로그인เมื่อได้อยู่เงียบ ๆ ตามลำพังฟู่ลี่อิ๋งดันหวนคิดถึงเหตุการณ์ในปีนั้น ในปีที่นางอายุแค่เพียง 9 ขวบ ครอบครัวมีสุขพร้อมหน้า แต่แล้ววันหนึ่งในวันที่อากาศหนาวจัดหิมะโปรยปราย จนทั้งลานบ้านอาบไปด้วยสีขาวบริสุทธิ์ของหิมะ
นั่นเป็นวันที่นางได้พบหน้ากับน้องสาวต่างมารดาเป็นครั้งแรก ฟู่ลี่อิ๋งในวัยเด็กไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น นางเห็นสีหน้าของมารดาเต็มไปด้วยความผิดหวัง เสียใจและทุกข์ระทม คงเป็นเพราะไม่ได้คาดคิดว่าสามีที่นางรักสุดหัวใจจะเป็นบุรุษเช่นนั้น
นางหวีดร้องโวยวายและทำร้ายฟู่เหยาเหยาจนเลือดตกยางออก ตอนนั้นเอง ที่ฝ่ามือของบิดาฟาดลงมาที่ใบหน้าเล็ก ๆ ของนางในวัยแค่เพียง 9 ขวบ ผู้ที่ถูกบิดาทะนุถนอมมาตลอดชีวิต
ฟู่โหวตบหน้านาง ความเจ็บปวดร้าวลึกไปยังก้นบึ้งของหัวใจ บิดาที่เคยรักนางเป็นที่สุด ผู้ที่ไม่เคยลงไม้ลงมือกับนางเลยสักครั้งตั้งแต่นางเกิดมา แต่วันนั้นท่านพ่อเป็นผู้ลงมือตบหน้านาง เพียงเพราะต้องการปกป้องฟู่เหยาเหยา
ฟู่ลี่อิ๋งจำรอยยิ้ม ของฟู่เหยาเหยาได้ดี นางลอบยิ้มและตั้งใจให้มีแค่เพียงฟู่ลี่อิ๋งเท่านั้นที่เห็น
สายตาเหยียดหยามของน้องสาวต่างมารดาในวันนี้ฟู่ลี่อิ๋งจำได้ดี นางจำได้ไม่มีวันลืม
กระทั่งฝนแรกของปีมาถึง มารดายิ้มให้นางอย่างใจดีเช่นทุกครั้ง ก่อนจะบอกให้นางออกไปเล่นข้างนอกพร้อมกับพี่เลี้ยงทั้ง ๆ ที่ฝนตกหนัก ฟู่ลี่อิ๋งไม่เข้าใจและนึกสังหรณ์ใจ อาศัยช่วงเวลาที่พี่เลี้ยงเผลอนางวิ่งกลับมาดูมารดาที่เรือนหลังใหญ่
ภาพของมารดาที่ห้อยตัวลงมาจากขื่อยังคงชัดเจน เสียงของมารดาที่ยังไม่สิ้นใจในทันทีดูทรมานมาก เด็กหญิงทรุดตัวลงก้าวขาไม่ออก นางคุกเข่านั่งกองอยู่ที่กับพื้นห้องมองมารดาที่ค่อย ๆ หมดลมหายใจไปอย่างเชื่องช้า
กระทั่งฟ้าฝนเงียบสงบ จึงมีคนเข้ามาพบเด็กหญิงตัวน้อยที่นั่งมองศพมารดา ด้วยสายตาว่างเปล่า
ฟู่ลี่อิ๋งน้อยตื่นขึ้นมาในเช้าอีกวัน นางทำเหมือนกับจำไม่ได้ว่ามีอะไรเกิดขึ้น เมื่อบิดาเห็นว่านางลืมเรื่องเลวร้ายไปหมดสิ้นเขาเองก็ไม่พูดถึง
เมื่อไม่มีฮูหยินใหญ่อีกต่อไปแล้ว ในตอนนั้นนั่นเองที่บิดาเริ่มรับอนุภรรยาเข้าเรือนอีกหลายคน
------------------------
ผ่านเรื่องเลวร้ายมาหลายวัน ฟู่ลี่อิ๋งพักผ่อนจนหายเหนื่อย นางไม่รู้ว่าบิดาจัดการกับคนที่ทำร้ายนางและพวกองครักษ์บ่าวไพร่ที่ละหลวมในหน้าที่อย่างไร นางคร้านจะไปต่อความยาวสาวความยืด บิดาจะจัดการเช่นไรก็เรื่องของท่าน และนางก็เชื่อว่าเขาจะสามารถนำความยุติธรรมมาให้นางได้อย่างแน่นอน
เช้าวันนี้ท้องฟ้าแจ่มใสอากาศไม่ได้ร้อน ดังเช่นวันที่นางถูกจับตัว จึงเหมาะกับการที่นางจะออกไปดูดวงเสียที แน่นอนว่าวันนี้ฟู่ลี่อิ๋งที่มีประสบการณ์ไม่พลาดในการพาบ่าวรับใช้ออกไปหลาย ๆ คน พกถุงเงินไปอีกหลายถุงและนั่งรถม้า
ใช้เวลาไม่ถึงเกิน 3 ก้านธูป ขบวนของฟู่ลี่อิ๋งก็มาถึงศาลเจ้า ร่างเล็กแบบบางลงจากรถม้า ก่อนจะเงยหน้าขึ้นไป
ณ บริเวณจากตรงนี้ไปรถม้าไม่สามารถไปต่อได้ ทำให้นางต้องออกแรงเดินขึ้นบันได มองจากด้านล่างขึ้นไปข้างบน ประมาณการจากสายตาคร่าว ๆ น่าจะราว ๆ 100 ขั้นได้กระมัง
คนตัวเล็กปาดเหงื่อผ่อนลมหายใจให้เป็นปกติที่สุดก่อนจะค่อย ๆ ถกกระโปรงขึ้นเล็กน้อยเปิดเผยข้อเท้าเรียวเล็ก เพื่อที่เวลาเดินขึ้นนางจะได้ไม่สะดุดชายกระโปรงล้มคว่ำสร้างความอับอาย
เว่ยเจิ้งหยางแวะมาสืบข่าวคราวของคนนอกด่าน ที่ศาลเจ้าพอดิบพอดี และบังเอิญได้พบกับบุตรสาวคนโตของจวนโหว ในหัวก็นึกสนุกอยากกลั่นแกล้งนาง เขาชอบเวลาที่เจ้าตัวน้อยของเขาทำหน้าดุ เห็นแล้วมีความสุข
“คุณหนูช่างเป็นสตรีที่เปิดเผยนัก” ข้อเท้าของสตรีใครเขาเปิดเผยกัน เว่ยเจิ้งหยางค่อนแคะ
ครั้นได้ยินเสียงของบุรุษผู้หนึ่ง ฟู่ลี่อิ๋งก็จำได้ในทันที มือเล็กแบบบางปล่อยชายกระโปรงลงดังเดิม คนพวกนี้มันอะไรกัน
“อันที่จริงข้าน้อยก็ไม่ได้เปิดเผยเท่าไหร่ แต่ดันมีบุรุษเจ้าชู้ชีกอ ลามกแอบดูต่างหาก” นางไม่หันหน้าไปหาเขาแต่ยังคงมุ่งหน้าเดินขึ้นบันไดไปไหว้พระดูดวง
“ได้ยินว่าคุณหนูใหญ่จวนโหว ปากคอเราะราย วาจาเชือดเฉือน ไม่ละเว้นแม้กระทั่งเชื้อพระวงศ์วันนี้ข้าดีใจนักที่ได้มาเห็นด้วยตาตัวเอง”
คนตัวเล็กไม่ใส่ใจ นางทำเสียงฟึดฟัดในลำคอก่อนจะก้าวขึ้นบันไดต่อ
เพราะต้องปล่อยกระโปรงลงทำให้นางก้าวได้เพียงแค่สั้น ๆ เป้าหมายของนางคือการขึ้นไปด้านบนไปดูดวง จึงไม่ได้หันมาสนใจบุรุษที่กำลังพูดจาถากถางนาง ถึงจะเป็นเชื้อพระวงศ์แล้วอย่างไร นางไม่สนหรอก
ก้าวขึ้นไปได้ไม่กี่ก้าว สองขาเรียวเล็กก็พลาดท่า ฟู่ลี่อิ๋งเหยียบชายกระโปรงของตัวเอง ทำท่าจะตกบันได
ในช่วงเวลานั้น ก่อนที่ร่างแบบบางของนางจะกระทบพื้นกลับถูกวงแขนของใครบางคนมาโอบอุ้มเอาไว้ไม่ให้นางต้องเจ็บตัว ฟู่ลี่อิ๋งหลับตาปี๋คิดว่าตัวเองตายแล้วแน่ ๆ
“ยังไม่ทันจะขึ้นไปข้างบนก็จะกลิ้งลงไปแล้วหรือ” เจ้าของเสียงเดิม ที่ทะเลาะกับนางเมื่อครู่เอ่ยถาม
เมื่อลืมตาก็พบกับใบหน้าหล่อเหลาของบุรุษหน้าด้าน ทั้งโกรธ เขิน อับอาย หลากหลายอารมณ์ผสมปนเปกันไปหมด ยิ่งใบหน้าหล่อเหลาราวกับหยกสลักนั่นมันคืออะไรกัน ใบหน้าของอ๋องลามกผู้นี้ทำเอานางหูอื้อตาลายไปหมด เขาต้องเล่นคุณไสยแน่ ๆ
“ปะ ปล่อยเจ้าค่ะ” เมื่อได้สตินางจึงร้องขอให้เขาปล่อย น้ำเสียงอ่อนลงไปกว่าครึ่ง คงเพราะถูกใบหน้าหล่อเหลานั่นล่อลวง
“มาเถอะ ข้าจะพาเจ้าขึ้นไปด้านบน”
“กรี๊ด!!”
พูดไม่ทันขาดคำ ร่างของฟู่ลี่อิ๋งก็ขึ้นมาอยู่ขั้นบนสุดของบันไดพร้อมกับเขา
ร่างกายนุ่มนิ่ม ใบหน้าเล็ก ๆ ของนางดูน่ารักน่าเอ็นดู กลิ่นกายหอมอ่อนโยน ยามที่มือของนางกอดกระชับเขาเอาไว้แน่น ยิ่งทำให้เว่ยเจิ้งหยางไม่อยากปล่อยมือ
จนถึงตอนนี้ฟู่ลี่อิ๋งก็ยังไม่ได้ยินข่าวคราวของฟู่เหยาเหยาคล้ายกับว่านางหายไปจากโลกนี้อย่างไรอย่างนั้น อากาศในเมืองหลวงเริ่มหนาวขึ้นทุกวัน ๆ รวมไปถึงท้องของนางที่โตขึ้นเรื่อย ๆ การยืนเดินนั่งนอนของนางล้วนลำบากไปเสียหมด หลายครั้งที่ฟู่ลี่อิ๋งลุกขึ้นมานั่งร้องห่มร้องไห้กลางดึกเพียงเพราะอยากกินบะหมี่เนื้อรสเผ็ดทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านางไม่คอยชอบความเผ็ดของมัน ฟู่ลี่อิ๋งคิดถึงวันที่ที่พระสวามีเคยพาไปกิน คิดถึงเมื่อตอนที่แต่งงานกันใหม่ ๆ ส่วนเว่ยจงหมิงเองก็ตามใจและเข้าใจได้ไท่จื่อเฟยตั้งครรภ์ท้องแรกอีกทั้งยังไม่มีประสบการณ์ไม่มีผู้ใดสอนนางเกี่ยวกับเรื่องนี้ นางจะกลัว กังวลและหวั่นใจไม่ใช่เรื่องแปลก เป็นหน้าที่ของเขาที่เป็นสามีที่จะคอยให้ความอุ่นใจ อยู่เคียงข้างนางให้นางอบอุ่นใจในบางวันที่เว่ยจงหมิงต้องไปทำงานไกล ๆ ก็จะได้ไคไคน้อยมาอยู่เป็นเพื่อนคอยเล่านู่นเล่านี้ให้นางฟังไม่มีเบื่อถึงตอนนี้ฟู่ลี่อิ๋งถึงเพิ่งสังเกตว่าไคไคน้อยสูงขึ้นมาก จากที่เคยสูงกว่าเอวนางนิดหนึ่งตอนนี้หัวของเขาอยู่ในระดับไหล่นางเสี
หลังจากได้ยินเรื่องที่ฟู่เหยาเหยาหย่ากับเว่ยเจิ้งหยาง ฟู่ลี่อิ๋งก็ไม่สบายใจนัก นางไปถามกับพี่ชายว่าสาเหตุที่เขามาที่เมืองหลวง ใช่เรื่องเพราะเรื่องนี้หรือไม่ คราแรกเขาอ้ำอึ้งไม่ยอมพูดจนสุดท้ายนางก็คาดคั้นเอาคำตอบออกมาจากปากเขาได้ในที่สุดเมื่อได้ยินทุกอย่างที่นางอยากจะฟัง ฟู่ลี่อิ๋งจึงลากพี่ชายไปสืบความที่จวนเว่ยอ๋องด้วยกัน เนื่องด้วยไม่อยากไปเหยียบที่นั่นเพียงลำพังเว่ยเจิ้งหยางเมื่อได้ยินว่าไท่จื่อเฟยมาถึงที่นี่ก็ละทิ้งทุกอย่างรีบมาหานาง แต่เมื่อออกมาถึงกลับพบว่านางไม่ได้มาตามลำพัง เรื่องราวที่เคยคิดเข้าข้างตัวเองก็สลายหายไป นางมาที่นี่พร้อมกับฟู่หมิงจือ สีหน้าท่าทางของโหวน้อยดูกังวล ส่วนฟู่ลี่อิ๋งดูเย็นชาเห็นหน้าของเว่ยเจิ้งหยาง หญิงสาวก็เริ่มพูดคุยเขาเรื่องทันทีโดยไม่อ้อมค้อม“ข้าได้ยินจากไท่จื่อบอกว่าท่าหย่ากับน้องสาวของข้าแล้ว”เว่ยเจิ้งหยางเลิกคิ้วเล็กน้อย “ใช่แล้ว ข้าหย่ากับนางไปตั้งแต่วันที่กลับมาจากจวนเสนาบดีสี”“เรื่องสำคัญเช่นนี้ ไม่เห็
แสงอาทิตย์ลอดเข้ามาในห้องนับแล้วเท่ากับแปดครั้ง สีฮูหยินกระหยิ่มยิ้มย่องอย่างดีใจ นางหัวเราะเสียงดังลั่นอย่างสะใจ ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง จากนี้ไปจะไม่มีเว่ยจงหมิงอยู่บนโลกใบนี้อีกต่อไปแล้วในขณะที่นางกำลังดีใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แสงไฟในคุกก็สว่างไสวประดุจกลางวัน สีฮูหยินที่อยู่ในความมืดมานานนับสัปดาห์ต้องหลับตาและใช้แขนเสื้อของตนเองปกป้องดวงตาของตัวเอง ก่อนที่ไม่นานหลังจากนั้นนางจึงจะสามารถลืมตาขึ้นได้สิ่งที่สตรีวัยกลางคนเห็นเมื่อลืมตาขึ้นพบกับบุรุษที่นางเกลียดที่สุดผู้หนึ่งในชีวิต เว่ยจงหมิงนั่งอยู่บนคานหาม แบบสี่คนแบก ชายหนุ่มนั่งอยู่บนนั้นเส้นผมดำขลับถูกปล่อยสยายยาวสอดรับกับใบหน้าหล่อเหลา เขาสวมเสื้อผ้าสีขาวสบาย ๆ ท่าทางไม่ทุกข์ไม่ร้อนกับสิ่งใด และดูไม่เจ็บไม่ป่วย“ทำไมเจ้ายังมีชีวิตอยู่” สีฮูหยินได้เห็นหน้าของเว่ยจงหมิงก็เริ่มมีปฏิกิริยาแห่งโทสะ“องค์หญิงเออร์น่าคงตกใจมาก ที่เห็นว่าข้ายังมีชีวิตอยู่” เว่ยจงหมิงหยิบองุ่นขึ้นมากินในขณะที่สนทนากับนาง“ไม่!!!
อากาศยามเช้าหลังจากฝนหยุดตกสดชื่นปลอดโปร่ง เสียงวิหคบินวนขับขานดังกังวานไปทั่วทั้งพื้นที่ เช้าวันนี้นางรู้สึกว่าตัวเองสดชื่นกว่าทุกวัน อาจจะเป็นเพราะยาบำรุงของท่านซุน ที่ช่วยให้นางผ่อนคลายและหลับสบายมากยิ่งขึ้น ตั้งแต่ที่พระสวามีป่วยฟู่ลี่อิ๋งก็ย้ายออกไปนอนห้องนอนเล็กที่อยู่ในพื้นที่เดียวกันเพราะนางไม่อยากรบกวนคนป่วยเกรงว่าตนเองจะนอนดิ้นและทำให้เขาลำบาก รอให้เว่ยจงหมิงฟื้นและหายดีก่อนค่อยกลับมาร่วมห้องทีหลังก็ได้ทุก ๆ วันฟู่ลี่อิ๋งจะมานั่งเฝ้าพระสวามีในห้อง นี่ก็ผ่านมา 7 วันนับตั้งแต่เขาถูกพิษ เว่ยจงหมิงก็ไม่ฟื้นสักที วันนี้ก็เช่นกันนางมานั่งข้างเตียงพูดคุยกับเขาดังเช่นเคยมือเรียวเล็กจับมือของเขามาสัมผัสที่หน้าท้องแบนราบของตนเอง“ท่านพี่ เมื่อไหร่ท่านจะฟื้นกันนะ” ร่างเล็กพึมพำ “ท่านรู้หรือไม่ว่าไคไคน้อยกำลังจะมีน้องชายน้องสาวแล้วนะ” ฟู่ลี่อิ๋งกระซิบแผ่วเบาสีหน้าของเว่ยจงหมิงดูดีกว่าหลายวันที่ผ่านมา วิธีการของท่านซุนออกจะประหลาดไปบ้างแต่ก็ได้ผล หนำซ้ำยังได้ยาบำร
เสี่ยวหลงติดตามท่านเหลียงออกเดินทางไปยังเมืองต่าง ๆ เพื่อติดตามเรียนรู้วิชาการตัดเย็บเสื้อผ้าจากเหลียงเหลียนฮ่าวและฝากตัวเป็นลูกศิษย์ แต่เมื่อหลายวันก่อนตอนเดินทาง ในวันที่พายุฝนโหมกระหน่ำ คณะเดินทางของท่านเหลียงผ่านไปพบกับสตรีผู้หนึ่ง นางนอนกลายเป็นซากคล้ายกับศพอยู่ในเส้นทางที่พวกเขาผ่านสภาพของนางไม่ต่างอะไรจากซากศพบาดแผลบนใบหน้าฉกรรจ์น่ารังเกียจ สัตว์และแมลงตอมไต่จนบาดแผลเน่าเฟะเหม็นคลุ้งเหลียงเหลียนฮ่าวใช้ไม้เขี่ย ๆ เห็นว่านางยังมีชีวิตอยู่จึงพาตัวไปด้วยกันถือว่าเอาบุญ ตอนที่ช่วยเหลือเสี่ยวหลงเห็นตราหยกสีชมพูคล้าย ๆ กับชิ้นที่ไท่จื่อเฟยมี ก็เดา ๆ เอาไว้ว่าสตรีอัปลักษณ์ผู้นี้น่าจะเป็นผู้ใด แต่ก็ไม่ได้บอกเล่าเรื่องนี้ให้ผู้ใดฟังกระดูกบนร่างกายของสตรีอัปลักษณ์หักอยู่หลายส่วน ท่านหมอที่ติดตามมากับคณะของเหลียงเหลียนฮ่าวใช้วิธีการเอาไม้ไผ่มาดามนางเอาไว้ทั้งร่าง ฟู่เหยาเหยาตื่นขึ้นมาอีกทีพบว่าร่างกายของตนเองกำลังถูกวางเอาไว้บนเกวียนบรรทุกสิ่งของ แขนขาถูกมัดเอาไว้กับไม้ไผ่ขยับไปไหนไม่ได้
เจ้างูสีขาวตัวเล็ก ๆ ดูเหมือนจะหงุดหงิดเล็กน้อยที่มันถูกผู้เป็นนายปลุกให้ตื่น มันสะบัดหัวไปมาและค่อย ๆ ยืดตัวชูคอขึ้นทำท่าทางคล้ายกับบิดขี้เกียจ แต่เมื่อเห็นหน้าผู้เป็นนายมันก็รีบกระโดดออกจากกระปุกสีขาวขึ้นไปหยอกล้อคลอเคลียท่าทางเหมือนกับลูกสุนัขตัวเล็ก ๆฟู่ลี่อิ๋งเห็นแล้วก็พูดสิ่งใดไม่ออก สัตว์มีเกล็ดลิ้นยาวพวกนั้นสามารถมองให้น่ารักได้ด้วยหรือ นางรู้สึกขนลุก แต่ก็ไม่ได้ปริปากพูดสิ่งใดออกมา ปล่อยให้ท่านซุนรักษาไปตามวิธีการของเขา แม้จะทำให้คนที่อยู่ข้าง ๆ รู้สึกคล้ายจะเป็นลมอยู่ตลอดเวลาก็ตามงูเทพหิมะเมื่อเห็นแมงป่องสีรุ้งมันก็คล้ายกับทำตาโตด้วยความดีใจ ซุนจงปล่อยมันลงกับพื้นพร้อม ๆ กับแมงป่องสีรุ้ง ทั้งงูและแมงป่องลงต่อสู้กัน เจ้าแม่งป่องพยายามใช้หางพิษของตนเองต่อสู้กับเจ้างูเทพหิมะแต่สุดท้ายก็พ่ายแพ้ให้ต่อความปราดเปรียวของเจ้าตัวเล็กสีขาวทันทีที่แมงป่องสีรุ้งสิ้นท่า เจ้าตัวเล็กสีขาวก็เขมือบเจ้าแมงป่องตัวสีรุ้งที่นอนหมดแรง เข้าไปทั้งร่างอย่างเชื่องช้า เจ้าของร่างเล็กแบบบางต้องหลับตาขยับไปหลบอยู่เบื้องหลังของ







