ร่างสูงถูกกันตัวเอาไว้แค่หน้าห้องฉุกเฉิน ขณะที่ร่างของศศิประภาถูกเข็นเข้าไปข้างใน เวลาผ่านไปแต่ละนาทีอย่างเชื่องช้าและบีบหัวใจเหลือเกิน รังสิมันต์ที่ตอนนี้เสื้อผ้าเปรอะเปื้อนเกรอะกรังไปด้วยเลือดของภรรยาได้แต่นั่งรออย่างกระวนกระวาย บางครั้งก็ผุดลุกขึ้นยืนแล้วเดินวนกลับไปกลับมา สมองตื้อและหยุดคิดเรื่องอื่นไปชั่วขณะ ความจดจ่อของเขาตอนนี้อยู่แค่ที่หน้าประตูเท่านั้น
เวลาผ่านไปเนิ่นนานเกือบสองชั่วโมง ประตูห้องที่รังสิมันต์เฝ้ารอคอยก็ถูกเปิดออกมาพร้อมด้วยบุรุษที่แต่งตัวด้วยชุดสีเขียว บนศีรษะสวมหมวกสีเดียวกับชุด บนใบหน้ามีแว่นสีใสครอบอยู่หนึ่งอัน ทำให้เดาได้ทันทีว่าคนที่ออกมานั้นคงเป็นหมอที่ช่วยรักษาภรรยาของเขา
“คุณเป็นญาติคนไข้หรือเปล่าครับ” หมอเป็นคนถามขึ้นก่อน หลังจากที่รังสิมันต์ลุกพรวดพราดแล้วก้าวเข้ามาหา
“ครับ ผมเป็นสามีของศศิ เธอเป็นยังไงบ้างครับหมอ ภรรยาผมปลอดภัยดีใช่ไหมครับ แล้วลูกผมล่ะครับเป็นยังไงบ้าง หมอช่วยชีวิตลูกผมได้ใช่ไหมครับ” รังสิมันต์รัวคำถามใส่อย่างคาดหวัง ทั้งที่ลึกๆ ก็กลัวเหลือเกิน แต่ก็เชื่อว่าหมอจะช่วยให้ภรรยาและลูกของเขาเอาไว้ได้
“ผมเสียใจด้วยนะครับ เราไม่สามารถช่วยชีวิตของทั้งคู่ไว้ได้ ภรรยาของคุณเสียเลือดไปมาก ตอนที่มาถึงโรงพยาบาลจึงเกิดภาวะช็อก เราพยายามอย่างเต็มที่แล้ว แต่ก็ไม่ทันเวลา ผมขอแสดงความเสียใจด้วยอีกครั้ง”
แม้น้ำเสียงของหมอจะเต็มไปด้วยการปลอบโยนและเห็นใจ แต่ก็พูดได้อย่างคล่องแคล่วคล้ายดั่งว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ต้องรับหน้าที่บอกข่าวร้ายแก่ญาติคนไข้
รังสิมันต์ยืนนิ่งเหมือนถูกสาป เลือดในกายของเขาเย็นเฉียบเหมือนกับโดนแช่แข็ง อยากจะคิดว่าตัวเองกำลังฝันร้ายอยู่…มันเป็นความฝันที่ร้ายแรงเป็นครั้งที่สองของชีวิต ฝันร้ายครั้งแรกเกิดขึ้นตอนที่พ่อกับแม่ของเขาประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ตอนเขาอายุได้แค่สิบสองขวบ คงเป็นเพราะเหตุนี้ที่ทำให้เขาเห็นใจศศิประภากับจันทริกามาก เขารู้ซึ้งดีว่าการสูญเสียบุพการีเป็นเรื่องที่เจ็บปวดเจียนจะขาดใจแค่ไหน ความสูญเสียครั้งนั้นเขาไม่ได้ตั้งตัว เช่นเดียวกับครั้งนี้ที่มันกะทันหันเสียจนเขายอมรับไม่ได้
เมื่อเช้านี้ศศิประภาและลูกยังอยู่กับเขา เสียงออดอ้อนอ่อนหวานของศศิประภายังดังก้องอยู่ในหัว สัมผัสอันอบอุ่นเมื่อเขาแนบหน้าลงบนท้องของเธอหลังจากลูกน้อยก่อตัวขึ้น มันช่างเป็นความรู้สึกพิเศษ ราวกับได้ของขวัญจากฟ้ามาชดเชย หลังจากที่ฟ้าใจร้ายพรากพ่อกับแม่เขาไปเกือบยี่สิบปี
ทว่าคนบนนั้นกลับใจดีได้ไม่นาน ก็โยนความเจ็บปวดอย่างมหันต์มาให้เขาต้องแบกรับอีกครั้ง แม้เคยผ่านความเจ็บปวดอย่างมหันต์ของการสูญเสียมาแล้ว แต่เมื่อต้องมาเผชิญอีกครั้ง มันก็ยังคงหนักอึ้งจนเขาแทบไม่เหลือเรี่ยวแรงจะยืน
หมดสิ้นแล้วคนที่รัก
หมดสิ้นแล้วความหวังที่จะได้เห็นหน้าเด็กตัวเล็กๆ ที่ถอดแบบมาจากเขาครึ่งหนึ่ง
หมดสิ้นแล้วเสียงหัวเราะและรอยยิ้มอันบริสุทธิ์ที่เขารอคอย
ไม่เหลืออะไรให้หวังอีกแล้ว หมดสิ้นทุกสิ่งแล้วจริงๆ
ทำไม ทำไมคนบนโน้นถึงไม่พาเขาไปด้วยให้มันจบๆ ไป
ทำไมถึงยังต้องให้เขาพบกับความสูญเสียซ้ำแล้วซ้ำเล่า
หากจะโหดร้ายขนาดนี้ แล้วจะปรานีให้เขามีลมหายใจอยู่เพื่ออะไร
...เพื่อสะสางและทวงความยุติธรรมให้กับลูกและเมียของของเขายังไงล่ะ...
“ช่วย...ศศิด้วย...จันทร์ผลักศศิล้มค่ะ...จันทร์...จะฆ่าศศิกับลูกของเรา”
คำพูดแผ่วๆ ก้องขึ้นในหู ใช่...การตายของศศิประภาไม่ใช่เพราะอุบัติเหตุ แต่มันมีคนจงใจทำ คนที่เขาเคยเอ็นดู คนที่เขาเคยปกป้อง คนที่เขามองว่าเป็นเด็กดี คนที่เขาเคยเผลอ...มีใจให้
มันคงไม่เจ็บปวดเท่านี้ หากว่าคนคนเดียวกันนั้นจะไม่ใช่คนที่พรากความสุขทุกอย่างไปจากเขา พร้อมกับยัดเยียดความสูญเสียให้เกิดแก่เขาอีกครั้ง
“ผมขอโทษศศิ ผมขอโทษ...”
เสียงที่แหบแห้งเปล่งออกมาอย่างยากลำบาก เพราะลำคอขื่นไปด้วยก้อนแข็งๆ ที่เอ่อขึ้นมาจนจุก หากเขาระวังกว่านี้ หากเขาไม่ใจดีแบบนี้ หากเขาคิดจะฟังคำพูดของศศิประภาสักนิด เมียกับลูกของเขาคงไม่จากไปในสภาพอันยากแก่การทำใจเช่นนี้
จากกันทั้งที่ยังไม่ได้เอ่ยลา...
งานฌาปนกิจศพของศศิประภาจัดขึ้นที่วัดใกล้บ้าน เป็นวัดเดียวกับที่เคยจัดงานศพพ่อและแม่ของจันทริกากับศศิประภาเมื่อสามเดือนก่อน หากทว่าความใหญ่โตของงานต่างกันมาก ดอกไม้หน้าโลงศพถูกจัดขึ้นอย่างสวยงามโดยเจ้าภาพไม่สนใจราคา เพราะนั่นคือสิ่งสุดท้ายที่รังสิมันต์คิดว่าตัวเองจะทำให้แก่ลูกและเมียได้
งานดำเนินไปอย่างเชื่องช้าและน่าหดหู่ เจ้าภาพของงานอยู่ในอิริยาบถที่นั่งนิ่งๆ และทอดสายตาไปยังรูปที่ประดับอยู่หน้าโลงศพ ปล่อยให้หน้าที่ต้อนรับแขกเป็นของจันทริกาและคนรับใช้ในบ้าน
เขาไม่มีแก่ใจแม้แต่จะรับรู้ถึงความเสียใจของญาติ ของเพื่อน ที่มาร่วมงานกันอย่างพร้อมหน้า สายตาทุกคู่ต่างมองมาด้วยความเห็นใจกึ่งสงสาร เมื่อต่างได้รู้ว่าเขาสูญเสียภรรยาและลูกไปพร้อมๆ กันจากการตกเลือด เพราะศศิประภาประสบอุบัติเหตุลื่นล้มในห้องน้ำ คงมีแต่เขาคนเดียวกับเด็กคนนั้นกระมังที่รู้ว่าสาเหตุที่แท้จริงเกิดจากอะไร
“ป้าเสียใจด้วยนะตะวัน”
แม่เลี้ยงลักษิกาที่วันนี้รับเป็นเจ้าภาพสวดอภิธรรมศพเอ่ยขึ้น ก่อนจะทรุดตัวนั่งลงข้างๆ สายตาของคนที่มีศักดิ์เป็นป้ามองหลานชายอย่างเห็นใจ เพราะรู้ว่าในชีวิตของเขาต้องผ่านความสูญเสียอะไรมาบ้าง
“แกโอเคมั้ยตะวัน” ปราณต์ซึ่งมาพร้อมกับผู้เป็นแม่ก็เอ่ยถาม พร้อมกับวางมือลงบนไหล่ของเขาและตบเบาๆ อย่างให้กำลังใจ
“ผมจะโอเคได้ยังไงครับพี่ปราณต์ ในเมื่อคนที่ทำให้เมียกับลูกผมตายยังเดินอยู่นั่น”
สายตาของรังสิมันต์ตวัดไปยังร่างเล็กบางที่กำลังเดินเสิร์ฟน้ำให้แขก ท่าทางของเธอดูอิดโรยไม่น้อย เพราะต้องทำเช่นนี้อยู่ซ้ำๆ เป็นเวลาเจ็ดวันมาแล้ว เขาเห็นเธอยกมือขึ้นเช็ดเหงื่อ หากแต่ในความรู้สึกของรังสิมันต์ยามนี้ไม่แม้แต่จะรู้สึกสงสาร เพราะรู้ดีว่าภายใต้ท่าทางอันปราศจากพิษภัยนั้น แท้จริงแล้วเธอร้ายกาจเพียงใด!
“แกหมายความว่ายังไง” ปราณต์มุ่นคิ้วและมองตามคนพูด จึงรู้ว่ารังสิมันต์หมายถึงใคร
“เด็กคนนั้นทำให้เมียผมตาย”
“พี่ว่าแกคงเข้าใจผิดนะตะวัน เอาไว้ให้งานผ่านไปก่อน แล้วแกค่อยอ่านดูผลชันสูตรศพนะ”
คนที่เป็นหมออย่างปราณต์ซึ่งเพิ่งได้อ่านผลชันสูตรศพของศศิประภาจากโรงพยาบาล บอกกับคนที่มีศักดิ์เป็นน้อง แม้จะไม่ได้บอกตรงๆ ด้วยจรรยาบรรณของแพทย์ และเพราะตระหนักดีว่าเวลาเช่นนี้ไม่ใช่เวลาที่จะพูด อย่างน้อยก็เพื่อเป็นการให้เกียรติแก่คนตาย ที่ไม่ว่าจะยังไงเธอก็จากไปแล้ว
เสียงของปราณต์เงียบลง เช่นเดียวกับความเงียบงันในความรู้สึกของรังสิมันต์ ก่อนที่เสียงพระสวดในคืนสุดท้ายจะดังขึ้น เป็นการตอกย้ำว่าตอนนี้เขาไม่ได้อยู่ในห้วงของฝันร้าย แต่กำลังเผชิญอยู่กับความจริงอันโหดร้ายต่างหาก
บทที่ 50“แต่คุณปรัชญ์ขอร้องนะคะ จันทร์ไม่อยากผิดคำพูดกับ...”จันทริกายังพูดไม่ทันจบ นิ้วแกร่งเรียวยาวก็แตะลงบนเรียวปากนุ่ม เพื่อห้ามไม่ให้เธอพูดต่อ“ฉันไม่อนุญาตให้เธอเห็นคนอื่นสำคัญกว่าฉัน”พูดจบนิ้วที่แตะอยู่บนเรียวปากนุ่มก็เลื่อนออก แต่เรียวปากหยักร้อนกลับเคลื่อนเข้ามาแทนที่ ร่างบางเกร็งขึ้นเพราะกลัวว่ารังสิมันต์จะทำรุนแรงเช่นเดิมอีก หากแต่จูบครั้งนี้เป็นจูบที่แสนอ่อนโยน จูบที่คล้ายจะไถ่โทษ จูบที่เว้าวอน จนอาการเกร็งนั้นมลายหายไป และยืนนิ่งให้เขาจูบอยู่เนิ่นนาน“เมี้ยว...”เสียงร้องของเมสซี่ที่ดังขึ้น ทำให้อารมณ์ที่กำลังอ่อนไหวของทั้งคู่สะดุดลง จันทริกาได้สติจึงรีบผละออกห่างจากการโอบกอดของเขาอย่างรวดเร็ว แล้วย่อตัวลงไปอุ้มเมสซี่ขึ้นมาแนบอก คล้ายกับจะใช้มันเป็นเกราะป้องกันไม่ให้เขาเข้าถึงตัวได้อีกรังสิมันต์ออกจะเขม่นแมวตัวโปรดเป็นครั้งแรก แต่ไหนแต่ไรมันรู้งาน และไม่เคยทำตัวเป็นก้างขวางคอ แต่ทำไมวันนี้มันถึงมาขัดจังหวะก็ไม่รู้“ฉันเพิ่งบอกเธอไปหยกๆ ว่าไม่ให้เห็นใครสำคัญกว่าฉัน”“แต่นี่เมสซี่แมวของคุณนะคะ คุณให้อาหารมันหรือยังคะ” จันทริกาถามอย่างพอจะเข้าใจอากัปกิริยาของเมสซี่ดีว่าที
บทที่ 49ร่างสูงเดินดุ่มไปหาคนทั้งคู่อย่างไม่รีรอ สีหน้าบอกชัดว่าไม่สบอารมณ์และไม่พอใจเป็นอย่างมาก ปรัชญ์จึงพยักหน้าให้จันทริกาหลบไปก่อน ส่วนเขาเป็นฝ่ายอยู่รับหน้ารังสิมันต์ “แกมาทำอะไรที่บ้านฉัน” รังสิมันต์ถามเสียงห้วนกระด้างอย่างไม่คิดจะเก็บอารมณ์“มาหาจันทร์”“มาหาทำไม?”“มาจีบมั้ง” ปรัชญ์ตอบกวนๆ ยิ่งเห็นรังสิมันต์ทำหน้าถมึงทึงเช่นนั้นก็ยิ่งพอใจที่ได้ยั่วให้เพื่อนโกรธได้ แต่ดูแค่ตาเดียวก็รู้ว่าที่รังสิมันต์ทำหน้าแบบนั้นก็เพราะกำลังหึงหรือไม่ก็หวงก้าง“มันใช่เวลาไหม” รังสิมันต์ย้อนถามด้วยน้ำเสียงโทนเดิม“ทีแกยังเคยคิดจีบเมียฉัน ทำไมฉันจะจีบเมียแกบ้างไม่ได้” ปรัชญ์ยักไหล่และตอบกวนๆ เช่นเดิม ทั้งๆ ที่ในใจแอบหัวเราะคนออกอาการอยู่เงียบๆ “ฉันบอกแล้วไงว่าเด็กคนนั้นไม่ใช่เมียฉัน” แม้จะออกอาการว่าหึงหวงปานใด แต่ปากก็ยังคงปฏิเสธเสียงแข็ง ซึ่งนั่นกลับยิ่งเข้าทางปรัชญ์“ไม่ใช่ก็ยิ่งดีใหญ่ ฉันจะได้ทำอะไรสะดวกๆ”“แกกำลังจะแต่งงานกับน้องเล็กนะเว้ย เลวให้มันน้อยๆ หน่อยได้ไหมไอ้เวร”“หวงก้างว่างั้น”“แกแม่งกวนตีนไม่เลิกว่ะ แล้วแต่แกเถอะไอ้เลวอยากทำอะไรก็ทำ” เมื่อถูกจี้แบบถูกจุดซ้ำแล้วซ้ำอีก รังสิ
บทที่ 48วันนี้เป็นวันหยุดของรังสิมันต์ซึ่งเพิ่งจะกลับมาจากกรุงเทพฯ เมื่อวานนี้ อุ้ยคำจึงลากลับบ้านไปหาครอบครัว ส่วนหนานอินซึ่งเป็นรปภ.เฝ้าป้อมหน้าบ้านก็ขอลาหยุดเช่นกัน จึงกลายเป็นว่าวันนี้จันทริกาต้องอยู่บ้านหลังใหญ่นั้นกับเจ้าของบ้านตามลำพังรังสิมันต์อยู่กับเมสซี่ในห้องนั่งเล่น ส่วนจันทริกาตากผ้าอยู่หลังบ้าน มือเล็กที่กำลังจับผ้าขึ้นแขวนบนราวตากชะงักครู่หนึ่งพลางเงี่ยฟัง เมื่อได้ยินเสียงกดกริ่งหน้าบ้าน ปกติแล้วหน้าที่เปิดประตูรั้วจะเป็นของหนานอินซึ่งเป็นรปภ.เฝ้าหน้าป้อม แต่วันนี้หนานอินลางาน จันทริกาจึงต้องละมือจากการตากผ้า แล้วเร่งฝีเท้าไปยังประตูหน้าบ้านอย่างรู้ดีว่าเป็นหน้าที่ตัวเอง“มาหาใครคะ” เสียงหวานถามคนที่มากดกริ่งอย่างสุภาพ ก่อนที่ดวงตาสวยปนเศร้าจะเบิกกว้างและเปลี่ยนเป็นเปล่งประกายด้วยความดีใจ เมื่อเห็นหน้าคนที่มากดกริ่งในระยะใกล้“พี่เล็ก...”เจ้าของชื่อที่เธอเรียกคือรุ่นพี่ที่เธอเคยสนิทสนมมากในตอนเรียนมัธยม เพราะเคยอยู่ชมรมดนตรีด้วยกันนั่นเอง “จันทร์...” “ดีใจจังค่ะที่ได้เจอพี่เล็ก พี่เล็กสวยขึ้นจนจันทร์เกือบจะจำไม่ได้เลยค่ะ”
บทที่ 47สำหรับคนที่จมอยู่ในห้วงของความทุกข์ใจ วันเวลามักผ่านไปช้าเสมอ คนในบ้านที่รังสิมันต์ส่งไปทำงานที่ห้างสรรพสินค้าของเขา ยังไม่มีใครได้กลับมา ดังนั้นจันทริกาจึงต้องทำงานบ้านทุกอย่างแทบจะคนเดียวเช่นเดิม และยังมีสิ่งที่ต้องทำมากกว่าหน้าที่ของคนรับใช้ทั่วไป นั่นคือเธอต้องคอยรองรับไฟปรารถนาของรังสิมันต์ ไม่ว่าเขาต้องการยามใด เธอก็ไม่เคยที่จะปฏิเสธได้สักครั้ง จันทริการู้ดีว่าเขาทำไปเพื่อระบายความแค้นเท่านั้น หากแต่ตอนนี้เธอกลับเริ่มรู้สึกว่าร่างกายของตัวเองเริ่มจะผูกพันกับเขาอย่างลึกซึ้งมากขึ้นทุกวัน ซึ่งเรื่องเหล่านี้ทำให้เธอทุกข์ใจไม่น้อย หากจะมีสิ่งที่ทำให้เธออยู่บ้านหลังนี้ได้อย่างมีความสุข ก็คงจะเป็นความน่ารักของเมสซี่กับความเอ็นดูจากลุงหนานอินซึ่งเป็นรปภ.กับอุ้ยคำเท่านั้น ส่วนเจ้าของบ้าน แม้ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน เขาก็ยังคงใจร้ายและเย็นชาใส่เธอดังเดิม แม้บางครั้งเขาเหมือนจะอ่อนโยน แต่นั่นก็เป็นเพียงเพราะเขาลืมตัว ครั้นพอเขาคิดได้ว่าเกลียดชังเธอแค่ไหน จันทริกาก็มักจะได้รับผลจากความเคียดแค้นชิงชังของเขาดังเดิมเช้านี้จันทริกาไม่ได้ทำอาหาร รังสิมันต์บอกเอาไว้ตั้งแต่เมื่อวานแล้วว่
บทที่ 46“คำว่าเกมหัวใจ มันไว้สำหรับคนที่มีใจให้กัน”“แกไม่ได้คิดอะไรกับจันทร์ว่างั้น” จากที่ถูกไล่ต้อนตอนนี้ปรัชญ์เปลี่ยนเป็นฝ่ายไล่ต้อนรังสิมันต์บ้าง“คิด...คิดว่าเด็กคนนั้นทำให้เมียฉันตาย”“แน่ใจว่าคิดแค่นั้น แล้วนี่แต่งตัวจะไปไหน”“กลับเชียงใหม่สิวะ จะอยู่ทำไมล่ะ ก็ผู้หญิงที่ฉันตั้งใจจะมาจีบกลายเป็นเมียแกไปแล้วนี่ หรือแกจะให้ฉันแย่งเมียเพื่อนก็ได้นะฉันไม่ถือ”“ก่อนจะถามฉัน ถามตัวเองก่อนว่าคิดจะแย่งเมียฉันจริงๆ หรือแค่อยากให้เมียตัวเองหึง”คำพูดที่เหมือนกับมานั่งอยู่ในใจเช่นนั้น ทำให้รังสิมันต์ต้องทำหน้าตึงกลบเกลื่อน แม้สิ่งที่ปรัชญ์พูดมาจะไม่ตรงกับความจริงนักแต่ก็เฉียดสุดๆ เขาไม่ได้อยากให้จันทริกาหึง แค่อยากให้เธอเจ็บจริงหรือที่ว่าต้องการแค่นั้น?รังสิมันต์ถามตัวเอง...แล้วทำไมตอนที่เด็กคนนั้นทำหน้าเหมือนไม่รู้สึกอะไรกับเขา เขาถึงได้หงุดหงิดนัก“ต้องให้ย้ำกี่ครั้งว่าเมียฉันตายแล้ว แกความจำเสื่อมหรือไงไอ้เชี่ยปรัชญ์” คนถูกต้อนคืนทำเสียงฉุนๆ ใส่“ฉันไม่ได้หมายถึงคนที่ตายแล้วเว้ย แต่หมายถึงคนที่แกอยู่ด้วยตอนนี้”“จันทริกาไม่ใช่เมียฉัน”“แล้วเป็นอะไร แค่อดีตน้องเมียที่ตอนนี้ถูกลดฐานะล
บทที่ 45“เธอนอนหรือยัง” ถามทั้งๆ ที่รู้ว่าดึกดื่นขนาดนี้ จันทริกาต้องนอนแล้ว เพราะปกติถ้าคืนไหนที่เขาไม่ได้ให้เธอขึ้นไปหา หรือเป็นฝ่ายลงมาหาเธอ เด็กคนนั้นจะหลับเร็วเป็นพิเศษ“นอนแล้วค่ะ คุณโทร.มามีอะไรหรือเปล่าคะ”“ฉันแค่โทร.มาถามว่าเมสซี่เป็นยังไงบ้าง” ปากพูดไปตามที่สมองเตรียมการเอาไว้ล่วงหน้า หากแต่เสียงในใจเสียงหนึ่งกลับตะโกนก้องขึ้นมาว่า เพราะอยากได้ยินเสียงนุ่มๆ เรียบๆ ของเธอต่างหาก“เมสซี่อยู่กับจันทร์ค่ะ ตอนนี้หลับไปแล้ว”“ก็ดี ฉันแค่เป็นห่วงมัน”“ไม่ต้องห่วงนะคะจันทร์จะดูแลเมสซี่อย่างดี และสมบัติทุกชิ้นของคุณในบ้านหลังนี้ยังอยู่ครบค่ะ” จันทริกาพูดกับคนโทร.มาด้วยน้ำเสียงที่เหมือนจะเป็นการบอกกล่าวตามปกติ ทว่าหัวใจกลับปวดแปลบ เมื่อตระหนักถึงความจริงที่ว่า คุณตะวันเป็นห่วงแค่เมสซี่เท่านั้น ไม่ได้ห่วงเธอแม้แต่นิด หากจะห่วงก็คงห่วงว่าเธอจะพาใครมาขโมยของในบ้านอย่างที่เขาพูดไว้ก่อนไปมากกว่า เพราะเธอเป็นผู้ร้ายในสายตาเขามาตลอดตั้งแต่ศศิประภาตายไป จันทริกาจึงต้องบอกเขาไปเช่นนั้น หากแต่คนฟังกลับรู้สึกว่าเธอกำลังประชด“สมบัติของฉันที่เธอว่าอยู่ครบทุกชิ้น รวมถึงเธอด้วยหรือเปล่า”จันทริกาห