เข้าสู่ระบบ....ยามเช้าในตลาดคึกคักด้วยเสียงเรียกขายของของพ่อค้าแม่ค้า กลิ่นหอมของเกี๊ยวนึ่งร้อนและชาใหม่ลอยคลุ้งปะปนกับกลิ่นควันถ่าน ผู้คนพลุกพล่านขวักไขว่ ทั้งเด็กวิ่งเล่น ทั้งชาวบ้านหาบหามของ มอบชีวิตชีวาให้แก่เมืองแห่งนี้
ณ หน้าร้านตีเหล็กเลี่ยวหยาง ไป๋เยว่หลิงยืนนิ่งรอร้านเปิด มือขวาถือปิ่นโตข้างในมีชามโจ๊กใส่เนื้อและผลไม้อยู่ ข้างเอวมีฝักกระบี่เปล่าห้อยเหน็บอยู่
แต่ยืนรออยู่หลายชั่วยามร้านตีเหล็กก็ไม่เปิด จนป้าขายหมูร้านข้างๆหันมาบอกว่า
"พ่อหนุ่ม ข้าว่าเจ้าเลี่ยหยางมันเมาไม่สร่างแน่ๆเลย มันก็ยังงี้แหละชอบออกไปกินเหล้ากับกลุ่มเพื่อนดึกๆดื่นๆ เดี๋ยวถ้ามันเปิดร้านแล้วข้าจะบอกให้ ท่านมาวันหลังเถอะนะ"
ไป๋เยว่หลิงรับฟัง จึงนำปิ่นโตให้ท่านป้า "ท่านป้าข้าฝากให้เขาด้วย" แล้วเขาก็เดินจากไป...
จริงๆเลี่ยงหยางแอบมองจากด้านในร้านผ่านช่องเล็กๆ
"ไอ้หน้าหล่อนี่ ตื้อข้าจริง!"
"เอายังไงดีหัวหน้า เมื่อคืนก็ต้องยกเลิกเพราะมัน" ลูกน้องข้าง ๆ พูดกับเลี่ยหยาง
"เราล้างสกุลมัน ตอนนี้มันล่วงรู้เงามือของเรา ไม่ควรปล่อยให้มีชีวิตอยู่ต่อไป..."
เลี่ยหยางพูดขัด "รอก่อน ข้าอยากดูมันอีกสักพัก"
ลูกน้องคนสนิทไม่พอใจ แต่ก็ไม่อยากขัดใจผู้เป็นนายจึงได้แต่นิ่งไป
เลี่ยหยางมองลอดรูไม้ดูไป๋เยว่หลิงค่อยๆเดินหายไปโดยไม่กระพริบตา
......ไป๋เยว่หลิงก้าวเท้าเข้าประตูใหญ่ของตระกูลไป๋ บ้านหลังใหญ่เงียบสงัดผิดกับภาพในอดีตที่เคยคึกคัก เสียงก้าวเท้าเขาดังก้องไปตามทางเดินไม้ยาว มุมมืดของบ้านยังมี ผ้าขาว แขวนตามเสาและขอบประตู ดำเนินพิธีไว้ทุกข์ให้คนภายนอกเห็นได้ชัดเจน
ในห้องโถงกลาง บ้านยังตั้งโต๊ะบูชาและป้ายวิญญาณของสมาชิกทุกคนที่ตายไปอยู่ตรงกลาง แผ่นไม้แกะสลักชื่อเรียงรายอย่างเรียบร้อย แม้ศพจะถูกฝังไปแล้ว แต่ตะเกียงวิญญาณยังถูกจุดไว้ไม่ให้ดับ เปลวไฟสั่นไหวราวกับมีลมหายใจลึกลับคอยพัดผ่าน
ไป๋เยว่หลิงมองไปที่โต๊ะบูชา มีผู้เฒ่าท่านหนึ่งกำลังอยู่ที่นั่น กลิ่นน้ำมันตะเกียง เสียงลมกระทบผ้าไว้ทุกข์ และแสงไฟที่ส่องบนป้ายวิญญาณ ทำให้เห็นใบหน้าชายผู้นี้ชัดเจน เป็นชายชราผมขาวนั่งอยู่หน้าโต๊ะบูชา ผิวพรรณเหี่ยวย่นแต่แววตายังเต็มไปด้วยความสง่าและความเคารพ เขาคือผู้แทนจากสกุลไป๋ตระกูลหลักที่เมืองหลวง กำลังคุกเข่าลงคำนับและตั้งจิตอธิษฐานต่อป้ายวิญญาณของตระกูลที่นี่
ไป๋เยว่หลิงเห็นดังนั้นก็ก้มคุกเข่าลงคำนับตามมารยาท แสดงความเคารพต่อผู้สูงอายุที่เป็นผู้แทนตระกูลหลัก จิตใจเคร่งขรึมและอ่อนโยน รู้สึกถึงความสำคัญของพิธีกรรมจีนโบราณและสายสัมพันธ์ระหว่างตระกูลย่อยกับตระกูลหลัก
“พ่อ แม่ พี่สาว น้องชาย…ร่างของเขายังมิทันเน่าเปื่อย เจ้ากลับไปเที่ยวหาความเพลิดเพลิน ณ สถานบันเทิง!"
"ช่างสมแล้วที่เป็นลูกชายของไอ้อัปยศนั่น! แค่มันตายไปก็ยังไม่เพียงพอที่มันทำให้สกุลไป่เสื่อมเสีย!”
แววตาเยว่หลิงเริ่มจมดิ่งลงสู่ความมืดและกดดัน
"นังโสเภณีร่านราคะนั่น! แม่เจ้า! มันทิ้งบิดาเจ้า หนีไปผูกมัดตนกับบุรุษอื่น เจ้าก็สืบกมลนิสัยมักมากกามราคะจากนาง!!”
มือของเยว่หลิงกำหมัดจนสั่น ขบที่มุมปาก
"พ่อเลี้ยง แม่เลี้ยง เจ้าอุตส่าห์เมตตารับเลี้ยงเจ้า แทนที่จะอยู่แสดงความกตัญญูด้วยการนั่งจดบันทึกคุณความดีของพ่อแม่เลี้ยงเจ้าเพื่อให้ลูกหลานต่อ ๆ ไปรู้จัก"
ชายชราเดินมาถีบหน้าเยว่หลิงเต็มแรงจนเขาล้มลงกับพื้น
"ไอ้อกตัญญู!"
เยว่หลิงค่อยลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าต่อหน้าชายชราเช่นเดิมและก้มหน้า
ชายชรายังไม่หายโมโห เขาถอดรองเท้ามาตบหน้าหลายฉาดอย่างรุนแรง จนเยว่หลิงเลือดออกจากมุมปาก
เขายังคงนิ่ง ดวงตาราวกับไร้ชีวิต หยดเลือดสีแดงลงเปื้อนเสื้อสีขาวของเขา
ชายชราหมดแรง จึงเอ่ยปากว่า "ข้าได้ข่าวว่าเจ้าคือนักกระบี่อัจฉริยะ ถ้าเจ้าแสดงฝีมือให้ข้าเห็น ข้าจะยังไม่ตัดเจ้าออกจากสกุลไป๋"
แล้วชายชราก็เรียกบริวารเข้ามา เป็นชายกำยำถือกระบี่จริง 5 คนท่าทางดูเป็นนักกระบี่ที่มีฝีมือช่ำชอง
พวกมันล้อมหลินเซียนไว้รอบลานหินกลางบ้าน เยว่หลิงลุกขึ้นยืนในสภาพไร้ไฟชีวิต ชายชรากลับไปนั่งดูที่เก้าอี้
"เริ่มได้" ชายชราตะโกน
...ไป๋เยว่หลิงยืนอยู่กลางลาน ฝักกระบี่เปล่าในมือเหมือนไร้พลัง แต่แววตาของเขาเยือกเย็นราวน้ำแข็งในฤดูหนาว ชายถือกระบี่ทั้ง 5 คนรุมเข้ามาไป๋เยว่หลิงตาเลื่อนลอย เขาพลิกฝักกระบี่ในมืออย่างลื่นไหล ราวกับมันคือกระบี่จริง เสียงลมฟาดดังฉับพลันเมื่อฝักกระบี่เหินตัดอากาศ ชายคนแรกฟาดกระบี่เข้าที่หน้าอก เขาเพียงสะบัดฝักกระบี่ บังคับแรงลมให้กระบี่คู่ต่อสู้ กระเด็นตกพื้น
ชายคนที่ 2 พุ่งเข้าประชิด ฟันกระบี่ราวกับจะแทงทะลุหน้า เขาใช้ฝักกระบี่หมุนตัว ปลายฝักฟาดเข้าที่แขนคู่ต่อสู้ กระเด็นไปชนเพดานกำแพง จนกระบี่ร่วง
อีก 3 คนพยายามล้อม ทั้งโจมตีแบบซิกแซก แต่ฝักกระบี่เปล่าของเขา ทุกจังหวะก้าวเหยียบจังหวะหายใจของศัตรู พลิกตัว หมุนข้อมือ ทุกฝักกระบี่ที่ฟาดออกไปเหมือน สายน้ำตัดหิน
คนแรกลุกขึ้นมายืนรอจังหวะแล้วฟันเข้าแรงจนไป๋เยว่หลิงต้องถอย แต่เพียงเสี้ยววินาที เขาใช้ฝักกระบี่ ดันแรงลมย้อนกลับ ส่งชายคนนั้นล้มกระเด็นออกไปจนกระบี่หลุดมืออีกครั้ง
อีก 2 คนเข้าฟันกระชั้นติดกัน ฝักกระบี่ของเขาพลิ้วเหมือนเงา สอดประสาน จังหวะเดียวปลายฝักกระบี่แตะกระบี่ทั้งสองจนกระเด็นตกพื้นพร้อมเสียงโลหะกระทบ
เสียงลมและเสียงโลหะดังก้องกลางลาน เสียงหัวใจชายถือกระบี่เต้นแรงขึ้นทุกวินาที ฝักกระบี่เปล่าของไป๋เยว่หลิงเคลื่อนตัวเหมือน กระบี่จริงหนึ่งเล่มฟาดฟันพร้อมกันหลายทิศ
ในเวลาเพียงเสี้ยวลมหายใจ ชายถือกระบี่ทั้ง 5 ล้มกระเด็นไปตามมุมลาน กระบี่ร่วงกองกับพื้น ฝักกระบี่เปล่าในมือเขากลับอยู่ในมือโดยไม่สั่นแม้แต่น้อย
ชายชรานั่งดูที่เก้าอี้ด้วยคนตะลึง เด็กคนนี้คืออัจฉริยะผู้ถือกระบี่ในรอบ 100 ปีจริงๆ
“แม้มือว่างเปล่า หากใจเฉียบคมก็สามารถตัดฟ้าได้...”
ชายชราพยักหน้าบอกรหัสลับลูกน้องทั้ง 5 พวกมันหยิบถุงบางอย่างออกมาจากเอวแล้วเขวี้ยงใส่แยว่หลิงจากทุกทิศ
เยว่หลิงใช้ฝักกระบี่ปัด ปรากฎว่ามันคือฝุ่นควันสมุนไพรบางอย่างที่ฟุ้งจนเยว่หลิยแสบจมูกแสบตามากจนน้ำตาไหลไม่หยุด หูอื้อ
ชายคนหนึ่งสบโอกาสฟาดกระบี่เข้าพร้อมกัน
....ทันใดนั้น! กระดูกหมูชิ้นใหญ่ถูกเขวี้ยงมาชนมือจนกระบี่หลุด
อีก 4 คนหันไปเจอกระดูกหมูขว้างใส่เต็มหน้า
"รีบๆกินซะ! ไอ้พวกสุนัข! กระดูกหมูเจ๊สี่นี่อร่อยที่สุดแล้ว!"
"ใคร???" ชายชรามองไปที่ประตูและตระโกนเสียงดัง
คนผู้นั้นเป็นชายวัย 17 ปี หน้าหล่อ อกใหญ่ กล้ามแขนกล้ามขาแน่น แต่งตัวด้วยชุดชาวบ้านโทรม ๆ มีผ้าโพกศรีษะสีแดง มือข้างหนึ่งถือผลไม้ใส่ปากกินอยู่
เยว่หลิงมองเลือนลาง แต่เขาจำผลไม้ที่เขาซื้อได้(เพราะเขาเลือกอยู่นาน) เขายิ้มที่มุมปาก นี่เป็นรอยยิ้มแรกของเยว่หลิงในหลายวันนี้
มืออีกข้างถือกระบี่ที่ไม่มีฝักพาดไหล่อยู่ ตัวคมกระบี่มันวาวดูแหลมคมยิ่งนัก
"ข้าซ่อมเสร็จแล้ว เอ้า!" เลี่ยหยางโยนกระบี่เข้าไปกลางวง
ทันทีที่เยว่หลิงจับกระบี่ได้ เขาสูดลมหายใจ หลับตา ยืนนิ่ง รวบรวมลมปราณ
"พวกเจ้ารออะไรอยู่ รีบจัดการให้เด็ดขาด!" ชายชราตะโกนเสียงดัง
ชายถือกระบี่ทั้ง 5 คนรีบตั้งท่า พร้อมจะใช้ท่าไม้ตายของแต่ละคน และพุ่งเข้าหาไป๋เยว่หลิงพร้อม ๆ กัน
ไป๋เยว่หลิงจับฝักกระบี่ในมือขวาแน่น แววตาเยือกเย็นเหมือนกระจกสะท้อนความมืดในใจ เขาปล่อยพลังปราณออกมา เศษลมราวกับหมุนวนรอบตัวเอง เสียงซู่ดังขึ้นราวฟ้าผ่า กระบี่ถูกแรงปราณดันลอยขึ้น หมุนเวียนเป็นวงกลมจากด้านหลังร่าง กลับมาถือกระบี่ในมือซ้าย
แรงเหวี่ยงนั้นสะบัดตัดกระบี่ที่พุ่งเข้ามาหักขาดทั้งหมด ศัตรูทั้งหลายถอยกระเด็นไปตามแรงลม จนล้มกระแทกพื้นและกระอักเลือด
ราวกับจังหวะสัญชาตญาณจากสวรรค์ กระบี่หมุนวนจากมือขวาอ้อมลงสู่มือซ้ายของเขาอย่างนุ่มนวลและแม่นยำ แสงลมสะท้อนบนกระบี่ราวกับวงพระจันทร์
กลางวงแหวนกระบี่มีไป๋เยว่หลิงยีนอยู่นั้นราวกับเป็นเทพกระบี่จากสวรรค์ลงมาจุติบนโลก
นี่คือ "กระบี่จันทรา" ที่ไป๋เยว่หลิงคิดค้นขึ้นเอง
"งดงาม!" เลี่ยหยางถึงกับอ้าปากค้างจนผลไม้หล่นตกลงพื้น
ชายชราอึ้ง ทำอะไรไม่ถูก เดินมาเตะลูกน้องทั้ง 5 คนโมโห แล้วรีบจ้ำเดินออกจากบ้านไปพร้อมลูกน้อง เขาเดินสวนกับเลี่ยหยางที่ยิ้มกวนๆให้ ชายชราด้วยความไม่พอใจจึงเอามือปิดจมูกและสถบออกมา "เหม็นสาปพวกชั้นต่ำ" แล้วเดินออกไป
....เมื่อเหลือกันอยู่แค่ 2 คนแล้ว เลี่ยหยางก็โบกมือ และหันหลังจะกลับ
"ช้าก่อน!" เยว่หลิงเรียก
"มีอะไรรึ?" เลี่ยหยางหันข้างมาถาม
"ป....เปล่า....ข...ข้า...." เยว่หลิงมีอาการเหนื่อย ไม่ใช่จากการต่อสู้ แต่เพราะฤทธิ์ผงสมุนไพรพิษเมื่อกี้ยังมีผลอยู่
"งั้นข้าไปล่ะ ขอบคุณ ๆ คุณชายมากนะขอรับที่ใช้บริการ"
แล้วเลี่ยงหยางก็เดินออกจากประตูไป ทิ้งไป่เยว่หลิงให้มองตามแผ่นหลังเขาจนบานประตูปิดลง....
.
.
.
.
ป.ล. จริงๆเยว่หลิงจะถามเลี่ยหยางว่าผลไม้ที่ข้าเลือกซื้อให้ เจ้าไม่ชอบเหรอ? ถึงกินไม่หมด...
.....มหานครกว่างโจว ประตูทะเลใต้ของแผ่นดิน แม่ไม่ใช่เมืองชายแดน แต่คือประตูการค้า ที่เปิดสู่โลกภายนอกมาตั้งแต่โบราณตั้งอยู่ริมแม่น้ำจูเจียงที่กว้างใหญ่ ราวกับรู้ดีว่ามันแบกความมั่งคั่งของแผ่นดินทั้งภาคใต้ไว้ตัวเมืองล้อมด้วยกำแพงหินหนา คูน้ำรอบเมืองเชื่อมต่อกับแม่น้ำโดยตรง ถนนหลักปูด้วยหินสีคล้ำจากการเหยียบย่ำหลายร้อยปีซอยย่อยคดเคี้ยวแคบ ลึก และอับชื้น เหมาะแก่การค้า…และการหายตัวไปของคนเรือนอาคารส่วนใหญ่เป็นไม้ หลังคากระเบื้องโค้งต่ำ ออกแบบให้รับลมทะเลและระบายความชื้นกว่างโจวคือเมืองที่พ่อค้าจากเปอร์เซีย อาหรับ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เดินปะปนกับพ่อค้าจีนภาษาในตลาดไม่เคยเป็นภาษาเดียว เงินตรา ข่าวลือ และคนแปลกหน้า ไหลเวียนเร็วกว่าแม่น้ำกลางวันเป็นเมืองดูมีชีวิต เสียงเจรจาซื้อขาย กลิ่นชา เครื่องเทศ ผ้าไหม และเกลือทะเลส่วนกลางคืน เมืองเปลี่ยนหน้า โรงน้ำชาแปรเป็นที่พบปะ ท่าเรือกลายเป็นจุดลักลอบ และกฎหมายอ่อนแรงลงตามแสงตะเกียง"ที่ใดเงินไหลแรง ที่นั่นคุณธรรมต้องว่ายน้ำเก่ง"กว่างโจวไม่ใช่เมืองที่คนเท่าเทียม พ่อค้ารวยกว่าขุนนางบางตำแหน่งขุนนางพึ่งพาพ่อค้า ยุทธภพแทรกซึมอยู่ตามท่าเรือ
....คืนนี้หิมะตกลงมาไม่ขาดสาย ราวกับสวรรค์ตั้งใจจะลบเลือนร่องรอยทุกสิ่ง ป่าใหญ่เงียบงันจนได้ยินเพียงเสียงลมพัดผ่านกิ่งสนแห้ง และเสียงหิมะที่ร่วงลงจากหลังคากระท่อมไม้ทีละก้อน กระท่อมที่หญิงชรานั่งบนรถเข็นหลังนี้ทั้งเก่า ทรุดโทรม แต่ยังดีที่โครงสร้างไม้นั้นแข็งแรงดีไป่เยว่หลิงถอดเสื้อนอนบนนอนบนเตียงไม้ใจเขาเหมือนหัวใจของใครบางคนที่แม้จะแตกสลาย เตาไฟอุ่นๆไม่ได้ทำให้ความหนาวเย็นในใจอบอุ่นขึ้นเลย มือของเขาจิกเข้าไปที่ผิวเนื้อตนเองจนมีรอยเลือด เปลวไฟส่องสะท้อนดวงตาที่ไร้ประกาย ราวกับแสงทั้งหมดในชีวิตเขา ถูกฝังกลบไปพร้อมกับร่างของผู้ใหญ่ที่จากไปอย่างไม่เป็นธรรมความตายอาจไม่ได้น่ากลัว เท่ากับการจากไปโดยไม่ทันได้บอกลา โดยทิ้งสิ่งต่างๆมากมายทิ้งไว้ให้ผู้ที่ยังมีชีวิตเลี่ยหยางยืนมองดูเยว่หลิงอยู่ข้างๆ แววตาเต็มไปด้วยความเป็นห่วง แผ่นหลังนั้น ร่างผอมบางนั้น ปกติเจ้าก้เย็นชาไม่เปิดใจรับผู้ใดอยุ่แล้ว แต่บัดนี้เจ้าดูแข็งทื่อราวกับรูปสลักจากน้ำแข็งเสียแล้วเลี่ยหยางรู้ดี คำพูดในยามนี้ไร้ความหมาย การปลอบโยนที่ดีที่สุด คือ.....เขาวางฟืนเพิ่มลงในเตาไฟ เสียงไม้แตกดังขึ้นเล็กน้อย ไฟลุกโชนขึ้นอีกครั้
....ณ หลังเขาแห่งหนึ่ง ที่นี่เคยปกคลุมทุ่งนาที่เขียวขจีด้วยต้นกล้าอ่อน เสียงไก่ขันและสุนัขเห่าเป็นจังหวะ เด็กๆ วิ่งเล่นไล่จับกันบนทางดิน เสียงควายไถนาสลับกับเสียงนกเกาะคันนา ที่นี่เคยมีหมู่บ้านอยู่อาศัยกลมกลืนกับธรรมชาติเวลาจะผ่านมาถึงราวๆ 170 - 180 ปีแล้วปัจจุบันกลายเป็นเมืองเล็กๆเมืองหนึ่ง เวลาที่ยาวนานเกินกว่าจะเป็นที่จดจำได้ของมนุษย์ปกติ ข่าวลือเรื่องที่มีคนตายทั้งหมู่บ้านค่อยๆสูญหายไปกับกาลเวลา จึงมีผู้คนใหม่ค่อยๆมาตั้งรกรากอาศัยจนเติบโตกลายเป็นเมืองเล็กๆอย่างไรก็ดีหลุมศพของหลันหลินนั้นยังอยู่ แม้จะเก่าโทรมไปมากแต่ก็ยังอยู่ราวกับรอวันที่พี่หลินเซียนของเธอจะกลับมาหาอีกครั้งในมือหลินเซียนมีเมล็ดดอกไม้,ขนมเคลือบน้ำตาล และหนังสือนิทานเล่มหนึ่ง เขาโรยเมล็ดดอกไม้นั้นรอบหลุมศพ แล้วให้เสี่ยวหมิงช่วยเร่งให้ดอกไม้เหล่านั้นเติบโตจนบานดอกสวยงามรอบหลุมศพ หลังจากนั้นเขาจึงวางขนมเคลือบน้ำตาลลง และคลี่อ่านหนังสือนิทานหน้าหลุมศพหลันหลินอยู่นาน มีสายลมพัดเย็นอยู่ตลอดเวลา ราวกับมีเด็กน้อยหลันหลินมานอนหนุนตักพี่หลินเซียนอนฟังนิทานดั่งแต่ก่อนเก่าเมื่ออ่านนิทานจบแล้วหลินเซียนใช้หินก้อนหนึ่งมาสลัก
.....ปรมาจารย์ยุทธภพ ในร่างชายชราชุดยาวสีขาวประดับลวดลายสวยงาม ลูบเคราจ้องมองไป๋เยว่หลิงด้วยแววตาเยือกเย็น ส่วนเลี่ยหยางนั้นก็ลุกขึ้นมาเคียงข้างเยว่หลิง ในมือถือดาบ แต่เยว่หลิงยังไม่ชักกระบี่ออกมาแต่อย่างใด"คนอย่างท่านทำไมถึงทรยศได้!" เจ้าสำนักหนึ่งที่ถูกจับในตาข่ายตะโกนเสียงดังปรมาจารย์ไม่สนใจ เขาพูดกับเยว่หลิงแทน"ถ้าเจ้ายอมสวามิภักดิ์ต่อองค์ชาย ข้าจะทูลเสนอแต่งตั้งให้เจ้าได้เป็นราชครูในอนาคต"องค์ชายทุ่งหญ้าหันหน้ามาทำท่าจะแย้ง แต่ท่านปรมาจารย์ห้ามไว้ เขาจึงไม่พูด แต่แววตามีความไม่พอใจเล็กน้อย"คนผู้นี้ หากได้เป็นพรรคพวก หลังจากข้าสิ้นลมไปแล้ว ย่อมคุ้มครองพระองค์และราชบัลลังค์ไม่ให้สั่นคลอนได้แน่นอน""ข้าก็จะได้จากไปโดยไม่มีห่วง"ผู้เฒ่าคิดการณ์ไกลกว่าองค์ชายเด็กน้อยยิ่งนัก แววตาที่เขามององค์ชายทุ่งหญ้าแสดงถึงความสัมพันธ์เกินกว่าธรรมดาปรมาจารย์อ้าแขนเชิญชวนไป๋เยว่หลิง"มาด้วยกันเถอะ ยังไงราชวงศ์นี้ก็ทำเลวกับพ่อและเจ้าไว้มาก ไม่ควรค่าแก่การปกป้องพวกมัน"เลี่ยหยางมองตาเยว่หลิง บัดนี้แววตาเขาเยือกเย็นกว่าเดิมยิ่งนัก เหมือนเขากำลังครุ่นคิดอะไรอยู่ลมพัด ใบไม้ร่วงปลิว บรรยากาศระหว่า
.....หลังจากนั้นก็มีจอมยุทธคู่อื่นๆขึ้นไปประลองฝีมือกันบนลานต่อสู้อีกหลายคู่ ส่วนไป๋เยว่หลิงก้กลับมาที่ร้านน้ำชาร้านเดิมนั่งจืบชาพักเหนื่อยอย่างใจเย็น ส่วนเลี่ยหยางก็กินขนมอย่างเอร็ดอร่อยชมการต่อสู้อยู่ข้างๆ มีจอมยุทธหญิงหลายคนเข้ามาคุยคุณชายไป๋ เลี่ยหยางเอามือจับเยว่หลิงไว้ไม่ปล่อย แม้จะมองไปางลานประลอง แต่เขาก็แอบชำเลืองมองมาเป็นระยะๆทุกครั้งที่มีคนเข้ามาพูดคุยกับเยว่หลิง ซึ่งเยว่หลิงก็รู้ จึงไม่ค่อยพูด นั่นทำให้บทสนทนาไม่ยาว จอมยุทธเหล่านั้นก็ลาจากไปแล้วก็มีชายชราชุดยาวสีขาวประดับลวดลายสวยงาม สายตาเยือกเย็นและสง่างามมาหยุดตรงหน้าเยว่หลิงและเลี่ยหยาง เขาคือปรมาจารย์ผู้เป็นประธานงานประลองนี้นี่เอง เลี่ยหยางรีบวางขนมและลุกขึ้นโค้งคำนับ แต่เยว่หลิงยังคงนั่งจิบชาอยู่เช่นเดิม เลี่ยหยางพยายามสะกิดแต่เยว่หลิงก็ทำไม่สนใจ"ไม่เป็นไร ชายแก่เช่นข้าแค่มาทักเด็กหนุ่มรุ่นใหม่ที่มีพรสวรรค์เท่านั้นเอง" เขามองเยว่หลิงด้วยแววตาเป็นมิตร"กี่คน?" เยว่หลิงมองที่ปรมาจารย์ และเอ่ยปากถาม ปรมาจารย์ทำหน้ายิ้มและงงกับคำถาม"เมื่อกี้ท่านฆ่าไปกี่คน?" "ข้าได้กลิ่นเลือดจากท่าน"ใบหน้าชายชราเปลี่ยนจากรอยยิ้มเป็
.....เยว่หลิงชี้กระบี่ลง มือขวาจับกระบี่แน่น เขาตั้งใจใช้เพลงกระบี่จันทราอีกครั้ง"ไม่นะหลิงหลิง เจ้าไม่ไหวแล้ว" เลี่ยหยางตะโกนขึ้นไปบนลานประลอง แต่หยว่หลิงยังทำหน้าเย็นชา เขาเอียงศรีษะใช้หูฟังตำแหน่งคู่ต่อสู้แทนดวงตาชายร่างอ้วนแสยะยิ้ม เขาตั้งกระบวนท่า สุดลมหายใจเข้า เสื้อผ้าเขาพริ้วลมได้อย่างประหลาด"แย่แล้ว ฝ่ามือยมฑูต! เจ้าหนูรีบยอมแพ้ลงจากเวที!" เจ้าสำนักชื่อดังคนหนึ่งตะโกน แต่เยว่หลิงไม่สนใจ ท่าทางเขาสงบยิ่งนัก เลี่ยหยางมองด้วยสายตาที่เป็นห่วงมาก แต่ที่เขาไม่ขึ้นไปช่วย เพราะเชื่อมั่นในตัวเยว่หลิงไม่รอช้าชายร่างอ้วนพุ่งฝ่ามือเข้ามาหาตรงๆ พลังนั้นรุนแรงและเร็วมากจนอากาศเสียดสีเป็นเสียงออกมา"อ๊าก!" มือชายร่างอ้วนขาดกระเด็นทุกคนมองมาที่คุณชายชุดขาว เขายังไม่ได้ขยับกระบี่เลยนี่นา กระบี่ยังชี้ลงด้านล่างเช่นเดิม เขาทำได้ยังไง??แต่...ปรมาจารย์ลูบเคราและยิ้มอย่างมีนัยยะ เขารู้ว่าไป๋เยว่หลิงใช้อะไรตัดข้อมือชายอ้วนชายสูงสง่ารู้สึกเสียหน้า เขาสั่งให้ชายร่างกำยำอีกคนขึ้นไป คนนี้ถือดาบใหญ่ เป็นดาบที่ไม่เหมือนดาบในภาคกลางทั่วไป ดาบหยาบกร้าน แต่ดูใหญ่แข็งแรง เหมือนเป็นท่อนเหล็กทื่อๆมากกว