LOGIN.....มหานครกว่างโจว ประตูทะเลใต้ของแผ่นดิน แม่ไม่ใช่เมืองชายแดน แต่คือประตูการค้า ที่เปิดสู่โลกภายนอกมาตั้งแต่โบราณตั้งอยู่ริมแม่น้ำจูเจียงที่กว้างใหญ่ ราวกับรู้ดีว่ามันแบกความมั่งคั่งของแผ่นดินทั้งภาคใต้ไว้ตัวเมืองล้อมด้วยกำแพงหินหนา คูน้ำรอบเมืองเชื่อมต่อกับแม่น้ำโดยตรง ถนนหลักปูด้วยหินสีคล้ำจากการเหยียบย่ำหลายร้อยปีซอยย่อยคดเคี้ยวแคบ ลึก และอับชื้น เหมาะแก่การค้า…และการหายตัวไปของคนเรือนอาคารส่วนใหญ่เป็นไม้ หลังคากระเบื้องโค้งต่ำ ออกแบบให้รับลมทะเลและระบายความชื้นกว่างโจวคือเมืองที่พ่อค้าจากเปอร์เซีย อาหรับ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เดินปะปนกับพ่อค้าจีนภาษาในตลาดไม่เคยเป็นภาษาเดียว เงินตรา ข่าวลือ และคนแปลกหน้า ไหลเวียนเร็วกว่าแม่น้ำกลางวันเป็นเมืองดูมีชีวิต เสียงเจรจาซื้อขาย กลิ่นชา เครื่องเทศ ผ้าไหม และเกลือทะเลส่วนกลางคืน เมืองเปลี่ยนหน้า โรงน้ำชาแปรเป็นที่พบปะ ท่าเรือกลายเป็นจุดลักลอบ และกฎหมายอ่อนแรงลงตามแสงตะเกียง"ที่ใดเงินไหลแรง ที่นั่นคุณธรรมต้องว่ายน้ำเก่ง"กว่างโจวไม่ใช่เมืองที่คนเท่าเทียม พ่อค้ารวยกว่าขุนนางบางตำแหน่งขุนนางพึ่งพาพ่อค้า ยุทธภพแทรกซึมอยู่ตามท่าเรือ
....คืนนี้หิมะตกลงมาไม่ขาดสาย ราวกับสวรรค์ตั้งใจจะลบเลือนร่องรอยทุกสิ่ง ป่าใหญ่เงียบงันจนได้ยินเพียงเสียงลมพัดผ่านกิ่งสนแห้ง และเสียงหิมะที่ร่วงลงจากหลังคากระท่อมไม้ทีละก้อน กระท่อมที่หญิงชรานั่งบนรถเข็นหลังนี้ทั้งเก่า ทรุดโทรม แต่ยังดีที่โครงสร้างไม้นั้นแข็งแรงดีไป่เยว่หลิงถอดเสื้อนอนบนนอนบนเตียงไม้ใจเขาเหมือนหัวใจของใครบางคนที่แม้จะแตกสลาย เตาไฟอุ่นๆไม่ได้ทำให้ความหนาวเย็นในใจอบอุ่นขึ้นเลย มือของเขาจิกเข้าไปที่ผิวเนื้อตนเองจนมีรอยเลือด เปลวไฟส่องสะท้อนดวงตาที่ไร้ประกาย ราวกับแสงทั้งหมดในชีวิตเขา ถูกฝังกลบไปพร้อมกับร่างของผู้ใหญ่ที่จากไปอย่างไม่เป็นธรรมความตายอาจไม่ได้น่ากลัว เท่ากับการจากไปโดยไม่ทันได้บอกลา โดยทิ้งสิ่งต่างๆมากมายทิ้งไว้ให้ผู้ที่ยังมีชีวิตเลี่ยหยางยืนมองดูเยว่หลิงอยู่ข้างๆ แววตาเต็มไปด้วยความเป็นห่วง แผ่นหลังนั้น ร่างผอมบางนั้น ปกติเจ้าก้เย็นชาไม่เปิดใจรับผู้ใดอยุ่แล้ว แต่บัดนี้เจ้าดูแข็งทื่อราวกับรูปสลักจากน้ำแข็งเสียแล้วเลี่ยหยางรู้ดี คำพูดในยามนี้ไร้ความหมาย การปลอบโยนที่ดีที่สุด คือ.....เขาวางฟืนเพิ่มลงในเตาไฟ เสียงไม้แตกดังขึ้นเล็กน้อย ไฟลุกโชนขึ้นอีกครั้
....ณ หลังเขาแห่งหนึ่ง ที่นี่เคยปกคลุมทุ่งนาที่เขียวขจีด้วยต้นกล้าอ่อน เสียงไก่ขันและสุนัขเห่าเป็นจังหวะ เด็กๆ วิ่งเล่นไล่จับกันบนทางดิน เสียงควายไถนาสลับกับเสียงนกเกาะคันนา ที่นี่เคยมีหมู่บ้านอยู่อาศัยกลมกลืนกับธรรมชาติเวลาจะผ่านมาถึงราวๆ 170 - 180 ปีแล้วปัจจุบันกลายเป็นเมืองเล็กๆเมืองหนึ่ง เวลาที่ยาวนานเกินกว่าจะเป็นที่จดจำได้ของมนุษย์ปกติ ข่าวลือเรื่องที่มีคนตายทั้งหมู่บ้านค่อยๆสูญหายไปกับกาลเวลา จึงมีผู้คนใหม่ค่อยๆมาตั้งรกรากอาศัยจนเติบโตกลายเป็นเมืองเล็กๆอย่างไรก็ดีหลุมศพของหลันหลินนั้นยังอยู่ แม้จะเก่าโทรมไปมากแต่ก็ยังอยู่ราวกับรอวันที่พี่หลินเซียนของเธอจะกลับมาหาอีกครั้งในมือหลินเซียนมีเมล็ดดอกไม้,ขนมเคลือบน้ำตาล และหนังสือนิทานเล่มหนึ่ง เขาโรยเมล็ดดอกไม้นั้นรอบหลุมศพ แล้วให้เสี่ยวหมิงช่วยเร่งให้ดอกไม้เหล่านั้นเติบโตจนบานดอกสวยงามรอบหลุมศพ หลังจากนั้นเขาจึงวางขนมเคลือบน้ำตาลลง และคลี่อ่านหนังสือนิทานหน้าหลุมศพหลันหลินอยู่นาน มีสายลมพัดเย็นอยู่ตลอดเวลา ราวกับมีเด็กน้อยหลันหลินมานอนหนุนตักพี่หลินเซียนอนฟังนิทานดั่งแต่ก่อนเก่าเมื่ออ่านนิทานจบแล้วหลินเซียนใช้หินก้อนหนึ่งมาสลัก
.....ปรมาจารย์ยุทธภพ ในร่างชายชราชุดยาวสีขาวประดับลวดลายสวยงาม ลูบเคราจ้องมองไป๋เยว่หลิงด้วยแววตาเยือกเย็น ส่วนเลี่ยหยางนั้นก็ลุกขึ้นมาเคียงข้างเยว่หลิง ในมือถือดาบ แต่เยว่หลิงยังไม่ชักกระบี่ออกมาแต่อย่างใด"คนอย่างท่านทำไมถึงทรยศได้!" เจ้าสำนักหนึ่งที่ถูกจับในตาข่ายตะโกนเสียงดังปรมาจารย์ไม่สนใจ เขาพูดกับเยว่หลิงแทน"ถ้าเจ้ายอมสวามิภักดิ์ต่อองค์ชาย ข้าจะทูลเสนอแต่งตั้งให้เจ้าได้เป็นราชครูในอนาคต"องค์ชายทุ่งหญ้าหันหน้ามาทำท่าจะแย้ง แต่ท่านปรมาจารย์ห้ามไว้ เขาจึงไม่พูด แต่แววตามีความไม่พอใจเล็กน้อย"คนผู้นี้ หากได้เป็นพรรคพวก หลังจากข้าสิ้นลมไปแล้ว ย่อมคุ้มครองพระองค์และราชบัลลังค์ไม่ให้สั่นคลอนได้แน่นอน""ข้าก็จะได้จากไปโดยไม่มีห่วง"ผู้เฒ่าคิดการณ์ไกลกว่าองค์ชายเด็กน้อยยิ่งนัก แววตาที่เขามององค์ชายทุ่งหญ้าแสดงถึงความสัมพันธ์เกินกว่าธรรมดาปรมาจารย์อ้าแขนเชิญชวนไป๋เยว่หลิง"มาด้วยกันเถอะ ยังไงราชวงศ์นี้ก็ทำเลวกับพ่อและเจ้าไว้มาก ไม่ควรค่าแก่การปกป้องพวกมัน"เลี่ยหยางมองตาเยว่หลิง บัดนี้แววตาเขาเยือกเย็นกว่าเดิมยิ่งนัก เหมือนเขากำลังครุ่นคิดอะไรอยู่ลมพัด ใบไม้ร่วงปลิว บรรยากาศระหว่า
.....หลังจากนั้นก็มีจอมยุทธคู่อื่นๆขึ้นไปประลองฝีมือกันบนลานต่อสู้อีกหลายคู่ ส่วนไป๋เยว่หลิงก้กลับมาที่ร้านน้ำชาร้านเดิมนั่งจืบชาพักเหนื่อยอย่างใจเย็น ส่วนเลี่ยหยางก็กินขนมอย่างเอร็ดอร่อยชมการต่อสู้อยู่ข้างๆ มีจอมยุทธหญิงหลายคนเข้ามาคุยคุณชายไป๋ เลี่ยหยางเอามือจับเยว่หลิงไว้ไม่ปล่อย แม้จะมองไปางลานประลอง แต่เขาก็แอบชำเลืองมองมาเป็นระยะๆทุกครั้งที่มีคนเข้ามาพูดคุยกับเยว่หลิง ซึ่งเยว่หลิงก็รู้ จึงไม่ค่อยพูด นั่นทำให้บทสนทนาไม่ยาว จอมยุทธเหล่านั้นก็ลาจากไปแล้วก็มีชายชราชุดยาวสีขาวประดับลวดลายสวยงาม สายตาเยือกเย็นและสง่างามมาหยุดตรงหน้าเยว่หลิงและเลี่ยหยาง เขาคือปรมาจารย์ผู้เป็นประธานงานประลองนี้นี่เอง เลี่ยหยางรีบวางขนมและลุกขึ้นโค้งคำนับ แต่เยว่หลิงยังคงนั่งจิบชาอยู่เช่นเดิม เลี่ยหยางพยายามสะกิดแต่เยว่หลิงก็ทำไม่สนใจ"ไม่เป็นไร ชายแก่เช่นข้าแค่มาทักเด็กหนุ่มรุ่นใหม่ที่มีพรสวรรค์เท่านั้นเอง" เขามองเยว่หลิงด้วยแววตาเป็นมิตร"กี่คน?" เยว่หลิงมองที่ปรมาจารย์ และเอ่ยปากถาม ปรมาจารย์ทำหน้ายิ้มและงงกับคำถาม"เมื่อกี้ท่านฆ่าไปกี่คน?" "ข้าได้กลิ่นเลือดจากท่าน"ใบหน้าชายชราเปลี่ยนจากรอยยิ้มเป็
.....เยว่หลิงชี้กระบี่ลง มือขวาจับกระบี่แน่น เขาตั้งใจใช้เพลงกระบี่จันทราอีกครั้ง"ไม่นะหลิงหลิง เจ้าไม่ไหวแล้ว" เลี่ยหยางตะโกนขึ้นไปบนลานประลอง แต่หยว่หลิงยังทำหน้าเย็นชา เขาเอียงศรีษะใช้หูฟังตำแหน่งคู่ต่อสู้แทนดวงตาชายร่างอ้วนแสยะยิ้ม เขาตั้งกระบวนท่า สุดลมหายใจเข้า เสื้อผ้าเขาพริ้วลมได้อย่างประหลาด"แย่แล้ว ฝ่ามือยมฑูต! เจ้าหนูรีบยอมแพ้ลงจากเวที!" เจ้าสำนักชื่อดังคนหนึ่งตะโกน แต่เยว่หลิงไม่สนใจ ท่าทางเขาสงบยิ่งนัก เลี่ยหยางมองด้วยสายตาที่เป็นห่วงมาก แต่ที่เขาไม่ขึ้นไปช่วย เพราะเชื่อมั่นในตัวเยว่หลิงไม่รอช้าชายร่างอ้วนพุ่งฝ่ามือเข้ามาหาตรงๆ พลังนั้นรุนแรงและเร็วมากจนอากาศเสียดสีเป็นเสียงออกมา"อ๊าก!" มือชายร่างอ้วนขาดกระเด็นทุกคนมองมาที่คุณชายชุดขาว เขายังไม่ได้ขยับกระบี่เลยนี่นา กระบี่ยังชี้ลงด้านล่างเช่นเดิม เขาทำได้ยังไง??แต่...ปรมาจารย์ลูบเคราและยิ้มอย่างมีนัยยะ เขารู้ว่าไป๋เยว่หลิงใช้อะไรตัดข้อมือชายอ้วนชายสูงสง่ารู้สึกเสียหน้า เขาสั่งให้ชายร่างกำยำอีกคนขึ้นไป คนนี้ถือดาบใหญ่ เป็นดาบที่ไม่เหมือนดาบในภาคกลางทั่วไป ดาบหยาบกร้าน แต่ดูใหญ่แข็งแรง เหมือนเป็นท่อนเหล็กทื่อๆมากกว







