....ยามเช้าในตลาดคึกคักด้วยเสียงเรียกขายของของพ่อค้าแม่ค้า กลิ่นหอมของเกี๊ยวนึ่งร้อนและชาใหม่ลอยคลุ้งปะปนกับกลิ่นควันถ่าน ผู้คนพลุกพล่านขวักไขว่ ทั้งเด็กวิ่งเล่น ทั้งชาวบ้านหาบหามของ มอบชีวิตชีวาให้แก่เมืองแห่งนี้
ณ หน้าร้านตีเหล็กเลี่ยวหยาง ไป๋เยว่หลิงยืนนิ่งรอร้านเปิด มือขวาถือปิ่นโตข้างในมีชามโจ๊กใส่เนื้อและผลไม้อยู่ ข้างเอวมีฝักกระบี่เปล่าห้อยเหน็บอยู่
แต่ยืนรออยู่หลายชั่วยามร้านตีเหล็กก็ไม่เปิด จนป้าขายหมูร้านข้างๆหันมาบอกว่า
"พ่อหนุ่ม ข้าว่าเจ้าเลี่ยหยางมันเมาไม่สร่างแน่ๆเลย มันก็ยังงี้แหละชอบออกไปกินเหล้ากับกลุ่มเพื่อนดึกๆดื่นๆ เดี๋ยวถ้ามันเปิดร้านแล้วข้าจะบอกให้ ท่านมาวันหลังเถอะนะ"
ไป๋เยว่หลิงรับฟัง จึงนำปิ่นโตให้ท่านป้า "ท่านป้าข้าฝากให้เขาด้วย" แล้วเขาก็เดินจากไป...
จริงๆเลี่ยงหยางแอบมองจากด้านในร้านผ่านช่องเล็กๆ
"ไอ้หน้าหล่อนี่ ตื้อข้าจริง!"
"เอายังไงดีหัวหน้า เมื่อคืนก็ต้องยกเลิกเพราะมัน" ลูกน้องข้าง ๆ พูดกับเลี่ยหยาง
"เราล้างสกุลมัน ตอนนี้มันล่วงรู้เงามือของเรา ไม่ควรปล่อยให้มีชีวิตอยู่ต่อไป..."
เลี่ยหยางพูดขัด "รอก่อน ข้าอยากดูมันอีกสักพัก"
ลูกน้องคนสนิทไม่พอใจ แต่ก็ไม่อยากขัดใจผู้เป็นนายจึงได้แต่นิ่งไป
เลี่ยหยางมองลอดรูไม้ดูไป๋เยว่หลิงค่อยๆเดินหายไปโดยไม่กระพริบตา
......ไป๋เยว่หลิงก้าวเท้าเข้าประตูใหญ่ของตระกูลไป๋ บ้านหลังใหญ่เงียบสงัดผิดกับภาพในอดีตที่เคยคึกคัก เสียงก้าวเท้าเขาดังก้องไปตามทางเดินไม้ยาว มุมมืดของบ้านยังมี ผ้าขาว แขวนตามเสาและขอบประตู ดำเนินพิธีไว้ทุกข์ให้คนภายนอกเห็นได้ชัดเจน
ในห้องโถงกลาง บ้านยังตั้งโต๊ะบูชาและป้ายวิญญาณของสมาชิกทุกคนที่ตายไปอยู่ตรงกลาง แผ่นไม้แกะสลักชื่อเรียงรายอย่างเรียบร้อย แม้ศพจะถูกฝังไปแล้ว แต่ตะเกียงวิญญาณยังถูกจุดไว้ไม่ให้ดับ เปลวไฟสั่นไหวราวกับมีลมหายใจลึกลับคอยพัดผ่าน
ไป๋เยว่หลิงมองไปที่โต๊ะบูชา มีผู้เฒ่าท่านหนึ่งกำลังอยู่ที่นั่น กลิ่นน้ำมันตะเกียง เสียงลมกระทบผ้าไว้ทุกข์ และแสงไฟที่ส่องบนป้ายวิญญาณ ทำให้เห็นใบหน้าชายผู้นี้ชัดเจน เป็นชายชราผมขาวนั่งอยู่หน้าโต๊ะบูชา ผิวพรรณเหี่ยวย่นแต่แววตายังเต็มไปด้วยความสง่าและความเคารพ เขาคือผู้แทนจากสกุลไป๋ตระกูลหลักที่เมืองหลวง กำลังคุกเข่าลงคำนับและตั้งจิตอธิษฐานต่อป้ายวิญญาณของตระกูลที่นี่
ไป๋เยว่หลิงเห็นดังนั้นก็ก้มคุกเข่าลงคำนับตามมารยาท แสดงความเคารพต่อผู้สูงอายุที่เป็นผู้แทนตระกูลหลัก จิตใจเคร่งขรึมและอ่อนโยน รู้สึกถึงความสำคัญของพิธีกรรมจีนโบราณและสายสัมพันธ์ระหว่างตระกูลย่อยกับตระกูลหลัก
“พ่อ แม่ พี่สาว น้องชาย…ร่างของเขายังมิทันเน่าเปื่อย เจ้ากลับไปเที่ยวหาความเพลิดเพลิน ณ สถานบันเทิง!"
"ช่างสมแล้วที่เป็นลูกชายของไอ้อัปยศนั่น! แค่มันตายไปก็ยังไม่เพียงพอที่มันทำให้สกุลไป่เสื่อมเสีย!”
แววตาเยว่หลิงเริ่มจมดิ่งลงสู่ความมืดและกดดัน
"นังโสเภณีร่านราคะนั่น! แม่เจ้า! มันทิ้งบิดาเจ้า หนีไปผูกมัดตนกับบุรุษอื่น เจ้าก็สืบกมลนิสัยมักมากกามราคะจากนาง!!”
มือของเยว่หลิงกำหมัดจนสั่น ขบที่มุมปาก
"พ่อเลี้ยง แม่เลี้ยง เจ้าอุตส่าห์เมตตารับเลี้ยงเจ้า แทนที่จะอยู่แสดงความกตัญญูด้วยการนั่งจดบันทึกคุณความดีของพ่อแม่เลี้ยงเจ้าเพื่อให้ลูกหลานต่อ ๆ ไปรู้จัก"
ชายชราเดินมาถีบหน้าเยว่หลิงเต็มแรงจนเขาล้มลงกับพื้น
"ไอ้อกตัญญู!"
เยว่หลิงค่อยลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าต่อหน้าชายชราเช่นเดิมและก้มหน้า
ชายชรายังไม่หายโมโห เขาถอดรองเท้ามาตบหน้าหลายฉาดอย่างรุนแรง จนเยว่หลิงเลือดออกจากมุมปาก
เขายังคงนิ่ง ดวงตาราวกับไร้ชีวิต หยดเลือดสีแดงลงเปื้อนเสื้อสีขาวของเขา
ชายชราหมดแรง จึงเอ่ยปากว่า "ข้าได้ข่าวว่าเจ้าคือนักกระบี่อัจฉริยะ ถ้าเจ้าแสดงฝีมือให้ข้าเห็น ข้าจะยังไม่ตัดเจ้าออกจากสกุลไป๋"
แล้วชายชราก็เรียกบริวารเข้ามา เป็นชายกำยำถือกระบี่จริง 5 คนท่าทางดูเป็นนักกระบี่ที่มีฝีมือช่ำชอง
พวกมันล้อมหลินเซียนไว้รอบลานหินกลางบ้าน เยว่หลิงลุกขึ้นยืนในสภาพไร้ไฟชีวิต ชายชรากลับไปนั่งดูที่เก้าอี้
"เริ่มได้" ชายชราตะโกน
...ไป๋เยว่หลิงยืนอยู่กลางลาน ฝักกระบี่เปล่าในมือเหมือนไร้พลัง แต่แววตาของเขาเยือกเย็นราวน้ำแข็งในฤดูหนาว ชายถือกระบี่ทั้ง 5 คนรุมเข้ามาไป๋เยว่หลิงตาเลื่อนลอย เขาพลิกฝักกระบี่ในมืออย่างลื่นไหล ราวกับมันคือกระบี่จริง เสียงลมฟาดดังฉับพลันเมื่อฝักกระบี่เหินตัดอากาศ ชายคนแรกฟาดกระบี่เข้าที่หน้าอก เขาเพียงสะบัดฝักกระบี่ บังคับแรงลมให้กระบี่คู่ต่อสู้ กระเด็นตกพื้น
ชายคนที่ 2 พุ่งเข้าประชิด ฟันกระบี่ราวกับจะแทงทะลุหน้า เขาใช้ฝักกระบี่หมุนตัว ปลายฝักฟาดเข้าที่แขนคู่ต่อสู้ กระเด็นไปชนเพดานกำแพง จนกระบี่ร่วง
อีก 3 คนพยายามล้อม ทั้งโจมตีแบบซิกแซก แต่ฝักกระบี่เปล่าของเขา ทุกจังหวะก้าวเหยียบจังหวะหายใจของศัตรู พลิกตัว หมุนข้อมือ ทุกฝักกระบี่ที่ฟาดออกไปเหมือน สายน้ำตัดหิน
คนแรกลุกขึ้นมายืนรอจังหวะแล้วฟันเข้าแรงจนไป๋เยว่หลิงต้องถอย แต่เพียงเสี้ยววินาที เขาใช้ฝักกระบี่ ดันแรงลมย้อนกลับ ส่งชายคนนั้นล้มกระเด็นออกไปจนกระบี่หลุดมืออีกครั้ง
อีก 2 คนเข้าฟันกระชั้นติดกัน ฝักกระบี่ของเขาพลิ้วเหมือนเงา สอดประสาน จังหวะเดียวปลายฝักกระบี่แตะกระบี่ทั้งสองจนกระเด็นตกพื้นพร้อมเสียงโลหะกระทบ
เสียงลมและเสียงโลหะดังก้องกลางลาน เสียงหัวใจชายถือกระบี่เต้นแรงขึ้นทุกวินาที ฝักกระบี่เปล่าของไป๋เยว่หลิงเคลื่อนตัวเหมือน กระบี่จริงหนึ่งเล่มฟาดฟันพร้อมกันหลายทิศ
ในเวลาเพียงเสี้ยวลมหายใจ ชายถือกระบี่ทั้ง 5 ล้มกระเด็นไปตามมุมลาน กระบี่ร่วงกองกับพื้น ฝักกระบี่เปล่าในมือเขากลับอยู่ในมือโดยไม่สั่นแม้แต่น้อย
ชายชรานั่งดูที่เก้าอี้ด้วยคนตะลึง เด็กคนนี้คืออัจฉริยะผู้ถือกระบี่ในรอบ 100 ปีจริงๆ
“แม้มือว่างเปล่า หากใจเฉียบคมก็สามารถตัดฟ้าได้...”
ชายชราพยักหน้าบอกรหัสลับลูกน้องทั้ง 5 พวกมันหยิบถุงบางอย่างออกมาจากเอวแล้วเขวี้ยงใส่แยว่หลิงจากทุกทิศ
เยว่หลิงใช้ฝักกระบี่ปัด ปรากฎว่ามันคือฝุ่นควันสมุนไพรบางอย่างที่ฟุ้งจนเยว่หลิยแสบจมูกแสบตามากจนน้ำตาไหลไม่หยุด หูอื้อ
ชายคนหนึ่งสบโอกาสฟาดกระบี่เข้าพร้อมกัน
....ทันใดนั้น! กระดูกหมูชิ้นใหญ่ถูกเขวี้ยงมาชนมือจนกระบี่หลุด
อีก 4 คนหันไปเจอกระดูกหมูขว้างใส่เต็มหน้า
"รีบๆกินซะ! ไอ้พวกสุนัข! กระดูกหมูเจ๊สี่นี่อร่อยที่สุดแล้ว!"
"ใคร???" ชายชรามองไปที่ประตูและตระโกนเสียงดัง
คนผู้นั้นเป็นชายวัย 17 ปี หน้าหล่อ อกใหญ่ กล้ามแขนกล้ามขาแน่น แต่งตัวด้วยชุดชาวบ้านโทรม ๆ มีผ้าโพกศรีษะสีแดง มือข้างหนึ่งถือผลไม้ใส่ปากกินอยู่
เยว่หลิงมองเลือนลาง แต่เขาจำผลไม้ที่เขาซื้อได้(เพราะเขาเลือกอยู่นาน) เขายิ้มที่มุมปาก นี่เป็นรอยยิ้มแรกของเยว่หลิงในหลายวันนี้
มืออีกข้างถือกระบี่ที่ไม่มีฝักพาดไหล่อยู่ ตัวคมกระบี่มันวาวดูแหลมคมยิ่งนัก
"ข้าซ่อมเสร็จแล้ว เอ้า!" เลี่ยหยางโยนกระบี่เข้าไปกลางวง
ทันทีที่เยว่หลิงจับกระบี่ได้ เขาสูดลมหายใจ หลับตา ยืนนิ่ง รวบรวมลมปราณ
"พวกเจ้ารออะไรอยู่ รีบจัดการให้เด็ดขาด!" ชายชราตะโกนเสียงดัง
ชายถือกระบี่ทั้ง 5 คนรีบตั้งท่า พร้อมจะใช้ท่าไม้ตายของแต่ละคน และพุ่งเข้าหาไป๋เยว่หลิงพร้อม ๆ กัน
ไป๋เยว่หลิงจับฝักกระบี่ในมือขวาแน่น แววตาเยือกเย็นเหมือนกระจกสะท้อนความมืดในใจ เขาปล่อยพลังปราณออกมา เศษลมราวกับหมุนวนรอบตัวเอง เสียงซู่ดังขึ้นราวฟ้าผ่า กระบี่ถูกแรงปราณดันลอยขึ้น หมุนเวียนเป็นวงกลมจากด้านหลังร่าง กลับมาถือกระบี่ในมือซ้าย
แรงเหวี่ยงนั้นสะบัดตัดกระบี่ที่พุ่งเข้ามาหักขาดทั้งหมด ศัตรูทั้งหลายถอยกระเด็นไปตามแรงลม จนล้มกระแทกพื้นและกระอักเลือด
ราวกับจังหวะสัญชาตญาณจากสวรรค์ กระบี่หมุนวนจากมือขวาอ้อมลงสู่มือซ้ายของเขาอย่างนุ่มนวลและแม่นยำ แสงลมสะท้อนบนกระบี่ราวกับวงพระจันทร์
กลางวงแหวนกระบี่มีไป๋เยว่หลิงยีนอยู่นั้นราวกับเป็นเทพกระบี่จากสวรรค์ลงมาจุติบนโลก
นี่คือ "กระบี่จันทรา" ที่ไป๋เยว่หลิงคิดค้นขึ้นเอง
"งดงาม!" เลี่ยหยางถึงกับอ้าปากค้างจนผลไม้หล่นตกลงพื้น
ชายชราอึ้ง ทำอะไรไม่ถูก เดินมาเตะลูกน้องทั้ง 5 คนโมโห แล้วรีบจ้ำเดินออกจากบ้านไปพร้อมลูกน้อง เขาเดินสวนกับเลี่ยหยางที่ยิ้มกวนๆให้ ชายชราด้วยความไม่พอใจจึงเอามือปิดจมูกและสถบออกมา "เหม็นสาปพวกชั้นต่ำ" แล้วเดินออกไป
....เมื่อเหลือกันอยู่แค่ 2 คนแล้ว เลี่ยหยางก็โบกมือ และหันหลังจะกลับ
"ช้าก่อน!" เยว่หลิงเรียก
"มีอะไรรึ?" เลี่ยหยางหันข้างมาถาม
"ป....เปล่า....ข...ข้า...." เยว่หลิงมีอาการเหนื่อย ไม่ใช่จากการต่อสู้ แต่เพราะฤทธิ์ผงสมุนไพรพิษเมื่อกี้ยังมีผลอยู่
"งั้นข้าไปล่ะ ขอบคุณ ๆ คุณชายมากนะขอรับที่ใช้บริการ"
แล้วเลี่ยงหยางก็เดินออกจากประตูไป ทิ้งไป่เยว่หลิงให้มองตามแผ่นหลังเขาจนบานประตูปิดลง....
.
.
.
.
ป.ล. จริงๆเยว่หลิงจะถามเลี่ยหยางว่าผลไม้ที่ข้าเลือกซื้อให้ เจ้าไม่ชอบเหรอ? ถึงกินไม่หมด...
......เช้าวันรุ่งขึ้นทั้งคู่ก้าวย่างเดินออกจากประตูเมืองทางตะวันออก พอพ้นมาได้นิดเดียวเยว่หลิงก็หันหน้ามามองเลี่ยหยาง "กว่างโจวไปทางไหน?"เลี่ยหยางเกาหัวแกร่กๆ "ก็ต้องลงใต้ ถ้าจะเดินทางบนบกจากตรงนี้ก็ต้องไปลั่วหยางก่อน แล้วผ่านลงไปเรื่อยๆถึงเมืองฉางซา เลยไปอีกก็ถึงกว่างโจวละ""แต่...ถ้าเจ้าอยากไปทางน้ำเราอาจต้องอ้อมหน่อยไปทางตะวันออกเพื่อขึ้นเรือที่ท่าเรือหางโจวแล้วจึงลงใต้"เยว่หลิงมองหน้าอย่างเฉยชา เลี่ยหยางคิดในใจ "ให้ตรูตัดสินใจแทนอีกแล้วชิมิ""ถ้าเจ้าอยากกินซุปน้ำแกงและอาหารดอกโบตั๋น (ใช้ดอกไม้ในอาหาร) รวมถึงงานเลี้ยงรื่นเริงที่เสิร์ฟอาหารเยอะๆ 10-20 อย่าง ก็ลั่วหยาง""แต่...ถ้าเจ้าอยากกินปลามังกรน้ำใสตุ๋น, เนื้อหมูตงพอ และชาหลงจิ่ง และเจอพวกนักกลอนกวีเยอะๆ ก็ต้องหางโจว"เลี่ยอยางเอามือแตะที่ท้องบางๆของเยว่หลิง "ถามทาเถี่ย(สัตว์ในตำนานยุคโบราณ)ในท้องเจ้าดูว่ามันอยากกินอะไร?"เยว่หลิงมองหน้าอย่างเฉยชาเช่นเดิม เลี่ยหยางถอนหายใจแรง"งั้นก็ไปลั่วหยาง! เฮฮาดี ข้าเกลียดพวกกวีตุ๊งติ้ง" ว่าแล้วเลี่ยหยางก็เดินนำเลย โดยมีเยว่หลิงเดินตามหลังต้อยๆ.....เดินทางมาสักพักทั้งคู่ก็มาถึงที่ราบกว้า
...คืนนี้เรือนพักเงียบสงบ มีเพียงแสงจากตะเกียงน้ำมันส่องวูบวาบไหวบนโต๊ะไม้ แสงนั้นทอดลงบนหน้าอกแน่นๆของเลี่ยหยาง เขาร้อนมากจึงถอดเสื้อออก เปลือยเปล่าท่อนบน กล้ามเนื้อไหล่และเแผ่นอกตึงแน่นมองเห็นได้ชัดเจน มีเหงื่อบางๆไหลซึมตามผิวอก และกล้ามท้องซิกแพ็คแน่น ๆ ของเขาเยว่หลิงอดไม่ได้ที่จะแอบดูรูปร่างอันเซ็กซี่นั้น จนเลี่ยหยางสังเกตุเห็น"อากาศว่าร้อนแล้ว แต่สายนั้นของเจ้าร้อนยิ่งกว่าอีกนะ หลิงหลิง"เลี่ยหยางยิ้มแล้วเดินเข้ามาหาเยว่หลิง ใบหน้าเข้ามาใกล้จนลมหายใจประสานกัน ริมฝีปากแทบจะแตะต้องกัน เยว่หลิงถอยไปจนพิงขอบประตู"หลิงหลิงเจ้าก็ถอดบ้างสิ ร้อนซะขนาดนี้"เลี่ยหยางใช้มือขวาแกะเสื้อเยว่หลิงออก จนเสื้อแหวกออกทำให้เห็นหน้าอกแล้วซิกแพ็คลีนๆของเยว่หลิง ผิวที่ขาวเนี่ยนละเอียดนั่นพอต้องแสงตะเกียงแล้วมันช่างสว่างในที่มืดเสียจริง ราวกับปุยนุ่น เลี่ยหยางกลืนน้ำลายดังอึ่ก เขาอดใจไม่ได้ที่จะใชเปลายนิ้วสัมผัสผิวขาวออร่านั้น เขาใช้ปลายนิ้วสัมผัสค่อยๆไล่จากหน้าอกลงมาถึงใต้สะดือนิดหน่อย"ผิวเจ้านี่นุ่มดีจัง มีกลิ่นหอมนิดๆด้วย" เขาเผลอพูดออกไป เยว่หลิงเอามือจับหน้าอกแน่นๆของเลี่ยหยางคืน "อกเจ้าก็ชุ
.....เช้าวันนี้เลี่ยหยางชวนเยว่หลิงไปไหว้ศาลเจ้าเทพแห่งดาวดาวซึ่งอยู่ทางทิศเหนือของนครฉางอัน ศาลแห่งนี้สูงสง่า ประตูไม้ทาสีดำสนิท สลักลายกลุ่มดาวนับพัน เสมือนจักรวาลทั้งปวงถูกรวมไว้ในบานประตูเดียว ภายในศาลเจ้า เงียบสงัด มีเพียงกลิ่นธูปลอยคลุ้งขึ้นสู่ท้องฟ้า บนเพดานมีการวาดดาวฤกษ์เป็นจุดแสงทองคำ เมื่อจุดตะเกียงน้ำมันยามค่ำคืน จะระยิบระยับราวกับท้องฟ้าแท้จริงผู้คนเชื่อว่า หากมากราบไหว้จะได้รับการปกปักคุ้มครองจากเทพเจ้าแห่งดวงดาว ให้เดินทางปลอดภัย และชะตาชีวิตรุ่งเรืองทั้งสองประนมมือไหว้ แล้วเดินชมรอบ ๆ เลี่ยหยางชวยเยว่หลิงเขียนป้ายคำอธิษฐานแขวนไว้ในศาลเจ้า(ฉีหย่วนไผ๋)เหมือนคนอื่น ๆ ที่เขียนหอยแขวนไว้มากมายหลายพันชิ้น เยว่หลิงไม่ได้สนใจแต่ไม่อยากขัดเลี่ยอยางจึงนำแผ่นไม้หอมมาเขียนคำอธิษฐานโดยเลี่ยหยางไปเชื่อนักพรตในศาลเจ้าจ่ายเงินซื้อหยดหมึกผสมน้ำฟ้า(หมึกพิเศษผสมแร่เงิน) ซึ่งจะทำให้แสงจันทร์สะท้อนเป็นประกายเงิน คล้ายป้ายเรืองแสงยามราตรีได้ เสร็จแล้วทั้งคู่ก็นำไปแขวนไว้ที่เสาศิลาแกะสลักรูปดาว"เราใช้หมึกพิเศษ พอตกกลางคืนเมื่อแสงตะเกียงและแสงดาวตกกระทบ ป้ายพวกเราจะสะท้อนแสงวิบวับราวกับ
....คืนนั้นแสงจันทร์สาดส่องลงมาบน สวนดอกท้อของโรงแรม ดอกสีชมพูอ่อนร่วงโปรยปรายตามทางเดิน เสียงลมพัดผ่านกิ่งไม้ประสานกับเสียงน้ำในสระเล็กที่ถูกลมเย็นๆพัดจนเกิดเป็นระลอกคลื่นจาง ๆ สร้างบรรยากาศเงียบสงบและโรแมนติกเยว่หลิงและเลี่ยหยาง นั่งบนก้อนหินที่วางอยู่ใต้ต้นท้อ โต๊ะเล็กวางไหสุราเสียน กลิ่นหอมของข้าวหมักผสมสมุนไพรลอยอบอวลในอากาศเลี่ยหยางรินสุราลงจอก ดวงตาเปล่งประกายสะท้อนแสงจันทร์บนกลีบดอกท้อ เขายกจอกขึ้นจิบ รสเข้มขมแรกแต่กลับหวานนุ่มลึกในลำคอ ส่วนเยว่หลิงแก้มเดาเพราะเมาสุราเล็กน้อย เขาเป่าขลุ่ยเสียงช่างไฟเราะแก่ผู้ฟังยิ่งนัก จนเจ้าแมวขาวประจำโรงแรมเข้ามานอนที่ตักเลี่ยหยางนอนฟังเสียงดนตรี“สุรานี้ช่างหอมเยี่ยงกลิ่นบุปผาในยามราตรี” “แต่สุขที่แท้… มิใช่รสสุรา หากคือผู้ร่วมจอกตรงหน้า” เลี่ยหยางมองหน้าเยว่หลิงด้วยรอยยิ้ม เขาเองก็เมานิด ๆ สุภาษิตจีนว่าเหล้าดีหนึ่งจอก ดีกว่าทองพันชั่ง หากดื่มกับมิตรแท้ใต้เงาดอกท้อนั้นทั้งสองดื่มด่ำความสุขเรียบง่ายดั่งปุถุชนสามัญทั่วไปแล้วจู่ๆก็มีกู่เจิง(เครื่องดนตรีประเภทสายของจีน)ดังสมทบขึ้น เสียงขลุ่ยและกู่เจิงนั้นเข้ากันได้อย่างดี ฟังดูยิ่งไพเร
.....เมืองเริ่มกลับมาเป็นปกติ ร้านค้าหลาย ๆ ร้านกลับมาเปิดดังเดิม เลี่ยหยางและเยว่หลิงหลังกินโจ๊กร้อนในตลาดช่วงเช้าตรู่กันไปแล้ว คุณชายไป๋ยังอยากเดินหาของกินเพิ่มอีก ทำไมมันกินเยอะขนาดนี้ ตัวก็ผอม ๆ ลีน ๆ ท้องเจ้าหมอนี่ต้องมีทาเถี่ย(สัตว์ในตำนานยุคโบราณ)อยู่จริง ๆ นั่นแหละคุณชายไป๋หยุดที่ร้านขายฮู่ปิ่ง(พิซซ่าโบราณ) มันเป็นแป้งอบแบนโรยงาด้านบน เยว่หลิงนอกจากจะซื้อแล้วยังขอเข้าไปดูว่าเขาทำยังไงอีกด้วยพอออกมาเขาก็เดินไปซื้อเจียวจื่อ ซึ่งเป็นซาลาเปาห่อไส้ รสชาติที่กัดลงไปนั้นมีเครื่องเทศจากด่านแดน(เอเชียกลาง)อยู่ด้วย มันดูแปลกใหม่กว่าซาลาเปาที่อื่นจริง ๆ สมแล้วที่เป็นเมืองแห่งเส้นทางสายไหมสำคัญที่มีหลากหลายชาติพันธุ์อยู่ที่นี่ผลไม้ก็เช่นกัน ลูกอินทผาลัมแห้ง หรือแม้แต่อแปริคอตเชื่อมก็มี แต่ราคาแพงพอสมควร ซึ่งไม่เป็นปัญหากับคุณชายกระเป๋าหนักสกุลไป๋เลยแม้แต่น้อย เขากินทุกอย่างที่เขาอยากกิน ทั้งคู่เดินตลาดกันจนถึงเกือบเที่ยง "กลับที่พักกันเถอะหลิงหลิง เจ้าเดินกินมานานแล้วนะ ข้าเดินจนเมื่อยแล้ว"แล้วเลี่ยหยางก็แอบเห็นใครสักคนกำลังวิ่งหลบเข้าไปในมุมตึก เขาคือนักฆ่ากลุ่มเจ๊แพะตุ๋นนั่นเองเล
.....ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในงานเทศกาลโคมนั้นทำให้ทั้งเมืองฉางอันวุ่นวายกันไปเป็นสัปดาห์ ร้านค้าที่เคยคึกคักก็ไม่กล้าเปิด ทหารก็เดินตรวจตรากันหนาแน่น เลี่ยหยางนั่งเซ็ง ๆ อยู่ที่หน้าต่างในโรงแรมมองดูถนนด้านล่าง"เซ็ง เซ็ง เซ็งโว้ย!"แล้วเยว่หลิงก็เดินเข้ามาใกล้ เขาจับชายเสื้อเลี่ยหยางอยากมีเลศนัย"ข้า....อยากกินบะหมี่ซานซี..." เยว่หลิงกลืนน้ำลายยลงคอดังอึก เนื่องจากเขาเป็นคนผอมสูงอยู่แล้ว เห็นลูกกระเดือกชัดเจน เวลาเขากลืนน้ำลายยิ่งทำให้เห็นการเคลื่อนไหวที่คอนั้นชัดเจนเลี่ยหยางถอนหายใจ "เห้ออออ หลิงหลิง เจ้าก็ดูสิ ร้านอร่อยตรงโน้น ๆ ๆ ๆ มันปิดหมดเลยอ่ะ ข้าก็จนปัญญาจะพาเจ้าไปกิน รออีกหน่อยได้ป่าว?"เลี่ยหยางรีบเตือนเยวหลิงก่อนเลยว่า "แล้วเจ้าอย่าโดดขึ้นไปยอดหอคอยอีกนะ ทหารเต็มไปหมดแบบนี้ เดี๋ยวจะกลายเป็นไปกินข้าวในคุกเอาง่าย ๆ"เยว่หลิงทำปากเบ้ใส่ แววตาเคืองอย่างชัดเจน ทำเอาเลี่ยหยางยิ่งถอนหายใจใหญ่"ท่านลุงช่วงนี้ก็ต้องอยู่นิ่ง ๆ ไปก่อนยังไปติดต่อท่านไม่ได้..."เยว่หลิงทำสายตาน้อยใจ เลี่ยหยางมองดวงตาคู่นั้นพรางนึกในใจ นี่ข้าไม่ต่างจากมารดาเจ้าหลิงหลิงเลย ต้องเอาอกเอาใจดูแลทุกอย่าง ยังก