“ที่ร้านคนเยอะ ถ้าสั่งมาก็รอนานอาหารเย็นหมด โน้ตเลยทำกับข้าวเอง ทำเป็นตั้งหลายอย่างนะ”
ชวินทร์ไม่ได้โม้ อาหารรสชาติดีจริงๆ ดีกว่าที่เนตราเคยทำเสียอีก จนเธออายนิดๆ มื้อนี้เนตรารับหน้าที่ล้างจาน เพราะ เขาทำอาหารไปแล้ว หลังจากนั้นเธอรีบเข้าห้องโดยไว แต่นอนไม่หลับ
หมอให้ยานอนหลับมาด้วย แต่เนตราไม่กิน หลายวันมานี้เธอใช้หลายครั้งแล้ว เธอกลัวเสพย์ติด
นอนกระสับกระส่ายบนเตียง พยายามนับแกะก็แล้ว สวดมนต์ก็แล้ว แต่ยังไม่หลับ ตัดสินใจออกมาข้างนอก
ห้องรับแขกมืดแต่ไม่สนิทนัก นอกหน้าต่างมีแสงไฟสะท้อนบนผืนแม่น้ำเป็นทางระยิบระยิบเหมือนสะพานทอดสู่ดวงจันทร์ เนตรายืนมองเพลิน หันมาอีกทีก็เจอเงาตะคุ่มๆ กำลังจะกรี๊ด แต่ร่างนั้นก็พุ่งเข้ามาเสียก่อน
“โน้ตเอง”
ไฟในห้องสว่างวาบ ชวินทร์ยืนข้างเธอ เขาสวมเสื้อยืดสีขาว กางเกงลายสก็อต
“นอนไม่หลับเหรอ ให้ไปนอนเป็นเพื่อนไหม”
ชวินทร์กลับเป็นหมาป่าเจ้าเล่ห์อีกแล้ว
“ทะลึ่ง นายรับปากว่าจะไม่ทำอะไรฉัน”
“คร๊าบๆ ผมเป็นสุภาพบุรุษต้องรักษาสัญญา เพื่อให้ได้รับความเชื่อใจจากสุภาพสตรี”
เขาล้อ ก่อนเดินไปเปิดตู้เย็น หยิบขวดน้ำรินใส่แก้ว
เนตราหันหลังให้เขา กลับไปสนใจวิวแม่น้ำเหมือนเดิม
ชวินทร์ยักไหล่ กลับไปห้อง แต่ภาพเนตราหลับไม่รู้เรื่องเมื่อช่วงเย็นรบกวนใจเขา เหมือนวันที่เขาพาเธอไปโรงพยาบาลในสภาพศีรษะโชกเลือด เนตราสะดุ้งนิดๆ เมื่อเจ้าของห้องกลับมายืนใกล้ๆ
“เวลาผมนอนไม่หลับก็ชอบมาดูวิวตรงนี้เหมือนกัน”
“นายยังมีเรื่องอะไรที่ทำให้นอนไม่หลับอีกเหรอ”
“ก็เรื่องดาวไง”
“เรื่องฉันเนี่ยนะ” นิ้วยกขึ้นชี้ตัวเอง
“ผมห่วงเรื่องดาวความจำเสื่อม สมองกระทบกระเทือน”
ในอกเนตราพองฟูอย่างที่สุด คุ้มแล้ว เกิดมาชาตินี้มีผู้ชายหล่อๆ มาห่วงใย ไม่ใช่ฐานะเพื่อนเสียด้วย
“ขอบใจที่ห่วง”
เธอพยายามบังคับเสียงให้เป็นปรกติที่สุด ด้วยกลัวมันจะสั่นเพราะความดีใจ
“เล่าเรื่องตัวฉันในปัจจุบันให้ฟังหน่อยสิ”
“อย่าเพิ่งเลย เดี๋ยวจะปวดหัว”
“เถอะน่า... นะ ไม่งั้นฉันจะยิ่งนอนไม่หลับ ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นยังไงหลังจากผ่านมาหกปี”
ชวินทร์สูงกว่าเธอเป็นคืบ เวลามองเขา เธอคิดว่าตัวเองแหงน แต่ชวินทร์กลับเห็นเป็นช้อนตามอง
“ดาวทำงานเป็นเลขาฯให้บริษัทหนึ่ง”
“แล้วลางานหลายวัน ฉันไม่โดนเจ้านายว่าแย่เหรอ”
ทีแรกคิดว่าตัวเองเป็นแค่พนักงานออฟฟิศธรรมดา ไม่คิดเลยว่าจะอยู่ใกล้เจ้านายขนาดเป็นเลขาฯ
“คุณลาออกแล้ว อยู่ในช่วงหางานใหม่”
“ทำไมถึงลาออกล่ะ”
“ดาวไม่ยอมบอกผม นั่นอาจเป็นสาเหตุให้ใจลอยจนเกิดอุบัติเหตุ”
เธอยกมือแตะศีรษะ ทำท่าจะปวดอีกรอบ
“เห็นไหม ได้ฟังแล้วดาวก็ไม่สบายใจ”
“เปล่าเสียหน่อย”
“หน้าดาวฟ้อง”
เนตราเถียงไม่ออก เธอกำลังไม่สบายใจจริงๆ ความจำเสื่อม แถมยังตกงาน มีอะไรจะโชคร้ายกว่านี้ไหม
“ไปนอนได้แล้ว ถ้าไม่หลับก็กินยา หมอให้มาด้วยไม่ใช่เหรอ”
“ฉันขอคิดอะไรหน่อย นายนอนก่อนเถอะ”
เขามองเธอสักพักแล้วเดินลับหายไปในห้อง ชวินทร์กลับมาใหม่พร้อมหมอนและผ้าห่มในมือ
“ผมจะอยู่เป็นเพื่อน ดาวอยากนอนเมื่อไรก็นอนเลย”
มือใหญ่เรียงหมอนบนพื้น
“นายไม่ต้องทำขนาดนี้หรอก”
“ผมยินดีทำ”
เธอนั่งลงใกล้ แต่รักษาระยะห่าง คืนนี้พระจันทร์สวย วิวก็ดี คนข้างกายคือหนุ่มที่พึงใจ เนตรากำลังคิดหาเรื่องคุย
“เล่าเรื่องนายให้ฉันฟังหน่อยสิ อย่างงานที่ทำอยู่ตอนนี้”
“จะมาสอบประวัติผมกลางดึกเนี่ยนะ” เขาร้อง
“ก็ฉันจำอะไรไม่ได้เลยนี่ เราต้องทำความรู้จักกันใหม่” เธอให้เหตุผล
“เรารู้จักกันตั้งสี่ปีในมหาวิทยาลัยแล้วนะ”
“นั่นไม่นับ ฉันหมายถึงปัจจุบันตอนเราเป็นแฟนกัน”
“ผมกลับมาช่วยที่บ้านบริหารบริษัทครอบครัว กิจการไปด้วยดี”
เธอจำได้ ครอบครัวชวินทร์ทำกิจการเกี่ยวกับเหล็ก
“แค่นี้เหรอ”
“ใช่ แค่นี้ล่ะ” ข้อมูลที่เขาให้ไม่ได้ช่วยเธอสักเท่าใดเลย
“เล่าอะไรมากกว่านี้สิ”
“กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว” ชวินทร์เริ่มกวน
“ไม่ใช่ให้เล่านิทาน” เนตราเสียงเขียว
“แล้วอะไรล่ะที่คุณอยากรู้”
“ไม่รู้สิ ฉันเหมือนอยู่ในความฝัน มันงงจนจับต้นชนปลายไม่ถูก”
“ถ้าเป็นความฝัน อย่างเดียวที่จะทำได้คือหลับอีกครั้ง เพื่อให้ตื่น”
แต่ฝันนี้เธอก็ไม่อยากตื่นเหมือนกันน่ะสิ
“ถ้านอนไม่หลับ โน้ตร้องเพลงกล่อมไหม”
“ฉันไม่ใช่เด็กนะ”
“ถ้าเป็นผู้ใหญ่แล้ว ก็ทำใจให้สบายๆ นอนเถอะ มานี่” ชวินทร์ดึงแขนเธอ จนหน้าชิดแนบอก
“เฮ้ย!”
เนตราเสียงหลง ดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมกอด
“ทำใจให้สบายเถอะนะ อยู่กับโน้ตแล้วจะปลอดภัย”
“ฉันอึดอัด” เขาคลายวงแขนออก
“สบายขึ้นไหม”
“ปล่อยก่อนสิ”
“ถ้าดาวไม่นอนอย่างนี้ ผมก็ไม่สบายใจ” ลมหายใจเขารินรดกระหม่อมเธอ
“แต่นายกอดไว้อย่างนี้ ฉันก็นอนไม่หลับเหมือนกัน”
“เอ... หรือต้องหากิจกรรมทำให้ดาวเหนื่อยก่อน” เธอตัวแข็ง
“ลามก”
“คิดไปถึงไหนเนี่ย แค่พาออกกำลังกายนะ” เขาหัวเราะชอบใจที่หยอกสำเร็จ
“ก็ได้ นอนก็นอน ปล่อยฉันสิ”
เนตรารีบขยับหมอนให้ห่างทันทีหลังจากชวินทร์ปล่อยตัว เธอข่มตาหลับ พยายามนับแกะ หูฟังเสียงหายใจสม่ำเสมอของเขา ดังเป็นดนตรีเห่กล่อมจนหลับไป
“ไม่เจอกันกี่ปีนะ หกปีแล้วใช่ไหม นายเป็นยังไงบ้าง”ฟลุ๊คถามไถ่เริ่มต้นบทสนทนา“ก็ดี ฉันดูแลกิจการครอบครัว”“ถามจริงกับดาวนี่ นายกะจริงจังกับเขานานขนาดไหน”นิ้วเรียวแกร่งที่กำลังจะกดปุ่มเลือกกาแฟจากตู้ชะงัก ดวงตาฟลุ๊คแสดงความไม่เชื่อใจฉายชัด“ถามอย่างนี้มีเคืองนะเว้ย มาต่อยกันดีกว่า”ชวินทร์มองหน้าอีกฝ่ายหมิ่นๆ“ไม่เอาล่ะ ขืนต่อยนายดาวจะพาลโกรธฉัน ฉันกับพวกสาวๆ เป็นห่วงดาว ถ้านายคิดจะเล่นๆ กับเขาก็พอได้แล้ว”เขาพุ่งตัวมา สองมือกระชากคอเสื้อฟลุ๊ค เพื่อนเนตราดาวเตี้ยกว่าเขานิดหน่อย จึงกลายเป็นต้องเขย่งเท้า“อย่าพูดหมาๆ แบบนี้อีก”ชวินทร์กัดฟันกรอด“พูดเรื่องจริงต่างหาก เมื่อหกปีก่อนตอนดาวเสียใจก็มีพวกฉันนี่แหละที่อยู่ปลอบใจ ตอนนั้นนายยังไปง้อแจงอยู่เลย” อีกฝ่ายไม่กลัวเขาเสียด้วย คิดว่าเป็นไงเป็นกัน ถ้าต้องมีเรื่องก็พร้อม“เออ เรื่องตอนนั้นฉันยอมรับผิด แต่ตอนนี้ไม่เหมือนตอนนั้น ฉันจริงใจกับดาว”“ฉ
ชวินทร์กลับบ้านตอนห้าโมงเย็น เพื่ออาบน้ำเปลี่ยนชุด เตรียมไปเฝ้าเนตรา คนรับใช้รีบรายงานเขาทันทีว่ารัชนีรออยู่ในห้องนั่งเล่น มีเรื่องสำคัญจะคุยกับเขา“อาการเขาเป็นยังไงบ้าง เด็กคนนั้นที่ชื่อดาวน่ะ”เนตราเล่าว่าโดนไล่ออก ชวินทร์ไปไล่เบี้ยกับฉัตรบรรณ พบว่าคำสั่งมาจากฉวีวรรณ ฉัตรบรรณรอคุยกับมารดาช่วงเช้า แต่ท่านก็เลี่ยงด้วยเหตุผลไม่สบายสองหนุ่มวิเคราะห์กันว่ามารดาทั้งสองรวมหัวกันเล่นงานเนตรา เขาไม่แปลกใจนักที่ท่านรู้เรื่องเธอเข้าโรงพยาบาล“ฟื้นแล้วครับ ยังปวดหัวนิดหน่อย เพราะซ้ำรอยแผลที่เคยแตกเดิม”รัชนีพยักหน้า“แน่ใจแล้วเหรอกับคนนี้น่ะ แม่เห็นเขาหาแต่เรื่องเดือดร้อน เสียชื่อเสียง”“แล้วคนยังไงละครับที่คุณแม่ชอบ แบบแจงหรือเจมี่”ดวงตาภายใต้คิ้วเข้มวาวขึ้นทันใด เมื่อนึกถึงสิ่งสองคนนั้นทำ“อย่าประชดแม่นะ”นางเอ็ด แต่ลูกชายไม่สน“ถ้าเป็นดาว เขาจะไม่ทำให้ใครเจ็บตัว ว่าร้ายใครก็ไม่เคย”“ลูกตีค่าผู้หญิงคนนี้สูงไปหรือเปล่า”
“ใครกันมาแต่ไก่โห่”บิดาตวาดด้วยอารมณ์กำลังขึ้น คนรับใช้หน้าเสีย“เขาบอกว่าเป็นลูกน้องเฮียไช้ค่ะ” ชื่อที่ได้ยินทำเอาชะงัก“คุณยังติดต่อกับไอ้เสี่ยนั่นอยู่เหรอ”ภรรยาเบ้ปากอย่างรังเกียจ“ไหนว่าคืนเงินที่ยืมมันหมดไปแล้วไง”สามีหลบตา เดินออกประตูไปหาแขกที่มิได้เต็มใจต้อนรับ“คุณเดี๋ยวก่อนสิ กลับมาพูดกันก่อน!”มารดาดุลยาร้องไล่หลัง“ใครมาหาพ่อคะแม่”“เสี่ยเจ้าของบ่อนที่พ่อแกไปยืมเงินไงล่ะ”นางตอบเสียงสะบัด“ไหนคุณพ่อบอกว่าเล่นพนันนิดๆ หน่อยๆ ไงคะ”บิดาเธอชอบแบบนี้ ท่านมีเพื่อนก้วนที่เล่นกันประจำ โดยเล่าว่ากินเงินกันขำๆ“นิดหน่อยกับผีล่ะสิ เป็นหนี้เสี่ยนั่นทีเป็นสิบล้าน ถามทีไรก็บอกแต่ว่าคืนแล้ว นี่ไม่รู้รอบใหม่เอามาอีกเท่าไร”ดุลยาอึ้งกับความจริงในฐานะครอบครัวที่ยอบแยบมากกว่าที่คิด“พ่อแกก็เป็นแบบนี้ บริหารงานรึก็ไปไม่รอด ญาติคนอื่นก็รอจะฮุบบริษัท”มาร
“แล้วนี่ละพี่”ผู้จัดการฝ่ายบุคคลเข้ามาพร้อมโทรศัพท์มือถือเครื่องคุ้นตา“ทั้งไลน์ที่ส่งให้คุณเจมี่ คุณแจง ทั้งรูปถ่าย”ฉัตรบรรณรับมาสไลด์ดูช้าๆ ชัดๆ พร้อมกับคิ้วที่ค่อยๆ ขมวดเข้าหากัน ภิรมย์เหงื่อแตกอ้าปากพะงาบๆ“อย่าเพิ่งเข้าใจผิดนะคะคุณแปง คือ...”“รูปนี้ของผมกับดาวมาอยู่ในกล้องพี่ได้ยังไง”ชายหนุ่มเปิดรูปที่เขาปลอบเนตรดาวในวันที่เธอร้องไห้“...พี่เซฟรูปมาจากที่เขาแชร์กันมา”โธ่เอ๋ย! เธอน่าจะตั้งรหัสโทรศัพท์ตั้งแต่แรก เป็นผลจากความกลัวจำไม่ได้ ประมาทว่าจะไม่มีใครยุ่งกับของตัว“แล้วในไลน์ล่ะ”ฉัตรบรรณกดไปดูแอปพลิเคชั่นแชทสุดฮิตในทันใด แชทกลุ่มเจมิลลากับดุลยาปักหมุดไว้บนสุด เขาไล่สายตาตามบทสนทนาทุกบรรทัด ดุลยาเป็นตัวเสี้ยม ภิรมย์เป็นลูกคู่ ช่วยกันวางแผนบงการให้เจมิลลาไปทำเรื่องต่างๆ“ยังมีที่ไปปั่นเฟซอีกค่ะ”เจ้านายกดปิดหน้าจอ เพราะข้อมูลเพียงแค่นี้ก็เพียงพอต่อการตัดสินใจแล้ว“พี่ไปเซ็นใบลาออกที่เอชอาร์ได
ชื่อสายเรียกเข้าจากจอมือถือทำดุลยาสะดุ้ง เธอสูดหายใจลึกรวบความกล้าส่งเสียงรับ“ไงคะโน้ต”“คุณแสบมากนะ ทำร้ายคนที่ผมรัก”...คนที่ผมรัก ยิ่งทำใจดุลยาร้อนรุ่ม แต่เธอไม่ใช่เด็กสาวอ่อนวัย จนกรีดร้องเก็บอารมณ์โกรธเกรี้ยวไว้ไม่อยู่“แจงไม่ได้ทำอะไรนะ แค่อยู่ในเหตุการณ์เฉยๆ เจมี่ต่างหากเป็นคนลงมือ เขาหึงคุณแปง”“แล้วใครล่ะที่คอยยุเขา คุณไม่ใช่เหรอ”“อย่ามากล่าวหากันนะ!”ดุลยาไม่เคยทำอะไรผิด ทุกอย่างเพราะสถานการณ์บังคับ หรือไม่ก็กดดันจนเธอต้องตัดสินใจทำอย่างนั้น หญิงสาวหาเหตุผลเข้าข้างตนเองได้เสมอ“ไปสอบสวนเจมี่โน่น”“ผมทำแน่”เขาย้ำเยือกเย็น แต่ดุลยาใจดีสู้เสือทำไม่กลัว“แล้วคุณจะได้รู้ว่าเจมี่เพ้อเจ้อขนาดไหน เขาน่ะเด็กเลี้ยงแกะตัวจริง เรียกร้องความสนใจ รู้เรื่องความแสบของเจมี่สมัยอยู่อเมริกาไหม”“ผมไม่อยากฟังจากคุณ จะคุยกับเจ้าตัวเอง”อย่างน้อยดุลยาก็ปล่อยพิษที่เรียกว่าความค้างคาใจไว้ให้เขาแล้ว
เนตรากะพริบตาปริบๆ เห็นเท้าตนกำลังยืนอยู่บนพื้นที่นุ่มมาก สีขาวและบางเบาเรี่ยข้อเท้า ราวอยู่บนเมฆ ลมอ่อนพัดโชย กลิ่นสดชื่นเหมือนฝนตกใหม่ เธอกำลังก้าวขาไปข้างหน้าเรื่อยๆ ตรงหน้าปรากฎคนคู่หนึ่ง“พ่อคะ...แม่”เธอวิ่งถลาเข้าไปหา เหมือนเวลาเด็กอนุบาลมีพ่อแม่มารับหลังเลิกเรียน ท่านทั้งสองโอบกอดเนตราอย่างอบอุ่น น้ำตาเธอไหลพรากอย่างไม่อาย“หนูคิดถึงพ่อแม่ที่สุด”หญิงสาวบอกอู้อี้กับปกเสื้อพ่อ ซึ่งชื้นด้วยน้ำตา จำได้ว่าตัวนี้สวมให้กับมือก่อนนำร่างท่านบรรจุโลง“พ่อกับแม่ไม่ได้ไปไหน เราอยู่กับลูกเสมอในความทรงจำ”แม่ยิ้มละไม มือลูบศีรษะเธอด้วยความรัก“หนูอยากอยู่กับพ่อแม่”การที่ได้เห็นทั้งสองแบบนี้ แสดงว่าชีวิตเธอดับไปแล้วแน่ และที่นี่คงเป็นสวรรค์ แม้ไม่มีนางฟ้า เทวดา ไม่มีทิพยวิมาน แต่ขอแค่มีพ่อแม่ลูก แค่นั้นก็พอแล้ว“ยังจ้ะดาว ยังไม่ถึงเวลาที่เราจะได้อยู่ด้วยกัน”เนตราเงยหน้ามองแม่แบบเหวอๆ ท่านยกนิ้วแตะริมฝีปาก“หนูต้องเจอเรื่องต่างๆ อีกเยอะแยะ เข้มแข็