางไว้ข้างกระจก พร้อมปิ่นโตอาหาร
"นี่ยาทาแผล อย่าให้ใบหน้าและผิวขาวเนียนของเจ้าเป็นอะไรเชียวนะ พี่สาวไม่ชอบสัตว์เลี้ยงที่มีแผลเป็น"
แล้วนางก็เดินยิ้มออกไป ทิ้งไป่เยว่หลิงนั่งคุกเข่าที่พื้น ใบหน้าจมดิ่งลงสู่ห้วงลึกแห่งอารมณ์ที่มืดมิด
เขาไปที่กระจกหยิบตลับยาแผลนั้นทาแผลที่ศรีษะ และเปิดปิ่นโตรับประทานอาหาร
เมนูวันนี้เป็นไก่ตุ๋นน้ำแกงอย่างดี และเนื้อย่าง ไป่เยว่หลิงกินไปด้วยดวงตาที่ไร้แวว
เขาเคี้ยงอาหารไปได้ 5 คำ ความกดดันมากมายที่วันนี้เขาได้รับจนเขาทนไม่ไหว
เขาคว้ากระบี่ออกไปเนินเขาเล็กๆด้านหลังบ้านสกุลไป๋ และกวัดแกว่างดาบอยู่นาน
.....คืนนี้ช่างยาวนานยิ่งนัก ไป่เยว่หลิง ฝึกกระบี่ที่เน้นเขานานเท่าไหร่ไม่รู้
แต่ทันใดนั้นก็มีเสียงกรีดร้องมากมายดังขึ้นที่บ้านสกุลไป๋
ไป๋เยว่หลิงนั่งลงเขากอดเข่ามองไปที่บ้านฟังเสียงนั้นไปเรื่อยๆ จนเสียงเงียบหมด เขาจึงถือกระบี่เดินกลับบ้าน
เมื่อเปิดกระตูเข้ามา ร่างสาวใช้ที่ตายคาประตูก็ร่วงลงกับพื้น ไป๋เยว่หลิงเดินข้ามศพนั้นอย่างเฉยชา
ที่กลางลานบ้าน พ่อบ้าน คนงาน สาวใช้มากมายนอนตายอยู่ มีบางรายแขนขาขาดหาย
เปิดประตูเข้าไป ร่างลูกชายแท้ ๆ ของพ่อเลี้ยงและแม่เลี้ยง นอนตายอยู่ข้างพ่อแม่เขาในเรือนหลัก มือถือกระบี่หักครึ่งอยู่
เขามองดูรอบๆแล้วจึงเดินกลับมาที่ลานกลางบ้าน
"เย...เยว่หลิง....ช่วย....ช่วยพี่ด้วย"
ร่างพี่สาว ลูกพ่อเลี้ยงแม่เลี้ยงนอนคว่ำกับพื้น แม้ยังไม่ตายแต่ก็ร่อแร่
เยว่หลิงเดินเข้าไปใกล้ และยืนมองด้วยสายตาเย็นชา ในมือกำกระบี่แน่น
เคร๊ง!!
เขายกกระบี่ขึ้นมากันดาบที่ฟาดมาจากด้านหลัง ราวกับรู้ล่วงหน้า
ชายชุดดำถอยออกมา ทีนี้มีชายชุดดำอีกมากมายเกาะอยู่บนหลังคา ทุกคนไม่พูด แต่จ้องลงมาที่ไป๋เยว่หลิง
ชายชุดดำถือดาบยาวพุ่งเข้ามาอีกครั้ง ครั้งนี้เขาโฉบฟาดฟันเต็มกำลัง
ไป๋เยว่หลิงจับกระบี่แน่น ผมดำยาวพลิ้วตามลม แววตาเย็นสงบราวจันทร์
(กระบวนท่าที่ 1 เงาจันทร์เคลื่อนไหว)
ไป๋เยว่หลิงหมุนตัวอย่างว่องไว กระบี่พริ้วเหมือนเงาจันทร์
ฟันตอบโต้ทุกแรงฟาดของชายชุดดำ ทำให้คู่ต่อสู้สับสน หวาดหวั่นกับจังหวะที่คาดเดาไม่ได้
(กระบวนท่าที่ 2 สายลมขาวหิมะ)
เขากระโดดขึ้นสูง หมุนตัวกลางอากาศ ฟันกระบี่ลงมาเป็นแนวโค้ง
แรงฟาดนี้ทำให้ชายชุดดำถอยหลังหลายก้าวและเสียจังหวะ
(กระบวนท่าที่ 3 จันทร์ทะยานฟ้า)
ไป๋เยว่หลิงรวมพลังปราณกระบี่ในตัว กระบี่ส่องประกายราวดวงจันทร์เต็มดวง
เขาฟันด้วยแรงทั้งหมดเป็นแนวตรงทะลุศัตรู
ชายชุดดำพยายามป้องกัน แต่แรงลมปราณและความเร็วเกินคาด เขาจับดาบต่อไม่ไหว ทำให้ดาบกระเด็นออกจากมือเขา
ชายชุดดำถอยกรูด อึ้งกับความเร็วและความแม่นยำ ในขณะที่ไป๋เยว่หลิงยืนสงบเหมือนจันทร์กลางฟ้า
นี่คือฝีมือกระบี่ระดับอัจฉริยะในรอบ 100 ปี!
"หัวหน้า!" ชายชุดดำทุกคนทำความเคารพเมื่อมีชายชุดดำคนหนึ่งลอยลงมาช้าๆสู่ลาน เขามีรูปร่างสูงสง่า โดดเด่นกว่าคนอื่นๆชัดเจน
"เจ้าเป็นใคร?" หัวหน้าชายชุดดำถาม
แต่ไป๋เยว่หลิงเงียบไม่ตอบ ใบหน้าเย็นชา แต่กลับมีกลิ่นไอสังหารที่รุนแรง
"เจ้าเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของคนบ้านนี้หรือไม่?"
ไป๋เยว่หลิงกำกระบี่ โดยไม่มีใครคิดเขาหมุนกระบี่ชี้ลง และแทงพี่สาวของเขาสิ้นใจตายทันที
หัวหน้าชายชุดดำจ้องมองเขา ก่อนที่จะโบกมือเป็นสัญญาณให้ทุกคนถอย
เมื่อชายชุดดำหายไปหมดแล้ว เขาก็หันหลังและเตรียมกระโดดออกจากบ้านไป
"ช้าก่อน!"
ไป๋เยว่หลิงตะโกน หัวหน้าชายชุดดำหันหน้ากลับมามองเพียงครึ่งหน้า
แล้วสิ่งๆหนึ่งก็พุ่งเข้าใส่มือหัวหน้าชายชุดดำคว้าไว้ มันคือตลับยาทาแผล
"ที่คอเจ้ามีแผล อย่าให้เป็นแผลเป็น ข้าไม่ชอบ...."
.
.
.
.
.
(11 วันถัดมา)
....ตลาดใจกลางเมืองใหญ่ ยามเช้าเต็มไปด้วยเสียงผู้คนอึกทึกจอแจ แผงผลไม้สด กลิ่นคละเคล้าทั้งหอมและฉุน เนื้อย่าง สมุนไพรแห้ง กลิ่นหมึกกระดาษ ฯลฯ
ท่ามกลางความวุ่นวายนั้น… หากเดินเลาะไปจนถึงมุมหนึ่งของตลาด จะเห็นร้านเล็ก ๆ มุงด้วยหลังคากระเบื้องเรียบง่าย หน้าร้านแขวนกระทะ จอบ เสียม มีด และอาวุธพื้นบ้านหลากชนิด เสียง แกร๊ง! แกร๊ง! ของค้อนกระทบเหล็กดังสม่ำเสมอ
นี่คือ ร้านตีเหล็กของเลี่ยหยาง ชายหนุ่มวัย 17 ปี หล่อ อกใหญ่ กล้ามท้องกล้ามแขนแน่น เขาเป็นคนขี้ร้อนจึงชอบถอดเสื้อทำงาน
รูปร่างสูงหุ่นดีมากมีเหงื่อไคลไหลชุ่มทั้งใบหน้า อก ท้อง และมีรอยเปื้อนนิดๆ โคตรเท่ห์ นั่นทำให้สาวน้อยสาวใหญ่เมื่อเดินผ่านต่างกลืนน้ำลายอึกๆ
แถมเขายังเป็นคนสดใสร่าเริง อารมณ์ดี ชอบทักทายผู้คนไปทั่วอีกด้วย
"อ้าว! เจ๊! เดินผ่านมองหลายรอบแล้วนะ ปั้มลูกกับข้าเลยไหม?"
"ยืนหน้าร้านข้านาน ๆ เลยลุง เดี๋ยวลูกค้าเข้าร้านข้าเยอะ!"
"ว่าไงเจ้าหนู ซาลาเปาตรงนั้นอีกเดี๋ยวเจ้าของไม่อยู่ เจ้าฉกมาแบ่งกับข้าคนละลูกนะ"
ฯลฯ
กวนๆแบบนี้แหละเลี่ยหยาง ทุกคนในตลาดต่างพูดกันว่าเทพซื่อหมิง(เทพแห่งการควบคุมชีวิตและชะตากรรมของมนุษย์)ทรงให้ความหล่อแมนแก่เลี่ยหยาง แต่...ลืมให้ตำราวิธีใช้มาด้วย
....แล้วสายตาทุกคู่ก็เหลียวมามอง คุณชายชุดขาว ร่างสูง เส้นผมสีดำยาวสวย ห้อยกระบี่ไว้ที่ข้างเอว ใบหน้าหล่อเหลาราวเทพเซียนสวรรค์ มือข้างหนึ่งถือปิ่นโตมาด้วย เขาเดินมาหยุดที่หน้าร้านช่างตีเหล็ก
เลี่ยหยางชะโงกหน้าขึ้นมามองและยิ้มให้
"คุณชายท่านนี้ มาร้านตีเหล็กเหม็นอับ ท่านจะมาซื้อกระทะเป็นของขวัญคุณหนูคนงามในดวงใจท่านหรืออย่างไร? ฮ่าๆๆ"
ไป๋เยว่หลิงไม่ตอบ เขายืนนิ่งๆ แววตาเย็นชา ราวกับจะดับไฟเตาเผา
"หรือ...ท่านชอบของแปลก ๆ อย่างข้าล่ะ? ปกติคนทั้งตลาดเขาอยากอยู่ใกล้สาวงาม แต่ท่านกลับยืนดมกลิ่นเหงื่อข้าอยู่ตรงนี้ล่ะ ฮ่าๆ"
ไป๋เยว่หลิงยื่นหน้าไปใกล้ใบหน้าเลี่ยหยางและสอดส่ายสายตามองรอบ ๆ ใบหน้าอย่างพิจารณา ทำเอาสาว ๆ ป้า ๆ ที่อยู่ร้านค้าแถวนั้นมองด้วยสายตาเขินแก้มแดง
"ท...ท่านจะทำอะไร???"
"อืมม...แผลแห้งละ ดีที่ไม่เป็นแผลเป็น..." คนแซ่ไป๋มองที่รอยแผลเล็กๆตรงคอแล้วพูด
เลี่ยหยางหน้าถอดสีนิดหน่อย "ไอ้หล่อนี่ ...มันจำข้าได้!" มือเขากำค้อนตีเหล็กร้อนๆไว้แน่น!
ไป๋เยว่หลิงชักกระบี่ออกมา เลี่ยหยางในใจเตรียมต่อสู้
แต่แล้วไป๋เยว่หลิงเดินผ่านเขาไปแล้วเอากระบี่วางไว้ที่โต๊ะ
"กระบี่ข้า ....ซ่อมด้วย"
เลี่ยหยางถอนหายใจยาว "ด่ะ....ได้ขอรับคุณชาย"
เยว่หลิงเอาปิ่นโตวางบนโต๊ะ "กินซะ มัวแต่ทำงานเดี๋ยวไม่มีแรง"
แล้วเขาก็เดินจากไปดื้อๆ
"ห....เห้! เดี๋ยวสิ!" เลี่ยหยางงงกับกริยาท่าทางของเยว่หลิง แม้เรียกตาม แต่คุณชายชุดขาวก็เดินจากไปไม่สนใจ
เขาเปิดปิ่นโตดูพบหมั่นโถวร้อนๆกับไก่ตุ๋นและเนื้อย่าง 3 อย่างกลิ่นช่างหอมกรุ่นเรียกน้ำย่อยยิ่งนัก
เลี่ยหยางมองอาหารพวกนี้และกระบี่ที่วางบนโต๊ะด้วยความงุนงง(อย่างแรง)
"อะไรของมันวะ!"
....กลางคืนคลี่คลุมเมืองใหญ่ด้วยม่านแสงจันทร์สลัว เสียงดนตรีจากพิณ กลอง และขลุ่ยดังผสานก้องไปทั่วหอนางโลมชื่อดังแห่งหนึ่ง ประตูใหญ่ประดับโคมไฟแดงแกว่งไกว สาดแสงวาบอาบผิวถนนด้วยเงาอุ่นราวเปลวเพลิงในราตรี
ภายในหอเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะอันเสนาะหู กลิ่นสุราหอมแรงผสมกลิ่นกำยานกรุ่นฟุ้ง ชายหนุ่มผู้มั่งคั่งนั่งรายล้อมด้วยเหล่าสาวงามนับสิบ ร่างบางในอาภรณ์แพรพริ้วโลดแล่นอยู่กลางห้อง โค้งกายเริงระบำดั่งผีเสื้อเล่นไฟ เสียงถ้วยสุรากระทบกันดัง แกร๊ง สลับเสียงปรบมือแซ่ซ้อง ขับบรรยากาศให้ยิ่งรื่นเริง
เลี่ยหยางนั่งดื่มสุราอยู่ในห้องๆหนึ่ง มีสาวงาม 3 คนล้อมหน้าหลัง แม้จะสวมเสื้อแต่เขาไม่ได้ใส่กระดุมเปิดให้เห็นหน้าอกแน่นๆและกล้ามท้องซิกแพคชัดเจน ทำเอาสาวๆใจเต้นเข้าไปซบ กอด ลูบ นัวเนียร่างกายเขาไม่ห่าง
แม้ท่าทางจะเฮฮา แต่...แววตาเขากลับเรียบนิ่งเฉียบคม แฝงไว้ด้วยความเย้ยหยันต่อความฟุ้งเฟ้อรอบกาย เขายกถ้วยสุราจิบเบา ๆ แสร้งยิ้มรับเสียงเชิญชวนของสาวงามที่นั่งเคียงข้าง
แต่ภายในใจหาได้สนใจสุราหรืออกนวลตรงหน้าไม่ สายตาของเขากลับจับจ้องไปยังขุนนางกังฉินคนหนึ่งที่กำลังร่ำสุรานารีตัวท๊อปๆของหอ อยู่ที่ห้องโถงด้านล่าง
..."เหยื่อ" กำลังหัวร่อสำราญ กอดนางคณิกาไว้แนบกายโดยไม่รู้เลยว่าเงามัจจุราชได้เฝ้ามองอยู่ไม่ไกล...
....ทันใดนั้น ประตูหน้าก็เปิดออก เผยให้เห็นร่างสูงสง่าของชายหนุ่มในชุดขาวสะอาดตา ผ้าพราวตัดเย็บเนี้ยบเรียบร้อยเหมือนหิมะทอประกายยามกลางแสงตะเกียง ใบหน้าหล่อเหลาบริสุทธิ์คมชัดของเด็กหนุ่ม 18 ปีวัยขบเผาะ ดวงตาคมกริบเย็นดุจจันทรา ท่วงท่าการเดินมั่นคงทุกก้าว ราวกับดวงจันทร์ลอยเหนือคลื่นในยามราตรี
ความเงียบเกิดขึ้นชั่วขณะ เสียงหัวเราะและดนตรีที่เคยคึกคักก็ราวกับถูกดึงให้ชะงักลง แม่เล้ากับสาวงามทั้งห้องต่างหยุดชะงัก มือที่ถือถ้วยสุราตกลงพื้น แขกทุกคนมองไปยังชายชุดขาวด้วยสายตาตื่นตะลึง
สาวงามมากมายผงะจากแขกรีบวิ่งไปหาคุณชายไป๋ บ้างจับแขนควงแขน บ้างเอาหน้าอกไปแนบ ห้อมล้อมไป๋เยว่หลิงหลายสิบคน ทำเอาแขกในร้านไม่พอใจ จนแม่เล้าต้องรีบเดินเข้ามา
"ไม่คิดเลยว่าหอข้าจะมีวาสนาได้ต้อนรับคุณชายไป๋ผู้สง่างาม"
"แต่....คุณชายโปรดเลือกสาวงามสักคนเถิด หากทุกคนมาห้อมล้อมแต่ท่านเช่นนี้ ข้าเกรงแขกอื่น ๆ จะทนความเหงาไม่ไหว"
ไป๋เยว่หลิงไม่ตอบ เขามองไปรอบๆ และเริ่มมองขึ้นไปด้านบน
"ให้ข้าเรียกแม่นางลี่เหม่ยหลันสาวงามที่สุดขอร้านมารับใช้คุณชายดีไหมเจ้าคะ"
ไป๋เยว่หลิงยังคงไม่ตอบแม่เล้า เขาสอดส่ายสายตามองจนเห็นเลี่ยหยางนั่งอยู่บนชั้นสอง เขาจึงรีบเดินออกจากฝูงสาวงาม
"ข้าไม่ได้มาเที่ยว..." แล้วเขาก็เดินจ้ำอ้าวขึ้นไปชั้นสอง แม่เล้าอ้าปากค้างทำอะไรไม่ถูก
เลี่ยหยางเห็นเยว่หลิงเดินมาหาทางตนก็เขินรีบลงไปมุดหลบใต้โตีะ แต่ไม่ทันแล้วคุณชายไป๋เปิดประตูห้องเข้ามาแล้ว
เขาเดินมาที่โต๊ะ โดยไม่สนใจเสียงกรี๊ดกร๊าดของนางโลมทั้ง 3 เดินมาที่โต๊ะ แล้วลงนั่งยองๆ เปิดผ้าเห็นเลี่ยหยางซ่อนอยู่ใต้โตีะ
"แหะๆ สวัสดีขอรับคุณชาย +_+ "
เยว่หลิงไม่ตอบ เขามุดเข้าไปใต้โต๊ะหาเลี่ยหยาง ผ้าคลุมโต๊ะตกลงมาปิดจนทำให้เขา 2 คนมุดอยู่ใต้โต๊ะ สาวๆมองด้วยใจเต้น ผู้ชาย 2 มุดโต๊ะอยู่ด้วยกันตามลำพัง พวกเขา พวกเขา พวกเขา .....(สาวๆจินตนาการจนเคลิ้ม)
แล้วเยว่หลิงก็เอื้อมมือมาที่ใบหน้าเลี่ยหยาง
"ท...ท่านจะทำอะไร อร๊ายยย! อ...อย่านะ! ข....ข้า....ช่วยข้าด้วย!" เลี่ยหยางหลับตาปี๋ >_<
แต่ไม่มีใครคิดจะช่วย สาวทั้ง 3 คนได้ยินเสียงร้องของเลี่ยหยางกลับกรี๊ดกร๊าดหัวใจตื่นเต้นใจรัวๆ คนหล่อ 2 คนทำอะไรกันแล้ว!
พอเลี่ยหยางลืมตา เขาก็เห็นมือของไป๋เยว่หลิงกำลังใช้ผ้าโพกสีแดงผูกศรีษะให้เขาอยู่ มือของเขาช่างขาวเนียนยิ่งกว่าสตรีเสียอีก ไม่น่าเชื่อเลยว่านี่คือมือของนักกระบี่เลื่องชื่อ
“ผ้าโพกศรีษะของเจ้าเก่าแล้ว เปลี่ยนมาใช้ผืนใหม่นี่แทน...”
เลี่ยหยางมองผ้าโพกศรีษะสีแดงแล้วเขินๆ
“ข...ขอบคุณ ๆ ชายมากขอรับ แต่แค่เรื่องเล็กน้อยๆ แค่นี้...”
เลี่ยหยางเอามือจับผ้า ชี้ไปยังหัวตัวเอง
“ผ้านี้คุณชายจะให้ข้าเอาไว้ป้องกันสะเก็ดเหล็ก ...หรือป้องกันใจข้าจากท่านดีล่ะ ฮ่าๆๆ”
ไป๋เยว่หลิงสายตาเย็นเฉียบ แต่ดวงตาแวววาวบางอย่าง
“ทั้ง 2 อย่าง”
เยว่หลิงลุกขึ้น แล้วเขาก็ออกจากห้อง เดินตรงออกประตูจากไป
เลี่ยหยาง ทำมือบอกพวกลูกน้องที่ปลอมตัวอยู่ในหอนางโลม ให้ยกเลิกแผนคืนนี้ เหตุการณ์ไม่ปกติแล้ว...
.....มหานครกว่างโจว ประตูทะเลใต้ของแผ่นดิน แม่ไม่ใช่เมืองชายแดน แต่คือประตูการค้า ที่เปิดสู่โลกภายนอกมาตั้งแต่โบราณตั้งอยู่ริมแม่น้ำจูเจียงที่กว้างใหญ่ ราวกับรู้ดีว่ามันแบกความมั่งคั่งของแผ่นดินทั้งภาคใต้ไว้ตัวเมืองล้อมด้วยกำแพงหินหนา คูน้ำรอบเมืองเชื่อมต่อกับแม่น้ำโดยตรง ถนนหลักปูด้วยหินสีคล้ำจากการเหยียบย่ำหลายร้อยปีซอยย่อยคดเคี้ยวแคบ ลึก และอับชื้น เหมาะแก่การค้า…และการหายตัวไปของคนเรือนอาคารส่วนใหญ่เป็นไม้ หลังคากระเบื้องโค้งต่ำ ออกแบบให้รับลมทะเลและระบายความชื้นกว่างโจวคือเมืองที่พ่อค้าจากเปอร์เซีย อาหรับ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เดินปะปนกับพ่อค้าจีนภาษาในตลาดไม่เคยเป็นภาษาเดียว เงินตรา ข่าวลือ และคนแปลกหน้า ไหลเวียนเร็วกว่าแม่น้ำกลางวันเป็นเมืองดูมีชีวิต เสียงเจรจาซื้อขาย กลิ่นชา เครื่องเทศ ผ้าไหม และเกลือทะเลส่วนกลางคืน เมืองเปลี่ยนหน้า โรงน้ำชาแปรเป็นที่พบปะ ท่าเรือกลายเป็นจุดลักลอบ และกฎหมายอ่อนแรงลงตามแสงตะเกียง"ที่ใดเงินไหลแรง ที่นั่นคุณธรรมต้องว่ายน้ำเก่ง"กว่างโจวไม่ใช่เมืองที่คนเท่าเทียม พ่อค้ารวยกว่าขุนนางบางตำแหน่งขุนนางพึ่งพาพ่อค้า ยุทธภพแทรกซึมอยู่ตามท่าเรือ
....คืนนี้หิมะตกลงมาไม่ขาดสาย ราวกับสวรรค์ตั้งใจจะลบเลือนร่องรอยทุกสิ่ง ป่าใหญ่เงียบงันจนได้ยินเพียงเสียงลมพัดผ่านกิ่งสนแห้ง และเสียงหิมะที่ร่วงลงจากหลังคากระท่อมไม้ทีละก้อน กระท่อมที่หญิงชรานั่งบนรถเข็นหลังนี้ทั้งเก่า ทรุดโทรม แต่ยังดีที่โครงสร้างไม้นั้นแข็งแรงดีไป่เยว่หลิงถอดเสื้อนอนบนนอนบนเตียงไม้ใจเขาเหมือนหัวใจของใครบางคนที่แม้จะแตกสลาย เตาไฟอุ่นๆไม่ได้ทำให้ความหนาวเย็นในใจอบอุ่นขึ้นเลย มือของเขาจิกเข้าไปที่ผิวเนื้อตนเองจนมีรอยเลือด เปลวไฟส่องสะท้อนดวงตาที่ไร้ประกาย ราวกับแสงทั้งหมดในชีวิตเขา ถูกฝังกลบไปพร้อมกับร่างของผู้ใหญ่ที่จากไปอย่างไม่เป็นธรรมความตายอาจไม่ได้น่ากลัว เท่ากับการจากไปโดยไม่ทันได้บอกลา โดยทิ้งสิ่งต่างๆมากมายทิ้งไว้ให้ผู้ที่ยังมีชีวิตเลี่ยหยางยืนมองดูเยว่หลิงอยู่ข้างๆ แววตาเต็มไปด้วยความเป็นห่วง แผ่นหลังนั้น ร่างผอมบางนั้น ปกติเจ้าก้เย็นชาไม่เปิดใจรับผู้ใดอยุ่แล้ว แต่บัดนี้เจ้าดูแข็งทื่อราวกับรูปสลักจากน้ำแข็งเสียแล้วเลี่ยหยางรู้ดี คำพูดในยามนี้ไร้ความหมาย การปลอบโยนที่ดีที่สุด คือ.....เขาวางฟืนเพิ่มลงในเตาไฟ เสียงไม้แตกดังขึ้นเล็กน้อย ไฟลุกโชนขึ้นอีกครั้
....ณ หลังเขาแห่งหนึ่ง ที่นี่เคยปกคลุมทุ่งนาที่เขียวขจีด้วยต้นกล้าอ่อน เสียงไก่ขันและสุนัขเห่าเป็นจังหวะ เด็กๆ วิ่งเล่นไล่จับกันบนทางดิน เสียงควายไถนาสลับกับเสียงนกเกาะคันนา ที่นี่เคยมีหมู่บ้านอยู่อาศัยกลมกลืนกับธรรมชาติเวลาจะผ่านมาถึงราวๆ 170 - 180 ปีแล้วปัจจุบันกลายเป็นเมืองเล็กๆเมืองหนึ่ง เวลาที่ยาวนานเกินกว่าจะเป็นที่จดจำได้ของมนุษย์ปกติ ข่าวลือเรื่องที่มีคนตายทั้งหมู่บ้านค่อยๆสูญหายไปกับกาลเวลา จึงมีผู้คนใหม่ค่อยๆมาตั้งรกรากอาศัยจนเติบโตกลายเป็นเมืองเล็กๆอย่างไรก็ดีหลุมศพของหลันหลินนั้นยังอยู่ แม้จะเก่าโทรมไปมากแต่ก็ยังอยู่ราวกับรอวันที่พี่หลินเซียนของเธอจะกลับมาหาอีกครั้งในมือหลินเซียนมีเมล็ดดอกไม้,ขนมเคลือบน้ำตาล และหนังสือนิทานเล่มหนึ่ง เขาโรยเมล็ดดอกไม้นั้นรอบหลุมศพ แล้วให้เสี่ยวหมิงช่วยเร่งให้ดอกไม้เหล่านั้นเติบโตจนบานดอกสวยงามรอบหลุมศพ หลังจากนั้นเขาจึงวางขนมเคลือบน้ำตาลลง และคลี่อ่านหนังสือนิทานหน้าหลุมศพหลันหลินอยู่นาน มีสายลมพัดเย็นอยู่ตลอดเวลา ราวกับมีเด็กน้อยหลันหลินมานอนหนุนตักพี่หลินเซียนอนฟังนิทานดั่งแต่ก่อนเก่าเมื่ออ่านนิทานจบแล้วหลินเซียนใช้หินก้อนหนึ่งมาสลัก
.....ปรมาจารย์ยุทธภพ ในร่างชายชราชุดยาวสีขาวประดับลวดลายสวยงาม ลูบเคราจ้องมองไป๋เยว่หลิงด้วยแววตาเยือกเย็น ส่วนเลี่ยหยางนั้นก็ลุกขึ้นมาเคียงข้างเยว่หลิง ในมือถือดาบ แต่เยว่หลิงยังไม่ชักกระบี่ออกมาแต่อย่างใด"คนอย่างท่านทำไมถึงทรยศได้!" เจ้าสำนักหนึ่งที่ถูกจับในตาข่ายตะโกนเสียงดังปรมาจารย์ไม่สนใจ เขาพูดกับเยว่หลิงแทน"ถ้าเจ้ายอมสวามิภักดิ์ต่อองค์ชาย ข้าจะทูลเสนอแต่งตั้งให้เจ้าได้เป็นราชครูในอนาคต"องค์ชายทุ่งหญ้าหันหน้ามาทำท่าจะแย้ง แต่ท่านปรมาจารย์ห้ามไว้ เขาจึงไม่พูด แต่แววตามีความไม่พอใจเล็กน้อย"คนผู้นี้ หากได้เป็นพรรคพวก หลังจากข้าสิ้นลมไปแล้ว ย่อมคุ้มครองพระองค์และราชบัลลังค์ไม่ให้สั่นคลอนได้แน่นอน""ข้าก็จะได้จากไปโดยไม่มีห่วง"ผู้เฒ่าคิดการณ์ไกลกว่าองค์ชายเด็กน้อยยิ่งนัก แววตาที่เขามององค์ชายทุ่งหญ้าแสดงถึงความสัมพันธ์เกินกว่าธรรมดาปรมาจารย์อ้าแขนเชิญชวนไป๋เยว่หลิง"มาด้วยกันเถอะ ยังไงราชวงศ์นี้ก็ทำเลวกับพ่อและเจ้าไว้มาก ไม่ควรค่าแก่การปกป้องพวกมัน"เลี่ยหยางมองตาเยว่หลิง บัดนี้แววตาเขาเยือกเย็นกว่าเดิมยิ่งนัก เหมือนเขากำลังครุ่นคิดอะไรอยู่ลมพัด ใบไม้ร่วงปลิว บรรยากาศระหว่า
.....หลังจากนั้นก็มีจอมยุทธคู่อื่นๆขึ้นไปประลองฝีมือกันบนลานต่อสู้อีกหลายคู่ ส่วนไป๋เยว่หลิงก้กลับมาที่ร้านน้ำชาร้านเดิมนั่งจืบชาพักเหนื่อยอย่างใจเย็น ส่วนเลี่ยหยางก็กินขนมอย่างเอร็ดอร่อยชมการต่อสู้อยู่ข้างๆ มีจอมยุทธหญิงหลายคนเข้ามาคุยคุณชายไป๋ เลี่ยหยางเอามือจับเยว่หลิงไว้ไม่ปล่อย แม้จะมองไปางลานประลอง แต่เขาก็แอบชำเลืองมองมาเป็นระยะๆทุกครั้งที่มีคนเข้ามาพูดคุยกับเยว่หลิง ซึ่งเยว่หลิงก็รู้ จึงไม่ค่อยพูด นั่นทำให้บทสนทนาไม่ยาว จอมยุทธเหล่านั้นก็ลาจากไปแล้วก็มีชายชราชุดยาวสีขาวประดับลวดลายสวยงาม สายตาเยือกเย็นและสง่างามมาหยุดตรงหน้าเยว่หลิงและเลี่ยหยาง เขาคือปรมาจารย์ผู้เป็นประธานงานประลองนี้นี่เอง เลี่ยหยางรีบวางขนมและลุกขึ้นโค้งคำนับ แต่เยว่หลิงยังคงนั่งจิบชาอยู่เช่นเดิม เลี่ยหยางพยายามสะกิดแต่เยว่หลิงก็ทำไม่สนใจ"ไม่เป็นไร ชายแก่เช่นข้าแค่มาทักเด็กหนุ่มรุ่นใหม่ที่มีพรสวรรค์เท่านั้นเอง" เขามองเยว่หลิงด้วยแววตาเป็นมิตร"กี่คน?" เยว่หลิงมองที่ปรมาจารย์ และเอ่ยปากถาม ปรมาจารย์ทำหน้ายิ้มและงงกับคำถาม"เมื่อกี้ท่านฆ่าไปกี่คน?" "ข้าได้กลิ่นเลือดจากท่าน"ใบหน้าชายชราเปลี่ยนจากรอยยิ้มเป็
.....เยว่หลิงชี้กระบี่ลง มือขวาจับกระบี่แน่น เขาตั้งใจใช้เพลงกระบี่จันทราอีกครั้ง"ไม่นะหลิงหลิง เจ้าไม่ไหวแล้ว" เลี่ยหยางตะโกนขึ้นไปบนลานประลอง แต่หยว่หลิงยังทำหน้าเย็นชา เขาเอียงศรีษะใช้หูฟังตำแหน่งคู่ต่อสู้แทนดวงตาชายร่างอ้วนแสยะยิ้ม เขาตั้งกระบวนท่า สุดลมหายใจเข้า เสื้อผ้าเขาพริ้วลมได้อย่างประหลาด"แย่แล้ว ฝ่ามือยมฑูต! เจ้าหนูรีบยอมแพ้ลงจากเวที!" เจ้าสำนักชื่อดังคนหนึ่งตะโกน แต่เยว่หลิงไม่สนใจ ท่าทางเขาสงบยิ่งนัก เลี่ยหยางมองด้วยสายตาที่เป็นห่วงมาก แต่ที่เขาไม่ขึ้นไปช่วย เพราะเชื่อมั่นในตัวเยว่หลิงไม่รอช้าชายร่างอ้วนพุ่งฝ่ามือเข้ามาหาตรงๆ พลังนั้นรุนแรงและเร็วมากจนอากาศเสียดสีเป็นเสียงออกมา"อ๊าก!" มือชายร่างอ้วนขาดกระเด็นทุกคนมองมาที่คุณชายชุดขาว เขายังไม่ได้ขยับกระบี่เลยนี่นา กระบี่ยังชี้ลงด้านล่างเช่นเดิม เขาทำได้ยังไง??แต่...ปรมาจารย์ลูบเคราและยิ้มอย่างมีนัยยะ เขารู้ว่าไป๋เยว่หลิงใช้อะไรตัดข้อมือชายอ้วนชายสูงสง่ารู้สึกเสียหน้า เขาสั่งให้ชายร่างกำยำอีกคนขึ้นไป คนนี้ถือดาบใหญ่ เป็นดาบที่ไม่เหมือนดาบในภาคกลางทั่วไป ดาบหยาบกร้าน แต่ดูใหญ่แข็งแรง เหมือนเป็นท่อนเหล็กทื่อๆมากกว


![What is a divorce? [Mpreg]](https://acfs1.goodnovel.com/dist/src/assets/images/book/43949cad-default_cover.png)




![เกือบหอบลูกหนีเพราะสามีไม่รัก[PWP]-Omegaverse](https://acfs1.goodnovel.com/dist/src/assets/images/book/43949cad-default_cover.png)