“เอาละ! เอาละ! เงียบๆ อย่าพากันเอ็ดอึงไป โปรเจกต์ในปีนี้ขอให้ทุกคนตั้งใจทำให้เต็มที่ เพราะนอกจากจะเป็นผลคะแนนทำให้จบการศึกษาอย่างสมบูรณ์แล้ว บทละครที่สมบูรณ์แบบและมีคะแนนมากที่สุด ซึ่งจะมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น จะได้รับการเซ็นสัญญาจากบริษัท Jay Walk Studio เพื่อนำไปผลิตซีรีย์เรื่องยาว และเซ็นสัญญากับบริษัท Mountain Top เพื่อนำไปผลิตภาพยนตร์ รวมไปถึงเจ้าของบทละครจะได้รับคัดเลือกให้เป็นหนึ่งในนักแสดงนำที่ตัวเองเขียนบทด้วย”
สิ้นเสียงของอาจารย์ผู้สอนเสียงเอ็ดอึงของเหล่านักศึกษาดังขึ้นมายิ่งไปกว่าเดิม สายตาหลายคู่เปล่งกระกายแห่งความหวังขึ้นมาทันทีครั้นได้ยินเช่นนั้น แต่คนที่มีแววตาปริวิตกกลับเป็นหวังฉิงชวนเท่านั้น ที่มีความรู้สึกแตกต่างจากเพื่อนร่วมชั้นคนอื่นๆ อย่างสิ้นเชิง “โอโห่! รู้สึกว่าโปรเจกต์งานนี้จะเข้าทางลี่อิงเข้าให้อย่างจังเลยว่าไหม”หยู่เยี่ยนถามเพื่อนสนิทของเธอ “เข้าทางแม่นั่นเต็มๆ แต่พังทางนี้นะสิ! ลำพังเขียนบทมันก็ยากสำหรับฉันอยู่แล้ว ไอ้เรื่องผลประโยชน์ที่จะได้รับหลังจากนั้นไม่ได้มองเลยนะ เพราะฉันจะทำอย่างไรถึงจะเขียนบทเพื่อสร้างซีรีย์เรื่องยาวขนาด 40 ตอนจบแบบนั้นออกมาได้ต่างหากเล่า งานนี้หินชัดๆ นี่ถ้าสอบไม่ผ่านละก็แม่ฉันเอาตายแน่เลยแก”หญิงสาวนั่งบ่นพึมพำออกไม่ขาดสาย “ไม่พังอย่างที่เธอบอกกระมังเสี่ยวชวน มันคงไม่อยากเกินกำลังของคนเราไปได้หรอก เอาเถอะนะเดี๋ยวฉันที่มีคะแนนลำดับเกือบโหล่จะช่วยเธอเอง”หยู่เยี่ยนพูดพร้อมตบบ่าเพื่อนรักเบาๆ เพื่อให้กำลัง ครั้นฉิงชวนได้ยินเช่นนั้น หญิงสาวส่งยิ้มแห้งๆ ให้เพื่อนของเธอ “ข้าน้อยซาบซึ้งใจในไมตรีของเจ้ายิ่งนักเสี่ยวเยี่ยน แต่คนสอบได้ที่โหล่อย่างฉันกับรองโหล่อย่างเธอของวิชานี้จะพากันเป๋ไปด้วยกันทั้งคู่นะสิ”หญิงสาวตอบเพื่อนรักกลับไป ในขณะที่หยู่เยี่ยนเพื่อนรักเพื่อนเลิฟทำได้แต่เพียงถอนหายใจออกมาเบาๆ ครั้นได้ยินเช่นนั้น ในขณะเดียวกันเสียงของอาจารย์ผู้สอนกำลังอธิบายเพิ่มเติมอย่างละเอียดเกี่ยวกับโปรเจกต์งานดังกล่าว “โปรเจกต์นี้จะกำหนดเมนเรื่องและให้นักศึกษาแต่ละคนทำการจับสลาก เช่นจับสลากได้คำว่าจอมยุทธ์ ก็ต้องเขียนบทละครที่เกี่ยวกับเหล่าจอมยุทธ์ หรือจับสลากได้คำว่าวังหลัง ก็ต้องเขียนบทละครเกี่ยวกับวังหลังออกมาในลักษณะนี้ ถ้าพวกเธอเข้าใจแล้วอาจารย์จะป้อนโปรแกรม คำที่พวกเธอจะต้องจับสลากเข้าไปในเครื่องหลังจากนั้น ให้กดปุ่มตรงหน้าโต๊ะที่เคยใช้ออกเสียงลงคะแนนโหวต จับสลากคำที่จะต้องทำโปรเจกต์ต่อไป” เสียงของอาจารย์ผู้สอนยังคงดังขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่หวังฉิงชวนไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น ด้วยเพราะกำลังครุ่นคิดอย่างหนักกับโปรเจกต์งานดังกล่าว พร้อมจอภาพขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นกลางชั้นเรียนตรงกำแพง สัญญาณสั่งให้กดปุ่มเพื่อเลือกคำนำมาใช้เขียนโปรเจกต์งานเริ่มต้นทันที แสงสีแดงวิ่งพล่านไปทั่วกลุ่มคำที่อยู่บนจอชั่วขณะ ก่อนจะหยุดลงพร้อมคำที่ถูกได้รับเลือกโผล่ขึ้นมา พร้อมหมายเลขลำดับของที่นั่งปรากฏขึ้นอยู่ใต้คำดังกล่าว ว่าแต่ละคนได้เป็นเจ้าของคำใดบ้าง และนั่นก่อให้เกิดเสียงเอ็ดอึงตามมาทันทีที่นักศึกษาได้คำที่จะต้องนำกลับไปเขียนโปรเจกต์ ก่อนจะถูกบันทึกข้อมูลส่งลิงก์เข้าระบบของภาควิชา ทันทีที่หญิงสาวเห็นคำที่จะต้องนำกลับไปเขียนบทละครโทรทัศน์ที่มีความยาวถึง 40 ตอนจบ “ตายแน่ฉิงชวนเอ๊ยฉิงชวน งานนี้เธอจบแห่แน่นอนแล้ว”หญิงสาวพึมพำออกมาทันทีด้วยความหนักใจกับคำที่ต้องนำกลับไปเขียนโปรเจกต์ “สลัด! เสี่ยวชวน! คำนี้โคตรแกล้งงานเขียนของเธอมากเลยวะ ไม่แตกต่างจากฉันเลย แล้วนี่ดูของฉันสิได้คำว่า ผัก เราสองคนนั่งใกล้กัน กลุ่มคำมันก็เลยแยกมาหาคนละคำ ถ้ารวมกันก็คือคำว่าสลัดผัก โอ๊ย!จะบ้าตาย!”คราวนี้หยู่เยี่ยนเป็นฝ่ายบ่นกระปอดกระแปดยิ่งกว่าเพื่อนรักของเธอเสียอีก “เหอะ..เหอะ กลุ่มคำโคตรแกล้งกันเลย สลัดผัก! แยกออกเป็นสลัดกับผัก ลางมันบอกมาแล้วว่าฉันกับเธองานนี้หืดขึ้นคอมากแน่ๆ ไม่รู้ว่าวิชานี้จะฉุดเกรดเฉลี่ยของฉันตกฮวบลงมากแค่ไหน”ฉิงชวนบ่นพึมพำ “มากๆ หรือไม่แต่แน่นอนว่ากระทบหนักเอาการ อย่างน้อยก็ขอให้มีรายชื่อได้รับใบประกาศเพราะเป้าหมายฉันไม่ได้เป็นนักแสดงแต่เป็นงานเบื้องหลังในกองถ่ายต่างหาก ความฝันจะได้เป็นผู้กำกับเห็นทีจะแย่”เสี่ยวเยี่ยนพูดพร้อมถอนหายใจออกมาอย่างแรง “หืดขึ้นคอเป็นบ้างานนี้”ฉิงชวนบ่นพึมพำ ในขณะที่สองเพื่อนซี้กำลังนั่งหน้าเคร่งเครียดอยู่ในขณะนั้น ฟ่านลี่อิงเพื่อนร่วมชั้นที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับหวังฉิงชวนมาโดยตลอดส่งเสียงหัวเราะพร้อมลอยหน้าลอยตาทำท่าร้องไห้และเบ้ปากเหยียดกลับมาให้เธอ “โอ๊ยนางนี่! มันอะไรกันหนักกันหนาวะ! โรคจิตหรืออย่างไง”ฉิงชวนพูดพร้อมยกนิ้วกลางชูขึ้นกลางอากาศส่งกลับไปให้คู่อริอย่างเหลืออด ในขณะที่ฟ่านลี่อิงยักไหล่ไหวมาติดต่อกัน พร้อมพูดออกมาโดยไม่มีเสียงแต่ให้คู่อริของเธออ่านปากเอาเอง “แล้วไง! ใครแคร์ยะนางบ้านนอก!”ฟ่านลี่อิงพูดตอกหน้ากลับไป ก่อนจะสะบัดหน้าคอแทบหักพร้อมนั่งลงส่งเสียงหัวเราะทำหน้าระรื่นด้วยความสะใจ เมื่อเห็นคู่อริของเธอได้กลุ่มคำที่ไม่เอื้ออำนวยในการเขียนโบรเจกต์งานเอาเสียเลย “อือหือแม่นี่!”หญิงสาวกัดฟันตัวเองเอาไว้แน่นพยายามข่มใจให้สงบ “ดักตบเลยไหม เอาให้จมูกที่แม่นั่นเพิ่งศัลยกรรมมาเบี้ยวคืนรูปไม่ได้เลย”หยู่เยี่ยนพูดออกมาทันที ตุบ! ตุบ! ตุบ! ฉิงชวนยกมือตบลงบนบ่าของเพื่อนเธอเบาๆ “ไม่ต้องทำหรอก..เปลืองมือไปเปล่าๆ เพราะใช่ว่าแม่นั่นจะได้คำที่ดีไปกว่าพวกเราเสียที่ไหน”ฉิงชวนบอกเพื่อนของเธอกลับไป ทำให้แม่เพื่อนรักรีบเงยหน้าดูจอภาพขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางชั้นเรียนทันที ก่อนจะส่งเสียงหัวเราะออกมาทันใด “ลืม!”หยู่เยี่ยนพูดคำดังกล่าวออกมา “ฉันเชื่อแล้วว่ายายลี่อิงมันบ้าจริงๆ เที่ยวเยาะเย้ยคนอื่นแต่กลับไม่ดูกลุ่มคำของตัวเองว่าจะไปรอดไหม”พูดพร้อมส่ายหน้าไปมาติดต่อกัน “แต่ฉันคิดว่าลี่อิงเยาะเย้ยพวกเราแบบนั้นออกมาได้ จะต้องมั่นใจในการเขียนบทของตัวเองแน่ๆ เลยเสี่ยวเยี่ยน ลืมไปแล้วเหรอว่าพ่อของเจ้าหล่อนเป็นผู้กำกับชื่อดัง จะต้องมีทีมเขียนบทฝีมือดีและเชื่อเถอะว่า เผลอๆ โปรเจกต์งานทำบทละครในครั้งนี้ แม่ฟ่านลี่อิงอาจจะไม่ได้เขียนบทละครนี้ด้วยตัวเอง เชื่อฉันดิ”สาวน้อยฉิงชวนบอกเพื่อนรักกลับไป “เออ...จริงด้วย”หยู่เยี่ยนพูดออกมาทันทีเมื่อได้ยินเพื่อนของเธอบอกกลับมาเช่นนั้น “ความรวยไม่เข้าใครออกใครจริงๆ เลยเนอะ มีพ่อเป็นผู้กำกับใหญ่กว้างขวางในวงการบันเทิงถ้าจะเอาเงินฟาดหัวให้นักเขียนบทมืออาชีพสักแสนหรือสองแสนหยวน ให้เขียนบทละครแทนเป็นเรื่องเล็กๆ สำหรับคนพวกนั้นไปแล้ว ปล่อยให้แม่นั่นไขว่คว้าความฝันไปให้ถึงจุดหมายของเจ้าหล่อนไปเถอะ คนแบบนี้รับรองว่าถ้ามาพลาดเมื่อไรละก็กลับเข้าวงการบันเทิงไม่ได้อีกเลยตลอดชีวิต” หวังฉิงชวนพยักหน้าขึ้นลงติดต่อกันเห็นด้วยกับคำพูดของเพื่อนสนิท “เย็นนี้ไปหากินหม้อไฟเนื้อแพะ กระดกเบียร์เย็นๆ แก้เครียดดีกว่าเสี่ยวเยี่ยน บางทีหัวอาจจะแล่นคิดขีดเขียนอะไรออกมาก็ได้ ว่าแต่กำหนดส่งโปรเจกต์งานนี้อาจารย์ให้เวลาทำกี่เดือน”เธอถามเพื่อนกลับไป ฝ่ายคุณเพื่อนรีบชี้ไปทางหน้าจอภาพที่มีกำหนดวันเวลาส่งงานบอกเอาไว้อย่างชัดเจน “6 เดือนเต็มๆ”หยู่เยี่ยนบอกเพื่อนกลับไป และนั่นทำให้ใบหน้าของฉิงชวนทำหน้าซังกะตายยิ่งขึ้นไปกว่าเดิม “6 เดือนแค่นั้นเองนะเหรอ ระยะเวลาแบบนั้นมันต้องเป็นนักเขียนบทมืออาชีพ ไม่ใช่นักศึกษาชั้นปีสุดท้ายอย่างพวกเรานะเว้ย”ฉิงชวนโวยวายออกมาทันใด ทว่าคุณเพื่อนกลับทำท่าเหลือบตามองบน เมื่อได้ยินเพื่อนสาวพูดออกมาเช่นนั้น “แกสับสนอะไรมากหรือเปล่าเสี่ยวชวน โปรเจกต์งานนี้ให้เวลาเขียนถึง 6 เดือนไม่ใช่น้อยเลยนะเว้ย จะต้องใช้เวลานานมากกว่านี้แค่ไหนเชียว เพราะไอ้ระยะเวลาที่เหลืออยู่เป็นเทอมสุดท้ายของพวกเรา อย่าบอกนะว่าตัวแกใช้เวลาเขียนบทเป็นปี”หยู่เยี่ยนถามประชดกลับไป ฉิงชวนยกสองมือขึ้นเท้าคางพร้อมเป่าลมออกจากปากและถอนหายใจไปในคราเดียวกัน “ถ้าเลือกได้ก็อยากมีเวลาเป็นปีที่จะได้เขียนแบบนั้น แต่มันเป็นไปไม่ได้”หญิงสาวตอบเพื่อนกลับไป “เออนั่น! แทนที่จะรีบจบจะได้ตั้งหน้าตั้งตาทำงานหาเงิน กลับจะมาเสียเวลาในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง วันหยุดพรุ่งนี้ฉันจะกลับบ้านแกจะไปด้วยไหม เที่ยวพักผ่อนตามเกาะ นั่งกินลมชมวิว เดี๋ยวเอาเรือเร็วของพ่อออกไปนั่งตกหมึก เที่ยวมันให้ฉ่ำปอดหาแรงบันดาลใจให้กับตัวเอง เผื่อบางทีแกอาจจะมีไอเดียอะไรใหม่ๆ เกิดขึ้นมาก็ได้ หรือจะไปส่องหนุ่มๆ เล่นกัน”หยู่เยี่ยนพูดพลางหัวเราะเป็นการใหญ่ “เชอะ! ที่แท้ชวนฉันเอาไปเป็นไม้กันหมาละสิ จะหาเวลาไปส่องหนุ่มๆ โดยที่พ่อแกว่าอะไรไม่ได้”เธอบ่นอย่างรู้ทัน “แล้วจะไปด้วยกันไหมเล่า! บ่นอยู่ได้ยายแก่”หยู่เยี่ยนถามเพื่อนสาวกลับมา ฉิงชวนเหลือบตามองบนอยู่เพียงครู่ พร้อมยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูตารางงานที่เธอไปรับจ๊อบหารายได้เสริม เมื่อมีสัญญาณเตือนข้อความดังเข้าเครื่อง มีงานด่วนเข้ามา เข้ามาทำโอทีหลังจากเลิกเรียนและช่วงวันหยุดด้วย “สงสัยฉันจะไปกับแกไม่ได้แล้วเสี่ยวเยี่ยน”ฉิงชวนตอบเพื่อนสนิทกลับไปครั้นเห็นข้อความบนมือถือปรากฏอยู่บนหน้าจอของเธอในขณะนี้ “อ้าวเหรอมีอะไร!หรือมีงานด่วนเข้ามา”หยู่เยี่ยนถามกลับไปทันที ฉิงชวนยื่นโทรศัพท์มือถือส่งให้เพื่อนรักของเธออ่านแทน ในขณะที่อีกฝ่ายก็ยื่นมือรับไปแบบงงๆ “อ้าว!ให้อ่านเองเหรอ”หยู่เยี่ยนพึมพำเบาๆ พลางก้มหน้าอ่านข้อความที่ปรากฏอยู่บนจอโทรศัพท์ “ว้า! แบบนี้ก็ไม่ได้ไปกินหม้อไฟอะดิ!”หญิงสาวบ่นออกมาทันที “ใครบอกว่าไม่ได้กินยะ! ก็กินก่อนไปทำงานไงเล่า ยังมีเวลาอีกตั้งถมเถ ถ้าเธอกับฉันไปกินหม้อไฟด้วยกันทันทีที่เลิกเรียนก็ไม่ทำให้งานของฉันเสียด้วย เพียงแต่ไม่ได้ไปเที่ยวที่บ้านของเธอด้วยก็เท่านั้นเอง”ฉิงชวนบอกเพื่อนสาวกลับไป จางหยู่เยี่ยนพยักหน้าขึ้นลงติดๆ กัน เมื่อได้ยินเพื่อนสนิทตอบกลับมาเช่นนั้น “ไม่เป็นไรหรอก ใช่ว่าเธอจะไม่เคยไปบ้านฉันเสียที่ไหน เอาไว้ค่อยหาเวลาไปคราวหลังก็แล้วกัน”หยู่เยี่ยนตอบกลับไปพลางยื่นมือถือส่งกลับคืนให้เพื่อนตามเดิม “เสี่ยวชวนเอ๊ยเสี่ยวชวน เธอจะเรียนจบไหมว้างานนี้”หญิงสาวยังคงรำพึงรำพันมิรู้วายหวังฉิงชวนส่ายหน้าไปมาเป็นพัลวัน “มะ...ไม่มี...ไม่มีอะไรจ๊ะ..เมื่อกี้หนูเผลอนอนหลับแล้วเกิดฝันร้ายเท่านั้นเอง”หญิงสาวพูดปดตอบกลับไป “อ่อ...เช่นนั้นรึ”เสียงทุ้มพูดเบาๆ อยู่ในลำคอพร้อมก้าวเข้ามาในห้องนอน ตรงมายังเตียงไม้ไผ่พลางวางอ่างน้ำที่ทำจากไม้สนลงตรงขอบเตียง “นี่คือสิ่งที่เจ้าต้องการเพื่อนำมาส่องให้เห็นใบหน้า ข้านำมาให้แล้ว”ชายหนุ่มเจ้าของกระท่อมบอกฉิงชวน “ห๊ะ! นี่นะเหรอกระจก”หญิงสาวพูดออกมาทันทีครั้นได้ยินว่าอ่างไม้ขนาดย่อมที่บรรจุน้ำอยู่กว่าครึ่งเป็นกระจกที่เธอร้องเรียกหาเมื่อครู่ที่ผ่านมา “เข้าใจไม่ผิดหรอกว่าอ่างน้ำตรงหน้าเจ้าสามารถสะท้อนเงาใบหน้าให้เห็นได้อย่างชัดเจน ข้าลงไปตักน้ำจากแอ่งมรกตนำมาให้เจ้าได้ส่องใบหน้าเลยเชียวนะ เพราะน้ำในแอ่งดังกล่าวใสแวววาวจนสามารถมองเห็นทะลุไปจนถึงก้นแอ่ง ไม่เชื่อก็ลองดูสิ”ชายหนุ่มอธิบายกลับไป หวังฉิงชวนนั่งมองอ่างที่ทำจากไม้ซึ่งถูกขัดจนราบเรียบขึ้นเป็นเงา เธอค่อยๆ ชะโงกหน้าก่อนจะก้มลงมองเงาที่สะท้อนให้เห็นบนผิวน้ำที่ใสแวววาวจนสามารถล่วงรู้ว่า ใบหน้าที่ปรากฏอยู่ในขณะนี้หาใช่สาวสวยระดับตัวท็อปของคณะศิลปะการแสดงจากมหาวิทยาลัยภาพยนตร์
“เฉียนเฉียน!”เสียงของดวงวิญญาณตรงหน้าเรียกชื่อของเธออย่างชัดเจน ห๊ะ! หวังฉิงชวนได้แต่ส่งเสียงออกมาเพียงเท่านั้น หัวใจของเธอแทบจะหยุดเต้นเมื่อเห็นดวงวิญญาณของคนตายเป็นครั้งแรกในชีวิต ร่างตรงหน้ามาในสภาพที่เคยมีชีวิต ใบหน้าแม้จะกลมแต่ก็จิ้มลิ้มพริ้มเพรา ปากนิด จมูกหน่อยแต่ที่โดดเด่นนั่นก็คือดวงตากลมโตดั่งตากวาง และร่างที่อวบสมบูรณ์ไปทุกส่วนมาพร้อมกับผิวขาวอมชมพูเนียนสวยน่ามองอย่างยิ่งยวด ถึงแม้จะแลดูเจ้าเนื้ออวบอ้วน แต่มีเค้าโครงความงามไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าใคร หากเจริญวัยอย่างเต็มที่นับเป็นหญิงงามเลื่องชื่ออย่างหาตัวจับยากเลยทีเดียว “ธะ..เธอ...เธอเป็นใคร!!!”หญิงสาวกลั้นใจถามออกไป ก่อนจะได้ยินเสียงดวงวิญญาณดังกล่าวตอบกลับมา “ข้าคือหยางเฉียนเฉียน เจ้าของร่างที่เจ้ากำลังสถิตอยู่ในขณะนี้” “อะไรนะ!”ฉิงชวนอุทานออกมาทันทีครั้นได้ยินเช่นนั้น ก่อนจะส่ายหน้าไปมาติดต่อกันด้วยไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เธอได้ยินจากปากของดวงวิญญาณที่ยืนอยู่ตรงหน้า “ไม่จริง! สิ่งที่ฉันได้ยินไม่ใช่เรื่องจริง! มันจะต้องไม่ใช่เรื่องจริง!”หญิงสาวยังคงยืนกรานปฏิเสธเสียงแข็ง “แต่ทุกสิ่งที่เจ้าได้ยินคือเรื่องจริงทั้งสิ้น”เ
หุบเขามรกตบริเวณกระท่อมน้อย ภายในเกาะมรกตมีภูเขาสูงเสียดฟ้าทอดตัวยาวขนานไปตามความกว้างของแนวเกาะ ลึกลงไปมีหุบเขาและถ้ำขนาดใหญ่ซึ่งมีบ่อน้ำทองคำที่สามารถแปรสภาพได้ทุกสิ่งให้กลายเป็นสีทองเหลืองอร่าม และยังมีหินงอกหินย้อยมากมายสวยงาม อัดแน่นไปด้วยหยกสูงค่าและหินสีเขียวมรกต บริเวณด้านนอกถ้ำมีน้ำตกไหลจากหุบเขาสูงลงมาเบื้องล่าง สะสมน้ำจืดเอาไว้เป็นแอ่งขนาดใหญ่ลึกลงไปหลายสิบเมตรเลยทีเดียว สีของน้ำเป็นสีเขียวมรกตเช่นเดียวกัน ใสแจ๋วจนสามารถเห็นก้นแอ่งได้เป็นอย่างดีว่ามีแต่หินเบื้องล่างมากมาย ซึ่งมีทั้งหินธรรมดาและหินสูงค่านานาชนิด ภายในบริเวณดังกล่าวปรากฏกระท่อมหลังน้อย ทำจากไม้ไผ่ขนาดกำลังพอดี มีลานกว้างซึ่งเป็นโขดหินยกสูงขึ้นเป็นตัวกระท่อม มีบันไดสำหรับก้าวขึ้นประมาณห้าขั้น ซ้ายมือคือเรือนนอนและห้องหนังสือ ขวามือคือโรงครัวแบบเปิดโล่ง และระเบียงด้านนอกชานยื่นออกไป เต็มไปด้วยดอกไม้ป่านานาพรรณส่งกลิ่นหอมฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ ฝีมือการสร้างกระท่อมที่ทำจากไม้ไผ่บ่งบอกได้ว่ามีฝีมือดุจช่างไม้เจนประสบการณ์ก็มิปาน ภายในห้องนอนซึ่งมีเตียงไม้ไผ่ยกขึ้นจากพื้
ในขณะเดียวกัน บริเวณกลางทะเล แพน้อยล่องลอยไปตามกระแสคลื่นและแรงลมพัดพาไปอย่างไร้จุดหมาย มิรู้ว่าเวลาผ่านไปยาวนานเพียงใด ฝ่าแสงแดดอันร้อนระอุในเวลากลางวันและความเย็นย่ำในเวลากลางคืน จวบจนกระทั่งแพดังกล่าวลอยเคว้งคว้างมาจนถึงเกาะที่ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวทางทิศใต้ มีเมฆหมอกลอยต่ำปกคลุมอยู่ตลอดเวลามิเคยจางหายจนเรือล่องกลางทะเลมากมายแล่นผ่านเลยไปมิเคยแวะจอดเลยสักคราด้วยถูกซ่อนเร้นสายตาจากผู้คนจากสายหมอกทะมึนเหล่านั้น อีกทั้งเป็นเกาะที่ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวมิปรากฏอยู่ในแผนที่ของเส้นทางการค้าขายทางทะเลแต่อย่างใด โดยหารู้ไม่ว่าเกาะดังกล่าวแท้จริงแล้วคือเกาะเฟซ่วยต้าว หรือเกาะมรกตที่ชาวเรือและแคว้นน้อยใหญ่ที่มีดินแดนแถบชายฝั่งต่างเฝ้าค้นหามานานนับหลายพันปี เกาะที่ขึ้นชื่อได้ว่าทุกแห่งในพื้นที่นั้นอุดมสมบูรณ์อีกทั้งสวยงามดั่งดินแดนสวรรค์เก้าชั้นฟ้า และยังมีบ่อน้ำที่แปรเปลี่ยนทุกสิ่งให้กลายเป็นทองคำไปชั่วพริบตา สร้างความมั่นคั่งให้แก่ผู้ที่ได้ครอบครองอย่างยิ่งยวด และยิ่งไปกว่านั้นภายในถ้ำซึ่งอยู่ในหุบเขาบนเกาะมรกต จะมีถ้ำบางแห่งที่มีแต่หินหยกสูงค่ามากมายอัด
บริเวณด้านหน้าเกาะ เรือลำใหญ่ซึ่งเต็มไปด้วยพ่อแม่พี่น้องและเครือญาติที่เดินทางมาร่วมพิธีฝังศพของหยางเฉียนเฉียน เทียบเรือลงจอดอยู่บริเวณด้านหน้าเกาะทยอยขึ้นฝั่งอย่างรวดเร็ว ด้วยเพราะจวนเจียนใกล้จะถึงเวลาฝังศพเข้าไปทุกขณะแล้ว สายตาทุกคู่มุ่งตรงไปยังหลุมฝังศพซึ่งขุดเอาไว้เรียบร้อยแล้ว รอเพียงแค่นำโลงลงไปเพียงเท่านั้น ทันทีที่มาถึงทุกคนต่างพากันผงะถอยหลัง หยุดชะงักด้วยกันทุกคนด้วยกลิ่นเหม็นเน่าของซากศพฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ บรรดาชายฉกรรจ์แต่ละคนที่มีหน้าทีเกี่ยวกับพิธีการของศพต่างพากันใช้ผ้าปิดจมูกกันไว้ทุกคน “ทำไมเฉียนเฉียนส่งกลิ่นแรงนักละ ตอนออกมาจากจวนยังไม่มีกลิ่นถึงขนาดนี้เลย”พานจิ่วเซียนถามกลับไปด้วยความสงสัยพร้อมยกชายแขนเสื้อปิดจมูกของตัวเองเอาไว้ด้วยเช่นกัน “มิทราบเช่นกันขอรับว่าเหตุใดศพของท่านหญิงเฉียนเฉียน จึงส่งกลิ่นรุนแรงเช่นนี้พอเรือแล่นผ่านมาได้สักระยะก็เริ่มส่งกลิ่นออกมาอย่างไม่รู้สาเหตุ ขนาดดอกไม้หวนคืนยังไม่สามารถกลบกลิ่นได้อีกเลย”เสียงของชายซึ่งเป็นหัวหน้าผู้คอยดูแลจัดการงานศพอธิบายกลับไป ครั้นเสวี่ยเหยาได้ยินเช่นนั
ขบวนเรือฝังศพ ภายในเรือขนาดใหญ่จำนวนสองลำ ปรากฏโลงศพของ หยางเฉียนเฉียน ตั้งวางไว้อยู่บนเรือคลุมด้วยผ้าขาวปิดฝาโลงเอาไว้อย่างมิดชิด เตรียมพร้อมบ่ายหน้านำไปฝังบนเกาะเฉิงไห่ ซึ่งเป็นเกาะที่ตระกูลหยางครอบครองมาอย่างช้านาน กำลังลอยลำมุ่งหน้าไปยังสุสานประจำตระกูล โดยมีเรืออีกหนึ่งลำตามหลังไปซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นพ่อแม่ พี่น้องและญาติสนิทของผู้ตายตามไปทำพิธีฝังศพให้ถูกต้องตามประเพณี ในขณะที่ที่เรือขนศพล้วนแล้วแต่มีชายฉกรรจ์คอยดูแลทั้งสิ้น เครื่องใช้ที่จำเป็นต่างๆ ถูกนำไปที่สุสานก่อนหน้านี้แล้วเพื่อรอบรรจุลงไปพร้อมกับโลงในวันทำพิธีฝัง ท่ามกลางสายตาของคนเป็นพ่อและแม่ยังคงมองตามโลงที่บรรจุร่างอันไร้วิญญาณของบุตรสาว ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหม่นหมองและเสียใจต่อการจากไปของหยางเฉียนเฉียนไม่คลาดครา หากแต่กลับมีดวงตาอีกหนึ่งคู่ที่จ้องเรือขนศพลำดังกล่าวที่ลอยลำอยู่เบื้องหน้าตาไม่กะพริบ ด้วยเพราะความแค้นฝังรากหยั่งลึกมานานนับตั้งแต่จำความได้ “แม้เจ้าจะตายไปแล้วก็ตาม แต่ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าถูกฝังร่างลงดินอยู่ร่วมกับบรรพบุรุษในสุสานเดียวกันเป็นอันขาด คนเช่นเจ้า