สามวันต่อมา กงเหล่ยก็นำทัพออกเดินทางเพื่อไปทำศึกกับแคว้นเว่ย
ก่อนหน้านี้หลังจากยึดเมืองด่านหน้าของแคว้นเว่ยได้แล้ว เขาได้ให้คนส่งจดหมายไปเจรจากับเว่ยอ๋อง ยื่นข้อเสนอว่าหากเว่ยอ๋องยินยอมสวามิภักดิ์ เขาเองก็ไม่คิดจะบุกทำลายเมือง แต่เว่ยอ๋องกลับตอบกลับมาเพียงว่าเขาคงไม่อาจทำเช่นนั้นได้ ยามนี้เกาฮ่องเต้มีพระราชโองการว่าแคว้นใดยอมสวามิภักดิ์หรือเข้าร่วมกับแคว้นเซี่ยถือว่าเป็นกบฏ อีกอย่างพี่สาวของเขาก็เป็นถึงฮองเฮาผู้สูงศักดิ์ เขาไม่มีทางทรยศพี่เขยและพี่สาวของตนแน่นอน เว่ยอ๋องจึงตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะขอสู้กับกงเหล่ยจนตัวตายเสียดีกว่า
กงเหล่ยส่งเสียงเหอะออกมาคราหนึ่ง ตระกูลเกายามนี้มีอำนาจที่สุดในแผ่นดิน อีกทั้งยังต้องการสังหารเขา และแคว้นต่างๆก็ตกเป็นเมืองใต้อาณัติของตระกูลเกาทั้งหมด การที่เว่ยอ๋องจะหวาดกลัวตระกูลเกาก็ย่อมไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อันใด
เขายังจำได้ไม่ลืม ว่าการตายของท่านพ่อในครั้งนั้นท่านอ๋องต่างแคว้นล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องและขึ้นตรงต่อตระกูลเกา น่าเจ็บใจนัก ทั้งที่ท่านพ่อของเขาและเกาฮ่องเต้เคยเป็นสหายรัก แต่ทว่าสุดท้ายแล้ว เกาฮ่องเต้กลับหักหลังท่านพ่อของเขาได้อย่างอำมหิต
ท่านพ่อไม่ได้รบจนตัวตายแต่กลับถูกลอบสังหาร อีกทั้งยังหาศพไม่พบ เขาใช้เวลาหลายปีจนสืบทราบถึงการตายของท่านพ่อ และซ่องสุมกำลังทำตัวเป็นเต่าหดหัวมานานหลายปีก็เพื่อรอคอยวันนี้
เขาคิดผิดจริงๆที่ไปเจรจากับคนชั่วช้าพวกนั้น พวกคนที่เห็นแก่ผลประโยชน์มาเป็นอันดับแรก รวมหัวกันทำร้ายท่านพ่อของเขา ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็อย่ากล่าวโทษว่าเขาโหดเหี้ยมก็แล้วกัน
สายลมฤดูใบไม้ผลิพัดมาผะแผ่ว อากาศในยามนี้ค่อนข้างเย็นสบายอยู่ไม่น้อย แต่ทว่าไต้ฝูหรงกลับเหงื่อแตกพลั่กเพราะชุดที่นางสวมใส่อยู่ตอนนี้
หลังจากคิดทบทวนมาทั้งคืนแล้ว นางจึงตัดสินใจว่าจะติดตามเซี่ยอ๋องไปที่สนามรบด้วย
นางไม่มีญาติพี่น้องที่ไหนเหลืออีกแล้ว อีกทั้งเขายังเป็นผู้มีพระคุณของนาง ในค่ายทหารย่อมไม่สะดวกสบายเท่าใดนัก อีกทั้งเขาก็ยังไม่มีสาวใช้เอาไว้คอยติดตามใช้งาน แต่หากนางบอกเขาไปตามความจริงว่านางอยากติดตามเขาไปในสนามรบ เขาย่อมไม่เห็นด้วยเป็นแน่ นางจึงลอบหาชุดทหารมาสวมใส่และเดินเท้าไปพร้อมกับเหล่าทหาร ตามกงเหล่ยเข้าสู่สนามรบ
เพราะต้องเร่งเดินทาง ทำให้กงเหล่ยไม่มีเวลาไปสนใจไต้ฝูหรงเท่าใดนัก ตอนนี้ในหัวเขามีเพียงการโจมตีแคว้นเว่ยให้ราบเป็นหน้ากองโดยเร็วเท่านั้น
เส้นทางจากเมืองด่านหน้าไปยังเมืองหลวงแคว้นเว่ยไม่ได้ห่างกันมากเท่าใดนัก ใช้เวลาเพียงไม่กี่ชั่วยามก็ถึงแล้ว เขาสั่งให้ทหารตั้งกระโจมอยู่ไม่ไกลจากประตูเมืองหลวงแคว้นเว่ย
เว่ยอ๋องที่ได้ยินว่าตอนนี้กองทัพแคว้นเซี่ยตั้งค่ายทหารอยู่ไม่ไกลจากประตูเมืองหลวงแคว้นเว่ย ใจของเขาก็เต้นระส่ำระสายจนแทบนั่งไม่ติดที่ ก่อนหน้านี้เขาได้ส่งจดหมายไปขอความช่วยเหลือจากเกาฮ่องเต้แล้ว คาดว่าอีกไม่นานกองกำลังเสริมจะต้องมาสมทบในอีกไม่ช้า
เว่ยอ๋องเริ่มจะอายุมากแล้ว อีกทั้งยังไม่มีทายาทสืบสกุลเนื่องจากเขาเป็นหมันไม่อาจให้กำเนิดบุตรได้ เดิมทีเขามีหลานชายคนหนึ่งคิดว่าจะให้สืบทอดตำแหน่งต่อจากตน แต่เจ้าเด็กโง่นั่นกลับเป็นคนไม่เอาไหน ทำตัวเสเพลไปวันๆ คนที่จะคอยเป็นมือเป็นเท้าให้ก็ไม่ได้เรื่องสักคน
ในเมื่อไร้ทางออก คงทำได้เพียงต่อสู้จนตัวตายแล้ว หากว่าสู้ไม่ไหว เช่นนั้นก็หาทางเอาตัวรอดหนีไปแคว้นเกา ส่วนราษฎรจะเป็นตายอย่างไรก็ช่างเถิด
ด้านกงเหล่ยนั้นหลังจากปักหลักสร้างค่ายทหารเสร็จเรียบร้อยแล้วก็มานั่งอ่านรายงานทางการทหาร เสื้อผ้าของชายหนุ่มค่อนข้างเลอะเทอะเพราะไม่ได้อาบน้ำเปลี่ยนชุดเนื่องจากความเร่งรีบ การอยู่แต่ในสนามรบแน่นอนว่าเขาย่อมไม่มีเวลามานั่งดูแลตนเองเท่าใดนัก
รายงานทางทหารไม่มีอันใดน่าห่วงมากนัก ส่วนใหญ่ล้วนเป็นเรื่องราวของสงครามต่างแคว้นทั้งสิ้น
กองทัพตระกูลกงมีแม่ทัพใหญ่อยู่ใต้อาณัติการสั่งการของกงเหล่ยถึงสามคน คนแรกมีนามว่าเฉิงซาน เป็นหลานชายของท่านเฉิงซุน ส่วนอีกสองคนมีนามว่า เซียวเย่ และหลัวเยี่ย สามคนนี้ล้วนเป็นสหายสนิทของเขาทั้งสิ้น แต่เซียวเย่นั้นมีอายุน้อยกว่าพวกเขาอยู่หลายปี นับว่าเป็นน้องเล็กที่สุดในกลุ่ม
"ท่านอ๋อง หลัวเยี่ยส่งจดหมายมาให้ท่าน อีกทั้งยังฝากคำมาบอกว่าสามารถยึดเมืองเล็กๆโดยรอบแคว้นเว่ยได้แล้วขอรับ ส่วนราษฎรก็ยินยอมสวามิภักดิ์ต่อท่านแล้ว เอ่อ ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ท่านอ๋องเชิญอ่านเนื้อหาในจดหมายดูเถอะขอรับ"
กงเหล่ยละสายตาจากรายงานทางการทหาร ก่อนจะเงยหน้ามามองเฉิงซุนและยิ้มเล็กน้อย พลางรับจดหมายไปเปิดอ่าน ก่อนที่เขาจะส่งเสียงเหอะออกมาคราหนึ่ง
หลัวเยี่ยบอกว่าเหล่าราษฎรแทบจะกู่่ร้องที่รู้ว่าแคว้นเว่ยเกิดภัย เพราะเว่ยอ๋องตัวดีนั้นไม่สามารถซื้อใจประชาชนได้
ประชาชนที่ตกยากบอกว่าตั้งแต่เกิดสงครามพวกเขาก็อดยากยิ่งนัก เมื่อไปขอความช่วยเหลือจากทางการกลับถูกทุบตี อีกทั้งเว่ยอ๋องยังขูดรีดภาษีอย่างหน้าเลือด ไม่มีความเมตตาต่อราษฎร ตนเองอยู่ดีสุขสบายแต่ราษฎรกลับแร้นแค้นอดอยากจนตกตายด้วยความหิวโหยไปไม่น้อย ชาวบ้านต่างบ่มเพาะความเกลียดชังเอาไว้ในใจมานานหลายปีแล้ว เมื่อแคว้นเว่ยมีภัย แม้ใจหนึ่งจะไม่ชอบใจที่แว่นแคว้นถูกรุกราน แต่ถ้าหากสามารถเปลี่ยนนายคนใหม่ที่ดีกว่าเว่ยอ๋องคนปัจจุบันได้ พวกเขาคงจะกราบไหว้ขอบคุณสวรรค์ที่เมตตาแล้ว
กงเหล่ยไม่เอ่ยสิ่งใด เดิมทีคิดว่าเรื่องซื้อใจราษฎรต่างแคว้นนับว่าเป็นเรื่องยาก เขาไม่คิดจะทำร้ายคนบริสุทธิ์อยู่แล้ว อย่างไรเรื่องนี้ก็ยังสร้างความหนักใจให้กับเขาอยู่ไม่น้อย
แต่เมื่อได้อ่านจดหมายที่หลัวเยี่ยเขียนส่งมา เขาก็พอจะวางใจลงได้ จึงเขียนจดหมายตอบกลับไป ให้หลัวเยี่ยดูแลชาวบ้านเหล่านั้นให้ดี
ในขณะที่ชายหนุ่มกำลังสนทนากับเฉิงซุนอยู่นั้น ก็รับรู้ได้ว่าภายในกระโจมมีความเคลื่อนไหวบางอย่าง เขาหันไปสบตากับกุนซือของตน ก่อนจะมองไปโดยรอบกระโจมด้วยแววตาที่เย็นชา
แต่ไหนแต่ไรเหล่าทหารต่างไม่กล้าเข้ามาในกระโจมของเขาโดยพละการหากยังไม่ได้รับอนุญาต
ผ้าม่านริมหน้าต่างสั่นไหวเล็กน้อย กงเหล่ยคล้ายมองเห็นบางอย่างกำลังเคลื่อนไหว เขาค่อยๆเดินเข้าไปใกล้พลางกระชับดาบยาวที่ข้างเอวเอาไว้แน่น
ผู้ใดมันกล้าบุกรุกกระโจมของเขา!
"ออกมา ไม่อย่างนั้นข้าจะสังหารเจ้าเสีย!"
กงเหล่ยเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ คล้ายว่าคนที่หลบซ่อนอยู่ด้านหลังผ้าม่านจะหวาดกลัวไม่น้อย จึงค่อยๆโผล่ใบหน้าออกมาจากที่ซ่อน ก่อนจะส่งยิ้มให้เขาด้วยความหวาดหวั่น
"ไต้ฝูหรง!"
เฉิงซุนที่เห็นว่าคนที่ซ่อนตัวอยู่คือไต้ฝูหรงก็ขมวดคิ้วมุ่นคราหนึ่ง เมื่อมองให้ดีก็พบว่าหญิงสาวมีสภาพทุลักทุเลอยู่ไม่น้อย รองเท้าที่สวมใส่ก็ขาด ใบหน้าเลอะเทอะมอมแมม อีกทั้งนางยังแต่งกายคล้ายทหารอีกด้วย
"ท่านกุนซือ ท่านออกไปก่อน"
"แต่ว่า.."
"ออกไปเถิด"
เมื่อได้ยินเจ้านายออกคำสั่ง เฉิงซุนจึงไม่รั้งอยู่ต่ออีก แต่อย่างไรเขาก็ยังไม่วางใจในตัวไต้ฝูหรงจึงยืนรออยู่ด้านนอกกระโจมไม่ยอมจากไปไหน
เมื่ออยู่กันตามลำพัง กงเหล่ยจึงจ้องมองไต้ฝูหรงตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า จนคนถูกมองเริ่มประหม่าหวาดหวั่น
"เจ้ามาที่นี่ได้เช่นไร แล้วเหตุใดจึงสวมชุดทหารเช่นนี้?"
ไต้ฝูหรงลนลานแล้ว ดวงตาคู่งามสอดส่องไปทั่วกระโจม ก่อนที่นางจะวิ่งไปที่โต๊ะเขียนอักษรของกงเหล่ย พลางมองเขาด้วยแววตาอ้อนวอน กงเหล่ยเพียงพยักหน้าเล็กน้อย เขารู้ว่านางพูดไม่ได้จำต้องเขียนอักษรแทน อีกทั้งบนโต๊ะของเขายามนี้ก็ไม่ได้มีเรื่องสำคัญอันใด เขาจึงอนุญาตให้นางเขียนอักษรบนโต๊ะได้
ไต้ฝูหรงจับพู่กันมาเขียนบางอย่างลงบนกระดาษก่อนจะส่งให้เขาอ่าน
ข้าอยากติดตามมาดูแลท่าน ท่านเป็นผู้มีพระคุณของข้า ข้าจะต้องตอบแทนท่านให้ได้ ท่านอยู่ในค่ายทหารเกรงว่าจะไม่สะดวกสบายเพราะไม่มีคนคอยดูแล ข้าไม่เอาเงินก็ได้ ขอแค่อาหารสักมื้อก็พอ ข้าทำเป็นทุกอย่าง ไม่ว่าจะซักผ้า เย็บผ้า ทำอาหาร ท่านอ๋อง ท่านอย่าไล่ข้ากลับไปเลยนะเจ้าคะ!
กงเหล่ยที่อ่านข้อความบนกระดาษจนจบก็ถึงกับชะงักไปชั่วขณะ เขาไม่ได้ต้องการให้นางมองเขาเป็นผู้มีพระคุณเลยแม้แต่น้อย และเขาก็ไม่ต้องการให้นางมาตอบแทนอันใด แต่ดูเหมือนไต้ฝูหรงดึงดันจะตอบแทนเขาให้ได้เสียแล้ว และเขาเชื่อว่าถึงเขาจะออกปากไล่นางก็คงไม่ยอมไป
แต่อย่างไรค่ายทหารก็ไม่ใช่ที่เที่ยวเล่น เขาคงไม่อาจให้นางอยู่ต่อได้
แต่เมื่อหันไปมองนางอีกครา วาจาที่คิดจะเอื้อนเอ่ยกลับไม่สามารถเอ่ยออกมาได้
ยามนี้ไต้ฝูหรงกำลังมองเขาด้วยแววตาที่อ้อนวอน ดวงตากลมโตมีหยาดน้ำตาเอ่อคลอคล้ายเด็กน้อยที่กำลังร้องขอของเล่นจากบิดาอย่างไรอย่างนั้น
กงเหล่ยรีบเบือนหน้าหนี ก่อนจะเอ่ยโดยที่ไม่ยอมมองหน้านาง
"เอาเถอะ ในเมื่อเจ้ามาแล้ว อีกทั้งหนทางก็ยาวไกล หากเดินทางกลับเมืองเกาผิงเกรงว่าอาจจะล้มป่วยระหว่างทางเอาได้ เช่นนั้นก็อยู่ที่นี่ไปก่อน แต่จำไว้ว่าอย่าก่อเรื่องและอย่าได้เดินไปที่ใดส่งเดช เข้าใจหรือไม่!"
อยู่ๆชายหนุ่มก็รู้สึกว่ามีมือน้อยๆกำลังดึงชายแขนเสื้อของเขาเบาๆ เมื่อกงเหล่ยหันไปมองก็พบว่าตอนนี้ไต้ฝูหรงกำลังส่งยิ้มหวานและพยักหน้าให้กับเขา พลางจับชายแขนเสื้อเขาเขย่าเล็กน้อย แววตาของนางยามที่มองเขานั้นเป็นประกายเจิดจ้า กงเหล่ยรู้สึกว่าตนเองเริ่มประหม่าขึ้นมาเสียแล้ว
"เจ้าออกไปเถอะ ข้าจะสั่งให้ท่านเฉิงซุนหาที่พักให้เจ้าแล้วก็หาเสื้อผ้าใหม่ให้เจ้า"
ไต้ฝูหรงพยักหน้าก่อนจะทำความเคารพเขาและเดินออกมาจากกระโจม ระหว่างนั้นหญิงสาวก็ยิ้มน้อยๆ ก่อนจะค่อยๆเอื้อนเอ่ยบางคำออกมา
"กง...กง...เหล่ย"
วาจาที่เอ่ยออกมาจากริมฝีปากบางค่อนข้างยากลำบากเหลือเกิน นางต้องใช้ความพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะพูดมันออกมา
นี่คือชื่อของเซี่ยอ๋องผู้มีพระคุณของนาง นางได้ยินชื่อเสียงของเขามานานแล้ว ไม่คิดว่าวันหนึ่งจะจับพลัดจับพลูมาเกี่ยวข้องกันเช่นนี้
เฉิงซุนหรี่ตามองสตรีน้อยที่เอาแต่ท่องชื่อของเจ้านายตนด้วยแววตาล้ำลึกคราหนึ่ง
ดูเหมือนนางจะไม่ได้เป็นใบ้แต่กำเนิดใช่หรือไม่?
เฉิงซุนเก็บความสงสัยนี้เอาไว้ในใจ ก่อนจะบอกให้นางตามเขาไปยังที่พัก
เมื่อคนจากไปแล้วกงเหล่ยก็ทิ้งกายลงนั่งบนเก้าอี้ ไม่นานนักเซียวเย่หนึ่งในแม่ทัพใหญ่ของเขาก็เดินเข้ามาในกระโจม
"ศิษย์พี่กง เมื่อครู่ข้าเห็นทหารผู้หนึ่งเดินออกมาจากกระโจมของท่านพร้อมกับท่านลุงเฉิงซุน ทหารผู้นั้นพึมพำชื่อของท่านไปตลอดทางเลย อีกทั้งยังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เสียด้วย ช่างแปลกประหลาดจริงๆ"
กงเหล่ยเมื่อได้ยินก็ถึงกับทำหน้าไม่ถูกคราหนึ่ง
อันใดกัน นางเป็นใบ้ไม่ใช่หรือ แล้วเหตุใดจึงเอ่ยเรียกชื่อเขาได้เล่า?
ด้านไต้ฝูหรงนั้นตอนนี้อยู่ในที่ปลอดภัยและมีทหารคุ้มกันอย่างแน่นหนา นางเดินวนไปวนมาอยู่ในเรือนเพื่อรอฟังข่าวของกงเหล่ยเกาฮ่องเต้หนีหัวซุกหัวซุนด้วยความหวาดกลัว แต่ไม่่ว่าจะหนีไปทางไหนก็มีแต่เหล่าทหารไล่ล่าเขา เกาฮ่องเต้ถึงกับก้าวขาไม่ออก ไม่คาดคิดว่าตนเองจะมีวันนี้เดิมทีเขาสะกดวิญญาณของกงอวี้ไปแล้ว และไม่เชื่อว่ากงเหล่ยจะสามารถสังหารตนได้แต่ยามนี้เขารู้แล้วว่าตนเองคิดผิดเกาฮ่องเต้เริ่มลนลานด้วยความหวาดกลัว เขาไม่สนใจคำเตือนของทหาร วิ่งหนีออกมาจากวงล้อมป้องกัน สุดท้ายเมื่อได้เห็นคนตรงหน้าที่กำลังยื่นดาบพาดบนลำคอของเขา เกาฮ่องเต้ก็ถึงกับก้าวขาไม่ออก"เจ้า!""ไม่ได้พบกันานเลยนะ ท่านลุงเกา!"เกาฮ่องเต้มือไม้สั่นเทิ้มไปหมด เมื่อนึกถึงศีรษะของเกาข่ายบุตรชายอันเป็นที่รักซึ่งถูกกงเหล่ยสังหาร เขาก็กัดฟันกรอด"ข้าจะฆ่าเจ้า เอาหัวเจ้ามาเซ่นสังเวยให้กับวิญญาณของบุตรชายข้า!"กงเหล่ยเมื่อได้ฟังกลับส่งเสียงหัวเราะออกมา เกาฮ่องเต้ที่เห็นอย่างนั้นเหงื่อเย็นก็ไหลซึมออกมาเต็มแผ่นหลัง กงเหล่ยยกมือขึ้นส่งสัญญาณ หลัวเยี่ยก็พุ่งเข้าจัดการสังหารทหารและแม่ทัพใหญ่ของเกาฮ่องเต้ตกตายไปจนหมด เกาฮ่องเต้ร้องคำรา
สงครามจบสิ้นลง ทหารของเกาข่ายล้วนถูกสังหารจนหมดสิ้นไม่เหลือซาก ครั้งนี้กงเหล่ยไม่ได้ใจดีเฉกเช่นครั้งก่อน ที่จะเก็บทหารจงรักภักดีกลับใจเอาไว้ใช้งาน อย่างไรทหารพวกนั้นก็ถูกเกาฮ่องเต้ฝึกฝนมานานหลายสิบปี ไม่เหมือนกับชาวบ้านที่มีใจภักดี เขาจึงไม่คิดจะเก็บเอาไว้แม้เพียงคนเดียวแคว้นเซี่ยตอนนี้กลับสู่ความสงบเฉิงซานและหลัวเยี่ยนั้นได้รับบาดเจ็บไม่มากนัก แต่ทว่าเซียวเย่กลับได้รับบาดเจ็บที่แขนเป็นแผลใหญ่ กว่าจะห้ามเลือดได้ต้องใช้เวลาอยู่นาน โชคดีที่เขาไม่ได้เสียแขนไป ไต้ฝูหรงและท่านหมอจ้าวสลับกันช่วยดูแลเขา เซียวเย่นอนอยู่บนเตียง ใบหน้าหล่อเหลาซีดเผือดเล็กน้อย เขาเอ่ยขอบคุณท่านหมอจ้าว ก่อนจะหันมาเอ่ยกับไต้ฝูหรง"ศิษย์น้องเล็ก ข้าปลอดภัยดีแล้ว เจ้าไปดูศิษย์ใหญ่กงเถอะ หากเจ้ายังไม่ไปอีก พี่ใหญ่กงคงได้ตามมากระทืบข้าซ้ำแน่ ข้ายังไม่อยากถูกเขากระทืบจนตายหรอกนะ สตรีในหอนางโลมยังรอข้าอยู่"ไต้ฝูหรงหัวเราะออกมาเล็กน้อย แม้นางจะแต่งงานกับกงเหล่ยแล้ว แต่เซียวเย่ยังคงยืนยันที่จะเรียกนางว่าศิษย์น้องเล็ก นางเองก็ไม่ถือสาอันใด อย่างไรสำหรับนางแล้ว เขานับว่าเป็นพี่ชายที่แสนดีสำหรับนางเมื่อทุกคนปลอดภัยไร้กัง
ไต้ฝูหรงตกใจจนแทบสิ้นสติ นางหันมองซ้ายขวาตอนนี้มีแต่ห่าธนูที่พุ่งเข้ามาหมายจะสังหารพวกนาง แต่ยามนี้ไม่อาจปล่อยให้ท่านเฉิงซุนอยู่ที่นี่ต่อได้ โลหิตของเขาไหลออกมามากเกินไป ต้องหาทางผ่าเอาลูกธนูออกและห้ามเลือดโดยเร็วที่สุด!ไต้ฝูหรงสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะตัดสินใจประคองท่านเฉิงซุนขึ้นมาและพาเขาเดินฝ่าลูกธนูออกไปโดยมีเหล่าทหารที่ยังรอดชีวิตคอยคุ้มกัน ท่านเฉิงซุนยังไม่ได้หมดสติ เขาจ้องมองสตรีข้างกายที่ประคองตนเดินฝ่าลูกธนูอย่างไม่เกรงกลัวด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย"นะ นายหญิง ปล่อยข้าเอาไว้บนนี้เถอะขอรับ! "ไต้ฝูหรงเม้มริมฝีปากแน่น นางพาเฉิงซุนลงมาด้านล่างได้อย่างปลอดภัย ก่อนที่เขาจะหมดสติไป พลันได้ยินเสียงของนางเอ่ยกับเขาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ"ข้าไม่มีวันทิ้งท่าน พวกเราถ้าอยู่ก็อยู่ด้วยกัน ถ้าตายก็ต้องตายด้วยกัน กงเหล่ยยังอยู่ข้างนอก เขาเคารพท่านดั่งบิดา ข้าเองก็เช่นกัน เฉิงซานหลานของท่านและแม่ทัพทุกคนก็ยังรอให้ท่านต้อนรับพวกเขากลับเข้าเมืองหลังจากพวกเรารบชนะ หากท่านตาย ข้าคงไม่อาจมองหน้าพวกเขาได้ ท่านจะต้องอดทนไว้นะเจ้าคะ ข้าจะไม่มีทางยอมให้ท่านตายเด็ดขาด!"ท่านเฉิงซุนยิ้มอย่างอ่อ
เสียงต่อสู้ดงกึกก้องไปทั่วทุกหย่อมหญ้า ยามนี้กองทัพแคว้นเซี่ยกำลังสู้รบกับกองทัพของเกาข่ายอย่างไม่กลัวตาย พวกเขาใช้สมุนไพรพิษที่ไต้ฝูหรงมอบให้นำไปอาบย้อมบนอาวุธ ก่อนจะเข้าห่ำหั่นกับศัตรู กงเหล่ยควบม้าห้อตะบึงอยู่ท่ามกลางซากศพของเหล่าทหารทั้งสองฝ่าย ใบหน้าหล่อเหลามีโลหิตสาดกระเซ็นเปรอะเปื้อนเป็นวงกว้าง ขับเน้นให้ใบหน้าเย็นชาของเขาดูดุดันขึ้นไปอีกหลายเท่าวิธีของไต้ฝูหรงนั้นใช้ได้ผล ทหารของฝ่ายตรงข้ามเพียงถูกพิษนั้นเข้าสู่โลหิตไม่นานก็ค่อยๆอ่อนแรงและล้มตายลงไปในที่สุด เพียงไม่นานกำลังทหารของเกาข่ายก็ลดลงไปมากกว่าครึ่งเกาข่ายมองภาพเบื้องหน้าด้วยแววตาตื่นตระหนก เห็นๆอยู่ว่าแรกเริ่มนั้นเขาเป็นฝ่ายได้เปรียบอยู่แท้ๆ แต่แล้วเหตุใดสถาณการณ์จึงพลิกผันเช่นนี้เล่าชายหนุ่มกัดฟันกรอด พลางมองไปเบื้องหน้า "ห้ามถอย ต้องตัดหัวกงเหล่ยและสังหารทหารแคว้นเซี่ยให้จงได้!"เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ พลางกำมือแน่น ชายหนุ่มรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติแต่ไม่รู้ว่าผิดปกติตรงที่ใด เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดวันนี้ทหารแคว้นเซี่ยจึงใช้ผ้าปิดบังใบหน้าเอาไว้ครึ่งหนึ่ง เผยให้เห็นเพียงดวงตา หรือว่าพวกมันกลัวตาย หากว่าเจ้าน
ไต้ฝูหรงมุ่งหน้ามายังภูเขาลูกหนึ่ง ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับวัดบนเขา ห่างจากเมืองหลวงของแคว้นเซี่ยมาไม่ไกลมากนัก ฮูหยินผู้เฒ่าให้เหล่าทหารติดตามมาพร้อมสาวใช้อีกหลายคน ไม่นานรถม้าก็หยุดลง ไต้ฝูหรงจึงรีบลงจากรถม้าพร้อมกับเอ่ยกำชับสาวใช้และทหาร"พวกเจ้าคงจำลักษณะของสมุนไพรที่ข้าบอกเอาไว้ก่อนหน้านี้ได้แล้ว รีบเก็บมาให้มากหน่อย ยิ่งมากยิ่งดี เข้าใจหรือไม่"เหล่าสาวใช้และเหล่าทหารต่างพยักหน้ารับ ก่อนจะรีบแยกย้ายกันไปเก็บสมุนไพรตามที่เจ้านายของตนสั่ง ไต้ฝูหรงเองก็เดินขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพรหลายอย่างมาเพิ่มเช่นเดียวกัน นางสะพายกระบุงไว้บนหลังตน และเก็บสมุนไพรอย่างรวดเร็ว เหล่าสาวใช้และทหารต่างมองนางด้วยสายตาที่ตกตะลึง นายหญิงของพวกเขายามปกติดูบอบบางและน่าทะนุถนอมยิ่ง แต่ในยามนี้กลับดูแข็งแรงและว่องไวมาก แรกเริ่มพวกเขาต้องขึ้นลงเขาเพื่อหาสมุนไพรจึงรู้สึกเหนื่อยล้าเหลือเกิน แต่เมื่อได้เห็นว่านายหญิงยังไม่บ่นสักคำ อีกทั้งยังไม่มีท่าทีเหน็ดเหนื่อย พวกเขาจึงมีแรงใจมากยิ่งขึ้นใช้เวลาไม่นานก็สามารถเก็บสุมนไพรที่ต้องการได้สำเร็จ ไต้ฝูหรงยิ้มด้วยความดีใจ ก่อนจะรีบเดินทางกลับจวน จากนั้นจึงจัดการล้างทำความส
กงเหล่ยรีบเปลี่ยนมาสวมชุดเกราะ ก่อนจะมุ่งหน้ามายังค่ายทหารในช่วงกลางดึก เมื่อมาถึงก็พบว่าตอนนี้เหล่าทหารต่างเตรียมพร้อมเรียบร้อยแล้ว สีหน้าทุกคนมีความมุ่งมั่นปรากฏชัดบนใบหน้า ไม่มีความเกรงกลัวใดใดให้เห็นเลยแม้แต่น้อย มีเพียงความฮึกเหริมและพร้อมออกรบเพื่อปกป้องแว่นแคว้น กงเหล่ยยืนอยู่เบื้องหน้าเหล่าทหาร ในมือถือดาบเอาไว้ แววตาฉายแววมุ่งมั่นเป็นอย่างยิ่งเกาฮ่องเต้ไม่มีทางปล่อยแคว้นเซี่ยไป อีกทั้งยังไม่มีทางยอมให้คนตระกูลกงเหลือหนทางรอด ศึกครานี้หนักหนาไม่น้อย อีกทั้งอาจจะต้องสูญเสียกำลังพลไปไม่น้อยเลย แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาย่อมไม่อาจถอย หลายปีที่หลบซ่อนตัวเขาได้ซ่องสุมกำลังทหารลับเอาไว้ร่วมหลายแสนนาย ยามนี้ถึงเวลาที่จะต้องเรียกออกมาใช้งานแล้ว"ศึกครานี้ใหญ่หลวงนัก แต่ข้าเชื่อว่าพวกเราทุกคนจะผ่านมันไปได้ ขอให้พวกเจ้าเชื่อมั่นในตัวข้า เชื่อมั่นในตัวเอง ช่วยกันปกป้องแว่นแคว้นและขจัดคนชั่วไปให้หมดจากแผ่นดินนี้เสีย!"ทันทีที่กงเหล่ยเอ่ยจบเหล่าทหารต่างชูดาบขึ้นสูง พลางตะโกนกู่ร้องก้องแผ่นดินแคว้นเป่ยและแคว้นฉีบุกประชิดชายแดน อีกทั้งยังยึดเมืองด่านหน้าสำคัญต่างๆของแคว้นเซี่ยไปได้หลายเมือง และ