“ห้างนี้ใช่ไหมนะที่เราเคยมากินตอนงานเลี้ยงปีใหม่” ศศิกานถามกวินที่เดินอยู่ข้างๆ ตอนนี้ทั้งสามเดินเรียงหน้ากระดานกันโดยมีกวินอยู่ตรงกลาง
“เอ่อ ผมไม่ได้มาครับ” กวินพูดขึ้นสร้างเสียงหัวเราะคิกคักอย่างพอใจกับคนข้างๆ
“อะ อ้อ พี่ลืมไปวินดูแลยายที่ป่วยพอดีนี่นา งั้นเราไปกินร้านนั้นกันไหมล่ะ เดี่ยวพี่เลี้ยงเอง” มือเรียวชี้ไปที่ร้านชาบูแห่งนั้น
“น้ำไม่อยากกินชาบูค่ะ” ร่างบางเดินมาแทรกกลางก่อนจะเกี่ยวแขนกำยำเขาเอาไว้อย่างแสดงความเป็นเจ้าของ
“เอ๊ะ!” ศศิกานมองอย่างไม่ชอบใจก่อนจะเดินมาอีกทางหนึ่ง
“เราไปกินซูชิกันดีกว่านะคะ” เธอดึงแขนคนตัวสูงให้เดินตาม
“ไม่ค่ะ พี่ไม่กิน เราไปกินชาบูกันดีกว่า” อีกคนก็คว้าแขนอีกข้างของกวินดึงไปอีกทาง
“เฮ้อ” ชายหนุ่มถอนหายใจก่อนจะยืนนิ่งเป็นหุ่นไม่ไปทางไหนสักทาง
“พี่วิน ไม่กินซูชิเหรอคะ?” แววตาดูที่ดูผิดหวังมองมาที่เขาจนหัวใจแกร่งกระตุกวูบไหวไปตามเธอ
“นั่นสิ พี่ก็อยากกินชาบูเหมือนกัน” อีกทางก็ไม่ยอมจะกินให้ได้ กวินมองหน้าสองสาวสลับไปมา
“ไปกินอาหารข้างทางเถอะครับ คนล่ะจานก็พออย่างกินอะไรที่มันสิ้นเปลืองเลย ผมแค่จะมาซื้อของนิดหน่อยถ้าแต่ล่ะคนอยากกินอะไรก็พากันไปกินเถอะเดี่ยวผมเดินไปซื้อของรอ” เขาบอกก่อนจะเดินนำลิ่วๆออกไป
ทั้งสองสาวมองหน้ากันก่อนจะเชิดขึ้น เดินตามร่างสูงไปทั้งคู่
สรุปกันแล้วก็ได้มานั่งกินข้าวที่ร้านอาหารนอกห้างกัน ทั้งสองสาวนั่งหน้ามุ่ยให้กับเขาอย่างไม่ชอบใจแต่กลับตักอาหารเข้าปากไปก่อนเขา
“เดี่ยวพี่จ่ายให้เอง” ศศิกานเสนอตัวพร้อมกับหยิบแบงก์สีเทาขึ้นมา
“ไม่ต้องหรอกค่ะ น้ำจ่ายให้เอง” ณัชชารีบยื่นเงินเมื่อเห็นพนักงานร้านเดินมาคิดราคาหลังจากที่ทั้งสามกินเสร็จเรียบร้อย
“น้ำชา หน้าดูซีดขึ้นนะ” เขามองลอบมองดูเธออยู่หลายครั้ง ตอนแรกตั้งใจว่าจะพาเธอเดินเดินห้างนานๆสักหน่อย แต่กลับกลายเป็นต้องพากลับเสียก่อน
“หรือว่าคุณน้องไม่ได้เติมปากมาเลยเหรอคะ? กวินเขาเลยตกใจ” ศศิกานยิ้มเหยียดมองหน้าเธอตอนนี้อาจจะเป็นมารยาลบลิปสติกเพื่ออ้อนผู้ชาย
“อ่อ นั่นสินะ” ณัชชารีบควักกระจกกระลิปสติกขึ้นมาเติม ปากที่อมชมพูอยู่แล้วพอทาด้วยลิปสติกสีอ่อนยิ่งดูน่ารักขึ้น สายตาคมที่มองอยู่ต้องกลืนน้ำลายลงคอก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง
“เดี่ยวฉันขับเอง เอากุญแจมา” เขาเดินมายืนอยู่ข้างเธอก่อนจะหยิบกุญแจรถที่วางอยู่ขึ้น
“งั้นไปส่งพี่ศิก่อนล่ะกันนะครับ” กวินหันมาบอกศศิกานที่ยิ้มให้อย่างพอใจ
ระหว่างที่กำลังลุกเหมือนอาการปวดท้องจะเริ่มรุนแรงและหนักหน่วงขึ้นจนเธอต้องค้ำเก้าอี้สักพักนึง มองตามหลังชายหนุ่มที่เดินนำหน้าไป
“โอ๊ย” ร่างบางทรุดฮวบลงเมื่อกำลังจะก้าวเดิน พนักงานสาวที่เห็นท่าไม่ดีรีบเรียกชายหนุ่มตามหลัง
“ว๊าย พี่คะ! แฟนพี่ล้มค่ะ!!” หญิงสาวตะโกนออกบอก กวินหันมองมาครู่นึงก่อนจะตกใจตาตื่นวิ่งเข้ามาใกล้ร่างที่นั่งกุมท้องไว้
“น้ำ!”
“พะ พี่วิน น้ำปวดท้องค่ะ” มือบางเกาะเข้าที่แขนของเขา ดวงตาดูเจ็บปวดเคล้าน้ำตาทำให้ชายหนุ่มต้องช้อนร่างบางขึ้นมา
“พี่ศิ ช่วยลงมาก่อนได้ไหมครับ!” ดวงตาคมจ้องมองศศิกานอย่างดุดันแบบไม่เคยเป็น ครั้งนี้เธอรีบลงจากรถก่อนจะช่วยเขาพาร่างณัชชาขึ้น
“น้องเขาเป็นอะไรน่ะวิน” เมื่อทั้งคู่ขึ้นรถก็รีบถามอาการทันที เธอเองก็ตกใจอยู่ไม่น้อยเพราะเมื่อกี้ณัชชาก็ยังดีๆอยู่
“ปวดประจำเดือนครับ ตั้งแต่เมื่อเช้าแล้ว” มือหนาหมุนพวงมาลัยตรงมายังโรงพยาบาลใกล้สุดเท่าที่จะไวได้
“งั้นเดี่ยวพี่ต่อแท็กซี่ไปที่อู่เอง วินพาน้องไปโรงบาลก่อนเลยนะ จอดหน้าดรงพยาบาลนี่แหละ” ศศิกานบอกเมื่อเขาเลี้ยวมาถึงหน้าโรงพยาบาลพอดี
“ขอโทษด้วยนะครับพี่ศิ กลับดีๆนะครับ” เขาจอดให้ศศิกานลงจากรถ หลังจากประตูบานใหญ่ด้านหลังรถปิด ก็มองมาที่ใบหน้าสวยที่ตอนนี้กำลังหรี่เปลือกตามามองเขา
“แกล้งหรือปวดจริง?”
“โอ๊ยย น้ำก็ต้องปวดจริงสิคะ ปวดจริงเมื่อกี้แต่ตอนนี้ดีขึ้นแล้ว” เสียงหวานหยอกเย้า
“ไม่ตลก”
“โธ่พี่วินคะ น้ำไม่ได้อยากจะแกล้งสักหน่อย แต่น้ำไม่ชอบผู้หญิงคนนั้นดูท่ายัยนั่นจะชอบพี่ น้ำหวงพี่รู้บ้างไหม!” แขนเรียวเล็กยกขึ้นกอดอก ใบหน้าสวหันมองทางที่ตอนนี้รถเคลื่อนมาจอดที่หน้าจุดรับส่งผู้ป่วย
“จะไปหาหมอไหม?” ใบหน้าหล่อเหลายิ้มมุมปากก่อนจะเปลี่ยนกลับไปเคร่งขรึมดังเดิม
“ไม่ไปอะ ไม่อยากไปเดี่ยวก็หาย” เธอส่ายหัวให้เขา
“งั้นกลับเลยนะ”
“ค่ะ”
หลังจากนั้นก็มีคนหน้ามุ่ยนั่งมาตลอดทางจนมาถึงบ้านพักในที่สุด ร่างบางเดินกระแทกเท้าอย่างไม่พอใจเข้าบ้าน ช่วงเวลานี้แม่และยายต่างก็พากันออกไปไร่กันกกว่าจะกลับเข้ามาก็จวบจนจะค่ำมืด
“น้ำ เดี่ยว เป็นอะไร” กวินเดินตามก่อนจะคว้าข้อมือเล้กเอาไว้ด้วยความเร็ว
“เปล่าค่ะ” ใบหน้าที่ดูก็รู้ว่ามีแน่ๆยังคงปากแข็งปัดป่ายหนีความจริงไป
“ถ้าเปล่าแล้วทำไมทำหน้าแบบนั้นกัน” เขามองด้วยสีหน้าไม่เข้า
“พี่วินแคร์น้ำด้วยเหรอคะ?” ปากบางฉีกยิ้มออกมาจนกว้าง ทีแท้เขาก็ตกหลุมพรางเธออีกรอบแล้วนี่เอง
“เธอนี่มัน ฉันไม่อยากจะคุยด้วยแล้ว” ชายหนุ่มปล่อยมือเธอลง กลับกลายเป็นมือบางที่คว้าแขนเขาเอาไว้แทน
“พี่วินขา อย่าโกรธน้ำเลยนะคะ ที่น้ำทำไปเพราะว่าน้ำรักพี่วินนี่นา ดูก็รู้ว่ายัยนั่นก็หวังจ้องจะกินพี่ซะขนาดนั้น”
“งั้นเธอก็หวังจะกินฉันเหมือนกันเหรอ?” ใบหน้าหล่อเหลากระตุกคิ้วเลิกสูง จนคนมองหน้าแดงเป็นลูกตำลึง
“น้ำ..น้ำ เอ่อ”
พูดไม่ออก ปากนะปาก!
ณัชชายิ้มแหย่ใส่เขาก่อนจะวิ่งเข้าบ้านอย่างรวดเร็วเพื่อหลบเลี่ยงคำตอบ
“หึ” กวินส่ายหัวให้กับความใสซื่อของเธอ ขายาวก้าวเข้าบ้านด้วยท่าทีอารมณ์ดี ก่อนจะมีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นเสียก่อน
“ว่าไง”
‘เขาอนุมัติเรื่องที่มึงขอย้ายไปญี่ปุ่นแล้วนะ’ เสียงภูเมฆดังขึ้นทำให้กวินรู้ว่าสิ่งที่เขายื่นขอไปทำงานต่างประเทศนั้นสำเร็จไปอีกก้าว
“ดี กูจะรีบบอกแม่ แล้วเขาให้ไปเริ่มงานวันไหน?”
‘เห็นว่าให้เวลาเตรียมตัวอีกสองเดือน มึงโอเครึเปล่า เดี่ยวยังไงมาพักที่คอนโดกูก่อนเพื่อเตรียมตัวสักเดือน’
“กูพร้อม เอาไว้ค่อยคุย” นิ้วหนากดปุ่มวางสาย ที่สุดความฝันที่เขาเคยคิดก็เป็นจริง แม่เขาเนี่ยไม่เท่าไหร่ แต่จะบอกกับณัชชายังไงเพราะเธออุตส่าห์มาหาเขาถึงที่นี่
หลังจากที่แม่และยายเดินทางกลับมาถึงบ้าน กวินจึงได้โอกาสระหว่างที่ณัชชาเดินออกไปคุยโทรศัพท์กับพ่อพอดี ชายหนุ่มเดินเข้าไปในห้องของมารดาและยายก่อนจะนั่งลงข้างๆกนกที่กำลังจัดเตรียมที่นอน
“ผมมีเรื่องจะบอก” ชายหนุ่มมองหน้ามารดาที่ยังไม่ยอมพูดคุยกับตน
“มีอะไรก็รีบพูดแม่จะนอน” กนกหันมองหน้าบุตรชายสักครู่หนึ่ง
“ผมขอโทษแม่นะครับที่ขึ้นเสียงใส่วันก่อน แล้วยังพูดถึงคนที่แม่ไม่อยากให้พูด” ชายหนุ่มก้มลงกราบที่ตักของมารดาดังที่เธอเคยสอนตั้งแต่เด็กๆ
“สักวันนึง แม่พร้อมแล้วจะบอกวินเอง วินรอเวลานั้นได้ไหมลูก?” มือที่หยาบกร้านลูบศีรษะบุตรชายตนเองอย่างแผ่วเบา
“ครับ ผมจะรอเวลานั้น” ใบหน้าหล่อเหลาพยักเข้าใจ
“วินมีแค่เรื่องนี้ใช่ไหม?” กนกมองหน้าบุตรชายที่ตนรักมากที่สุด
“ไม่ครับ ผมมีข่าวดีอีกเรื่องจะบอกกับแม่และยาย” ริมปากหยักยกยิ้มขึ้น
“อะไรวะ?” ยายจ่อยที่เอียงหูฟังมานานถามขึ้น
“หรือว่าวินจะแต่งงานกับหนูน้ำเหรอ?” หญิงวัยกลางถามด้วยความดีใจ
“ปละ เปล่าครับแม่ คือว่าจำเรื่องที่ผมเคยบอกแม่ได้ไหม?” เขาทวนถามมารดาก่อนทำให้นางนึกสงสัย มองใบหน้ากวินอย่างใคร่รู้
“อะไรงั้นเหรอวิน? หรือว่าลูก..?” สิ่งเดียวที่กวินชอบที่สุดและอยากทำที่สุด
“ครับ ผมได้ไปทำงานที่ญี่ปุ่นหลังจากยื่นเรื่องมาหนึ่งปีเต็มๆ” สองแม่ลูกกำลังจะโห่ร้องดีใจกันใหญ่ในที่สุดความเก่งของกวินก็เป็นที่ประจักสักที
“ชู่ว เบาๆครับแม่ เดี่ยวน้ำชาได้ยินเข้า” นิ้วชี้ยกขึ้นมาแนบริมฝีตนบอกบอกมารดา
“หมายความว่าวินยังไม่บอกน้องเหรอ?” กนกขมวดคิ้วถาม
“ครับ ตอนนี้ยัง”
“บอกๆไปเถอะลูก เรื่องดีๆแบบนี้” ยายจ่อยบอกหลานชาย
“ผมไม่อยากให้เธอต้องมารอคอยความหวังจากผม แล้วก็ไม่รู้ว่าจะไปทำงานที่นั่นอีกกี่ปี” ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่
“บอกไปเถอะลูก ให้น้องช่วยตัดสินใจ”
“งั้นเดี่ยวผมจะหาเวลาบอกครับ ตอนนี้ขอพักอยู่กับแม่และยายสบายๆก่อน”
“ถ้าอย่างงั้นก็มานอนกับแม่เลยดีไหม ตั้งแต่โตมาไม่เคยได้มาเข้าห้องแม่เลย” กนกเอ่ย แววตาเธอเริ่มมีแววเป็นกังวลแต่ก็ยังคงมีรอยยิ้มที่อบอุ่นให้
“เดี่ยวน้ำชาไม่มีที่นอนเอา ผมไปอาบน้ำนอนก่อนนะครับ” ว่าแล้วก็ลุกเดินออกไป
สองขายาวสาวเท้าเดินไปดูว่าคนที่ออกไปคุยโทรศัพท์นั้นเสร็จหรือยัง ตอนนี้เธอนั่งตบยุงไปคุยไปจนเขาต้องถือสเปย์กันยุงออกมาให้
“ป๊าขา วันนี้พอแค่นี้ดีไหมคะ น้ำอยากนอนแล้วค่า”เสียงหวานออดอ้อนผู้เป็นบิดาวันนี้เธอตัดสินใจรับสายครั้งแรก ก็โดนบ่นเสียยกใหญ่จนไม่หูชาไปหมด
“วางสายแล้วเหรอ?”
“เอ้า พี่วิน มาไม่ให้ซุ่มไม่ให้เสียงนะคะ” ณัชชาลุกขึ้นยืนมองชายหนุ่มที่อุตส่าห์ถือสเปย์กันยุงมาให้
“นี่ก็มากับเสียง”
“ค่า ขอบคุณนะคะที่อุตส่าห์หายากันยุงมาให้”
“เปล่า จะใช้เอง เธอเข้าบ้านไปนอนเถอะ” เขารีบเก็บของไว้ด้านหลัง
ไม่ทันแล้วปะคะ!!?
ณัชชาหัวเราะแล้วยิ้มออกมาก่อนจะเดินผ่านคนตัวสูงเข้าบ้านไป ท่าทางอารมณ์ดีของเธอทำให้เขาพูดอะไรไม่ออกเลยจริงๆนั่นแหละ หากถามว่าเสียดายไหมเขาตอบได้เต็มปากว่า มาก!!