บทที่ 4
ในห้องรับแขกที่ประดับประดาด้วยเครื่องเรือนหรูหรา มารดาของหลี่อ้ายเฉินก้าวเข้ามากอดหลี่อ้ายเฉินด้วยความรัก ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความห่วงใยทำให้นางรู้สึกถึงความรักที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง นางรักบุตรชายเท่าใด มารดาของนางก็คงรักนางไม่ต่างกัน
"ท่านแม่..." หลี่อ้ายเฉินพูดเสียงสั่นเครือ "ข้าตัดสินใจที่จะไม่กลับไปหาหยางพ่านชุนอีก ข้าทนไม่ไหวแล้ว"
มารดาของนางจับมือนางอย่างอบอุ่น "เจ้าได้ทำสิ่งที่ถูกต้องแล้วลูก เจ้าไม่จำเป็นต้องทนทุกข์อีกต่อไป แม่ยินดีที่เจ้าได้กลับมา"
"ข้า...ข้าตัดสินใจแล้วว่า ข้าจะไม่กลับไปหาหยางพ่านชุนอีก" นางพูดทั้งน้ำตา "ข้าไม่อาจทนความเย็นชาและการทอดทิ้งของเขาได้อีกต่อไป ข้าอยากเริ่มต้นชีวิตใหม่"
"ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าขอโทษที่ทำให้ทุกคนเป็นห่วง ข้าจะไม่กลับไปหาหยางพ่านชุนอีกแล้ว ข้าทนไม่ไหวกับความเย็นชาของเขา" นางพูดด้วยน้ำเสียงที่มั่นคง แม้ในใจยังคงเจ็บปวด
บิดาของหลี่อ้ายเฉินพยักหน้าเข้าใจและปลอบโยนนาง
"เจ้าได้ตัดสินใจอย่างกล้าหาญแล้วลูก พ่อจะสนับสนุนเจ้าเสมอ ไม่ว่าเจ้าจะเลือกทางใด อ้ายเฉิน ลูกไม่ต้องห่วง ทุกคนในครอบครัวนี้พร้อมจะอยู่เคียงข้างเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะตัดสินใจอย่างไร พวกเราจะอยู่เคียงข้างลูกเสมอ"
บิดาของนางยิ้มและเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่น หลี่อ้ายเฉินรู้สึกขอบคุณและผ่อนคลาย นางรู้ว่าบิดาจะสนับสนุนและปกป้องนางเสมอ
ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความห่วงใยและยินดี พี่ชายของนางยิ้มออกมาและพูดด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยน
"น้องสาว ข้ายินดีที่เจ้าได้กลับมาบ้าน ข้าไม่อยากเห็นเจ้าทุกข์ใจอีกต่อไปแล้ว"
หลี่อ้ายเฉินรู้สึกถึงความรักและความอบอุ่นที่ครอบครัวมอบให้อย่างเต็มเปี่ยม เมื่ออยู่ในจวนแห่งนี้นางจะไม่รู้สึกโดดเดี่ยวอีกต่อไป ความปีติที่ได้รับการยอมรับกลับมาทำให้นางรู้สึกว่ามีที่พึ่งพิงอีกครั้ง
ความรักและการยอมรับที่ได้รับจากครอบครัวทำให้หลี่อ้ายเฉินรู้สึกเข้มแข็งขึ้น นางรู้ว่าตนเองไม่ต้องเผชิญหน้ากับความทุกข์เพียงลำพังอีกต่อไป ความหวังใหม่ที่เกิดขึ้นในใจทำให้นางพร้อมที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่
"ขอบคุณทุกคน" นางพูดด้วยความซาบซึ้งใจ
บรรยากาศในบ้านเต็มไปด้วยความอบอุ่นและความรัก หลี่อ้ายเฉินรู้สึกถึงความสงบที่นางไม่เคยได้สัมผัสในจวนของหยางพ่านชุน นางรู้ว่านี่คือจุดเริ่มต้นของชีวิตใหม่ที่นางต้องการ
เมื่อเห็นบุตรสาวสงบลงได้บ้างแล้วผู้เป็นพ่อจึงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“เป็นอย่างไรบ้างลูก”
เสียงถามอย่างอ่อนโยนจากบิดาทำให้หญิงสาวที่นั่งเหม่ออยู่อย่างหลี่อ้ายเฉินต้องหันไปยิ้มให้กับคนเป็นพ่อบาง ๆ “ไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะ ข้าก็แค่คิดว่าจะทำอะไรต่อจากนี้ดีก็เท่านั้น”
“อยากทำอะไรก็ทำเถอะลูก พ่อไม่ว่าอะไรเจ้าอยู่แล้ว ทั้งยังจะสนับสนุนเจ้าด้วย”
นับเป็นโชคดีของหลี่อ้ายเฉินที่นางเป็นบุตรสาวของชาวบ้านธรรมดา แม้จะมีร้านขายข้าวและโรงเตี๊ยมขายอาหารและเป็นที่พักในเมืองแต่ก็เท่านั้น
ไม่ได้เป็นคุณหนูโด่งดังยามเมื่อกลับมาอยู่กับบิดาและพี่ชายจึงไม่ถูกค่อนแคะมากนัก แต่ก็ยังมีคำบางคำที่ทำให้รู้สึกแปลก ๆ
ในเมืองเต็มไปด้วยผู้คนที่ออกมาทำธุระและซื้อขายสินค้าต่าง ๆ บรรยากาศคึกคักและเสียงจอแจทำให้นางรู้สึกเหมือนได้กลับมาในช่วงเวลาที่มีชีวิตอีกครั้ง
“ได้ข่าวว่าท่านเจ้าเมืองกลับมาจวนแล้วเจ้ายังไม่กลับไปจวนเจ้าเมืองอีกหรือ เป็นฮูหยิน ยามเจ้าเมืองไม่อยู่ก็ควรจะอยู่จวนดูแลความเรียบร้อยมิใช่หรือ”
หากเป็นชาติก่อนหลี่อ้ายเฉินคงจะทำเพียงยิ้มบาง ๆ กลับไปเพื่อรักษาหน้าตาผู้เป็นสามี หากเป็นนางคนเดิมคงไม่ทำเช่นนี้แน่ ๆ
“ข้าส่งหนังสือหย่าให้กับท่านเจ้าเมืองแล้วเจ้าค่ะป้าฟู่”
คนทั่ว ๆ ไปเดินผ่านหน้าบ้านก็มักจะอยากรู้อยากเห็นหรือเอาเรื่องที่ได้รู้ในบ้านออกไปพูดและป้าฟู่ก็เป็นคนทั่ว ๆ ไปประเภทนั้น
นั่นจึงทำให้ไม่นานข่าวการหย่าฮูหยินของท่านเจ้าเมืองก็ดังไปทั่ว ทั้ง ๆ ที่ในจวนเจ้าเมืองเองยังรู้ไม่ครบทุกคนเลยด้วยซ้ำ นั่นก็เพราะหยางพ่านชุนไม่ได้ประกาศออกไป เขาอยากจะคุยกับภรรยาของเขาก่อน แต่อีกฝ่ายก็เขียนจดหมายบอกชัดว่าไม่ต้องมาหาอีกต่อไป เขาจึงยังนิ่งเงียบรอดูทีท่าของนางก่อน
ตัวหลี่อ้ายเฉินไม่สนใจหรอกว่าใครจะพูดถึงเรื่องนี้อย่างไรใจสลายเพียงครั้งยังดีกว่าเสียใจตลอดไป เพียงแต่สวรรค์ก็คงไม่ได้เข้าข้างนางขนาดนั้น ตอนที่ออกไปซื้อของข้างนอกจึงได้เจอเขากับคนที่ครั้งหนึ่งนางเคยยินดีที่ได้เป็นของเขา
“คุณหนู” เสียงของเชียงเชียงเรียกเจ้านายของตนให้ดูทางด้านหน้าที่นางกำลังจะเดินไป ดวงตากลมโตหันไปสบกับคนที่นางไม่อยากพบเจอมากที่สุดในช่วงเวลานี้ อ้ายเฉินพยายามหลบหน้าอีกฝ่าย ขณะที่นางเดินผ่านแผงขายของในตลาด นางเห็นหยางพ่านชุนกำลังเดินตรวจตราการค้าในเมือง เขาดูสง่างามและเคร่งขรึม แต่สายตาที่มองมาทางนางกลับเต็มไปด้วยความเย็นชาและสงสัย นางรีบเดินเลี้ยวเข้าร้านกระดาษและพู่กันโดยหวังว่าจะไม่ต้องพบเจอกับอดีตสามีแต่อีกฝ่ายกลับเลี้ยวเข้ามาเหมือนกัน
บทที่ 41หลังจากการสอบสิ้นสุด จอหงวนใหม่ก็ถูกย้ายมาเป็นเจ้าเมือง แน่นอนว่าคนคนนั้น คือคนที่ทั้งเมืองแห่งนี้รู้จักดี เพราะคือบุตรชายของอดีตเจ้าเมือง ในยุคบิดาทำดีมาเช่นไร ยุคบุตรชายก็ทำดีไม่ต่างกัน เพียงแต่เพราะเป็นชายหนุ่มที่หน้าตาหล่อเหลาและยังโสดแถมอายุก็ยังน้อยกว่ายามที่บิดาของตนมาเป็นเจ้าเมืองเสียอีก จึงยิ่งทำให้บรรดาคุณหนูทั้งหลายต่างหมายปองเจ้าเมืองหนุ่มผู้นี้ไม่ต่างจากสมัยบิดาและยิ่งทุกคนรู้ว่าชายหนุ่มยังไม่ปักใจรักใคร่ใครเป็นพิเศษแล้ว ก็ต่างหวังว่าตนเองอาจจะมีสิทธิ์ แต่ดูเหมือนเชื้อจะไม่ทิ้งแถว ลูกไม้ย่อมไม่ตกไกลต้น เจ้าเมืองหนุ่มเอาแต่ทำงานจนบรรดาแม่นางทั้งหลายต่างเมินหน้าหนี“นิสัยเสียนี้ลูกดันไปเหมือนท่านได้อย่างไรกัน” เสียงตำหนิไม่จริงจังจากมารดา เสี่ยวชิงเพียงแค่ส่งยิ้มรับหยางพ่านชุนไม่ได้มองว่านี่ไม่ดี “เขายังเด็กกว่าข้า ทั้งยังไม่มีคนรัก อาจจะเหมือนข้าวัยเยาว์ที่เอาแต่อ่านตำราเพื่อสอบมากกว่า ที่สำคัญเพราะอาชิงใช้ความรักของพวกเราเลี้ยงมา เจ้าเห็นหรือไม่ ถึงเขาจะไม่กลับมาจวนทุกวันเพราะนอนที่จวนเจ้าเมือง แต่ก็กลับมาทุกอาทิตย์ หากเขามีคนรักข้าก็เชื่อว่าเขาจะทำได้ดี อีกทั้
บทที่ 40“แม่ไม่อยากให้เจ้าไปเมืองหลวงเลย” วันเวลาผ่านไปยามนี้เสี่ยวชิงเป็นหนุ่มแล้ว แต่เพราะความสนิทสนมในครอบครัวจึงทำให้อ้ายเฉินตัดใจให้ลูกจากไปไกลตาได้ยาก “เจ้าก็ให้ลูกไปเถอะ เขาจะไปสอบเพื่อจะกลับมาเป็นเจ้าเมืองแทนข้าไม่ดีหรือ” เรื่องนั้นย่อมเป็นเรื่องดีแต่การต้องจากบุตรชายเกือบสามปีและถ้าสอบได้อาจจะนานกว่านั้นทำให้น้ำตาของอ้ายเฉินไหล“เจ้าไปเถอะเสี่ยวชิง ยื้อกันไว้เช่นนี้วันนี้ก็คงไม่ได้ไป” อาการของภรรยาในวันนี้ทำให้หยางพ่านชุนอดคิดไปถึงเรื่องราวในอดีตไม่ได้ ถึงจะแทบตัดพ่อตัดลูกไปแล้วแต่อย่างไรก็ยังคงแอบคิดถึงตอนเขาไปที่ใดก็ตามมีเพียงท่านพ่อบ้านที่ตอนนี้ชราเต็มทีแล้วพอนึกได้ว่าอีกฝ่ายจะจากไปในเวลาอันใกล้นี้ก็ส่งจดหมายไปขอบคุณ แม้ชางเกิงจะหลงผิดไปบ้าง แต่ชางเกิงก็เป็นคนที่ดูแลเขามาตลอด หยางพ่านชุนส่งคนไปรับชายชรากลับมาอยู่ที่จวนเจ้าเมืองกับเขาอีกครั้ง ตอนนี้ชางเกิงคงชรามากแล้วคงไม่สามารถทำอะไรภรรยาของเขาได้อีก อีกทั้งอำนาจในจวนเจ้าเมืองตอนนี้ล้วนเป็นของภรรยาเขา“ภรรยารัก ลูกไปเพื่อความเจริญนะ เหมือนที่ท่านพ่อที่ท่านพี่ของเจ้าต้องเดินทางไกลไปหาสินค้าแปลก ๆ มาขาย” อ้ายเฉินพยักหน้
บทที่ 39หลี่อ้ายเฉินกลับมาดูแลสามีของนางที่จวน เรื่องที่เกิดขึ้นมันทำให้นางเกือบลืมเรื่องก่อนหน้านี้ที่คุยกับบิดา“ข้ากังวลแทบแย่คิดว่าท่านจะเป็นอะไรไปแล้ว” หยางพ่านชุนดึงคนรักเข้ามากอด “ข้าจะไม่ทำอะไรไม่ระวังตัวเช่นนี้อีก ครั้งนี้เพราะเด็กคนนั้นเขาเหมือนเสี่ยวชิงมากจริง ๆ ข้าที่กำลังกังวลหลาย ๆ เรื่องอยู่จึงเผลอกระโดดตามเด็กไป และที่จริงตอนแรกมันก็ไม่อันตราย แต่หลังจากข้าส่งเด็กขึ้นมาฝายก็พังทำให้น้ำไหลแรง จนดึงขึ้นฝั่งไม่ได้” หลี่อ้ายเฉินมองสามีด้วยสายตาไม่พอใจ“เมื่อก่อนก็ทำตัวเสี่ยงตายเช่นนี้ใช่หรือไม่” แม้จะอยากตอบว่าไม่แต่เขาก็ทำเช่นนั้นจริง ๆ “ท่านพี่ต้องนึกว่าที่จวนมีข้ากับลูกรออยู่สิเจ้าคะ จะได้ระมัดระวังตัวเองมากกว่่านี้” หยางพ่านชุนเห็นภรรยาเป็นห่วงก็รู้สึกผิดเหมือนกัน “ต่อไปข้าจะระวังตัวตลอดเจ้าไม่ต้องกังวลใจไป ที่จริงเรื่องนี้ข้าไม่ต้องไปดูเองก็ได้ แต่ไหน ๆ ก็ผ่านไปเลยแวะดูไม่นึกว่าจะมีปัญหา”“ของหลาย ๆ อย่างทำเอาไว้แล้วก็ต้องหาคนเฝ้า หาคนบูรณะ ไม่เช่นนั้นก็พังไปตามเวลา” แม้จะรู้ข้อที่ภรรยาบอกเป็นอย่างดี แต่พอมีเรื่องยุ่งหลาย ๆ อย่างจึงลืมที่จะส่งคนไปดูแลเป็นพิเศษ “ท่านพ
บทที่ 38“สามีของลูกเขาเป็นอะไรหรือเปล่าช่วงนี้เขาดูแปลก ๆ ไปนะ” บิดาของอ้ายเฉินถามบุตรสาว เพราะเป็นคนที่ทำการค้าจึงมองคนต่างจากคนอื่น และสัมผัสได้ไวกว่า“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน เหมือนว่าเขายังคงติดอยู่กับความผิดครั้งก่อน” อ้ายเฉินพูดออกไปคล้ายจะเป็นการคาดเดาแต่จริง ๆ นางรู้ว่านี่แหละคือต้นตอของปัญหาในจิตใจของสามีของนางแม้ว่าหยางพ่านชุนจะทำทุกอย่างได้ดีแล้ว แต่ก็ยังมีความรู้สึกส่วนหนึ่งที่อีกฝ่ายยังทิ้งไปไม่ได้“คุยกันบ้างหรือยังลูก เกี่ยวกับเรื่องครั้งก่อน” มารดาเอ่ยถามด้วยเสียงอ่อนโยนอ้ายเฉินพยักหน้า “แน่นอนเจ้าค่ะ หลายครั้งแล้ว แต่เขาก็ยังคงรู้สึกผิดอยู่ดี” คนเป็นพ่อได้ฟังก็ไม่รู้จะทำอย่างไร อีกอย่างเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเรื่องที่หนักอกหนักใจทั้งบุตรสาวและลูกเขยนั่นคืออะไร “ลองเปิดใจคุยรายละเอียดกันดูอีกครั้ง แม้ว่าจะทำให้เจ็บแต่นั่นก็สามารถช่วยทำให้แผลที่มีสมานได้” มารดาเอ่ยขึ้นอีกครั้งด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แม้นางจะพูดน้อย นิ่งสงบในทุกเรื่อง แต่ยามใดที่ติดใจและสงสัย นางก็จะเรียกสามีมาคุยจนกว่าจะเข้าใจกัน ไม่เคยปล่อยผ่านให้เรื่องราวข้ามคืนเลยสักครั้ง จึงรักษาชีวิตคู่ที่สงบสุขมาได้จนถึ
บทที่ 37หลังจากอ้ายเฉินคลอดลูกคนแรกจวนทั้งสองก็ถูกทุบกำแพงเพื่อเปิดหากันตอนนี้หยางพ่านชุนถือว่าบิดาของภรรยากับพี่ชายภรรยาเป็นคนในครอบครัวมากกว่า ตระกูลใหญ่ของเขาซะอีก หลังจากเรื่องวุ่นวายต่าง ๆ ผ่านไป เขาก็ไม่ได้กลับไปร่วมพิธีไหว้บรรพบุรุษที่เมืองหลวงอีกเลย แม้จะรู้สึกผิดแต่หากต้องเสี่ยงชีวิตลูกเมียเขายอมที่จะเป็นคนอกตัญญูวันเวลาหมุนผ่านไปจนเสี่ยวชิงโตจนวิ่งได้ เป็นบุตรชายของพวกเขามาเกิดใหม่อย่างแน่นอนเพราะใบหน้าที่คงยังเหมือนเดิมทุกประการ แต่นิสัยกลับไม่เหมือนเดิมแม้แต่น้อย คงเป็นเพราะการเลี้ยงดูและลุงกับท่านตาที่ตามใจจนบางทีหยางพ่านชุนก็กลัวบุตรชายคนโตจะเสียคนและตอนนี้พวกเขาไม่ได้มีบุตรชายเพียงแค่คนเดียวแต่ยังมีบุตรสาวอย่างอี้อี้ด้วย เสี่ยวชิงเป็นพี่ชายที่ดีคอยดูแลน้องสาว ไม่ได้เหงาโดดเดี่ยวเหมือนชาติก่อน ความสัมพันธ์ของครอบครัวตอนนี้ไม่ได้เหมือนกับชาติก่อน ทุกคนต่างมีรอยยิ้มให้กัน และอยู่กันอย่างมีความสุข อะไรที่ไม่ดีก็ถูกตัดไปจากชีวิต พ่อบ้านที่เคยช่วยเหลือหยางพ่านชุนมาตั้งแต่เด็กก็ถูกส่งกลับไปอยู่ที่เมืองหลวง เขาจ้างคนใหม่ให้คอยดูแลคุณหนูและคุณชายน้อยต่อไปเด็กทั้งสองไม่เคยได
บทที่ 36การปราบโจรได้ทำให้การค้าในเมืองคึกคักขึ้นเพราะไม่ต้องกลัวว่าจะถูกปล้นระหว่างเดินทางข้ามเมือง ทุกอย่างค่อย ๆ เป็นไปในทางที่ดีขึ้น เรื่องนี้ทำให้ทั้งตระกูลหลี่ และเจ้าเมืองอย่างหยางพ่านชุนเจริญก้าวหน้าขึ้นไปอีก ต่างจากตระกูลใหญ่ของเจ้าเมืองหนุ่มที่หลังจากชิงเอ๋อร์กลับไปที่ตระกูลตน บิดาของเขาและบิดาของหญิงสาวก็ไม่ติดต่อกันอีกเนื่องจากเรื่องที่เกิดขึ้นกับบุตรสาวทางตระกูลใหญ่ที่มักจะชอบใช้วิธีรวมหมู่รวมก๊ก พอพันธมิตรหลักไม่อยู่ซะแล้ว คนอื่น ๆ ก็เริ่มหนีหน้า จากที่เคยกร่างได้ก็ต้องหลบอยู่แต่ในมุมของตนเอง เพราะถึงทุกคนจะรู้ว่ามีบุตรชายเป็นเจ้าเมืองและเป็นถึงขุนนางขั้นสามแต่ใคร ๆ ก็รู้ว่าทั้งสองไม่ถูกกัน นั่นไม่ใช่เพราะใครแต่เพราะความปากมากของบิดาของหยางพ่านชุนเอง ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเอ่ยกับสหายสนิทว่าเขาไม่ได้คาดหวังกับบุตรชายคนนี้ อีกทั้งเขายังไม่ใช่คนโปรดและตอนที่หยางพ่านชุนได้ดี ก็ไม่เห็นขุนนางเฒ่าผู้นี้จะเอาเรื่องของบุตรชายมาโอ้อวดซึ่งแปลกจึงทำให้ทุกคนคิดว่าเรื่องที่บาดหมางกันนั้นคงจะเป็นจริง แน่ ๆถึงแม้ว่ายามนี้หยางพ่านชุนจะกลับมาทำงานเป็นเจ้าเมืองเหมือนเดิมแล้ว แต่เขาก็ยังคงมาพ