LOGINงานฌาปนกิจศพของศศิประภาผ่านไปด้วยความเรียบร้อย จันทริกาที่ขาดเรียนไปหลายวันกลับไปเรียนอีกครั้ง ทว่าบรรยากาศภายในบ้านกลับดูอึมครึมเป็นที่สุด เมื่อคนเป็นเจ้าของบ้านเอาแต่เก็บตัวอยู่แต่ในห้อง โดยไม่มีใครกล้าไปกวน แม้กระทั่งแมวตัวโปรดอย่างเมสซี่ก็ยังไม่กล้าเฉียดเข้าใกล้ วันหนึ่งๆ รังสิมันต์แทบจะไม่กินอะไรนอกจากแอลกอฮอล์ ทำให้ร่างกายซูบผอมทรุดโทรมลงอย่างรวดเร็ว จนคนในบ้านต่างพากันเป็นห่วง
ก๊อก...ก๊อก...
จันทริกาที่เพิ่งอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จขยับไปยังประตู เมื่อมีเสียงเคาะดังขึ้น และคนที่มาเคาะก็คือฟองคำหัวหน้าแม่บ้านนั่นเอง
“มีอะไรหรือเปล่าคะน้าฟองคำ” เสียงหวานเอ่ยถามอย่างนุ่มนวลเช่นเดิม แม้ความอ้างว้างจะเกาะกินหัวใจแค่ไหน แต่เธอก็ซ่อนมันไว้อย่างมิดชิด
“น้าจะมาวานคุณจันทร์ให้เอานมอุ่นๆ ขึ้นไปให้คุณตะวันหน่อยน่ะค่ะ หลายวันมานี้คุณตะวันแทบจะไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยนอกจากเหล้า ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ น้าเกรงว่าคุณตะวันจะแย่เอา น้าก็เลยอยากรบกวนให้คุณจันทร์ช่วยหน่อยน่ะค่ะ”
“ต้องเป็นจันทร์เหรอคะน้าฟองคำ”
“ใช่ค่ะ...ตอนนี้คงต้องพึ่งคุณจันทร์คนเดียวเท่านั้น ยังไงเสียคุณจันทร์ก็มีศักดิ์เป็นน้องสาว คุณตะวันคงฟังคุณจันทร์อยู่บ้าง” ฟองคำพูดเช่นนั้นเพราะเห็นว่า ที่ผ่านมาเจ้านายของตนให้ความเมตตาและเอ็นดูจันทริกามาโดยตลอด ฟองคำจึงคิดว่ารังสิมันต์น่าจะฟังคำของจันทริกาบ้าง
“คือจันทร์...”
จันทริกาแสดงท่าทีลังเลออกไป เพราะตอนนี้เธอเองก็ไม่แน่ใจว่าตัวเองจะมีตัวตนในสายตาของรังสิมันต์แค่ไหน เพราะนับตั้งแต่วันที่ศศิประภาจากไป เขาก็ไม่เคยพูด ไม่เคยมองหน้า และไม่สนใจเธออีกเลย แม้ลึกๆ แล้วจะรู้ว่ารังสิมันต์กำลังอยู่ในห้วงของความสูญเสีย ทำให้เธอไม่กล้าจะเอ่ยถามว่านับจากนี้รังสิมันต์จะเอายังไงกับเธอ จะยังดูแล จะยังส่งเสีย จะยังให้ที่พักอาศัยแก่เธออยู่ไหม และสิ่งที่อยากรู้มากที่สุดก็คือ เขาเชื่อจริงๆ หรือไม่ว่าเธอเป็นคนผลักศศิประภาจนอีกฝ่ายตกเลือดและเสียชีวิตไปพร้อมลูกในท้อง
ความกลัวมีมากกว่าความอยากรู้ เธอไม่พร้อมจะเผชิญหน้ากับรังสิมันต์ในตอนนี้ แต่เมื่อถูกขอร้องแกมอ้อนวอนเช่นนั้น ก็ทำให้คนที่กำลังเตรียมตัวจะเข้านอนจำต้องรับเอาแก้วนมอุ่นๆ จากมือของฟองคำมา และขยับเท้าออกจากห้อง ตรงไปยังชั้นสองซึ่งเป็นที่ที่รังสิมันต์เก็บตัวอยู่
ร่างบางพาตัวเองมายืนอยู่หน้าห้อง ใช้มือข้างที่ว่างเคาะประตูห้องนอนใหญ่นั้นเบาๆ ก่อนจะผลักเข้าไปแม้จะไม่มีคำอนุญาตจากคนข้างใน
รังสิมันต์ซึ่งนั่งพิงพนักเตียงอยู่ไม่หันมามองด้วยซ้ำว่าใครที่เข้ามาในห้อง ทำให้จันทริกามีเวลาสังเกตเห็นความทรุดโทรมของใบหน้าซึ่งเคยหล่อเหลา บัดนี้แก้มสองข้างตอบลงอย่างเห็นได้ชัด หนวดเคราที่เคยโกนอย่างสะอาดเกลี้ยงเกลาขึ้นรกครึ้ม ขอบตาหมองคล้ำบ่งบอกว่าเจ้าตัวพักผ่อนไม่เพียงพอติดต่อกันมาเป็นระยะเวลาหลายวัน
“พี่ตะวันคะ...จันทร์เอานมอุ่นๆ มาให้ค่ะ”
เสียงหวานนุ่มที่ดังขึ้น แม้จะไม่ดังมากนัก หากแต่มันกลับสามารถดึงรังสิมันต์ออกจากห้วงภวังค์ได้ เสียงเสียงนี้...เสียงของฆาตกร!
รังสิมันต์หันขวับไปทางต้นเสียง ร่างใหญ่ที่นั่งนิ่งอยู่นานขยับตัวเป็นครั้งแรก เขาวาดเท้าลงจากเตียงและสืบเท้าอย่างช้าๆ ทว่าสายตาซึ่งแดงก่ำนั้นกลับจ้องมองผู้หญิงตรงหน้านั้นอย่างขมึงเครียด
‘คุณตะวันมองโลกในแง่ดีเกินไป คุณรู้ตัวไหมคะว่ายัยจันทร์น่ะแอบชอบคุณอยู่ ทำแบบนี้บ่อยๆ ระวังจะเป็นการให้ความหวังจันทร์นะคะ’
สาเหตุที่จันทริกาทำให้เมียกับลูกของเขาตายก็เพราะหวังในตัวเขาสินะ แม้จะโทษว่าส่วนหนึ่งเป็นความผิดของตัวเอง แต่รังสิมันต์ก็ไม่ลังเลที่จะโยนความผิดทั้งหมดให้เด็กผู้หญิงใจร้ายคนนี้ คนที่เข้ามาในห้องนอนของเขายามกลางคืน โดยมีข้ออ้างว่าเอานมมาให้ แต่แท้จริงแล้วมันคือการให้ท่าแบบเนียนๆ ของเธอต่างหาก คงอาศัยจังหวะที่เขากำลังเคว้งแทรกตัวเข้ามา ตอนนี้ไม่มีศศิประภาคอยขวางแล้ว ทางของเธอจึงสะดวกยิ่งกว่าอะไร
“เมื่อกี้เธอเรียกฉันว่าอะไรนะ”
“เอ่อ...พี่ตะวันค่ะ” จันทริกาตอบไปอย่างตะกุกตะกัก เธอไม่ได้รู้สึกไปเองว่ารังสิมันต์เปลี่ยนไป คำพูดของเขาที่ห่างเหิน เย็นชา และเต็มไปด้วยความเคืองแค้นทำให้หัวใจของเด็กสาวสั่นรัวด้วยความหวาดหวั่นและอ้างว้างมากกว่าเดิม
“ฆาตกรอย่างเธอไม่มีสิทธิ์เรียกฉันแบบนั้นอีกต่อไป”
“พี่ตะวันว่าอะไรนะคะ...”
คำกล่าวหาอันร้ายแรงทำให้จันทริกาได้แต่พึมพำถามออกไปอย่างตกใจ แม้จะพอรู้บ้างว่าคำพูดก่อนตายของศศิประภาอาจจะทำให้รังสิมันต์นึกคลางแคลงใจ แต่เธอก็เชื่อมั่นว่าพี่ชายที่แสนดีจะมีความยุติธรรม ไถ่ถามเอาความจริงกับเธอก่อน และมีวิจารณญาณมากพอที่จะแยกแยะความจริงความเท็จ
“ฉันบอกให้เธอหยุดเรียกฉันว่าพี่ตะวัน อย่าให้ฉันได้ยินมันจากปากของฆาตกรเลือดเย็นอย่างเธออีก”
“จันทร์ไม่ใช่ฆาตกร จันทร์ไม่ได้ทำ”
คำพูดของจันทริกาในยามนี้ ไม่ต่างอะไรกับการราดรดเชื้อเพลิงลงไปในกองไฟแห่งความอาฆาตแค้นโกรธกรุ่น ที่กำลังแผดเผาอยู่ในหัวใจของรังสิมันต์อย่างร้อนแรง
บทที่ 112ร่างสูงเดินตามบันไดลงไปชั้นล่าง หลังออกจากห้องลูกชาย พยายามครุ่นคิดว่ายามดึกแบบนี้เมียเขาจะไปอยู่ที่ไหน ตอนแรกคิดว่าเธอออกไปเดินเล่น เลยไปตามหาดูที่สวนหย่อม แต่ก็ไร้เงาจันทริกาอย่างสิ้นเชิง คนตามหาเมียจึงทั้งร้อนใจและอดหัวเสียด้วยความเป็นห่วงไม่ได้ กระทั่งฉุกคิดขึ้นได้ถึงห้องนอนชั้นล่างที่เขายังไม่ได้ไปดู ร่างสูงจึงก้าวตรงไปยังห้องนั้นอย่างไม่ลังเล แล้วก็ต้องแอบถอนหายใจออกมาเบาๆ เมื่อเห็นแสงสว่างเล็ดลอดออกมาจากข้างในเธอลงมาทำอะไรที่นี่นะมือใหญ่ผลักประตูเข้าไปเพื่อหาคำตอบให้ตัวเองในทันที ทำเอาคนที่อยู่ในห้องสะดุ้งเล็กน้อย มือที่กำลังทำอะไรบางอย่างอยู่ชะงักไป ก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ เช่นกัน เมื่อความลับที่ตัวเองพยายามจะปกปิด ถูกจับได้เสียแล้ว“อยู่นี่นี่เอง พี่ตามหาซะทั่ว” เสียงทุ้มรำพึงขึ้นแบบกึ่งโล่งอกกึ่งคาดโทษ เพราะหลายวันมานี้เธอทำให้เป็นห่วงและแอบหนีเขามากลางดึกอยู่บ่อยๆ“จันทร์นึกว่าพี่ตะวันหลับไปแล้วซะอีกค่ะ” จันทริกาพูดออกไปตามที่ตัวเองจำได้ เพราะก่อนออกจากห้องมา รังสิมันต์มีอาการง่วงงุนจนเกือบจะหลับไปแล้ว“ตอนแรกก็หลับไปแล้ว แต่ก็ต้องตื่นมาเพราะเมียหาย ไม่ใช่คืนแรก
บทที่ 111เมื่อภรรยาเอาแต่ยืนหน้าแดง รังสิมันต์จึงยื่นแขนมาเกี่ยวเอวเล็ก รั้งร่างบางให้นั่งลงบนตัก ก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปหอมแก้ม“ตกลงนะ”“ก็ได้ค่ะ” เสียงหวานเอ่ยรับปากอายๆ ทำให้คนที่ได้ดั่งใจประกบปากจูบเธออย่างดูดดื่มทันที และจันทริกาก็อดไม่ได้ที่จะจูบตอบเขาด้วยความดูดดื่มอ่อนหวานเช่นกันรังสิมันต์ครางออกมาในลำคออย่างพอใจ มือใหญ่เริ่มลูบไล้ไปตามลอนสะโพกผาย ต่ำลงไปยังชายกระโปรงแล้วรุกคืบเข้าไปข้างใน สัมผัสกับความเนียนละมุนของขาอ่อน เช่นเดียวกับปากและจมูกโด่ง ที่ตอนนี้ผละออกจากการประกบจูบ แต่กลับเริ่มซุกไซ้ไปตามพวงแก้ม ใบหู เลื่อนต่ำไปถึงซอกคอ แล้วระดมจูบไซ้ปลุกเร้า อย่างรู้ดีว่าทำอย่างไรจันทริกาจึงจะยอมตามใจ“พอแล้วค่ะพี่ตะวัน ไหนว่าคืนนี้ไงคะ” เสียงหวานเอ่ยประท้วงออกมาหอบๆ พยายามจะผลักใบหน้าสามีออกห่างแต่เขาไม่ยอม“ขอมัดจำก่อนไงจ๊ะ”“ไม่เอาค่ะ จันทร์ต้องลงไปหาอาทิตย์นะคะ”“ฟองคำเลี้ยงให้อยู่ไม่ใช่เหรอ ตอนนี้อยู่กับพี่ก่อนเถอะนะ”“จันทร์คิดถึงลูกนี่คะ ไม่ได้เจอกันตั้งหลายชั่วโมง”“แล้วไม่คิดถึงผัวบ้างเหรอคนดี พี่กับจันทร์ก็ไม่ได้เจอกันตั้งหลายชั่วโมงเหมือนกันนะ”“คิดถึงค่ะ คิดถึงทั้งลูก
บทที่ 110‘น้องอาทิตย์’ ลูกชายวัยหกเดือนนั่งรถมากับพ่อบนเบาะหลัง ในตอนบ่ายช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ โดยมีอุ้ยคำเป็นคนขับ รถคันหรูแล่นมาหยุดที่ลานจอดรถของคณะซึ่งแม่น้องอาทิตย์เรียนอยู่ แม้วันนี้จะเป็นวันหยุด แต่ทว่าลานจอดรถกลับแน่นขนัดไปด้วยพาหนะของนักศึกษาภาคพิเศษในระดับปริญญาตรี โท และเอก ที่ต่างต้องมาเรียนในวันเสาร์อาทิตย์ ร่างบางออกมาจากตึกช้ากว่าเวลาเดิมเกือบสิบห้านาที ทำให้ใบหน้าหล่อเหลาที่เกลื่อนไปด้วยรอยยิ้มก่อนหน้านี้บึ้งตึงลงโดยพลัน ไม่ใช่เพราะต้องรอเมียนาน แต่เป็นเพราะมีหนุ่มหล่อหน้าตาดีเดินเคียงคู่ออกมาด้วยต่างหากเห็นเช่นนั้นลมเพชรหึงก็กำเริบทันที ร่างสูงเอียงตัวไปอุ้มลูกน้อยขึ้นมาบนวงแขน ก่อนจะผลักประตูรถลงไป แล้วก้าวยาวๆ ตรงไปหาภรรยาสาวอย่างไม่ลังเลทันที“ทำไมวันนี้มาช้าจังครับที่รัก พี่กับลูกมารอตั้งนาน” ไม่แค่ถามแต่รังสิมันต์ยังส่งน้องอาทิตย์ให้ผู้เป็นภรรยาอุ้ม พร้อมกับส่งสายตาดุๆ ไปยังไอ้หน้าหล่อคนนั้น เป็นเชิงบอกว่านี่เมียเขาและเธอก็มีลูกแล้ว เพราะฉะนั้นถ้ามันไม่อยากเดือดร้อนก็อย่าทำตัวสนิทสนมกับเมียเขาเกินเหตุ“ขอโทษด้วยนะคะ พอดีจันทร์มีงานกลุ่มที่ต้องแบ่งกันทำกับเพื่อ
บทที่ 109หลังจากงานแต่งงานระหว่างรังสิมันต์กับจันทริกาผ่านไป เสียงเปียโนแสนไพเราะก็มักจะดังขึ้นบ่อยครั้ง เช่นเดียวกับคืนนี้ก็เช่นกัน คฤหาสน์หลังใหญ่ในยามค่ำคืน ยังคงสวยงามและสว่างไสวด้วยไฟหลากหลายดวง เสียงเปียโนที่ถูกบรรเลงด้วยนิ้วเรียวๆ สวยๆ ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบสงบของราตรีกาล สมาชิกในครอบครัวที่กำลังนอนอยู่ต่างอดคลี่ยิ้มออกมาไม่ได้ เมื่อเสียงเปียโนที่กำลังถูกบรรเลงอยู่ตอนนี้นั้น เป็นท่วงทำนองอันแว่วหวานแสนไพเราะ สะท้อนอารมณ์ของคนเล่นเป็นอย่างดี ว่ากำลังมีความสุขมากแค่ไหน ความสุขนั้นส่งผ่านเสียงเพลง ขับกล่อมคนฟังให้ผล็อยหลับไปอย่างแสนสุขเช่นเดียวกับคนเล่น“อุ๊ย...พี่ตะวัน”เสียงหวานอุทานขึ้น เมื่อเพลงแสนหวานนั้นจบลง พร้อมๆ กับที่เอวเล็กถูกแขนแข็งแรงสอดเข้ามากอด พวงแก้มและซอกคอก็โดนจูบโดนไซ้จากจมูกโด่งคมของคนที่ไม่เคยยอมห่างเธอไปไหน“รางวัลสำหรับเพลงเพราะๆ”“ใครอยากได้รางวัลแบบนี้กันคะ”“ใครๆ ก็อยากได้ทั้งนั้นแหละ”“ใครๆ ที่ว่านี่หมายถึงสาวๆ ของพี่ตะวันเหรอคะ” จันทริกาเอียงหน้ามาถาม สีหน้าและแววตาสะท้อนความสุขออกมา จนตอนนี้ใครต่อใครต่างก็บอกว่าเธอเป็นผู้หญิงที่น่าอิจฉามากที่สุด“ถ
บทที่ 108งานแต่งงานเล็กๆ ถูกจัดขึ้นในอีกสองอาทิตย์ต่อมา ตอนเช้าเป็นงานแต่งแบบไทยตามประเพณี รังสิมันต์เชิญเฉพาะญาติผู้ใหญ่ฝั่งตัวเองมาเป็นสักขีพยาน และเป็นการบอกกล่าวให้รับรู้ว่าจันทริกาคือภรรยาของเขา ส่วนญาติทางฝั่งจันทริกาไม่มีใคร นอกจากตาธงกับยานนวลที่เธอถือว่าเป็นตากับยายของเธอ ส่วนงานกลางคืนเป็นงานเลี้ยงแบบอบอุ่น ที่มีเฉพาะเพื่อนสนิทของทั้งสองฝ่ายเท่านั้น แน่นอนว่าหนุ่มๆ ทั้งสี่คนซึ่งได้แก่ ปรัญช์ ปราณต์ ศาสตรา และกวินภพ มาร่วมงานเลี้ยงครั้งนี้กันทั่วหน้า โดยแต่ละคนต่างควงคู่ภรรยามาทั้งนั้น ยกเว้นกวินภพซึ่งยังโสดแต่ก็ยังมีคนมาด้วย คือเอมมาลินนั่นเอง เอมมาลินถูกเชิญมางานเลี้ยงคืนนี้ด้วย เพราะถึงแม้จันทริกาจะรู้จักกับเอมมาลินได้ไม่นาน แต่เอมมาลินก็เป็นผู้มีพระคุณและยังเป็นคนที่เธอรักและนับถือเหมือนพี่สาวอีกคนหนึ่ง งานนี้อดีตคนเคยรักจึงจำต้องเดินทางมาเชียงใหม่ด้วยกันตามลำพังบรรยากาศของงานเลี้ยงเป็นไปอย่างอบอุ่นและเป็นกันเองจริงๆ พี่สาวที่รักทั้งสองอย่างภัคธีมาและธรินดาต่างแสดงความยินดีกับน้องสาว ที่แม้ต้องเผชิญกับความร้ายกาจของรังสิมันต์ เพราะความเข้าใจผิดมามากมาย แต่ในที่สุดเธอก็เ
บทที่ 107“คนร้ายกาจ” จันทริกาต่อว่าคนเจ้าแผนการเบาๆ ไม่ใช่เพราะโกรธเคือง แค่รู้สึกว่าตัวเองไม่เคยชนะเขาเลย แต่แท้จริงแล้วเขาต่างหากล่ะที่พ่ายแพ้ต่อเธอ พ่ายแพ้แบบยอมสยบแทบเท้า ยอมแบบราบคาบหมดทุกอย่าง“ที่ต้องร้ายก็เพราะรักมาก อยากชดเชยความผิดของตัวเอง แบบนี้จันทร์ยังจะใจแข็งกับพี่ได้ลงคออีกเหรอ” เขาใช้ทั้งลูกล่อลูกชน เพื่อให้เธอยอมโอนอ่อนผ่อนตาม ขณะที่รถยังคงแล่นไปเรื่อยๆ และเข้าใกล้ที่ว่าการอำเภอเข้าไปทุกที“จันทร์ไม่มีทางเลือกอื่นแล้วใช่ไหมคะ”“ครับไม่มีแล้ว เพราะทางนี้คือทางที่ดีที่สุดสำหรับเราสองคนและลูก หลังจดทะเบียนกันแล้ว พี่ก็จะจัดงานแต่งงานด้วย โอเคไหม”“ไม่จัดไม่ได้เหรอคะ จันทร์ไม่ชอบพิธีรีตรองอะไรแบบนั้นหรอก อีกอย่างจันทร์เคยอยู่ในฐานะน้องเมียมาก่อน จันทร์กลัวพี่ตะวันจะเสื่อมเสียค่ะ” คราวนี้จันทริกาพูดด้วยเหตุผล เพราะเป็นห่วงชื่อเสียงของเขาจริงๆ ไหนจะญาติๆ และคนรอบข้างอีก เธอเชื่อว่าต้องมีคนติฉินนินทาแน่ สำหรับเธอนั้นเป็นแค่ผู้หญิงธรรมดา ไม่มีอะไรให้ต้องห่วงมากมาย แต่สำหรับเขามันไม่ใช่ เขาเป็นนักธุรกิจ มีชื่อเสียง มีสังคม เรื่องนี้มันอาจทำให้เขามัวหมอง“จันทร์ไม่ได้มีความเก







