กรุงปักกิ่ง คริสต์ศักราช 2016
สถาบันภาพยนตร์ Beijing Film Academy วิทยาลัยภาพยนตร์ปักกิ่ง เป็นสถาบันอุดมศึกษาของรัฐในกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน คือโรงเรียนภาพยนตร์และเป็นสถาบันที่ใหญ่ที่สุดซึ่งเชี่ยวชาญ ด้านการศึกษาระดับอุดมศึกษา สำหรับการผลิตภาพยนตร์และโทรทัศน์ในเอเชียเป็นมหาวิทยาลัยที่ได้รับการยอมรับจากนานาชาติในด้านความสำเร็จในการผลิตภาพยนตร์ โทรทัศน์และสร้างสรรค์บทละครที่มีคุณภาพอย่างยิ่งยวด ซึ่งปัจจุบันเปิดสอนถึงระดับปริญญาเอก โดยเฉพาะภาควิชาเขียนบทภาพยนตร์และละครเป็นแผนกที่มีความต้องการสูงมาก และมีผู้สำเร็จการศึกษาในระดับชั้นออกมาน้อยมากอีกเช่นกัน ในแต่ละปีจะมีหนุ่มหล่อสาวสวยจากทั่วประเทศของจีน สอบแข่งขันเพื่อเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยนี้กันอย่างคับคั่ง คิดเป็นอัตราส่วนของผู้สอบแข่งขันจากผู้สมัครสอบประมาณห้าหมื่นคนขึ้นไปทุกปี จะมีผู้สอบผ่านเข้าเรียนได้เพียงแค่ห้าร้อยคนเท่านั้น ซึ่งเป็นการสอบแข่งขันเข้าเรียนที่มีสูงมากขึ้นทุกปี และจะมีผู้พ่ายแพ้อกหักในการสอบแข่งขันนี้สะสมในแต่ละปีเพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจ สาเหตุที่มีอัตราการแข่งขันสูงลิบลิ่วถึงเพียงนี้ก็เพราะ ผู้ที่เรียนจบมาจากสถาบันนี้ไม่มีคำว่าตกงานแม้แต่คนเดียว ในปีสุดท้ายบริษัทต่างๆ ในวงการบันเทิงจะเข้าทำการคัดเลือกนักศึกษาในชั้นปีดังกล่าวเพื่อเฟ้นหาบุคลากรเข้าวงการภาพยนตร์และโทรทัศน์ รวมไปถึงผู้ที่จะต้องทำงานอยู่เบื้องหลังของวงการบันเทิง ชื่อเสียงในฐานะนักแสดงในระดับชั้นแนวหน้า นักเขียนบทละครและภาพยนตร์และผู้กำกับฝีมือดี ล้วนได้รับการคัดเลือกไปอยู่ในแต่ละบริษัท แผนกเขียนบทภาพยนตร์และละคร ภายในชั้นเรียนที่เต็มไปด้วยอุปกรณ์อันทันสมัย เพื่อใช้เป็นสื่อการเรียนการสอน ของนักศึกษาในระดับชั้นปริญญาตรี ซึ่งแผนกเขียนบทภาพยนตร์และการละคร เป็นแผนกที่ก่อตั้งมาพร้อมกับภาควิชาการแสดง ซึ่งในชั้นปีสุดท้ายของระดับปริญญาตรีจะมีโปรเจกต์งานให้นักศึกษาทำส่งอาจารย์ผู้ควบคุมการสอน หนุ่มหล่อสาวสวยในชั้นปีสุดท้ายของระดับปริญญาตรี เริ่มทยอยเข้ามาในชั้นเรียนพร้อมนั่งประจำที่นั่งของตน ท่ามกลางเสียงเอ็ดอึงของเหล่านักศึกษาดังไปทั่วห้อง และทันทีที่อาจารย์ผู้ควบคุมการสอนก้าวเข้ามาในชั้นเรียนเสียงพูดคุยเซ็งแซ่เมื่อครู่พลันเงียบงันลงทันใด ในขณะที่อาจารย์ผู้สอนซึ่งเป็นบุรุษในวัย 50 ปี กระดกแว่นขึ้นลงพร้อมกวาดสายตามองไปทั่วชั้นเรียนพลางหยิบโทรศัพท์มือถือเปิดแอพของสถาบันเพื่อเช็คจำนวนนักศึกษา ตรวจสอบสอบว่าวันนี้เข้าชั้นเรียนครบทุกคนหรือไม่ ก่อนจะพบว่าแอพแสดงตำแหน่งที่นั่งหมายเลขที่ 125 ซึ่งนอกจากจะเป็นตัวเลข ที่แสดงตำแหน่งของที่นั่ง สามารถเช็คชื่อเข้าเรียนและเวลาเข้าเรียนได้อย่างแม่นยำด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ของจีนในยุคปัจจุบัน ยังแสดงระดับผลการเรียนของนักศึกษาคนดังกล่าวได้เป็นอย่างดีว่าที่นั่งหมายเลขนี้คือนักศึกษาที่มีผลสอบในระดับต่ำสุดของแผนกนี้นั่นเอง “หวังฉิงชวน!!!”เสียงตะโกนชื่อของนักศึกษาในตำแหน่งหมายเลขที่ 125 ดังกระหึ่มขึ้นมาทันที กา! กา! กา! ทว่าไร้สิ้นเสียงตอบหรือขานรับใดๆ จากนักศึกษาที่มีชื่อดังกล่าวแม้แต่น้อย ทั่วทั้งห้องมีแต่ความเงียบงันและสายตาลอกแลกของเพื่อนร่วมชั้นเรียน “หวังฉิงชวน!!!”เสียงตะโกนเรียกชื่อดังกล่าวดังกระหึ่มขึ้นมาอีกครั้ง “มาแล้วคร้า!!!”เสียงขานรับดังแทรกขึ้นมาทันที เสียงฝีเท้าวิ่งตรงมายังชั้นเรียนดังโครมคราม ก่อนจะปรากฏร่างของนักศึกษาสาวเจ้าของชื่อดังกล่าวอยู่ตรงหน้าประตูทางเข้าชั้นเรียน “หวังฉิงชวน ขออนุญาตเข้าห้องค่ะ”หญิงสาวเอ่ยรายงานตัวทันทีที่มาถึงท่ามกลางอาการหอบโยน ในขณะที่อาจารย์ผู้สอนในภาควิชาดังกล่าว หันกลับไปจ้องลูกศิษย์สาวของตนเขม็ง ที่มักเข้าเรียนสายในวิชาเขียนบทภาพยนตร์และละครทุกครั้ง และไม่เคยมีผลการเรียนที่ดีไปมากกว่าการสอบได้ในระดับคะแนนต่ำที่สุดในแผนกนี้ “หวังฉิงชวน!”อาจารย์ผู้สอนเรียกชื่อลูกศิษย์สาวเสียงเข้ม “ค่ะอาจารย์”เธอขานรับกลับไปอย่างรวดเร็วพร้อมส่งยิ้มเจื่อนๆ “ไม่ต้องมายิ้มเลย! ตั้งแต่ปีสองจนถึงปีสุดท้าย นับตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้เธอไม่เคยมาเข้าชั้นเรียนก่อนเวลาสักครั้ง มาสายแบบนี้ตลอด! อาจารย์แปลกใจมากว่าทำไมพอเรียนวิชาเขียนบททีไรเธอจะต้องเป็นแบบนี้และมีคะแนนต่ำที่สุด ในขณะที่วิชาอื่นๆ กลับทำคะแนนได้ดีและบางวิชาดีมากเสียด้วย ถามจริงฉิงชวนมีปัญหากับอาจารย์อย่างนั้นเหรอ”กล่าวพร้อมจ้องหน้าลูกศิษย์สาวเพื่อเอาคำตอบให้ได้ “อุ้ย!อาจารย์มองแรงอะ หนูไม่เคยมีความคิดที่จะมีปัญหากับอาจารย์เลยนะคะ เพียงแต่วิชานี้สำหรับหนูแล้วมันยากมากๆ ที่จะสามารถเขียนบทภาพยนตร์หรือบทละครถ่ายทอดออกมาให้ตัวละครที่เราเขียนกลับมามีชีวิตโลดแล่นในแผ่นฟิล์มหรือในนิยายอะไรทำนองนั้น”เธออธิบายกลับไป “ถ้าเธอคิดแบบนั้นแล้วมาสอบเข้าที่สถาบันนี้ทำไม! ที่นี่คือสถานบันสอนการแสดง สอนการเขียนบทภาพยนตร์และการละคร ทุกวิชาเป็นหลักสูตรบังคับหมด นี่ถ้าไม่ใช่เพราะว่าภาควิชาอื่นๆ มีคะแนนอยู่ในระดับดีแล้วละก็ป่านนี้เธอถูกรีไทร์ออกไปจากสถาบันแล้ว! และถ้าเธอยังคิดอยู่แบบนี้อีก ใบประกาศที่เป็นใบเบิกทางให้ได้ทำงานในวงการบันเทิงอย่าฝันเลยว่าจะได้จบออกไป รีบเข้าไปนั่งประจำที่ได้แล้ว!!!”ประโยคสุดท้ายไล่ลูกศิษย์สาวให้ขึ้นไปนั่งประจำที่ของตน หญิงสาวฉีกยิ้มกว้างพร้อมโค้งคำนับให้แก่อาจารย์ผู้สอนตรงหน้าประตู พร้อมรีบวิ่งหน้าตั้งตรงดิ่งขึ้นไปประจำที่นั่งหมายเลขสุดท้ายของชั้นเรียนพร้อมแสงสีแดงทางด้านหลังของเก้าอี้ซึ่งมีความสูงอยู่เหนือศีรษะดับวูบลง ทันทีที่เจ้าของที่นั่งดังกล่าวเข้าชั้นเรียน อาจารย์ผู้สอนก้มลงมองโทรศัพท์มือถือของตน เพื่อปิดแอพเช็คชื่อก่อนจะมีสายเรียกเข้ามาในระหว่างนั้น “อาจารย์ขอเวลารับสายจากท่านผู้อำนวยการสักครู่ ทบทวนวิชาไปพลางๆ ไม่เกิน 10 นาทีจะเข้ามา”พูดพร้อมก้าวเดินออกจากชั้นเรียนพลางยกหูโทรศัพท์สนทนากับปลายสาย ทันทีที่อาจารย์ผู้สอนก้าวออกไปจากชั้นเรียน “ตัวถ่วงเพื่อนๆ แบบนี้ ไม่น่าจะมานั่งเรียนร่วมชั้นเดียวกันเลย เมื่อไรจะถูกรีไทร์ออกไปให้พ้นหูพ้นตาเสียทีก็ไม่รู้”เสียงหนึ่งดังแทรกขึ้น พร้อมหันกลับไปมองเพื่อนร่วมชั้นติดตามด้วยทุกสายตาของฝ่ายคู่อริอีกนับสิบๆ คู่ต่างหันกลับมาจ้องหวังฉิงชวนที่เพิ่งเข้ามานั่งประจำที่ ในขณะที่คนถูกเหน็บแนมกลับเบ้ปากพร้อมหยักไหล่ไหวไปมาติดต่อกันพร้อมเอ่ยขึ้น “แล้วไง! ใครแคร์! ในเมื่อฉันไม่แคร์เรื่องนี้จะมาทุกข์ร้อนแทนทำไม ถ้าทนไม่ได้ก็ไปตายเสียสิจะได้ไม่ต้องทนเห็นฉันมานั่งเรียนกับเธออยู่แบบนี้”หญิงสาวตอกหน้ากลับไปตามนิสัยของคนช่างมันฉันไม่แคร์อะไรทั้งสิ้น “นางฉิงชวน!”เสียงอีกฝ่ายตวาดจิกเรียกชื่อดังกล่าวด้วยความโกรธ “เออ! ได้ยิน! หูไม่ได้หนวกและก็ไม่ได้เป็นอัลไซเมอร์ลืมชื่อตัวเอง”หญิงสาวตวาดกลับไปไม่อ่อนข้อลงให้ง่ายๆ เช่นกัน ในขณะที่เพื่อนๆ อีกหลายคนต่างพากันรีบดึงร่างระหงของอีกฝ่ายที่กำลังยืนจ้องหน้าจะกินเลือดกินเนื้อเพื่อนของเธอเสียให้ได้ ให้รีบนั่งลงอย่างรวดเร็วด้วยเสียงฝีเท้าของอาจารย์กำลังเดินกลับมา “ลี่อิงพอเถอะ! รีบนั่งลงได้แล้ว..อยากถูกหักคะแนนความประพฤติหรือไง ถ้ามีเรื่องกับฉิงชวนในชั้นเรียนรับรองเลยว่าเกียรตินิยมที่อยากได้หลุดลอยแน่ และโอกาสที่เธอจะได้เซ็นสัญญาเป็นนักแสดงในสังกัดบริษัทJay Walk Studio ไม่ต้องฝันเลยนะว่าจะได้อย่างที่คิด”เสียงเพื่อนสนิทพูดให้สติทำให้แม่เพื่อนสาวขี้วีนได้คิดขึ้นมาทันที แต่ก็มิวายเอ่ยคำพูดทิ้งท้าย “ฝากเอาไว้ก่อนเถอะ! ปากดีแบบนี้ระวังจะโดนของแข็งเข้าสักวัน!”เธอพูดพร้อมชี้หน้าอีกฝ่าย “ไม่รับฝาก…ไม่ใช่ธนาคารเว้ย!...นางบ้า!”หญิงสาวสวนกลับไปทันทีเล่นเอาอีกฝ่ายหน้าหงายไปเลยทีเดียว ก่อนจะถูกเพื่อนๆ รีบฉุดรั้งให้นั่งลงอย่างรวดเร็วเมื่ออาจารย์ผู้สอนก้าวเข้ามาในชั้นเรียน เฮ้อ! เสียงถอนหายใจดังออกมาเฮือกใหญ่ทันที “ไม่รู้ว่ายายลี่อิงทำไมจ้องจะหาเรื่องอยู่ตลอดเวลา ชาติที่แล้วฉันเคยเป็นศัตรูคู่อาฆาตกับแม่นั่นหรือไงถึงได้ตามจิกตามกัดจองล้างจองผลาญไม่มีที่สิ้นสุด ตั้งแต่เรียนระดับประถมยันเข้ามหาวิทยาลัย ไม่ว่าจะไปเรียนที่ไหนก็เจอตลอด”หญิงสาวบ่นพึมพำอย่างไม่สบอารมณ์ “เสี่ยวชวน!”เสียงเรียกชื่อซึ่งนั่งอยู่เคียงข้างเธอดังขึ้น ฮือ!!! หญิงสาวส่งเสียงขานรับในลำคอพร้อมหันกลับไปมองเพื่อนสนิทที่นั่งติดกับเธอ “มีอะไรเหรอหยู่เยี่ยน”เธอถามพร้อมส่งยิ้มหวานกลับไป “อย่าไปถือสาลี่อิงเลยนะ รายนั้นฝันเอาไว้สูงว่าจะต้องได้เป็นนักแสดงของค่าย Jay Walk Studio แม่นั่นเล่นตั้งเป้าหมายเอาไว้ว่าจะต้องโด่งดังกว่าหยางมี่ ที่เป็นเจ้าของข่ายเลยนะแก”เพื่อนสนิทหน่วยซุบซิบหาข่าวบอกเธอ ฉิงชวนถึงกับส่ายหน้าไปมาติดต่อกันทันที เมื่อได้ยินเช่นนั้น “แม่นี่หวังสูงขนาดนี้เลยเหรอ นี่ถ้าเกิดไม่ได้นางจะเป็นบ้าไหมเสี่ยวเยี่ยน”เธอถามกลับไป “ไม่รู้สิ! อาจจะบ้าหรือไม่บ้าก็ได้ มีพ่อเป็นผู้กำกับใหญ่แถมเป็นศิษย์เก่าของสถาบัน นางมีแบคหลังแน่นและมีชื่อเสียงอยู่ในวงการบันเทิงอยู่แล้ว พ่อก็ต้องผลักดันลูกทุกทางเชื่อดิ”เพื่อนสาวกระซิบบอกพร้อมใบหน้าของอีกฝ่ายพยักขึ้นลงรับรู้เกี่ยวกับเรื่องวงการบันเทิงในประเทศนี้ ก่อนจะรีบเงยหน้าขึ้นเมื่ออาจารย์ภาควิชากลับเข้ามายังชั้นเรียน “เอาละนักศึกษาทุกคนฟังทางนี้ ปีนี้โปรเจกต์ของภาควิชาเขียนบทภาพยนตร์และการละครจะปรับเปลี่ยนใหม่ ซึ่งแตกต่างจากทุกปีที่ผ่านมาอย่างสิ้นเชิง โดยในปีนี้โปรเจกต์ที่นักศึกษาจะได้รับคือการเขียนบทละครที่มีความยาวทั้งสิ้น 40 ตอนจบ”สิ้นเสียงของอาจารย์ผู้สอนเสียงเอ็ดอึงของเหล่านักศึกษาดังเซ็งแซ่ไปทั่วชั้นเรียน ในขณะที่นักศึกษาอีกหลายคนมีสีหน้าแสดงความพึงพอใจ กับโปรเจกต์งานที่ไม่ได้เหนือบ่ากว่าแรงของพวกเธอแม้แต่น้อย ฟ่านลี่อิงหันกลับไปมองคู่อริของเธอที่เหลือบสายตาสบประสานกระทบเข้าให้พอดี รอยแสยะยิ้มเหยียดปรากฏขึ้นบนใบหน้า พร้อมยกมือทำท่าปาดคอส่งกลับมา “เฮ้ย! นางนี่”ฉิงชวนพูดลอดไรฟันออกมาครั้นเห็นท่าทางเช่นนั้น ก่อนจะได้เสียงของอาจารย์ผู้สอนพูดขึ้นอีกครั้งหวังฉิงชวนส่ายหน้าไปมาเป็นพัลวัน “มะ...ไม่มี...ไม่มีอะไรจ๊ะ..เมื่อกี้หนูเผลอนอนหลับแล้วเกิดฝันร้ายเท่านั้นเอง”หญิงสาวพูดปดตอบกลับไป “อ่อ...เช่นนั้นรึ”เสียงทุ้มพูดเบาๆ อยู่ในลำคอพร้อมก้าวเข้ามาในห้องนอน ตรงมายังเตียงไม้ไผ่พลางวางอ่างน้ำที่ทำจากไม้สนลงตรงขอบเตียง “นี่คือสิ่งที่เจ้าต้องการเพื่อนำมาส่องให้เห็นใบหน้า ข้านำมาให้แล้ว”ชายหนุ่มเจ้าของกระท่อมบอกฉิงชวน “ห๊ะ! นี่นะเหรอกระจก”หญิงสาวพูดออกมาทันทีครั้นได้ยินว่าอ่างไม้ขนาดย่อมที่บรรจุน้ำอยู่กว่าครึ่งเป็นกระจกที่เธอร้องเรียกหาเมื่อครู่ที่ผ่านมา “เข้าใจไม่ผิดหรอกว่าอ่างน้ำตรงหน้าเจ้าสามารถสะท้อนเงาใบหน้าให้เห็นได้อย่างชัดเจน ข้าลงไปตักน้ำจากแอ่งมรกตนำมาให้เจ้าได้ส่องใบหน้าเลยเชียวนะ เพราะน้ำในแอ่งดังกล่าวใสแวววาวจนสามารถมองเห็นทะลุไปจนถึงก้นแอ่ง ไม่เชื่อก็ลองดูสิ”ชายหนุ่มอธิบายกลับไป หวังฉิงชวนนั่งมองอ่างที่ทำจากไม้ซึ่งถูกขัดจนราบเรียบขึ้นเป็นเงา เธอค่อยๆ ชะโงกหน้าก่อนจะก้มลงมองเงาที่สะท้อนให้เห็นบนผิวน้ำที่ใสแวววาวจนสามารถล่วงรู้ว่า ใบหน้าที่ปรากฏอยู่ในขณะนี้หาใช่สาวสวยระดับตัวท็อปของคณะศิลปะการแสดงจากมหาวิทยาลัยภาพยนตร์
“เฉียนเฉียน!”เสียงของดวงวิญญาณตรงหน้าเรียกชื่อของเธออย่างชัดเจน ห๊ะ! หวังฉิงชวนได้แต่ส่งเสียงออกมาเพียงเท่านั้น หัวใจของเธอแทบจะหยุดเต้นเมื่อเห็นดวงวิญญาณของคนตายเป็นครั้งแรกในชีวิต ร่างตรงหน้ามาในสภาพที่เคยมีชีวิต ใบหน้าแม้จะกลมแต่ก็จิ้มลิ้มพริ้มเพรา ปากนิด จมูกหน่อยแต่ที่โดดเด่นนั่นก็คือดวงตากลมโตดั่งตากวาง และร่างที่อวบสมบูรณ์ไปทุกส่วนมาพร้อมกับผิวขาวอมชมพูเนียนสวยน่ามองอย่างยิ่งยวด ถึงแม้จะแลดูเจ้าเนื้ออวบอ้วน แต่มีเค้าโครงความงามไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าใคร หากเจริญวัยอย่างเต็มที่นับเป็นหญิงงามเลื่องชื่ออย่างหาตัวจับยากเลยทีเดียว “ธะ..เธอ...เธอเป็นใคร!!!”หญิงสาวกลั้นใจถามออกไป ก่อนจะได้ยินเสียงดวงวิญญาณดังกล่าวตอบกลับมา “ข้าคือหยางเฉียนเฉียน เจ้าของร่างที่เจ้ากำลังสถิตอยู่ในขณะนี้” “อะไรนะ!”ฉิงชวนอุทานออกมาทันทีครั้นได้ยินเช่นนั้น ก่อนจะส่ายหน้าไปมาติดต่อกันด้วยไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เธอได้ยินจากปากของดวงวิญญาณที่ยืนอยู่ตรงหน้า “ไม่จริง! สิ่งที่ฉันได้ยินไม่ใช่เรื่องจริง! มันจะต้องไม่ใช่เรื่องจริง!”หญิงสาวยังคงยืนกรานปฏิเสธเสียงแข็ง “แต่ทุกสิ่งที่เจ้าได้ยินคือเรื่องจริงทั้งสิ้น”เ
หุบเขามรกตบริเวณกระท่อมน้อย ภายในเกาะมรกตมีภูเขาสูงเสียดฟ้าทอดตัวยาวขนานไปตามความกว้างของแนวเกาะ ลึกลงไปมีหุบเขาและถ้ำขนาดใหญ่ซึ่งมีบ่อน้ำทองคำที่สามารถแปรสภาพได้ทุกสิ่งให้กลายเป็นสีทองเหลืองอร่าม และยังมีหินงอกหินย้อยมากมายสวยงาม อัดแน่นไปด้วยหยกสูงค่าและหินสีเขียวมรกต บริเวณด้านนอกถ้ำมีน้ำตกไหลจากหุบเขาสูงลงมาเบื้องล่าง สะสมน้ำจืดเอาไว้เป็นแอ่งขนาดใหญ่ลึกลงไปหลายสิบเมตรเลยทีเดียว สีของน้ำเป็นสีเขียวมรกตเช่นเดียวกัน ใสแจ๋วจนสามารถเห็นก้นแอ่งได้เป็นอย่างดีว่ามีแต่หินเบื้องล่างมากมาย ซึ่งมีทั้งหินธรรมดาและหินสูงค่านานาชนิด ภายในบริเวณดังกล่าวปรากฏกระท่อมหลังน้อย ทำจากไม้ไผ่ขนาดกำลังพอดี มีลานกว้างซึ่งเป็นโขดหินยกสูงขึ้นเป็นตัวกระท่อม มีบันไดสำหรับก้าวขึ้นประมาณห้าขั้น ซ้ายมือคือเรือนนอนและห้องหนังสือ ขวามือคือโรงครัวแบบเปิดโล่ง และระเบียงด้านนอกชานยื่นออกไป เต็มไปด้วยดอกไม้ป่านานาพรรณส่งกลิ่นหอมฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ ฝีมือการสร้างกระท่อมที่ทำจากไม้ไผ่บ่งบอกได้ว่ามีฝีมือดุจช่างไม้เจนประสบการณ์ก็มิปาน ภายในห้องนอนซึ่งมีเตียงไม้ไผ่ยกขึ้นจากพื้
ในขณะเดียวกัน บริเวณกลางทะเล แพน้อยล่องลอยไปตามกระแสคลื่นและแรงลมพัดพาไปอย่างไร้จุดหมาย มิรู้ว่าเวลาผ่านไปยาวนานเพียงใด ฝ่าแสงแดดอันร้อนระอุในเวลากลางวันและความเย็นย่ำในเวลากลางคืน จวบจนกระทั่งแพดังกล่าวลอยเคว้งคว้างมาจนถึงเกาะที่ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวทางทิศใต้ มีเมฆหมอกลอยต่ำปกคลุมอยู่ตลอดเวลามิเคยจางหายจนเรือล่องกลางทะเลมากมายแล่นผ่านเลยไปมิเคยแวะจอดเลยสักคราด้วยถูกซ่อนเร้นสายตาจากผู้คนจากสายหมอกทะมึนเหล่านั้น อีกทั้งเป็นเกาะที่ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวมิปรากฏอยู่ในแผนที่ของเส้นทางการค้าขายทางทะเลแต่อย่างใด โดยหารู้ไม่ว่าเกาะดังกล่าวแท้จริงแล้วคือเกาะเฟซ่วยต้าว หรือเกาะมรกตที่ชาวเรือและแคว้นน้อยใหญ่ที่มีดินแดนแถบชายฝั่งต่างเฝ้าค้นหามานานนับหลายพันปี เกาะที่ขึ้นชื่อได้ว่าทุกแห่งในพื้นที่นั้นอุดมสมบูรณ์อีกทั้งสวยงามดั่งดินแดนสวรรค์เก้าชั้นฟ้า และยังมีบ่อน้ำที่แปรเปลี่ยนทุกสิ่งให้กลายเป็นทองคำไปชั่วพริบตา สร้างความมั่นคั่งให้แก่ผู้ที่ได้ครอบครองอย่างยิ่งยวด และยิ่งไปกว่านั้นภายในถ้ำซึ่งอยู่ในหุบเขาบนเกาะมรกต จะมีถ้ำบางแห่งที่มีแต่หินหยกสูงค่ามากมายอัด
บริเวณด้านหน้าเกาะ เรือลำใหญ่ซึ่งเต็มไปด้วยพ่อแม่พี่น้องและเครือญาติที่เดินทางมาร่วมพิธีฝังศพของหยางเฉียนเฉียน เทียบเรือลงจอดอยู่บริเวณด้านหน้าเกาะทยอยขึ้นฝั่งอย่างรวดเร็ว ด้วยเพราะจวนเจียนใกล้จะถึงเวลาฝังศพเข้าไปทุกขณะแล้ว สายตาทุกคู่มุ่งตรงไปยังหลุมฝังศพซึ่งขุดเอาไว้เรียบร้อยแล้ว รอเพียงแค่นำโลงลงไปเพียงเท่านั้น ทันทีที่มาถึงทุกคนต่างพากันผงะถอยหลัง หยุดชะงักด้วยกันทุกคนด้วยกลิ่นเหม็นเน่าของซากศพฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ บรรดาชายฉกรรจ์แต่ละคนที่มีหน้าทีเกี่ยวกับพิธีการของศพต่างพากันใช้ผ้าปิดจมูกกันไว้ทุกคน “ทำไมเฉียนเฉียนส่งกลิ่นแรงนักละ ตอนออกมาจากจวนยังไม่มีกลิ่นถึงขนาดนี้เลย”พานจิ่วเซียนถามกลับไปด้วยความสงสัยพร้อมยกชายแขนเสื้อปิดจมูกของตัวเองเอาไว้ด้วยเช่นกัน “มิทราบเช่นกันขอรับว่าเหตุใดศพของท่านหญิงเฉียนเฉียน จึงส่งกลิ่นรุนแรงเช่นนี้พอเรือแล่นผ่านมาได้สักระยะก็เริ่มส่งกลิ่นออกมาอย่างไม่รู้สาเหตุ ขนาดดอกไม้หวนคืนยังไม่สามารถกลบกลิ่นได้อีกเลย”เสียงของชายซึ่งเป็นหัวหน้าผู้คอยดูแลจัดการงานศพอธิบายกลับไป ครั้นเสวี่ยเหยาได้ยินเช่นนั
ขบวนเรือฝังศพ ภายในเรือขนาดใหญ่จำนวนสองลำ ปรากฏโลงศพของ หยางเฉียนเฉียน ตั้งวางไว้อยู่บนเรือคลุมด้วยผ้าขาวปิดฝาโลงเอาไว้อย่างมิดชิด เตรียมพร้อมบ่ายหน้านำไปฝังบนเกาะเฉิงไห่ ซึ่งเป็นเกาะที่ตระกูลหยางครอบครองมาอย่างช้านาน กำลังลอยลำมุ่งหน้าไปยังสุสานประจำตระกูล โดยมีเรืออีกหนึ่งลำตามหลังไปซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นพ่อแม่ พี่น้องและญาติสนิทของผู้ตายตามไปทำพิธีฝังศพให้ถูกต้องตามประเพณี ในขณะที่ที่เรือขนศพล้วนแล้วแต่มีชายฉกรรจ์คอยดูแลทั้งสิ้น เครื่องใช้ที่จำเป็นต่างๆ ถูกนำไปที่สุสานก่อนหน้านี้แล้วเพื่อรอบรรจุลงไปพร้อมกับโลงในวันทำพิธีฝัง ท่ามกลางสายตาของคนเป็นพ่อและแม่ยังคงมองตามโลงที่บรรจุร่างอันไร้วิญญาณของบุตรสาว ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหม่นหมองและเสียใจต่อการจากไปของหยางเฉียนเฉียนไม่คลาดครา หากแต่กลับมีดวงตาอีกหนึ่งคู่ที่จ้องเรือขนศพลำดังกล่าวที่ลอยลำอยู่เบื้องหน้าตาไม่กะพริบ ด้วยเพราะความแค้นฝังรากหยั่งลึกมานานนับตั้งแต่จำความได้ “แม้เจ้าจะตายไปแล้วก็ตาม แต่ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าถูกฝังร่างลงดินอยู่ร่วมกับบรรพบุรุษในสุสานเดียวกันเป็นอันขาด คนเช่นเจ้า