"ตื่นได้แล้วคนขี้เซา"
เนตราปรือตาง่วงงุน จมูกได้กลิ่นอาหาร ไข่ดาวสุกใหม่ๆ ทำน้ำย่อยในกระเพาะเริ่มทำงาน
“เช็ดน้ำลายแล้วมากินข้าว”
เธอทะลึ่งพรวดขึ้นจากพื้น หน้าเหรอหรายกหลังมือปาดแก้ม ชวินทร์เทไข่จากกระทะใส่จาน พอดีกับที่ปิ้งขนมปังร้องดังติ๊ง
“ผมล้อเล่นดาวไม่ได้นอนน้ำลายไหลหรอก” เขาหัวเราะร่วนเมื่อเห็นอาการ
“แค่กรนดังเท่านั้นเอง”
เธอค้อน คร้านจะเถียง มีแต่จะเข้าตัวเสียเปล่าๆ มาอาศัยห้องเขาอยู่ นอนก็นอนบนเตียงเขา ทนๆ เอาหน่อยก็แล้วกัน
“ฉันอยากได้โทรศัพท์ ช่วยพาไปซื้อหน่อย”
ชวินทร์อ่านข่าวในไอแพดแทนหนังสือพิมพ์
“ไม่ต้องรีบใช้ก็ได้ ดาวยังไม่หายดี”
“ถ้าได้มือถือฉันจะได้ติดต่อเพื่อนๆ บางทีความทรงจำจะกลับมาเร็วยิ่งขึ้น”
“ทุกคนจะยิ่งเป็นห่วงดาวล่ะไม่ว่า ทำคนอื่นลำบากเปล่าๆ” เธอหรี่ตา ฉุนกับคำกล่าวหานั้น
“นายพูดเหมือนไม่อยากให้ฉันไปเจอใคร”
“ผมเปล่า”
“งั้นพาฉันไปซื้อมือถือสิ ฉันจะไม่กวนนายอีกเลย”
เนตราเชิดหน้า กอดอกต่อต้าน
“ก็ได้ๆ”
เขายอมแพ้แบบรำคาญ แต่ยังเล่นแง่นั่งดูรายการโทรทัศน์จนเกือบสิบโมง
“รอเวลาห้างเปิด” เขาให้เหตุผลที่เถียงยากเสียงด้วยสิ
ชวินทร์พามาห้างสรรพสินค้าใกล้ๆ คอนโด เนตราทึ่งในความหรูหรา และความสามารถของเจ้าของที่อุตส่าห์หาพื้นที่มาทำห้างได้ ท่ามกลางความแออัดของเมืองหลวงแบบนี้
เขาพาเธอดูมือถือหลายร้าน แต่ไม่มีเครื่องไหนถูกใจเลย บางเครื่องเขาว่ากล้องก็ไม่ชัด บางเครื่องยี่ห้อไม่ดัง บางเครื่องฟังก์ชันเยอะจัด ชวินทร์ให้เหตุผลว่ากลัวเธอใช้ไม่หมด
หนักเข้าก็บอกว่าจะเลือกจากร้านในอินเทอร์เน็ตให้ เนตราเดินตามเขาจนเมื่อยขาไปหมด จึงขอตัวไปห้องน้ำ
หลังเสร็จกิจ กำลังเดินออกมา เธอคิดจะหักคอเขา ซื้อโทรศัพท์ร้านแรกที่เห็น โดยไม่สนใจความเห็นเขา ตั้งใจเลือกให้จบๆ ไปเสียที
“ดาว... หายไปไหนหลายวัน ทุกคนเป็นห่วง ตามหากันทั่วไปหมด”
สาวผมบ็อบเสมอหู ในชุดแบบสาวออฟฟิศจับแขนเนตราพร้อมทัก ในสมองหมุนติ้ว เหมือนใครเอาลูกข่างใส่ไว้ บางช่วงบางตอนภาพก็หยุดนิ่ง เป็นกิจกรรมที่เธอเคยทำกับผู้หญิงคนนี้
“พี่ต้องโทรบอกคุณแปงหน่อย”
แล้วเจ้าหล่อนก็ล้วงกระเป๋าสะพาย
“ดาว”
“คุณโน้ต” สาวคนนั้นตาโต ยกมือถือค้าง
“คุณจำคนผิดแล้วละครับ”
ชวินทร์ดึงมือเนตรา สาวเท้าเร็วจนเธอเกือบต้องวิ่งตาม
“โน้ตหยุดก่อน” เขาพาลงลิฟต์ไปลานจอดรถ
“ผู้หญิงคนเมื่อกี้นี้ใคร แล้วคุณแปงที่เขาพูดถึงล่ะ”
เขาหน้าเครียดขึ้ง แบบที่เธอเคยเห็นในเช้าหลังจากคืนนั้น
“ครอบครัวผมไม่เห็นด้วยที่เราเป็นแฟนกัน”
ลิฟต์เลื่อนลงเร็ว แต่ใจคนฟังเร็วกว่า ตอนนี้ตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม
“แปงคือญาติผม เจ้านายคุณ”
พล็อตละครหลังข่าวผุดขึ้นในสมอง เนตรานึกอยู่แล้วว่าคนอย่างเขาจะมาเป็นแฟนเธอได้ยังไง เห็นไหมล่ะ ครอบครัวเขาเองก็ไม่ยอมรับ
“เขาเป็นสาเหตุที่ฉันลาออกจากงานหรือเปล่า”
“อาจะมีส่วน” ลิฟต์พาทั้งสองมาถึงที่หมาย ชวินทร์รุนหลังเนตราเข้ารถทันที เมื่อกลับถึงคอนโด เขาบอกเธอเก็บของ ให้เหตุผล
“เราจะไปอยู่ต่างจังหวัดสักพัก”
“แล้วงานนายล่ะ”
เธอยืนงงกลางห้องในท่าทีที่เปลี่ยนไปกระทันหันของเขา
“มีอินเตอร์เน็ตผมก็ทำงานได้แล้ว”
ชวินทร์เข้าห้องนอนตัวเอง กางกระเป๋าเดินทาง เก็บเสื้อผ้าอย่างเร็ว
“ทำไมเราต้องไปต่างหวัดด้วย ฉันอยากอยู่กรุงเทพฯ” ชวินทร์ทำตัวน่าสงสัยมากขึ้นทุกที
“ถ้าเราอยู่ที่นี่จะวุ่นวายไม่รู้จบ”
“จากใคร ครอบครัวนายเหรอ”
“จากทุกคนนั่นแหละ”
เขาละมือจากการเก็บของ ยกมือเท้าสะเอวหันมาเผชิญหน้าเธอ เวลาเขาทำอย่างนี้เนตรารู้สึกตัวเล็กไปถนัดใจ
“จะไปเก็บของดีๆ หรือจะให้ผมทำให้ ผมไม่มีเวลามาเล่นตอบยี่สิบคำถามนะ”
“นายกำลังบังคับฉัน” เธอใจดีสู้เสือ แม้ในอกชักกลัวตุ้มๆ ต่อมๆ
“ผมทำได้มากกว่านี้ ถ้าเป็นเรื่องของดาว”
ชวินทร์ย่างเท้าเข้าใกล้ เนตราผงะจนหลังชนกรอบประตู
“ให้เวลายี่สิบนาที ไม่อย่างนั้นผมจะมัดคุณไปในรถ”
เนตราวิ่งกลับไปห้องตัวเองโดยพลัน นี่แหละ! ใช่เลย ตัวจริงของชวินทร์ โฉมหน้าที่เธอได้เห็นในเช้าวันนั้น!
“ไม่เจอกันกี่ปีนะ หกปีแล้วใช่ไหม นายเป็นยังไงบ้าง”ฟลุ๊คถามไถ่เริ่มต้นบทสนทนา“ก็ดี ฉันดูแลกิจการครอบครัว”“ถามจริงกับดาวนี่ นายกะจริงจังกับเขานานขนาดไหน”นิ้วเรียวแกร่งที่กำลังจะกดปุ่มเลือกกาแฟจากตู้ชะงัก ดวงตาฟลุ๊คแสดงความไม่เชื่อใจฉายชัด“ถามอย่างนี้มีเคืองนะเว้ย มาต่อยกันดีกว่า”ชวินทร์มองหน้าอีกฝ่ายหมิ่นๆ“ไม่เอาล่ะ ขืนต่อยนายดาวจะพาลโกรธฉัน ฉันกับพวกสาวๆ เป็นห่วงดาว ถ้านายคิดจะเล่นๆ กับเขาก็พอได้แล้ว”เขาพุ่งตัวมา สองมือกระชากคอเสื้อฟลุ๊ค เพื่อนเนตราดาวเตี้ยกว่าเขานิดหน่อย จึงกลายเป็นต้องเขย่งเท้า“อย่าพูดหมาๆ แบบนี้อีก”ชวินทร์กัดฟันกรอด“พูดเรื่องจริงต่างหาก เมื่อหกปีก่อนตอนดาวเสียใจก็มีพวกฉันนี่แหละที่อยู่ปลอบใจ ตอนนั้นนายยังไปง้อแจงอยู่เลย” อีกฝ่ายไม่กลัวเขาเสียด้วย คิดว่าเป็นไงเป็นกัน ถ้าต้องมีเรื่องก็พร้อม“เออ เรื่องตอนนั้นฉันยอมรับผิด แต่ตอนนี้ไม่เหมือนตอนนั้น ฉันจริงใจกับดาว”“ฉ
ชวินทร์กลับบ้านตอนห้าโมงเย็น เพื่ออาบน้ำเปลี่ยนชุด เตรียมไปเฝ้าเนตรา คนรับใช้รีบรายงานเขาทันทีว่ารัชนีรออยู่ในห้องนั่งเล่น มีเรื่องสำคัญจะคุยกับเขา“อาการเขาเป็นยังไงบ้าง เด็กคนนั้นที่ชื่อดาวน่ะ”เนตราเล่าว่าโดนไล่ออก ชวินทร์ไปไล่เบี้ยกับฉัตรบรรณ พบว่าคำสั่งมาจากฉวีวรรณ ฉัตรบรรณรอคุยกับมารดาช่วงเช้า แต่ท่านก็เลี่ยงด้วยเหตุผลไม่สบายสองหนุ่มวิเคราะห์กันว่ามารดาทั้งสองรวมหัวกันเล่นงานเนตรา เขาไม่แปลกใจนักที่ท่านรู้เรื่องเธอเข้าโรงพยาบาล“ฟื้นแล้วครับ ยังปวดหัวนิดหน่อย เพราะซ้ำรอยแผลที่เคยแตกเดิม”รัชนีพยักหน้า“แน่ใจแล้วเหรอกับคนนี้น่ะ แม่เห็นเขาหาแต่เรื่องเดือดร้อน เสียชื่อเสียง”“แล้วคนยังไงละครับที่คุณแม่ชอบ แบบแจงหรือเจมี่”ดวงตาภายใต้คิ้วเข้มวาวขึ้นทันใด เมื่อนึกถึงสิ่งสองคนนั้นทำ“อย่าประชดแม่นะ”นางเอ็ด แต่ลูกชายไม่สน“ถ้าเป็นดาว เขาจะไม่ทำให้ใครเจ็บตัว ว่าร้ายใครก็ไม่เคย”“ลูกตีค่าผู้หญิงคนนี้สูงไปหรือเปล่า”
“ใครกันมาแต่ไก่โห่”บิดาตวาดด้วยอารมณ์กำลังขึ้น คนรับใช้หน้าเสีย“เขาบอกว่าเป็นลูกน้องเฮียไช้ค่ะ” ชื่อที่ได้ยินทำเอาชะงัก“คุณยังติดต่อกับไอ้เสี่ยนั่นอยู่เหรอ”ภรรยาเบ้ปากอย่างรังเกียจ“ไหนว่าคืนเงินที่ยืมมันหมดไปแล้วไง”สามีหลบตา เดินออกประตูไปหาแขกที่มิได้เต็มใจต้อนรับ“คุณเดี๋ยวก่อนสิ กลับมาพูดกันก่อน!”มารดาดุลยาร้องไล่หลัง“ใครมาหาพ่อคะแม่”“เสี่ยเจ้าของบ่อนที่พ่อแกไปยืมเงินไงล่ะ”นางตอบเสียงสะบัด“ไหนคุณพ่อบอกว่าเล่นพนันนิดๆ หน่อยๆ ไงคะ”บิดาเธอชอบแบบนี้ ท่านมีเพื่อนก้วนที่เล่นกันประจำ โดยเล่าว่ากินเงินกันขำๆ“นิดหน่อยกับผีล่ะสิ เป็นหนี้เสี่ยนั่นทีเป็นสิบล้าน ถามทีไรก็บอกแต่ว่าคืนแล้ว นี่ไม่รู้รอบใหม่เอามาอีกเท่าไร”ดุลยาอึ้งกับความจริงในฐานะครอบครัวที่ยอบแยบมากกว่าที่คิด“พ่อแกก็เป็นแบบนี้ บริหารงานรึก็ไปไม่รอด ญาติคนอื่นก็รอจะฮุบบริษัท”มาร
“แล้วนี่ละพี่”ผู้จัดการฝ่ายบุคคลเข้ามาพร้อมโทรศัพท์มือถือเครื่องคุ้นตา“ทั้งไลน์ที่ส่งให้คุณเจมี่ คุณแจง ทั้งรูปถ่าย”ฉัตรบรรณรับมาสไลด์ดูช้าๆ ชัดๆ พร้อมกับคิ้วที่ค่อยๆ ขมวดเข้าหากัน ภิรมย์เหงื่อแตกอ้าปากพะงาบๆ“อย่าเพิ่งเข้าใจผิดนะคะคุณแปง คือ...”“รูปนี้ของผมกับดาวมาอยู่ในกล้องพี่ได้ยังไง”ชายหนุ่มเปิดรูปที่เขาปลอบเนตรดาวในวันที่เธอร้องไห้“...พี่เซฟรูปมาจากที่เขาแชร์กันมา”โธ่เอ๋ย! เธอน่าจะตั้งรหัสโทรศัพท์ตั้งแต่แรก เป็นผลจากความกลัวจำไม่ได้ ประมาทว่าจะไม่มีใครยุ่งกับของตัว“แล้วในไลน์ล่ะ”ฉัตรบรรณกดไปดูแอปพลิเคชั่นแชทสุดฮิตในทันใด แชทกลุ่มเจมิลลากับดุลยาปักหมุดไว้บนสุด เขาไล่สายตาตามบทสนทนาทุกบรรทัด ดุลยาเป็นตัวเสี้ยม ภิรมย์เป็นลูกคู่ ช่วยกันวางแผนบงการให้เจมิลลาไปทำเรื่องต่างๆ“ยังมีที่ไปปั่นเฟซอีกค่ะ”เจ้านายกดปิดหน้าจอ เพราะข้อมูลเพียงแค่นี้ก็เพียงพอต่อการตัดสินใจแล้ว“พี่ไปเซ็นใบลาออกที่เอชอาร์ได
ชื่อสายเรียกเข้าจากจอมือถือทำดุลยาสะดุ้ง เธอสูดหายใจลึกรวบความกล้าส่งเสียงรับ“ไงคะโน้ต”“คุณแสบมากนะ ทำร้ายคนที่ผมรัก”...คนที่ผมรัก ยิ่งทำใจดุลยาร้อนรุ่ม แต่เธอไม่ใช่เด็กสาวอ่อนวัย จนกรีดร้องเก็บอารมณ์โกรธเกรี้ยวไว้ไม่อยู่“แจงไม่ได้ทำอะไรนะ แค่อยู่ในเหตุการณ์เฉยๆ เจมี่ต่างหากเป็นคนลงมือ เขาหึงคุณแปง”“แล้วใครล่ะที่คอยยุเขา คุณไม่ใช่เหรอ”“อย่ามากล่าวหากันนะ!”ดุลยาไม่เคยทำอะไรผิด ทุกอย่างเพราะสถานการณ์บังคับ หรือไม่ก็กดดันจนเธอต้องตัดสินใจทำอย่างนั้น หญิงสาวหาเหตุผลเข้าข้างตนเองได้เสมอ“ไปสอบสวนเจมี่โน่น”“ผมทำแน่”เขาย้ำเยือกเย็น แต่ดุลยาใจดีสู้เสือทำไม่กลัว“แล้วคุณจะได้รู้ว่าเจมี่เพ้อเจ้อขนาดไหน เขาน่ะเด็กเลี้ยงแกะตัวจริง เรียกร้องความสนใจ รู้เรื่องความแสบของเจมี่สมัยอยู่อเมริกาไหม”“ผมไม่อยากฟังจากคุณ จะคุยกับเจ้าตัวเอง”อย่างน้อยดุลยาก็ปล่อยพิษที่เรียกว่าความค้างคาใจไว้ให้เขาแล้ว
เนตรากะพริบตาปริบๆ เห็นเท้าตนกำลังยืนอยู่บนพื้นที่นุ่มมาก สีขาวและบางเบาเรี่ยข้อเท้า ราวอยู่บนเมฆ ลมอ่อนพัดโชย กลิ่นสดชื่นเหมือนฝนตกใหม่ เธอกำลังก้าวขาไปข้างหน้าเรื่อยๆ ตรงหน้าปรากฎคนคู่หนึ่ง“พ่อคะ...แม่”เธอวิ่งถลาเข้าไปหา เหมือนเวลาเด็กอนุบาลมีพ่อแม่มารับหลังเลิกเรียน ท่านทั้งสองโอบกอดเนตราอย่างอบอุ่น น้ำตาเธอไหลพรากอย่างไม่อาย“หนูคิดถึงพ่อแม่ที่สุด”หญิงสาวบอกอู้อี้กับปกเสื้อพ่อ ซึ่งชื้นด้วยน้ำตา จำได้ว่าตัวนี้สวมให้กับมือก่อนนำร่างท่านบรรจุโลง“พ่อกับแม่ไม่ได้ไปไหน เราอยู่กับลูกเสมอในความทรงจำ”แม่ยิ้มละไม มือลูบศีรษะเธอด้วยความรัก“หนูอยากอยู่กับพ่อแม่”การที่ได้เห็นทั้งสองแบบนี้ แสดงว่าชีวิตเธอดับไปแล้วแน่ และที่นี่คงเป็นสวรรค์ แม้ไม่มีนางฟ้า เทวดา ไม่มีทิพยวิมาน แต่ขอแค่มีพ่อแม่ลูก แค่นั้นก็พอแล้ว“ยังจ้ะดาว ยังไม่ถึงเวลาที่เราจะได้อยู่ด้วยกัน”เนตราเงยหน้ามองแม่แบบเหวอๆ ท่านยกนิ้วแตะริมฝีปาก“หนูต้องเจอเรื่องต่างๆ อีกเยอะแยะ เข้มแข็