ชวินทร์ขับรถเงียบมาตลอดทาง โดยไม่หยุดพัก
“เราจะไปไหนกัน”
เนตราเป็นฝ่ายทนไม่ไหวต้องเปิดปากถาม
“เดี๋ยวก็รู้เองแหละ”
“บอกหน่อยสิ”
“จะรู้ตอนนี้หรือรู้ตอนไหน ดาวก็ต้องไปที่นั่นอยู่ดี”
“นายเผด็จการ”
“โน้ตไม่สนใจวิธีการหรอกนะ ดาวนั่งเงียบๆดีกว่า”
ชวินทร์สวมแว่นกันแดดอันโตปิดบังสายตา เธอเดาอารมณ์เขาไม่ออก
เนตรามองไปนอกรถ หาคำบอกใบ้ว่าตนกำลังไปที่ไหน เขาทำลายสมาธิเธอด้วยการเปิดเพลง จนเธอเห็นป้าย 'ยินดีต้อนรับสู่หัวหิน'
รถเลี้ยวเข้าสู่ประตูแนวรั้วสูงสีขาว มีต้นไม้ใหญ่ร่มรื่น บ้านสองชั้นสีฟ้าอ่อนปรากฏแก่สายตา หลังบ้านติดทะเล เห็นระลอกคลื่นสะท้อนแดดส่องประกายระยับ
“เราจะอยู่ที่นี่กันสักพักจนกว่าจะเคลียร์กับครอบครัวผมได้” มีคนวิ่งจากในบ้านมารับกระเป๋าท้ายรถ ท่าทางนอบน้อม
“ครอบครัวนายไม่ชอบฉันขนาดนี้เลยเหรอ” บริเวณบ้านนี้กว้างกว่าบ้านเธอเสียอีก
“ผมจัดการได้ ตอนนี้พักผ่อนให้สบายเถอะ จะได้หายเร็วๆ” รู้ได้อย่างหนึ่งล่ะ เขาอารมณ์ดีขึ้น
“คนของผมเตรียมห้องให้แล้ว” เขาพยักหน้าไปในบ้าน
“ผมมีเรื่องงานต้องจัดการ”
“เมื่อไรนายจะปล่อยฉันไปเสียที” เขาเอียงคอ
“ถ้าครอบครัวไม่เห็นด้วยที่เราคบกัน งั้นเราห่างกันสักพักก็ได้”
“จะให้ผมทิ้งคุณเหรอ”
คำแรงไปหน่อย แต่ตรงประเด็นดี เธอพยักหน้า
“ผมไม่เคยทิ้งใคร แล้วก็ไม่ชอบการถูกทิ้ง”
“ทีสมัยมหาลัยนายยังทิ้งสาวบ่อยๆ” เธอกอดอก ย่นจมูก
“เขาเรียกจบกันด้วยดีต่างหาก ทุกรายเลยด้วย” เสียงนั้นภูมิใจจนชวนหมั่นไส้
“ยังไงก็ตามคุณต้องอยู่ที่นี่ อยู่กับผม รอจนผมจัดการอะไรๆ ให้แล้วเสร็จ”
กายสูงใหญ่เคลื่อนมาใกล้ เงาทาบบังร่างเนตราจนมิด
“อย่าดื้อไปเลยดาว ผมขอล่ะ”
คำขอร้องที่ฟังดูยังไงก็สั่งชัดๆ เธอไม่ตอบเดินเลี่ยงเข้าบ้าน ตั้งใจไปหามุมสงบๆ คิดหาวิธีให้เขาปล่อยตัวเองไปเสียที เมื่อร่างเธอลับตาไป ชวินทร์กดมือถือหาใครคนหนึ่ง
“ไง ไอ้ตัวดี เอาเลขาฯกูคืนมาเดียวนี้นะ มึงเล่นสนุกมากไปแล้ว”
“กูไม่ได้เล่น แต่เอาจริง”
ปลายสายเงียบไปครู่ ก่อนส่งเสียงเข้มขึ้น
“ดาวไม่เหมือนผู้หญิงคนก่อนๆ ที่มึงเคยควงนะ คนนี้กูขอ”
“มึงพูดในฐานะเจ้านายหรือผู้ชายคนหนึ่งวะแปง”
“ไอ้นี่!” ฉัตรบรรณเข่นเขี้ยว
“ดาวมีแฟนแล้วนะ”
“ดาวเป็นของกู ตั้งแต่แรก ไอ้ผู้ชายคนนั้นมันมาทีหลัง”
“ไอ้โน้ต!”
ใช่... เนตรากลับมาเป็นของเขาตั้งแต่ความจำเสื่อม ใครก็เอาตัวเธอไปจากเขาไม่ได้ทั้งนั้น
“ที่มึงทำอยู่นี่มันอาชญากรรมชัดๆ ลักพาตัวนะเว้ย”
“ดาวมากับกูดีๆ ไม่ได้บังคับ”
อย่างน้อยเนตราก็ไม่ได้ตีโพยตีพายมาก เธออยู่ในขอบเขตที่เขาจัดการได้
“แล้วมึงอยู่ไหน”
“มึงไม่ต้องยุ่งหรอก กูบอกได้แค่ว่าดาวสบายดี เขาจะไม่กลับไปทำงานกับมึงแล้ว”
ปลายสายสบถชุดใหญ่
“มึงนี่เป็นเอามากนะ”
“เออ ของๆ กู ไม่ให้ใครหรอก ส่วนงานกูจะทำให้เหมือนเดิมมึงไม่ต้องกลัว”
“เป็นบุญหัวจริงๆ ที่กูมีญาติอย่างมึงเนี่ย”
ได้ยินเสียงกัดฟันกรอดแว่วๆ
“หาแต่เรื่องมาให้ปวดหัว”
“บ่นพอหรือยัง กูจะได้ไปทำงานให้มึง”
ฉัตรบรรณอ่อนใจกับญาติเจ้าปัญหา แต่ทำอะไรไม่ได้มากนักนอกจากถอนหายใจแรงและวางสายไป
ชวินทร์ออกไปหลังบ้านเห็นเนตรากำลังสนใจต้นลีลาวดี เขากำชับให้คนตามดูหญิงสาว แล้วกลับเข้าบ้านไปทำงานจริงอย่างที่บอกฉัตรบรรณ
เมื่อรู้สึกตัวอีกครั้งก็เป็นเวลาเย็นแล้ว คนรับใช้เริ่มเปิดไฟทั่วบ้าน คอเริ่มเมื่อขบจากการทำงานหน้าจอ
โน้ตบุคนาน
ดาวล่ะ”
“เธอออกไปเดินเล่นตั้งแต่บ่ายแล้วค่ะ”
เขาออกมาข้างนอก ลมทะเลเย็นพัดไล้ผิว แสงสุดท้ายของวันกำลังจะลับขอบฟ้า ชายหาดยังมีคนเดินประปราย
ชวินทร์เริ่มร้อนใจ เนตราไปไหน ทำไมยังไม่กลับเข้าบ้าน หรือว่า...
กรามบดแน่น เมื่อคิดได้ว่าเธออาจจะหนี เหมือนครั้งก่อนความจำเสื่อม เขาวิ่งไปตามชายหาดเหมือนคนบ้า หัวใจบีบเค้นหนักหน่วง ตากวาดไปทั่วบริเวณ ไร้เงาเนตรา
“เหี้ย! เอ้ย!”
ชวินทร์ทำพลาดอีกแล้ว เขาน่าจะจับตาดูเธอให้ใกล้ชิดกว่านี้
“โทษนะครับ เห็นแฟนผมไหม เธอมัดผมหางม้า ใส่เสื้อยืดสีม่วงกางเกงยีนเสมอเข่า” เขาถามคนจูงม้าที่เดินสวนกัน
“คนแต่งตัวอย่างนั้นมีตั้งเยอะนะ แฟนคุณมีอะไรเฉพาะเจาะจงเป็นพิเศษไหม”
“คือ...”
ชวินทร์ติดอ่างกะทันหัน เนตราไม่มีจุดเด่นอะไรเจาะจงเป็นพิเศษ ไม่สวยขนาดอยากขอแอดไลน์ตั้งแต่แรก แต่ไม่ขาดผู้ชายมาขอเป็นเพื่อนในเฟซบุคแน่ชวินทร์แค่เห็นไกลๆ เขาก็รู้ว่าเป็นเธอ
“เขาตัวเล็กๆ หน้าตาเอ๋อๆ หน่อยครับ”
“ไอ้เหี้ยโน้ต! เอ้ย!”
เขาด่าตัวเองในใจ เคยมีแฟนมาเยอะ เจอผู้หญิงมาเป็นร้อย แต่กับเนตราคนเดียวกลับบรรยายภาพเธอไม่ถูก
ชวินทร์รู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นเด็กอายุสิบสี่ ตอนริมีรักครั้งแรก
“ทะเลาะกันเหรอ” คนจูงม้ายิ้มเผล่
“เปล่า ผมแค่หาเขาไม่เจอ”
อีกฝ่ายส่งสายตารู้ทันแบบคนเจนโลกมามาก
“เขาไม่สบายอยู่ด้วย”
แล้วทำไมกัน เขาถึงเล่าเรื่องนี้ให้คนแปลกหน้าฟัง
“ลุงเดินมาจากสุดหาดฝั่งโน้น” คนพูดชี้มือประกอบ
“ไม่เห็นแฟนที่คุณเล่ามาเลยนะ”
“จริงเหรอลุง”
“ตอนนี้ค่ำแล้ว คนกลับที่พักกันหมด ไม่มีใครมาเดินชายหาดกันหรอก”
ชวินทร์จึงวิ่งไปดูอีกทาง ฟ้ามืด ลมทะเลเย็นๆ พัดประพรมกาย แต่หลังเขากลับชื้นเหงื่อ ใจร้อนรนไม่หยุด ทั้งโกรธปนห่วงใย ครั้งสุดท้ายที่รู้สึกเช่นนี้คือวันที่พาเนตราไปโรงพยาบาล ภาพศีรษะเธอชุ่มเลือดยากจะลบจากความทรงจำ
แต่ละนาทีที่ผ่านไปทำเขาแทบบ้า ก่อนสีแดงขึ้นจากลำคอไปสู่หน้า เมื่อเห็นคนที่ตามหานั่งดูทะเลอีกฟากหนึ่งของหาด
“คุณทำอะไรของคุณ มืดแล้วทำไมไม่เข้าบ้าน”
ชายหนุ่มยกมือเท้าสะเอว ข่มใจไม่จับตัวเนตราเขย่าแรงๆ
“คิดว่าตกทะเลไปแล้วซะอีก”
“ฉันคิดถึงสมัยเรียน ตอนเราไปทะเลกัน”
ทีแรกชวินทร์บอกไม่ไป แต่เพราะทะเลาะกับดุลยาที่ไปฮ่องกง เขาจึงตามมาสมทบกับเพื่อนๆ ทีหลัง เพื่อนชวนเล่นเกมหมุนขวด ปากขวดอยู่ที่ใครคนนั้นต้องดื่ม
“พวกแกเอาจริงอ๊ะ ฉันไม่เคยกินเหล้า เดี๋ยวก็เมาอ้วกให้เช็ดหรอก”
เนตราปฏิเสธ ขยาดฤทธิ์น้ำเมา
“เมาแกก็ไปนอนในห้องสิ มีแต่เพื่อนกันทั้งนั้น นี่อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่พวกเราจะได้อยู่พร้อมหน้ากันนะเว้ย เล่นหน่อยเหอะ โอกาสจะโดนเหมือนถูกหวยนั่นแหละ ชีวิตนี้แกเคยถูกหวยไหม”
หัวโจกตัวตั้งตัวตีเล่นเกมหว่านล้อม เนตราไม่เคยถูกหวย เพราะเธอไม่เคยซื้อ แต่ครั้งนี้โดนไปเต็มๆ ต้องดื่มติดๆกันสามแก้ว
“พวกมึงเล่นอะไรกัน”
ชวินทร์โผล่มากลางวง
“มอมเหล้าดาวเหรอ” เธอหน้าแดงซ่าน ตาปรือลืมไม่ขึ้น
“เล่นเกมกันต่างหาก ดาวดวงมันซวย”
“เกมแดกเหล้าอ่ะ พวกมึงเล่นกันเองเถอะ เห็นไหมดาวไม่ไหวแล้ว”
“โห่ สุภาพบุรุษ” เพื่อนยังมิวายส่งเสียงล้อเลียน
“พวกมึงทำอะไรไม่คิด เกิดเขาเป็นอะไรขึ้นมาล่ะ”
ชวินทร์เขามาพยุงปีกเธอ
“แหวะ!” เนตราอาเจียนเต็มเสื้อเขา
“ฉันขอโทษ”
เธอพยายามเอามือเช็ดเสื้อเขา แต่ทว่าน้ำขื่นๆ ย้อนขึ้นคอมาอีกครา
“แหวะ!”
เนตราทั้งอายทั้งอยากร้องไห้ หัวก็หมุนติ้ว ท้องไส้ก็ปั่นป่วน ชวินทร์ถอดเสื้อทิ้งอย่างไม่แยแส
“ฉันจะพาไปนอน”
สติเนตราตลอดลอยไปไกล ระหว่างเขาพากลับบ้านพัก ชวินทร์คอยเฝ้าดูอาการ เตรียมที่นอนเปิดหน้าต่างให้ลมทะเลโกรก
เนตรารู้สึกดีจนไม่อยากให้เวลานี้จบลง แต่ไม่ทันถึงชั่วโมงโทรศัพท์มือถือเขาก็ดัง
“ฉันต้องไปรับแจง ดาวอยู่คนเดียวได้นะ ถ้าอาการแย่ก็ตะโกนดังๆ พวกมันไม่เมามาก ยังได้ยินกันอยู่”
ชวินทร์ไม่รู้หรอกว่าหลังจากนั้นเธออาเจียนไปร้องไห้ไป น้อยใจในวาสนาที่เป็นได้เพียงเพื่อนธรรมดาของเขา
“ถึงขนาดใช้คำว่าวาสนาเลยเหรอ”
“ใช้คำนี้ถูกแล้ว”
“ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเทวดาในสายตาดาว”
“ฉันรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ นี่ ถึงได้ตกใจตอนที่นายบอกว่าเราเป็นแฟนกัน”
“ผมไม่ได้เป็นคนดีขนาดนั้น”
คนดี... คำนี้ไม่เหมาะกับเขา โดยเฉพาะออกมาจากเธอคนก่อนจะเสียความทรงจํา ยิ่งเป็นไม่ได้เข้าไปใหญ่
“ทุกคนเป็นคนดีทั้งนั้นแหละ ในแบบของตัวเอง”
เนตราลุกขึ้น ปัดทรายเกาะตามตัวออก ทั้งสองเดินเคียงกันเข้าไปสู่บ้านพัก แสงสว่างลิบๆในสายตาเธอคือความอบอุ่น แหล่งพึ่งพิงสุดท้ายในตอนนี้
แต่สำหรับชวินทร์แสงนี้คืออย่างอื่น ซึ่งเขาก็ยังไม่รู้ว่ามันจะนำพาเธอกับเขาไปสู่ทิศทางไหน อย่างเดียวที่เขาต้องทำคือจับเธอไว้ให้แน่น ไม่ปล่อยไปไกล
“ไม่เจอกันกี่ปีนะ หกปีแล้วใช่ไหม นายเป็นยังไงบ้าง”ฟลุ๊คถามไถ่เริ่มต้นบทสนทนา“ก็ดี ฉันดูแลกิจการครอบครัว”“ถามจริงกับดาวนี่ นายกะจริงจังกับเขานานขนาดไหน”นิ้วเรียวแกร่งที่กำลังจะกดปุ่มเลือกกาแฟจากตู้ชะงัก ดวงตาฟลุ๊คแสดงความไม่เชื่อใจฉายชัด“ถามอย่างนี้มีเคืองนะเว้ย มาต่อยกันดีกว่า”ชวินทร์มองหน้าอีกฝ่ายหมิ่นๆ“ไม่เอาล่ะ ขืนต่อยนายดาวจะพาลโกรธฉัน ฉันกับพวกสาวๆ เป็นห่วงดาว ถ้านายคิดจะเล่นๆ กับเขาก็พอได้แล้ว”เขาพุ่งตัวมา สองมือกระชากคอเสื้อฟลุ๊ค เพื่อนเนตราดาวเตี้ยกว่าเขานิดหน่อย จึงกลายเป็นต้องเขย่งเท้า“อย่าพูดหมาๆ แบบนี้อีก”ชวินทร์กัดฟันกรอด“พูดเรื่องจริงต่างหาก เมื่อหกปีก่อนตอนดาวเสียใจก็มีพวกฉันนี่แหละที่อยู่ปลอบใจ ตอนนั้นนายยังไปง้อแจงอยู่เลย” อีกฝ่ายไม่กลัวเขาเสียด้วย คิดว่าเป็นไงเป็นกัน ถ้าต้องมีเรื่องก็พร้อม“เออ เรื่องตอนนั้นฉันยอมรับผิด แต่ตอนนี้ไม่เหมือนตอนนั้น ฉันจริงใจกับดาว”“ฉ
ชวินทร์กลับบ้านตอนห้าโมงเย็น เพื่ออาบน้ำเปลี่ยนชุด เตรียมไปเฝ้าเนตรา คนรับใช้รีบรายงานเขาทันทีว่ารัชนีรออยู่ในห้องนั่งเล่น มีเรื่องสำคัญจะคุยกับเขา“อาการเขาเป็นยังไงบ้าง เด็กคนนั้นที่ชื่อดาวน่ะ”เนตราเล่าว่าโดนไล่ออก ชวินทร์ไปไล่เบี้ยกับฉัตรบรรณ พบว่าคำสั่งมาจากฉวีวรรณ ฉัตรบรรณรอคุยกับมารดาช่วงเช้า แต่ท่านก็เลี่ยงด้วยเหตุผลไม่สบายสองหนุ่มวิเคราะห์กันว่ามารดาทั้งสองรวมหัวกันเล่นงานเนตรา เขาไม่แปลกใจนักที่ท่านรู้เรื่องเธอเข้าโรงพยาบาล“ฟื้นแล้วครับ ยังปวดหัวนิดหน่อย เพราะซ้ำรอยแผลที่เคยแตกเดิม”รัชนีพยักหน้า“แน่ใจแล้วเหรอกับคนนี้น่ะ แม่เห็นเขาหาแต่เรื่องเดือดร้อน เสียชื่อเสียง”“แล้วคนยังไงละครับที่คุณแม่ชอบ แบบแจงหรือเจมี่”ดวงตาภายใต้คิ้วเข้มวาวขึ้นทันใด เมื่อนึกถึงสิ่งสองคนนั้นทำ“อย่าประชดแม่นะ”นางเอ็ด แต่ลูกชายไม่สน“ถ้าเป็นดาว เขาจะไม่ทำให้ใครเจ็บตัว ว่าร้ายใครก็ไม่เคย”“ลูกตีค่าผู้หญิงคนนี้สูงไปหรือเปล่า”
“ใครกันมาแต่ไก่โห่”บิดาตวาดด้วยอารมณ์กำลังขึ้น คนรับใช้หน้าเสีย“เขาบอกว่าเป็นลูกน้องเฮียไช้ค่ะ” ชื่อที่ได้ยินทำเอาชะงัก“คุณยังติดต่อกับไอ้เสี่ยนั่นอยู่เหรอ”ภรรยาเบ้ปากอย่างรังเกียจ“ไหนว่าคืนเงินที่ยืมมันหมดไปแล้วไง”สามีหลบตา เดินออกประตูไปหาแขกที่มิได้เต็มใจต้อนรับ“คุณเดี๋ยวก่อนสิ กลับมาพูดกันก่อน!”มารดาดุลยาร้องไล่หลัง“ใครมาหาพ่อคะแม่”“เสี่ยเจ้าของบ่อนที่พ่อแกไปยืมเงินไงล่ะ”นางตอบเสียงสะบัด“ไหนคุณพ่อบอกว่าเล่นพนันนิดๆ หน่อยๆ ไงคะ”บิดาเธอชอบแบบนี้ ท่านมีเพื่อนก้วนที่เล่นกันประจำ โดยเล่าว่ากินเงินกันขำๆ“นิดหน่อยกับผีล่ะสิ เป็นหนี้เสี่ยนั่นทีเป็นสิบล้าน ถามทีไรก็บอกแต่ว่าคืนแล้ว นี่ไม่รู้รอบใหม่เอามาอีกเท่าไร”ดุลยาอึ้งกับความจริงในฐานะครอบครัวที่ยอบแยบมากกว่าที่คิด“พ่อแกก็เป็นแบบนี้ บริหารงานรึก็ไปไม่รอด ญาติคนอื่นก็รอจะฮุบบริษัท”มาร
“แล้วนี่ละพี่”ผู้จัดการฝ่ายบุคคลเข้ามาพร้อมโทรศัพท์มือถือเครื่องคุ้นตา“ทั้งไลน์ที่ส่งให้คุณเจมี่ คุณแจง ทั้งรูปถ่าย”ฉัตรบรรณรับมาสไลด์ดูช้าๆ ชัดๆ พร้อมกับคิ้วที่ค่อยๆ ขมวดเข้าหากัน ภิรมย์เหงื่อแตกอ้าปากพะงาบๆ“อย่าเพิ่งเข้าใจผิดนะคะคุณแปง คือ...”“รูปนี้ของผมกับดาวมาอยู่ในกล้องพี่ได้ยังไง”ชายหนุ่มเปิดรูปที่เขาปลอบเนตรดาวในวันที่เธอร้องไห้“...พี่เซฟรูปมาจากที่เขาแชร์กันมา”โธ่เอ๋ย! เธอน่าจะตั้งรหัสโทรศัพท์ตั้งแต่แรก เป็นผลจากความกลัวจำไม่ได้ ประมาทว่าจะไม่มีใครยุ่งกับของตัว“แล้วในไลน์ล่ะ”ฉัตรบรรณกดไปดูแอปพลิเคชั่นแชทสุดฮิตในทันใด แชทกลุ่มเจมิลลากับดุลยาปักหมุดไว้บนสุด เขาไล่สายตาตามบทสนทนาทุกบรรทัด ดุลยาเป็นตัวเสี้ยม ภิรมย์เป็นลูกคู่ ช่วยกันวางแผนบงการให้เจมิลลาไปทำเรื่องต่างๆ“ยังมีที่ไปปั่นเฟซอีกค่ะ”เจ้านายกดปิดหน้าจอ เพราะข้อมูลเพียงแค่นี้ก็เพียงพอต่อการตัดสินใจแล้ว“พี่ไปเซ็นใบลาออกที่เอชอาร์ได
ชื่อสายเรียกเข้าจากจอมือถือทำดุลยาสะดุ้ง เธอสูดหายใจลึกรวบความกล้าส่งเสียงรับ“ไงคะโน้ต”“คุณแสบมากนะ ทำร้ายคนที่ผมรัก”...คนที่ผมรัก ยิ่งทำใจดุลยาร้อนรุ่ม แต่เธอไม่ใช่เด็กสาวอ่อนวัย จนกรีดร้องเก็บอารมณ์โกรธเกรี้ยวไว้ไม่อยู่“แจงไม่ได้ทำอะไรนะ แค่อยู่ในเหตุการณ์เฉยๆ เจมี่ต่างหากเป็นคนลงมือ เขาหึงคุณแปง”“แล้วใครล่ะที่คอยยุเขา คุณไม่ใช่เหรอ”“อย่ามากล่าวหากันนะ!”ดุลยาไม่เคยทำอะไรผิด ทุกอย่างเพราะสถานการณ์บังคับ หรือไม่ก็กดดันจนเธอต้องตัดสินใจทำอย่างนั้น หญิงสาวหาเหตุผลเข้าข้างตนเองได้เสมอ“ไปสอบสวนเจมี่โน่น”“ผมทำแน่”เขาย้ำเยือกเย็น แต่ดุลยาใจดีสู้เสือทำไม่กลัว“แล้วคุณจะได้รู้ว่าเจมี่เพ้อเจ้อขนาดไหน เขาน่ะเด็กเลี้ยงแกะตัวจริง เรียกร้องความสนใจ รู้เรื่องความแสบของเจมี่สมัยอยู่อเมริกาไหม”“ผมไม่อยากฟังจากคุณ จะคุยกับเจ้าตัวเอง”อย่างน้อยดุลยาก็ปล่อยพิษที่เรียกว่าความค้างคาใจไว้ให้เขาแล้ว
เนตรากะพริบตาปริบๆ เห็นเท้าตนกำลังยืนอยู่บนพื้นที่นุ่มมาก สีขาวและบางเบาเรี่ยข้อเท้า ราวอยู่บนเมฆ ลมอ่อนพัดโชย กลิ่นสดชื่นเหมือนฝนตกใหม่ เธอกำลังก้าวขาไปข้างหน้าเรื่อยๆ ตรงหน้าปรากฎคนคู่หนึ่ง“พ่อคะ...แม่”เธอวิ่งถลาเข้าไปหา เหมือนเวลาเด็กอนุบาลมีพ่อแม่มารับหลังเลิกเรียน ท่านทั้งสองโอบกอดเนตราอย่างอบอุ่น น้ำตาเธอไหลพรากอย่างไม่อาย“หนูคิดถึงพ่อแม่ที่สุด”หญิงสาวบอกอู้อี้กับปกเสื้อพ่อ ซึ่งชื้นด้วยน้ำตา จำได้ว่าตัวนี้สวมให้กับมือก่อนนำร่างท่านบรรจุโลง“พ่อกับแม่ไม่ได้ไปไหน เราอยู่กับลูกเสมอในความทรงจำ”แม่ยิ้มละไม มือลูบศีรษะเธอด้วยความรัก“หนูอยากอยู่กับพ่อแม่”การที่ได้เห็นทั้งสองแบบนี้ แสดงว่าชีวิตเธอดับไปแล้วแน่ และที่นี่คงเป็นสวรรค์ แม้ไม่มีนางฟ้า เทวดา ไม่มีทิพยวิมาน แต่ขอแค่มีพ่อแม่ลูก แค่นั้นก็พอแล้ว“ยังจ้ะดาว ยังไม่ถึงเวลาที่เราจะได้อยู่ด้วยกัน”เนตราเงยหน้ามองแม่แบบเหวอๆ ท่านยกนิ้วแตะริมฝีปาก“หนูต้องเจอเรื่องต่างๆ อีกเยอะแยะ เข้มแข็