Se connecterหลังจากมาถึงไร่ส้ม เดือนฉายก็ได้รับงานที่มอบหมายจากภูเมฆ ซึ่งเขาไม่สนใจเธอจะมีปฏิกิริยาอย่างไรกับคำสั่งของตัวเอง นอกจากอยากสั่งสอนคนปากดีเช่นเธอ เดือนฉายเองไม่มีสิทธิ์โต้แย้งยอมทำตามอย่างว่าง่าย
งานที่เขาให้เธอทำคือเก็บเกี่ยวผลส้มท่ามกลางแสงแดดจ้า หญิงสาวทำอย่างตั้งใจไม่ปริปากบ่นสักคำ
“ฉาย”
“อ้าวพี่หมอก” เสียงเรียกของคนมาใหม่เรียกความสนใจจากคนตัวเล็กหันมอง เธอส่งยิ้มให้แก่สายหมอกหรือผู้จัดการไร่ ที่มีศักดิ์เป็นเพื่อนสนิทภูเมฆ
“โดนไอ้เมฆใช้งานอีกแล้วใช่ไหม” ชายหนุ่มพูดขึ้นเหมือนล่วงรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับเดือนฉาย
“...” หญิงสาวไม่ได้ตอบโต้ ทำได้แค่มองเขาแวบหนึ่งก่อนเก็บผลส้มต่อ
“ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็บอกพี่ได้นะครับ”
“ค่ะ” เงยหน้ามองเขาอีกครั้ง จังหวะเดียวกันนัยน์ตาคู่งามเหลือบเห็นใครคนหนึ่งกำลังก้าวเดินมาทางนี้ด้วยใบหน้าบึ้งตึง
“ทำหน้าแบบนี้ แสดงว่าไอ้เมฆกำลังมาทางนี้ใช่ไหม”
“มาทำอะไรตรงนี้” ไม่ทันที่คนตัวเล็กจะเอ่ยปากตอบคำถามผู้จัดการไร่ เสียงทุ้มของใครอีกคนแทรกขึ้น ก่อนตบบ่าบึกบึนของสายหมอกเบา ๆ ทว่าสายตาดันจับจ้องมองเดือนฉายอย่างคาดโทษ
“กูแค่แวะมาคุยกับน้องฉาย”
“มึงไม่มีงานทำเหรอ” ปากกำลังต่อว่าสายหมอก แต่สายตาจ้องเขม็งหญิงสาวอย่างต้องการจับผิด
“มี!!”
“แล้วมึงมาวุ่นวายกับเมียกูทำไม”
“มึงรู้ด้วยเหรอ ฉายเป็นเมียมึง”
“ไอ้หมอก...” ก่อนเรื่องราวจะบานปลายไปมากกว่านี้ เดือนฉายเดินมาขวางหน้าพ่อเลี้ยงหนุ่มที่ทำท่าจะกระชากคอเสื้อสายหมอก
“พี่เมฆมาหาฉาย มีธุระอะไรจะพูดหรือเปล่าคะ”
“ตามฉันมานี่” ไม่พูดเปล่า ฝ่ามือหยาบกร้านคว้าข้อมือเล็กและจ้องเธอด้วยแววตาขุ่นเคือง “ส่วนมึงกลับไปทำงานได้แล้ว”
“ทำตัวเป็นหมาหวงก้างไปได้” ว่าพลางทอดสายตามองแผ่นหลังกว้างของภูเมฆ เขาส่ายหัวไปมาช้า ๆ กับพฤติกรรมเพื่อนสนิท
“พี่เมฆคะ เดินช้า ๆ หน่อยสิ ฉายตามไม่ทันแล้ว” คนตัวเล็กเอ่ยประท้วงอีกคนเอาแต่ก้าวยาว ๆ ไม่สนใจเธอแม้แต่น้อยจะตามทันหรือไม่
“...” ไม่มีเสียงตอบกลับจากพ่อเลี้ยงหนุ่ม นอกจากสายตาดุดันจ้องเขม็งหญิงสาวปานจะกินเลือดกินเนื้อ เดือนฉายทำได้แค่สงบปากสงบคำพร้อมเดินตามหลังเขาไปยังสถานที่หนึ่งเงียบ ๆ
“โอ๊ย!” ร่างเล็กถูกเหวี่ยงไปยังโซฟา หลังมาถึงห้องทำงาน
“เจ็บนะคะ”
“เฮอะ!!” ยกยิ้มมุมปากดั่งคนร้ายกาจ
“ฉายทำอะไรผิดคะ” คิ้วโก่งสวยขมวดเข้าหากัน
“นี่เธอไม่รู้จริง ๆ เหรอ” คำถามคนตรงหน้าทำเขาโมโหยิ่งกว่าเดิม
“ไม่ค่ะ” ส่ายหัวไปมาช้า ๆ เธอทำอะไรผิดล่ะ ก่อนหน้านี้ก็ทำงานตามคำสั่งอยู่ดี ๆ จู่ ๆ เขานั่นแหละเป็นฝ่ายเข้ามาหาและพามาที่นี่ โดยไม่ถามความสมัครใจสักคำ
“เดือนฉาย!!” มือหนาจับท่อนแขนเล็กแน่น จนเธอนิ่วหน้าด้วยความเจ็บ “ฉันไม่ชอบที่เธอคุยกับไอ้หมอก”
“หึงเหรอ”
“เฮอะ!! นี่คิดก่อนพูดแล้วใช่ไหม ฉันแค่สงสารไอ้หมอกหรอกไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมผู้หญิงร้ายกาจแบบเธอ”
“ค่ะ” ตอบรับสั้น ๆ เหนื่อยจะโต้เถียงกับเขา
“ค่ะ คืออะไรของเธอ” ท่าทางเมินเฉยและคำพูดของเธอทำเอาเขาเดือด
“ก็แล้วแต่พี่เมฆจะว่าเลย ฉายทำอะไรก็ผิดไปหมดอยู่แล้วนี่คะ” แหงนมองหน้าหล่อเหลา
“รู้ตัวก็ดี” ภูเมฆยอมปล่อยเดือนฉายเป็นอิสระ จากนั้นย่างกรายกลับไปโต๊ะทำงาน ทิ้งเธอไว้บริเวณโซฟาหรูกลางห้อง
“เอาแต่ใจที่สุด” เสียงหวานพึมพำขณะเหลือบมองคนตัวโตวุ่นวายกับกองเอกสาร
เวลาล่วงผ่านไปเกือบชั่วโมง เดือนฉายยังคงนั่งเบื่อหน่ายในห้องทำงาน ซึ่งชายหนุ่มไม่มีท่าทีจะปล่อยไปง่ายดาย กระทั่งหญิงสาวทนไม่ไหวจึงพูดขึ้นทำลายบรรยากาศความเงียบ
“พี่เมฆคะ จะให้ฉายอยู่แบบนี้ไปถึงเมื่อไร”
“อืม” เอ่ยตอบขณะสายตายังคงจ้องมองจอคอมพิวเตอร์สลับมองเอกสาร
“พี่เมฆคะ”
“มีอะไร” เนื่องจากเดือนฉายไม่พูดต่อ แถมยังเงียบไปหลายนาที เลยถามขึ้นพลางละสายตาจากงาน ก่อนเห็นเธอมายืนตรงหน้าเขา
“ฉายอยากเปิดคาเฟ่”
“แล้วไง”
“เอ่อ คือฉายอยากเปิดในไร่ส้มของพี่เมฆ แล้วก็อยากจะยืมเงินพี่เมฆสักก้อน พอได้กำไรฉายจะรีบคืนเงินให้ทันที” หลังพูดจบ ยืนคอยฟังคำตอบด้วยใจรอลุ้น
“คุณหนูอย่างเธอจะทำอะไรเป็น คงได้เจ๊งไม่เป็นท่านะสิ”
ถ้อยคำจากคนตัวโตทำเอาหน้างดงามซีดเผือด คาดไม่ถึงเขาจะเอ่ยออกมาตรง ๆ แบบนี้ ทั้งที่เป็นสิ่งที่เธอใช้เวลาคิดมานานและกว่าจะรวบรวมความกล้าพูดได้ กลับโดนปฏิเสธแบบไม่ไยดีเพียงไม่กี่ประโยค
เมื่อก่อนเธออาจจะเป็นคุณหนูอย่างที่เขาพูดจริง ทว่านับจากครอบครัวล้มละลายและสูญเสียบุพการีตอนอายุสิบแปดปี มิหนำซ้ำยังต้องมาอยู่ไร่ส้มของเพื่อนพ่อ นั่นก็คือบิดาของภูเมฆ ชีวิตของเธอก็พลิกผันจากหน้ามือเป็นหลังมือ แต่ก็ปรับตัวได้ดีและเข้าใจสถานะของตัวเองเสมอมา
“พี่เมฆไม่เคยเชื่อมั่นในตัวฉายเลย” เอ่ยบอกอย่างน้อยใจ
เธอแค่อยากให้เขาคนนี้ยอมรับในความสามารถกันบ้างสักครั้ง เหมือนที่เคยให้โอกาสกับใครหลายคน เขามักจะใจดีกับคนอื่น ๆ ทว่ากลับไม่ใช่กับเธอ
“อย่ามาพูดจาไร้สาระแถวนี้ เดือนฉาย” เอ่ยบอกอย่างไม่สบอารมณ์
“พี่เมฆ”
“กลับไปนั่งเดือนฉาย อย่าสร้างความรำคาญให้ฉันไปมากกว่านี้”
“พี่เมฆ ขอร้องละ...”
“ไปให้พ้น!!” กายแกร่งตบมือลงบนโต๊ะพลางยันกายลุกขึ้นยืนเต็มความสูง วินาทีถัดมาตะคอกใส่หน้าคนตัวเล็ก จนเธอสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ
“เรื่องเดียวที่ฉายทำผิดกับพี่เมฆ คือการที่ฉายยอมรับว่ารักพี่เมฆต่อหน้าคุณลุง จนเราต้องมาแต่งงานกันแบบนี้” เธอพูดด้วยเสียงสั่นเครือ พยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้หลั่งไหลต่อหน้าคนใจร้าย
ถ้าหากตอนนั้นไม่เผลอหลุดปากบอกความในใจ ให้บิดาของภูเมฆที่ป่วยได้ล่วงรู้ก็คงไม่ต้องแต่งงานกันหรอก แถมเธอยังถูกเขากล่าวหาว่าเป็นคนทำลายความรักของเขา จนแฟนเขาหนีไป
“เธอจะรื้อฟื้นอีกทำไม” เพราะมันยิ่งทำให้เจ็บปวดกับเหตุการณ์ในอดีต
“พี่เมฆ...เราหย่ากันเถอะ” ประโยคเปล่งมาจากริมฝีปากอวบอิ่ม ส่งผลให้ภายในห้องเงียบสงบราวกับรอบกายหยุดเคลื่อนไหว
เธอเหนื่อยเหลือเกินกับการรักผู้ชายคนนี้ เขาไม่เคยไยดีและใส่ใจสักนิด ที่ผ่านมามีแต่ความเจ็บปวดและทุกข์ใจ แต่ที่ยังทนอยู่เพราะเป็นคำสั่งเสียของบิดาภูเมฆ ทว่าตอนนี้ทนไม่ไหวอีกต่อไป อยากหลุดพ้นจากความรู้สึกนี้สักที
“หย่างั้นเหรอ” คนตัวโตเดินไปประชันหน้ากับเธอ เอื้อมมือหนาบีบท่อนแขนขาวเนียนแรงอย่างไร้ความปรานี
“หย่ากันเถอะ” เบือนหน้าไปทางอื่นเนื่องจากเธอน้ำตาคลอ เมื่อต้องพูดประโยคนั้นออกไป
“ฝันไปเถอะ เดือนฉาย” เขาออกแรงผลักคนตัวเล็กล้มลงกระแทกพื้นห้อง จ้องมองด้วยแววตาเย็นชา “อย่าหวังว่าเธอจะหนีไปมีความสุขคนเดียว เธอต้องทนรับกรรมในสิ่งที่ตัวเองก่อ”
“ฮึก ฮือ ๆ ฉายไม่อยากรักพี่เมฆแล้ว ฉายเจ็บเหลือเกิน” ในที่สุดเดือนฉายทนไม่ไหวต่อความใจร้ายของคนตัวโต ปล่อยโฮออกมาอย่างไม่อับอาย
“ฉันเคยขอให้เธอมารักเหรอ” ชายหนุ่มโน้มตัวเข้าใกล้คนบนพื้น ฝ่ามือใหญ่บีบปลายคางมน จ้องหน้าหวานเปื้อนคราบน้ำตา โดยไม่รู้สึกอะไรทั้งสิ้น “อย่าคิดว่าน้ำตาแค่นี้ของเธอจะทำให้ฉันใจอ่อน”
“ฉายเกลียดพี่เมฆ” เธอพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ
“ดี!! หลังจากนี้ก็อยู่กันแบบเกลียด ๆ นี่แหละ” สะบัดมือหนาออกจากปลายคางกลมกลึง
“ไปให้พ้นหน้าฉันได้แล้ว อย่าทำให้ฉันหงุดหงิดไปมากกว่านี้”
“พี่เมฆ” เรียกเขาด้วยเสียงสั่น ๆ ตอนนี้เจ็บกายไม่เท่าไรแต่เจ็บใจเหลือเกิน ผู้ชายตรงหน้าไม่เคยเชื่อคำพูดกันสักครั้ง“ลุกขึ้นแล้วไสหัวไปซะ อย่ามาทำตัวสำออยตรงนี้”“ฉายว่าคนที่ต้องพบจิตแพทย์ คือพี่เมฆต่างหากไม่ใช่ป้านีหรอก”เพียะ! ไม่ใช่ฝีมือของภูเมฆแต่เป็นฝีมือของมานีซึ่งบังเอิญมาได้ยินประโยคนั้นเข้าพอดี หญิงวัยกลางคนคร่อมร่างเดือนฉาย แล้วตบหน้าหญิงสาวแบบไม่ยั้ง“ป้านีครับ ใจเย็นก่อนเถอะ” ชายหนุ่มคว้าตัวผู้เป็นป้าแต่ช้าไปแล้วเพราะเดือนฉายถูกตบหน้าไปหลายที จนสภาพสะบักสะบอม“ปล่อยป้านะเมฆ ป้าจะตบสั่งสอนนังนั้น” มานีดิ้นพล่านไปมาหวังให้หลุด“พอเถอะครับ ผมขอร้อง”“เมฆ”“นะครับป้านี” เขามองมานีด้วยแววตาเว้าวอน“ก็ได้ ป้าจะยอมเพราะเห็นแก่เมฆหรอกนะ”“รีบไปสิ” ชายหนุ่มหันไปกล่าวกับคนบนพื้นได้ยินดังนั้นเดือนฉายรีบพยุงกายลุกขึ้นวิ่งออกจากบ้านไป ทำภูเมฆตกใจไม่น้อย คาดไม่ถึงจะวิ่งไปข้างนอกแทนที่จะกลับห้องนอน“เดือนฉาย” เขาตั้งท่าจะตามเธอไป แต่ไม่วายถูกมานีรั้งไว้“อย่าไปนะเมฆ ปล่อยมันไปเถอะ”“แต่...”“ไม่ฟังคำพูดของป้าแล้วใช่ไหม ป้าคงทำอะไรไม่ได้แล้วใช่ไหม งั้นก็อย่าสนใจคนแก่คนนี้เลย” มานีสะบัดมือ
นับจากมานีเดินทางมาพักที่ไร่ส้มเกือบหนึ่งสัปดาห์ ไม่มีวันไหนเลยเดือนฉายจะไม่ถูกหญิงวัยกลางคนรังแกด้วยสารพัดวิธี บ่อยครั้งรู้สึกเจ็บปวดกับการกระทำชั่วร้ายของมานีแต่ไม่มีสิทธิ์ตอบโต้ ทำได้แค่ข่มความรู้สึกไว้ในใจอย่างเงียบ ๆ“กาแฟค่ะ”วันนี้ก็เป็นอีกวัน เดือนฉายต้องคอยดูแลมานีตามคำสั่งของภูเมฆ แม้ไม่อยากทำมากแค่ไหนก็ต้องฝืนทน“วางสิ! ต้องให้บอกทุกอย่างเลยเหรอ”“ค่ะ”ระหว่างเดือนฉายกำลังจะย่างกรายนำเอาเครื่องดื่มไปวางบนโต๊ะตัวเตี้ยตรงหน้ามานีในห้องนั่งเล่น จู่ ๆ อีกคนยื่นขาออกมา ส่งผลให้หญิงสาวสะดุดเกือบล้มลง ทว่าโชคดีจับถาดกาแฟไว้แน่นจึงไม่ตกหล่นกระทบพื้น“ซุ่มซ่าม” ว่าแล้ว เบะปากใส่เดือนฉายอย่างสะใจหญิงสาวทำได้แค่ส่งยิ้มอ่อน ๆ วางของในมือลงอย่างใจเย็น พยายามระงับโทสะไม่แสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสมออกไป“โอ๊ย!! กาแฟอะไรของเธอเนี่ย ขมชะมัด” ทันทีมานีลิ้มลองรสชาติกาแฟได้เพียงนิดหน่อยถึงขั้นพ่นออกมา แล้วหันไปตำหนิเดือนฉาย“กาแฟดำไงคะ แบบที่ป้านีต้องการ”“นี่แกเถียงฉันเหรอ” หญิงวัยกลางคนลุกขึ้นยืนเต็มความสูงไปประชันหน้ากับเดือนฉาย“ฉายแค่อธิบายเฉย ๆ ยังไม่ได้เถียงเลย”เพียะ! คนตัวเล็กพูดจบไม่ถึงน
ภูเมฆกระโดดลงจากเตียงเพื่อวิ่งตามหลังคนตัวเล็กอย่างรวดเร็ว ก่อนคว้าเธอเข้าสู่วงแขนได้ทัน กระชับกอดเธอแน่นเพื่อรั้งไม่ให้หนีไปไหน“ปล่อยนะพี่เมฆ ฉายจะไปอาบน้ำ” พยายามขัดขืนสุดฤทธิ์ ขณะนี้อยากเอาตัวเองออกห่างเขามากที่สุด เนื่องจากบทสนทนาระหว่างกันก่อนหน้ายังคงตอกย้ำความรู้สึกได้ดี เจ็บปวดรวดร้าวไปหมดทั้งใจ ไม่ต่างถูกเข็มนับหมื่นเล่มทิ่มแทง “ที่เธอพูดเมื่อกี้หมายความว่าไง”“ก็อย่างที่พูดนั่นแหละค่ะ”“เดือนฉาย!!” บีบท่อนแขนเล็กแน่น จ้องเขม็งคนในอ้อมกอดด้วยแววตาเกลียดชังปนขยะแขยงในถ้อยคำนั้น “ทำไมล่ะคะ ฉายจะให้เด็กที่พ่อไม่ต้องการเกิดมาทำไม”“ฉันไม่คิดเลยเธอจะจิตใจโหดเหี้ยมขนาดนี้ เลวที่สุด!!” ตะคอกใส่หน้าหวานเสียงดังสนั่น จนเธอสะดุ้งเฮือกหนึ่ง“ใช่ ฉายมันเลว เพราะฉายไม่เคยเป็นที่ต้องการของใครเลย” ประโยคท้ายเริ่มเบาลงเรื่อย ๆ ตามด้วยเสียงสะอึก“ไม่ต้องมาแกล้งบีบน้ำตาหรอกนะ ฉันเคยบอกแล้วไงน้ำตาของเธอไม่ได้ทำให้ฉันหวั่นไหวสักนิดเดียว”“ทำไมฉายต้องรักคนอย่างพี่เมฆด้วยนะ ฉายเกลียดตัวเองเหลือเกิน” ยกหลังมือเล็กขึ้นซับน้ำตาบริเวณพวงแก้มนวลเธอไม่เข้าใจตัวเองสักนิด ทำไมถึงยังรักผู้ชายคนนี้ คนท
“ลุกขึ้นไปจากตัวฉายเดี๋ยวนี้เลยนะคะ ฉายหนัก” คนตัวเล็กพยายามออกแรงผลักคนเหนือร่างไปพ้น แต่แรงอันน้อยนิดไม่ทำให้เขาขยับตัวแม้แต่น้อย“เมื่อกี้ฉันทำให้เธอมีความสุขแล้ว เธอต้องตอบแทนกันบ้างสิ” เขาเริ่มหงุดหงิดเล็กน้อยที่เธอต่อต้านไม่เลิก ก่อนถอดอาภรณ์ออกจากกายแกร่งจนหมดแล้วทาบกายลงบนร่างเล็กอีกครั้ง“ฉายไม่ได้ขอ พี่เมฆ...อุ๊บ” เสียงหวานกลืนหายลงในลำคอ เมื่อถูกริมฝีปากหยักได้รูปจู่โจมแบบไม่ทันตั้งตัว คนตัวเล็กดิ้นพล่านไปมาใต้กายแกร่งหวังให้หลุดพ้นจากการกระทำดิบเถื่อนความปรารถนาของเขาไม่ได้หยุดเพียงเท่านั้น พ่อเลี้ยงหนุ่มเลื่อนใบหน้าหล่อเหลาซุกไซ้ลำคอขาวเนียน กลิ่นกายเฉพาะจากตัวเธอทำเอาหลงใหลยิ่งนัก ก่อนกดจูบอย่างหนักหน่วง ไม่วายทิ้งรอยแดงสีกุหลาบมากมาย“อื้อ พี่เมฆ”“หลังจากนี้ฉันจะไม่หยุดแล้วนะ” ฝ่ามือใหญ่ประคองแก้มนุ่มนิ่ม สบตาคู่งามของเธอพลางทาบริมฝีปากหยักบนหน้าผากมนภูเมฆคุกเข่าตรงหน้าคนตัวเล็ก จับขาเรียวชันขึ้นเป็นรูปตัวเอ็มพร้อมแยกออกกว้าง ๆ นำท่อนเอ็นขนาดใหญ่ถูไถร่องสวาทเปียกชื้น สอดเข้าข้างในโพรงอ่อนนุ่มจนสุดลำ“อ๊ะ พี่เมฆ” ร่างเล็กสะดุ้งตัวโหยงอย่างตกใจ เดือนฉายกำผ้าปูเตียงแน่น
เดือนฉายเหลือบมองคนตัวโตเดินกลับไปทำงานต่อ ซึ่งทิ้งเธอไว้กลางห้องบนพื้นแบบไม่สนใจไยดี หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าปอดเชื่องช้า พยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลพรากไปมากกว่านี้ จากนั้นพยุงกายลุกขึ้นยืนเต็มความสูงพร้อมกับหมุนตัวเดินออกจากห้องทันใด ไม่แม้เหลียวมองคนข้างหลัง “แค่นี้ยังน้อยไปสำหรับผู้หญิงอย่างเธอ” สายตาคมกริบมองประตูห้องที่พ้นร่างเล็กไม่นาน ก่อนเหยียดยิ้มอย่างพึงพอใจ“ใจร้ายที่สุดเลย” เอ่ยขึ้นหลังจากเดินออกมา มือเล็กยกขึ้นเช็ดคราบน้ำตาบริเวณพวงแก้มขาวเนียน แล้วตัดสินใจก้าวเดินไปเบื้องหน้าเพื่อตรงกลับบ้านหลายวันต่อมา นับจากเธอกับเขามีปากเสียงกันในครั้งนั้น ทั้งคู่แทบไม่ได้คุยกันเลย ทุกครั้งบังเอิญเจอหน้ากัน เดือนฉายจะทำเมินมองไม่เห็นเขา ซึ่งชายหนุ่มเองก็ไม่ได้ใส่ใจนักกับการกระทำของเธอในเมื่ออยากพยศดีนักเขาก็ไม่อยากแยแส แต่ความปรารถนาที่มีต่อเธอ ทำให้ยอมลดศักดิ์ศรีไปหาหญิงสาวช่วงกลางดึก“หลับยังนะ” เสียงทุ้มพึมพำพลางเอื้อมมือจับลูกบิดประตูและผลักเข้าข้างใน ก่อนพบว่าภายในห้องมีเพียงแสงไฟสลัวจากโคมไฟสาดส่องใบหน้างดงามของคนตัวเล็กที่หลับปุ๋ยไปแล้วภูเมฆเดินย่องไปหาคนบนเตียง จากนั้นล้มตัวน
หลังจากมาถึงไร่ส้ม เดือนฉายก็ได้รับงานที่มอบหมายจากภูเมฆ ซึ่งเขาไม่สนใจเธอจะมีปฏิกิริยาอย่างไรกับคำสั่งของตัวเอง นอกจากอยากสั่งสอนคนปากดีเช่นเธอ เดือนฉายเองไม่มีสิทธิ์โต้แย้งยอมทำตามอย่างว่าง่ายงานที่เขาให้เธอทำคือเก็บเกี่ยวผลส้มท่ามกลางแสงแดดจ้า หญิงสาวทำอย่างตั้งใจไม่ปริปากบ่นสักคำ“ฉาย”“อ้าวพี่หมอก” เสียงเรียกของคนมาใหม่เรียกความสนใจจากคนตัวเล็กหันมอง เธอส่งยิ้มให้แก่สายหมอกหรือผู้จัดการไร่ ที่มีศักดิ์เป็นเพื่อนสนิทภูเมฆ“โดนไอ้เมฆใช้งานอีกแล้วใช่ไหม” ชายหนุ่มพูดขึ้นเหมือนล่วงรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับเดือนฉาย“...” หญิงสาวไม่ได้ตอบโต้ ทำได้แค่มองเขาแวบหนึ่งก่อนเก็บผลส้มต่อ“ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็บอกพี่ได้นะครับ”“ค่ะ” เงยหน้ามองเขาอีกครั้ง จังหวะเดียวกันนัยน์ตาคู่งามเหลือบเห็นใครคนหนึ่งกำลังก้าวเดินมาทางนี้ด้วยใบหน้าบึ้งตึง“ทำหน้าแบบนี้ แสดงว่าไอ้เมฆกำลังมาทางนี้ใช่ไหม”“มาทำอะไรตรงนี้” ไม่ทันที่คนตัวเล็กจะเอ่ยปากตอบคำถามผู้จัดการไร่ เสียงทุ้มของใครอีกคนแทรกขึ้น ก่อนตบบ่าบึกบึนของสายหมอกเบา ๆ ทว่าสายตาดันจับจ้องมองเดือนฉายอย่างคาดโทษ“กูแค่แวะมาคุยกับน้องฉาย”“มึงไม่มีงานทำเหรอ” ปากก







