“เอกสารที่ต้องเซ็นค่ะ คุณลองอ่านดูก่อนนะคะ ฉันเพิ่งเริ่มงานวันแรก ยังไม่ค่อยรู้ระบบเท่าไหร่” อันดาวางแฟ้มลงบนโต๊ะของเจ้านายหนุ่ม พร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงสุภาพ
“ไม่รู้ก็ไม่ต้องทำ” ชนกันต์ตอบเรียบเย็นโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมามอง “อยากนั่งเล่น เดินเล่น หรือจะไปช็อปปิ้งก็เชิญ ผมไม่อยากเสียเวลากับคนทำงานไม่เป็น”
อันดานิ่งไปชั่วครู่ มองใบหน้าของชายหนุ่มอย่างอดกลั้น ก่อนจะขมวดคิ้วน้อยๆ
“คุณปล่อยให้คุณนาวินทำงานคนเดียว ทั้งที่เขางานล้นมือ ไหนจะต้องขับรถให้คุณ แล้วก็ไปดูแลคนนู้นคนนี้อีก ถ้าคุณไม่สอนฉัน แล้วใครจะช่วยเขาคะ?”
“มันใช่หน้าที่เธอหรือไง?”
“ก็... ไม่ใช่ค่ะ” เธอยอมรับเสียงเบา
“แล้วจะมายุ่งทำไม?”
“มันเรียกว่า ‘น้ำใจพื้นฐาน’ ของคนค่ะ” เธอยิ้มบางแต่ชัดเจน สู้สายตานิ่งเฉยของเขาอย่างไม่ยอมแพ้
เขาขมวดคิ้วแน่นทันที ประโยคเมื่อครู่... ฟังคุ้นๆ ใช่สิ เมื่อหลายวันก่อนเขาเพิ่งพูดประโยคนี้กับเธอเอง แล้วนี่เธอเอามาย้อนเขาเหรอ?
“เอาเป็นว่าสอนฉันเถอะค่ะ” เธอพูดต่อด้วยรอยยิ้มจริงใจ “คุณจะได้มีลูกน้องรู้ใจเพิ่มอีกหนึ่ง ฉันหัวไว เรียนเร็ว ไม่ต้องกลัวว่าจะช้าหรือเสียเวลาค่ะ ไหนๆ ก็จ้างฉันมาด้วยเงินเดือนที่ชาตินี้ฉันคงไม่มีโอกาสหาได้จากที่ไหนแล้ว ก็ใช้ฉันให้คุ้มเถอะนะคะ”
ก่อนจะหมุนตัวเดินออกจากห้อง เธอก็หันกลับมายิ้มอีกที ส่งท้ายด้วยประโยคที่ชวนให้คนฟังไปไม่ถูก
“เสร็จธุระแล้ว ขอตัวก่อนนะคะ... บอสที่ใจดีที่สุดในโลก”
สิ้นคำ หญิงสาวก็เดินออกจากห้องทิ้งไว้เพียงความเงียบ
...ไม่เคยมีใครพูดกับเขาแบบนี้มาก่อน คำว่า ‘บอสที่ใจดีที่สุดในโลก’ นั่น... มันประชดใช่ไหม?
ชนกันต์กระตุกยิ้มบางๆ ที่มุมปาก
ช่างกล้าดีนี่...
หน้าห้องทำงานรองประธานบริษัท PNSP
“กลับมาแล้วเหรอคะ” อันดาเงยหน้าจากโต๊ะทันทีที่เห็นนาวินเดินเข้ามา
“ครับ ข้างนอกร้อนจัด วิ่งไปวิ่งมา เหมือนจะละลายซะให้ได้” เขาถอนหายใจพลางเช็ดเหงื่อ
อันดายิ้มกว้างเห็นใจ ใช่ ...แดดเมืองไทยฤดูร้อน ไม่เคยปรานีใคร
“เอ๊ะ? เอกสารบนโต๊ะหายไปไหนหมด?” เขาถามด้วยสีหน้าตกใจทันทีที่หันไปมองโต๊ะทำงานตัวเอง
“ดาจัดการแยกประเภทเข้าแฟ้มให้แล้วค่ะ ส่วนที่ต้องเซ็น ดาก็เอาไปให้คุณกันต์เรียบร้อยแล้วนะคะ”
“คุณทำทั้งหมดคนเดียวเลยเหรอ?” นาวินเบิกตากว้าง ไม่อยากเชื่อสายตา นั่นมันกองเอกสารไม่ใช่น้อยๆ
“ค่ะ” เธอตอบพร้อมรอยยิ้มภูมิใจ
“เฮ้ย! ไม่นะ! ซวยแน่ๆ แบบนี้ คุณกันต์ต้องด่าแน่เลย! แล้วถ้าเอกสารผิดล่ะ จะทำยังไง?” เขากุมขมับทันที
“ไม่ต้องตกใจค่ะ ดาบอกคุณกันต์แล้วว่าเอกสารทั้งหมดเป็นดาที่จัดการเอง และขอให้เขาตรวจทานก่อนเซ็น ถ้ามีผิด ก็เป็นความผิดของคนตรวจแล้วล่ะค่ะ” อันดาตอบหน้าตาเฉย พร้อมรอยยิ้มใสซื่อ
นาวินถอนหายใจยาว
“คุณอันดา... ทำแบบนั้นได้ยังไง แล้วคุณกันต์ว่าอะไรไหม?”
“ก็... เฉยๆ นะคะ” เธอยิ้มแห้งๆ “หน้าเขาก็บึ้งเหมือนเดิม ดาดูไม่ออกเลยว่าเขาโกรธ มีความสุข หรือเบื่อหน่าย แต่เขาไม่ด่านะคะ ดังนั้น ดาก็คิดว่าน่าจะรอดแล้วล่ะค่ะ!”
นาวินส่ายหน้ายิ้มๆ ก่อนจะลุกเดินไปเคาะประตูแล้วเข้าไปในห้องของเจ้านาย
“มีอะไร?” ชนกันต์เอ่ยถามทันที
“ขอโทษครับคุณกันต์ ที่ปล่อยให้คุณอันดาเอาเอกสารมาให้เซ็น โดยที่ยังไม่ได้ตรวจเช็กละเอียดก่อน”
“ไม่เป็นไร เธอจัดการได้ดีนะ” ชนกันต์ตอบเรียบๆ “นายก็ง่วนอยู่กับหลายเรื่อง อย่างที่เธอว่า แบ่งงานให้เธอทำก็ได้ เสียเวลาสอนงานนิดหน่อย แต่นายก็จะได้พักบ้าง”
นาวินชะงักไปนิด ก่อนจะหลุดยิ้มอย่างอึ้งๆ …นี่มันคำชมใช่ไหม? จากปากเจ้านายที่ไม่เคยชมใครเลยน่ะนะ?
เคยมีผู้ช่วยมาแล้วกี่คน ต่างก็ถูกเขาไล่ตะเพิดกลับหมด เพราะพูดไม่เข้าหู หรือทำงานไม่ทันใจ แต่กับอันดา... นี่มันไม่ธรรมดาแล้ว
“คืนนี้คุณต้องไปพบลูกค้าเจ้าใหญ่... ให้คุณอันดาไปฝึกงานด้วยดีไหมครับ?” เขาลองเสนอเสียงเรียบ เช็กดูว่าคนตรงหน้าคิดยังไงกับผู้ช่วยคนใหม่
“นายตัดสินใจได้เลย ฉันไม่มีปัญหา”
คำตอบสั้นๆ แต่มากพอจะยืนยันว่า… ต่างจากทุกคนที่ผ่านมาอย่างชัดเจน
“ครับ” นาวินยิ้มบางอย่างรู้ทัน ก่อนจะเดินกลับออกมา
เมื่อกลับถึงโต๊ะ เขาก็หันมาถามอันดา
“เย็นนี้ว่างไหม?”
“จริงๆ ต้องกลับไปดูแลย่าน่ะค่ะ แต่ถ้ามีงาน ดาก็จัดการได้นะคะ เดี๋ยวโทรบอกน้องให้รีบกลับไปดูแลแทน”
“ดีเลย เย็นนี้เราต้องไปกินข้าวกับลูกค้า คุณไปด้วย”
“ค่ะ แล้วต้องแต่งตัวให้ดีกว่านี้ไหมคะ?”
“ไม่ต้องหรอก กินข้าวกันธรรมดา แต่งแบบนี้ก็ดูดีแล้ว”
“โอเคค่ะ เอ่อ...”
“มีอะไรหรือเปล่า?”
“คือว่า... จะเป็นอะไรไหมคะ ถ้าดาขอเบิกเงินล่วงหน้าสักพัน... สองพันก็ยังดี” เธอถามเสียงอ่อย ใบหน้ามีแววเกรงใจ
“ทำงานวันแรกก็ขอเบิกเงินเลยเหรอ ถ้าที่อื่นคุณคงโดนเชิญออกตั้งแต่ยังไม่หมดวัน” นาวินว่าเสียงนิ่ง
“ที่เก่าเขาไม่ให้เงินเดือนค่ะ จะไปทวงก็ลำบากใจ เพราะเขาเคยช่วยรับเข้าทำงาน ดาจำเป็นต้องใช้เงินจริงๆ ค่ะ…”
เขาถอนหายใจเฮือก
“ไปขอคุณกันต์เองเถอะ ผมไม่มีอำนาจอนุมัติเรื่องนี้”
“ค่ะ!” เธอรับคำอย่างไว พร้อมรีบพุ่งตัวไปเคาะประตูห้องรองประธานอย่างไม่มีลังเล
รถตู้หรูสีดำเงาวับค่อยๆ เคลื่อนมาจอดนิ่งบริเวณหน้าทางเข้างาน ซึ่งปูพรมแดงทอดยาวจากขอบถนนไปจนถึงบริเวณหน้าห้องจัดเลี้ยง นักข่าว และช่างภาพหลายคนต่างจับจองมุมถ่ายภาพ แข่งกันเก็บทุกวินาทีของค่ำคืนนี้อย่างตั้งใจชนกันต์ก้าวลงจากรถก่อน แล้วจึงโน้มตัวลงเล็กน้อย ยื่นมือไปหาอันดาที่อยู่ด้านในด้วยท่าทีสุภาพ อ่อนโยน ภาพของชายหนุ่มในชุดสูทดำเนี๊ยบ ที่กำลังพยุงหญิงสาวออกจากรถ ยิ่งทำให้เขาดูสมบูรณ์แบบราวเจ้าชายในสายตาผู้คนรอบข้างแต่สำหรับหลายคน นี่ไม่ใช่ภาพที่แปลกตา เพราะชนกันต์มักปรากฏตัวในงานลักษณะนี้ พร้อมกับหญิงสาวคนสวยเสมอ โดยเฉพาะบรรดาคู่ควงในวงการบันเทิงที่เปลี่ยนหน้ากันมาอยู่บ่อยครั้ง แต่ก็ไม่เคยมีใครอยู่เคียงข้างเขานานเกินปี ยกเว้นเพียง “คุณเอมอมร” สาวนอกวงการเพียงคนเดียวที่เคยคบหากับเขายาวนานเกือบสองปี ซึ่งครั้งนั้นหลายคนต่างคาดหวังว่าเธออาจเป็น ‘ตัวจริง’ ... แต่สุดท้ายก็ไม่ใช่คืนนี้... เขากลับมาพร้อมหญิงสาวนอกวงการอีกคน ที่ดูแตกต่างจากคนก่อนๆอันดาจับมือของเขาไว้ ก่อนจะก้าวลงจากรถอย่างระมัดระวัง แล้วเขาก็พาเธอคล้องแขน เดินเข้าสู่งานด้วยความมั่นใจเธอก้มมองมือตัวเองที่คล้องอยู่กับแขนขอ
นาวินถึงกับอ้าปากค้าง พลางกระซิบกับตัวเอง “สวย... เกินคาดมาก” เมื่อเห็นอันดาปกติอันดาก็จัดว่าเป็นคนหน้าตาดีอยู่แล้ว แต่เพราะมักไม่แต่งหน้าแต่งตัว เลยดูเรียบง่าย แต่พอได้รับการดูแลจากช่างฝีมือระดับสูงแบบนี้ เธอกลับดูราวกับเป็นคนละคนชนกันต์ยังคงจ้องเธอไม่วางตา เขารู้ดีว่าเธอเป็นคนสวย แต่ไม่เคยคิดเลยว่าพอได้รับการปรุงแต่งแล้ว จะกลายเป็นหญิงสาวที่งดงามได้ขนาดนี้...“เอ่อ... สวยจริงเหรอคะ ฉันรู้สึกไม่ค่อยชินเลยค่ะ” อันดาถามเสียงเบาอย่างไม่มั่นใจนัก ปกติแล้วเธอไม่เคยแต่งตัวเปิดเผยเรือนร่าง หรือแต่งหน้าแต่งตัวจัดเต็มแบบนี้มาก่อนเลย“สวย” คำตอบสั้นๆ แต่หนักแน่นหลุดออกมาจากปากของชนกันต์ อย่างที่ไม่มีใครคาดคิด แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่คิดว่าจะพูดคำนั้นออกไปอันดาอมยิ้มอย่างเขินอายโดยไม่รู้ตัว ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงรู้สึกแบบนี้ เพียงแค่ได้ยินคำชมนั้นจากเขา ตอนแรกเธอนึกว่าเขาคงจะพูดแซวประมาณว่า ไปส่องกระจกดูก็รู้แล้วมั้ง ซะอีกนาวินที่ยืนฟังอยู่เงียบๆ ถึงกับหลุดยิ้มเมื่อได้ยินเจ้านายพูดเช่นนั้น เขาจึงขอตัวออกไปข้างนอก ปล่อยให้เจ้านายของเขาได้อยู่ตามลำพังกับ ‘คู่ควง’ ที่ดูเหมือนจะเริ่มกลายเป
อันดานึกสงสารคุณพิเชษฐ์อยู่บ้าง แต่สิ่งที่เขาทำก็เกินให้อภัยจริง ๆ อย่างที่ชนกันต์บอก หากหยุดตอนนี้ ทุกอย่างอาจยังพอมีทางกลับตัวได้ แต่ถ้ายังไม่ยอมหยุด... ก็คงต้องปล่อยให้ผลกรรมจัดการเองทันทีที่ขึ้นมานั่งบนรถตู้หรู อันดาก็หันมายกนิ้วโป้งสองข้างให้ชนกันต์ พร้อมกับรอยยิ้มกว้างสดใส“สุดยอดเลยค่ะ!” เธอบอกอย่างตื่นเต้น เขาเก่งมากจริง ๆ และวันนี้เขาก็ทำให้เธอประทับใจจนไม่รู้จะพูดอย่างไรดีชนกันต์เสมองไปทางหน้าต่าง เหมือนไม่สนใจ แต่ในใจกลับรู้สึกแปลกไปจากทุกครั้งที่ผ่านมาปกติแล้ว ผู้หญิงที่เข้าหาเขามักจะเอ่ยคำชมหวานหู เช่น‘คุณกันต์เก่งจังเลยค่ะ’‘คุณกันต์ทั้งหล่อ ทั้งเก่ง ฉันประทับใจคุณจริง ๆ’‘ถ้าเราได้คบกันจริง ๆ คงดีไม่น้อยเลยนะคะ ที่จะได้มีคนดีๆ แบบคุณคอยปกป้อง’แต่คำพูดพวกนั้น เขาฟังแล้วก็ลืม เพราะไม่รู้ว่าอันไหนจริง อันไหนเสแสร้งทว่า... คำชมจากอันดาไม่ได้มาในรูปคำพูดเลิศหรู หากแต่เป็นท่าทางตรงไปตรงมา ซึ่งทำให้เขาเผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัวรู้สึกตัวอีกทีก็รีบหุบยิ้มลง แล้วหันมามองเธอด้วยท่าทีเฉยเมยเหมือนเดิม เพราะในความจริง เขากับเธอก็ไม่น่าจะมีอะไรเกินกว่านี้ ฐานะก็ต่างกัน นิสัยเธอก
“แล้วยังไงครับ โลกนี้เป็นของคนที่มีอำนาจ คนที่ให้ผลประโยชน์ได้มากก็เป็นผู้ชนะอยู่วันยังค่ำ ต่อให้เธอไม่เต็มใจ ผมก็จะไม่ยอมปล่อยเธอไปง่าย ๆ แน่” พิเชษฐ์เอ่ยด้วยน้ำเสียงเหี้ยมเย็น เขาลุกขึ้นยืน หมายจะเดินเข้าไปฉุดอันดาขึ้นจากเก้าอี้ โดยไม่สนว่าอยู่ต่อหน้าใคร เพราะมั่นใจในอำนาจของตนว่าไม่มีใครกล้าขัด…แต่เขาคิดผิดทันทีที่แขนของเขาเอื้อมไปใกล้หญิงสาว กลับถูกมือหนาของชนกันต์คว้าหยุดไว้ ก่อนจะบิดข้อมืออีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว ล็อกตัวไว้แน่น แล้วผลักออกห่าง"ผมว่า ถึงเวลาต้องจบเรื่องนี้ได้แล้ว" ชนกันต์เอ่ยเสียงเย็น แล้วปล่อยหมัดซัดเข้ากลางใบหน้าพิเชษฐ์เต็มแรง ตามด้วยเท้ากระแทกซ้ำจนอีกฝ่ายล้มลง"ผมอุตส่าห์พยายามหลับหูหลับตา เฉยชากับนิสัยคนอย่างคุณ แต่คุณก็ยังกล้าทำเรื่องต่ำทรามแบบนี้ต่อหน้าผม!" เขาคำราม ใบหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธเกรี้ยว แต่เท้า และมือนั้นยังระดมกระหน่ำใส่พิเชษฐ์ไม่หยุด“คุณกันต์! พอเถอะครับ พอได้แล้ว!” นาวินรีบเข้ามาห้าม จนตัวเองโดนผลักกระเด็นเล็กน้อย ก่อนที่ชนกันต์จะยอมหยุดเขาสูดลมหายใจลึก ดึงชายเสื้อสูทที่หลุดลุ่ยกลับเข้าที่ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แม้ดวงตายังวาวโรจน์ด้วยไฟโทสะ
ชนกันต์เริ่มรู้สึกถึงบรรยากาศผิดปกติในโต๊ะอาหารนี้ เขาเริ่มไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายมาคุยธุรกิจ หรือมาหาเรื่องและสิ่งที่คุณพิเชษฐ์พูดต่อมา... ก็เกินขอบเขตของความอดทนโดยสิ้นเชิง“เอาแบบนี้ก็แล้วกัน ผมจะพูดตรงๆ ... ผมถูกใจเลขาคนใหม่ของคุณมาก คุณก็คงผ่านมาก่อนแล้วไม่รู้กี่ครั้ง งั้นถือว่าแบ่งปันกันบ้างเถอะครับ ขอแค่คืนเดียว แลกกับลายเซ็นในสัญญา ผมว่าคุณคงไม่ขาดทุนหรอก จริงไหม?”มือของชนกันต์กำแน่น เส้นเลือดที่ขมับปูดเด่น...สายตาเขานิ่งเหมือนเดิม แต่ภายใต้ความนิ่งนั้นเต็มไปด้วยคลื่นความโกรธที่แทบจะปะทุการดูถูกผู้หญิงคนหนึ่งต่อหน้าเขาแบบไม่ไว้หน้าเช่นนี้ ไม่เพียงแค่ล่วงเกินศักดิ์ศรีของเธอ... แต่มันคือการเหยียบย่ำความเป็นมนุษย์เขารู้ว่าคุณพิเชษฐ์เป็นคนอย่างไร ประวัติเสือผู้หญิงของอีกฝ่ายไม่ใช่เรื่องลับในแวดวงธุรกิจ แต่ไม่คิดว่าจะกล้าล้ำเส้น... กล้าพูดอะไรแบบนี้กับเขา ต่อหน้าเขาอันดาต้องพยายามข่มอารมณ์โกรธเช่นกัน เธอจับจ้องไปยังทีท่าของชนกันต์ หวังว่าเขาจะลุกขึ้นช่วยเหลือเธอ ไม่ใช่เลือกที่จะเพิกเฉยเพียงเพราะผลประโยชน์ หากเขาทำเช่นนั้น เธอจะถือว่าบุญคุณที่เคยมีต่อกันสิ้นสุดลง และหลังจากนี้... ก
ห้องทำงานรองประธานบริษัท PNSP“เข้ามาทำไมไม่เคาะประตู! รู้จักคำว่า ‘มารยาท’ บ้างไหม? เรื่องพื้นฐาน... ไม่รู้เลยหรือไง” เสียงเย็นชา และเฉียบขาดของเจ้าของห้องดังขึ้นทันทีที่ประตูถูกเปิดโดยไม่ทันเคาะ อันดาถึงกับสะดุ้ง“ขอโทษค่ะ” เธอรีบตอบ แล้วหมุนตัวถอยหลังออกไป ปิดประตูอย่างเรียบร้อยชนกันต์เหลือบตามองประตูอย่างหงุดหงิดเล็กๆ ขัดจังหวะงาน แล้วยังเปิดประตูโครมเข้ามาอีก แต่อีกไม่กี่วินาทีต่อมา... เสียงเคาะเบาๆ ก็ดังขึ้นก็ยังดี... เธอยังรู้จักแก้ไข แต่ก็เหมือนจะกวนประสาทประตูเปิดออกอีกครั้ง ร่างระหงของอันดาโผล่พ้นเข้ามาพร้อมรอยยิ้มอารมณ์ดี“บอสคะ” เสียงหวานเจือความทะเล้นเล็กๆ เอ่ยขึ้น“ที่นี่ไม่มีใครเรียกผมว่าบอส” เขาพูดเรียบๆ“แหม... ยังไงซะฉันก็เป็น ‘คู่ควง’ ของคุณนะคะ ขอเรียกพิเศษกว่าคนอื่นหน่อยจะเป็นอะไรไป แถมเรียกแบบนี้เวลาออกงานก็เนียนขึ้นด้วย”“อยากเรียกอะไรก็เรียก” เขาไม่แม้แต่จะเงยหน้าจากเอกสาร“ค่ะ” เธอตอบรับ ยิ้มยังคงไม่หายจากใบหน้า“แล้วนี่เข้ามาทำไม มีเรื่องอะไร?”อันดาสูดหายใจเข้าเบาๆ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเกรงใจ“บอสคะ... ขอเบิกเงินล่วงหน้าได้ไหมคะ?”คำถามนั้นทำให้บรรยากาศใ