LOGINหญิงสาวอาภาภรณ์ขาวสะอาดก้าวเดินเข้ามาในห้อง นางเดินเลี่ยงนางรำ นางตรงมาที่ประทับของไท่ฟู่พระองค์กำลังเสวยน้ำจัณฑ์อย่างเงียบงันอยู่เพียงลำพัง หลังจากทรงไล่พวกนางโลมออกไป ผิงถิงจึงเดินมาตรงหน้าของเขา
“ไท่ฟู่” เสียงนั้นทำให้ไท่ฟู่ทรงทอดพระเนตรมองมายังต้นเสียง ทรงเห็นว่าเป็นหวางเฟยซืออิน อาภรณ์ขาวสะอาด เป็นสีที่หวางเฟยชอบสวมใส่ อีกทั้งทรงเห็นรอยแย้มพระโอษฐ์ตรึงพระหทัยนั้น ไท่ฟู่ทรงแย้มพระโอษฐ์อย่างลืมองค์ แล้วตรัส “ซืออิน เจ้ามาหาข้าหรือ” ทรงตรัสเช่นนี้ ทำให้ผิงถิงรู้สึกแปลกใจไม่น้อย เหตุใดไท่ฟู่จึงเรียกนางเป็นชื่อของเจี่ยเจียได้ หรือว่าท่านอาจสับสนเพราะทรงเมาด้วยน้ำจัณฑ์ ทว่าทรงก้าวย่างพระบาทมาหานาง และโอบกอดนาง ผิงถิงดิ้นรนในอ้อมพระกร “ไท่ฟู่ ปล่อยหม่อมฉัน หม่อมฉันผิงถิงเพคะ” แม้ผิงถิงจะเอ่ยบอกว่านางไม่ใช่หวางเฟย ไท่ฟู่ทรงกอดรัดไม่ยอมปล่อย ทั้งที่นางดิ้นรนและทุบพระอุระ แล้วทรงตรัสด้วยสุรเสียงโศกเศร้าน่าเห็นใจ “ซืออิน ทำไมเจ้าใจร้ายกับข้าเช่นนี้่ ข้ารักเจ้ามาเนินนาน ทำไมต้องแต่งกับหยางจง ข้าไม่ดีหรือ หรือข้าทำให้เจ้าไม่ดีพอ พอที่เจ้าจะชอบข้า” ทรงตรัสเช่นนี้แล้ว ทรงประกบริมพระโอษฐ์ ที่เอื้อนเอ่ย ทำให้ผิงถิงตกใจอย่างมาก นางผลักให้เขาปล่อย แต่เขาไม่ยอมปล่อย นางจึงกัดพระชิวหาอย่างจัง ไท่ฟู่จึงปล่อยพระโอษฐ์เป็นอิสระ ผิงถิงใช้ฝ่าตบลงพระปรางค์อย่างจัง ไท่ฟู่จึงมองนางอีกครั้งว่าเป็นเหม่ยเมยของซืออิน พระองค์จึงรีบกล่าวขออภัยต่อนาง “ผิงถิงข้าขอโทษ ข้าคิดว่าเจ้าเป็นซืออิน” “ถึงจะเป็นเจี่ยเจีย ท่านก็ทำเช่นนี้ไม่ได้อีกแล้ว พระนางเป็นหวางเฟยของหวางเย่หยางจง ท่านควรที่จะตัดใจได้เสียที ข้าไม่เคื่องท่านในเรื่องจูบข้าในครั้งนี้ เพราะท่านคิดถึงนางมาก ข้าเข้าใจ แต่ท่านไม่ควรทำเช่นนี้อีก” “ผิงถิงข้าขออภัยต่อเจ้า…” ไม่ทันที่ไท่ฟู่กล่าวจบ ผิงถิงมอบกล่องสีแดงลายดอกเหมยให้เขา เขาจึงเปิดดูเป็นปิ่นหยกลายเมฆา ทรงมองปิ่นเช่นนี้รู้สึกหดหู่พระทัยยิ่งนัก ทรงมอบให้หวางเฟยเมื่อสามปีก่อน ผิงถิงจึงเอ่ยขึ้นช้าๆ “นี่คือของๆ ท่าน ที่มอบให้เจี่ยเจีย นางให้เอามาคืน แล้วนางก็พูดว่า ‘วาสนาของเราสองขอให้จบลงเพียงเท่านี้ ขอให้ท่านเริ่มต้นใหม่กับใครซักคน และขออย่าให้มีอุปสรรคใดๆ มาทำลายรักของท่าน’ เจี่ยเจียอยากให้ท่านอยู่อย่างมีความสุข ระหว่างที่ท่านไปออกรบ ท่านจะได้ไปอย่างสบายใจ และถ้าท่านได้พบรักใหม่ นางก็จะยินดีไปกับท่าน” “บอกนางด้วยว่า เมื่อข้าไปออกรบแล้ว ข้าจะลืมเรื่องราวระหว่างเราให้หมดสิ้น และไม่หวนคืนรักกับนางอีก” ทรงตรัสด้วยสุรเสียงมั่นคง “ท่านทำถูกแล้ว นางเลือกทางของนางแล้ว ท่านควรมีทางของท่านบ้าง” ผิงถิงเอ่ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม ผิงถิงก้าวเดินเข้ามาในโรงทอผ้าไหม นางด้าวเดินไปทางไหนมีแต่คนต่างทักทาย โรงทอผ้าแห่งนี้ เป็นโรงทอผ้าแห่งนี้สืบทอดมาสามชั่วคนของตระกูล ซืออินเข้าไปเป็นพระชายาได้เดือนกว่าแล้ว นางจึงทำหน้าที่ดูแลในทุกวัน และผ้าทอที่นี้จะทอเข้าพระราชวัง ขุนนางชั้นสูง และผ้านำไปขายให้กับชาวบ้านในราคาที่ถูก ในทุกๆ ปี จะบริจาคให้กับผู้ยากไร้เพื่อนุ่งห่ม ส่วนอีกฝากของโรงทอเป็นโรงทาน ใครพี่พอมีกำลังพอก็ให้มาทำงานแลกเงิน ส่วนผู้ชายหนุ่มที่มีแรง ใครสมัครใจไปเป็นทหารของใต้เท้ากงซุนนางให้เงินเป็นค่าจ้างทุกวัน เยี่ยลี่สาวใช้ของนาง จะเป็นคนนำมาให้ด้วยตัวเอง หรือไม่ก็บ่าวรับใช้ในจวน จึงทำให้คนต่างรักนายท่านของตระกูลกงซุนทุกคน “คุณหนูไหมปีนี้ส่งไปแคว้นอู่กับแคว้นไป๋ได้กำไลมากขึ้น จากสามส่วนของในแต่ล่ะปีขึ้นมาเป็นสิบส่วน” เยี่ยลี่ “ข้าว่าจะทำลายเพิ่มอีกเจ้าว่าดีไหม” ผิงถิงเอ่ยถาม “ก็ดีน่ะเจ้าคะ แถมเพื่อรายได้ให้พวกเขาอีกด้วย แต่ว่าถ้าเพื่มลายแล้วต้องเพิ่มเงินขึ้น อย่างเช่นว่าลายไหนที่เป็นลายใหม่ขึ้นสักหนึ่งตำลึงเงิน ดีไหม” “ก็ไม่เลว จะได้เอาเงินส่วนที่เหลือเป็นเงินปีที่พวกเขาอีกด้วย เดี๋ยวนี้เจ้าฉลาดขึ้นเยอะน่ะ” ผิงถิงเอ่ยชม “ข้าตามคุณหนูมาแต่เด็กๆ อีกทั้งบ้านข้าก็เคยประกอบอาชีพทำเครื่องแก้ว แต่เสียดายที่เตี่ยข้าตายเพราะถูกโจนปล้นบ้าน แต่ยังดีที่ใต้เท้ากงซุนเข้าช่วยเหลือ และฆ่าพวกโจรนั้นจนหมด” ผิงถิงรอบสังเกจการการเศร้าของนาง นางจึงจับมือปลอบประโลม “เอาหล่ะอย่าเศร้าเลย เราไปตลาดกันดีกว่า” “ถ้าเจ้าไปตลาด ขอข้าไปด้วยสิ” เสียงจากชายหนุ่มทำให้หญิงสาวทั้งสองหันไปมอง แต่คนที่ดีใจที่สุดคือ ผิงถิง” “มู่ซือ” ผิงถิงเผยรอยยิ้ม “ไม่เจอกันสี่ปีเจ้าโตขึ้นเยอะเลยน่ะ” มู่ซือเอ่ยบอก “เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไง ไม่อยู่ที่เมืองซีเยี่ยหรือ” “ข้ากับท่านพ่อมาตามคำบัญชาของต้าหวางเพื่อทำศึกกับแคว้นเจียน” “แคว้นเจียนกับแคว้นของเราสงบศึกมานานแล้วไม่ใช่หรือ” “ทางชายแดนตรึงเครียดอย่างมากไท่ฟู่ทรงจัดทัพโจมตีเยียนจือคัง ได้เมืองหนึ่ง อีกทั้งตอนนี้ทรงเข้าโจมตีแคว้นจ้าวได้เป็นขึ้นอีกแคว้น ตอนนี้แคว้นเจียนยังคิดทำศึกกับเราอีกหรือ” ผิงถิงถามด้วยความสงสัย “ใช่ ตอนนี้ฟู่จวินของข้ากับของเจ้าปรึกษาก่อนเข้าท้องพระโรงวันพรุ่งนี้”หวางโฮ่วลืมพระเนตรขึ้นในยามบ่ายของอีกวัน ทอดพระเนตรโดยรอบทรงรู้ได้ทันทีว่าเป็นพระตำหนักของพระนาง อีกทั้งทรงทอดพระเนตรดอกท้อในอุทยานหลวง ทั้งที่เมื่อก่อนไม่มากขนาดนี้ พระนางพระราชดำริว่าอาจเป็นหลายสิบลี้จนถึงสระน้ำในอุทยานหลวงพระนางได้สดับเสียงของฝีเท้าเข้ามาในตำหนัก จึงหันไปทอดพระเนตรว่าผู้ใดมา จึงลงบรรทมบนพระเขนยอีกครั้ง ไม่สนพระทัยผู้มาเยือน (พระเขนย แปลว่า หมอน)ต้าหวางทรงถือถ้วยพระโอสถตรงมาประทับนั่งบนตั่งพระบรรทม มีพระดำรัสต่อพระนาง“ผิงถิง เจ้าลุกขึ้นมาดื่มยาหน่อยเถิด ก่อนที่ยาจะเย็น” ต้าหวางพระดำรัส แต่หวางโฮ่วทรงนิ่งไม่ไหวติง ต้าหวางทรงส่งถ้วยยาให้เยี่ยลี่ถือเอาไว้ ต้าหวางทรงโบกพระหัตถ์ให้เยี่ยลี่ถอยไป เยี่ยลี่และเหล่าข้าหลวงจึงถอยออกมานอกพระวิสูตร ต้าหวางมีพระดำรัสต่อพระนาง“ผิงถิง ข้ารู้ว่าเจ้าโกรธข้า จนไม่น่าให้อภัย ข้าผิดเองที่ไม่ตรองให้ดี เรื่องที่เจ้าส่งกองกำลังส่วนตัวไปตีแคว้นไป๋ เพื่อให้ข้าเป็นใหญ่เหนือใต้หล้า ข้ารู้ว่าเจ้าทำเพื่อข้าและแคว้นอวี้ของเรามากแค่ไหน ผิงถิงเราก็อภิเษกมาหลายสิบปี มีลูกด้วยกันถึงสองคนผิงถิง เจ้าคิดหรือว่าข้าไม่รักเจ้า เจ้าคิดว่าข้ายังหวนนึกถึ
ผิงถิงเดินขึ้นไปบนหอหลินเซียวอย่างง่ายดาย เพราะนางได้ขายผักให้กับที่นี่ในราคาถูก นางโลมหลายคนนางก็รู้จัก นางเดินขึ้นไปยังชั้นไปยังหอคอย เห็นว่าคนข้างล่างมากรอให้กูเหนียงโยนดอกกุหลายมาให้พวกเขา ผิงถิงคิดสนุกอยากลองบ้าง เห็นว่าหญิงสาวสองคนยืนต่อคิว ผิงถิงจึงต่อคิวจากพวกนาง จนถึงคิวของนาง กูเหนียงใบหน้างดงามยื่นดอกกุหลาบด้วยรอยยิ้ม แล้วจึงกล่าว“กงซุนกูเหนียง ถ้าท่านโยนดอกกุหลาบ ชายใดได้รับอาจเป็นคู่ครองของท่านในอนาคต เพราะกูเหนียงหลายคนที่เคยโยนไปนั้นก็ได้ชายหนุ่มผู้นั้นไปเช่นกัน”ผิงถิงรับไว้หนึ่งดอก แล้วจึงโยนดอกกุหลาบแดงโยนลงไปห่างผู้คนทางทิศเหนือ ชายหนุ่มต่างวิ่งไปไขว่คว้าดอกกุหลาบดอกนั้น ทว่าดอกกุหลาบดอกนั้นกลับตกลงบนมือของชายหนุ่มผู้หนึ่งที่ไม่ได้ไขว่คว้าเช่นพวกเขา หลังจากนั้นผู้คนจึงกระจายออกจึงรู้ว่าชายผู้นั้นคือไท่ฟู่ ผิงถิงเห็นเช่นนั้นจึงตกใจ นางหมายให้ลงที่พื้น แต่คนที่รับได้เป็นไท่ฟู่“กงซุนกูเหนียง ท่านโชคดีจัง ผู้ที่รับดอกกุหลาบคือไท่ฟู่ แต่ว่าไท่ฟู่ไม่เคยมาเที่ยวอะไรแบบนี้นี่หน่า” กูเหนียงผู้หนึ่งเอ่ยกับผิงถิง ผิงถิงมองลงไปเห็นไท่ฟู่ยืนทอดพระเนตรนางด้วยพระพักตร์เรียบเฉย ไ
“โชคชะตามักกลั่นแกล้งผู้คน แต่จะทำเช่นไรได้ เมื่อรักลึกซึ้งไปแล้ว ท่ามกลางผู้คนมากมาย โชคดีที่ได้พบพานกัน พริบตานั้นพลันเข้าใจแจ่มชัด รักให้ความกล้า และความหวาดหวั่นที่สยบทุกสิ่งแก่ข้า สามารถทลายขุนเขานที ถล่มสวรรค์ได้ รักเหมือนถือคบเพลิงต้านแรงลม ร้อนลวกเจ็บปวดยิ่งนัก ความรู้สึกทุกอย่างรวมอยู่ในนั้น ขับขานอย่างอ่อนโยน ถึงเกียรติยศอันอ้างว้าง เดือนปีล่วงผ่าน รักลึกซึ้งยากได้ครอบคู่กัน”พระสุรเสียงของหวางโฮ่วที่พระดำรัสออกมาทำให้ผู้ได้ฟังต่างเศร้าใจยิ่งนัก“กงซุนกูเหนียง ท่านดื่มชาก่อนดีหรือไม่ มันเย็นชืดหมดแล้ว” เสียงจากหญิงวัยกลางคนใบหน้างดงามแต่งแต้มด้วยเครื่องประทินโฉม สวมใส่อาภรณ์สีฟ้าสดใส นางได้ทูลบอกกับหวางโฮ่วที่มีพระพักตร์งดงาม แม้จะผ่านไปหลายปีแล้ว พระนางยังคงงดงามเช่นเดิมหวางโฮ่วทรงยกถ้วยพระสุธารสชาใกล้เย็นชืดขึ้นจรดพระโอษฐ์ เสวยเพียงแค่หนึ่งคำ แล้วจึงวางลงบนจานรองถ้วยกระเบื้อง หญิงวัยกลางคนตรงพระพักตร์หวางโฮ่วเอ่ยขึ้น“กงซุนกูเหนียงท่านรักต้าหวางถึงเพียงนี้ ทำไมท่านถึงไม่ปรับความเข้าใจซึ่งกันและกัน”“ข้าอยากอยู่ที่นี่สักพัก” “กงซุนกูเหนียง ในฐานะข้าที่เป็นคนนอกนะ ข้าอยากใ
ต้าหวางลืมพระเนตรขึ้นช้าๆ ทรงทอดพระเนตรเห็นว่าหวางโฮ่วไม่ได้อยู่บนพระแท่นพระองค์กลับร้อนพระทัยยิ่งนัก ทรงรีบลุกขึ้นไปเปิดพระวิสูตร ทรงเห็นเหล่าข้าหลวงนั่งคุกเข่ารอรับสั่งจากพระองค์ พระองค์จึงตรัสถาม“หวางโฮ่วไปไหน” ต้าหวางพระราชดำรัสถามเช่นนี้ เหล่าข้าหลวงต่างมองหน้ากันแล้วทูลตอบ“หวางโฮ่วไม่ได้อยู่ร่วมบรรทมกับพระองค์หรือเพคะ”ข้าหลวงกล่าวเช่นนี้ ต้าหวางมีพระราชดำริได้ว่า ได้ต่อว่าหวางโฮ่ว ทั้งที่ไม่เคยทรงต่อว่าพระนางเช่นนี้มาก่อน พระองค์ดำริว่าพระนางคงอยู่ที่ใดที่หนึ่งในวังหลวง พระองค์ทรงรับสั่งทันที“ให้ทุกคนหาหวงโฮ่วให้เจอ ถ้าไม่เจอไม่ต้องมาให้ข้าเห็นหน้า” ต้าหวางพระราชดำรัสดังลั่น พระองค์ทรงย่างพระบาทออกจากพระตำหนักด้วยความร้อนรน จื่อลั่วเดินมาหาพระองค์แล้วทูลถาม“ต้าหวางมีสิ่งใดหรือพระเจ้าค่ะ ทำไมพระองค์ถึงมีสีพระพักตร์เช่นนี้”“ผิงถิงหายไป” ต้าหวางตรัสเช่นนี้ จื่อลั่วทูลถามต่อ“หวางโฮ่วคงอยู่ในอุทยานหลวงเก็บลูกไม้ก็ได้พระเจ้าค่ะ”“เมื่อคืนข้ามีปากเสียงกับนาง นางคงโกรธข้าคงไปที่ใดที่หนึ่ง เจ้าให้ทหารหานางทั่ววัง ต้องหาให้เจอ”“พระเจ้าค่ะ”ท้องฟ้ามืดครึ้มสายฝนร่วงหล่นลงมาอย่างหนัก
สามวันต่อมาต้าหวางทรงอยู่ประทับด้วยหวางโฮ่ว ในตำหนักของพระนาง หยางเสวี่ยเจิ้นไท่จื่อทรงว่าราชการแทนต้าหวาง โดยไม่ทูลต่อเรื่องให้อดีตแม่ทัพเมิ่งเฮ้าไปทำศึกที่แคว้นไป๋ เรื่องนี้หวางโฮ่วทรงเตรียมการไว้แรมเดือน เมื่อถึงเพลาประจวบเหมาะจึงให้อดีตแม่ทัพเข้าโจมตีทันที ตามรับสั่งของหวางโฮ่ว หวางโฮ่วได้ให้เสี่ยวหวังมหาขันทีของต้าหวางไปตามบ้านของเหล่าขุนนางและข่มขู่พวกเขาห้ามให้ถึงพระกรรณของต้าหวางเป็นอันขาด ถ้ามันผู้ใดเป็นผู้ทูลต่อต้าหวาง มันผู้นั้นต้องตายทั้งโคตร พระเสาวนีย์ของหวางโฮ่วดั่งคำของธิดาสวรรค์ จึงไม่มีใครกล้าพูดเรื่องนี้ อีกทั้งพระนางทรงตัดไฟแต่ต้นลม ให้ทหารของเมิ่งเฮ้าส่วนหนึ่งคอยดูขุนนางไว้ไม่ให้ปากโป้งในเรื่องนี้อีกด้วย จนเข้าวันที่สี่ต้าหวางทรงดูแลหวางโฮ่วไม่ให้ขาดตกบกพร่อง จนพระนางทรงดำริในพระทัยว่า ในสิ่งที่พระนางกระทำลงไปนั้นถูกต้องแล้วหรือ ทรงรู้มาตลอดว่าการของบ้านเมืองไม่เกี่ยวกับฝ่ายใน โดยเฉพาะพระนางทรงเป็นประมุขฝ่ายใน และต้าหวางทรงเอ็นดูพระนางยิ่งกว่าผู้ใด ทำให้พระนางรู้สึกว่าพระองค์ผิดยิ่งนักหวางโฮ่วทรงทอดพระเนตรต้าหวางไปสรงน้ำแล้ว พระนางจึงดำเนินออกมานอกตำหนัก เยี่ยล
หวางโฮ่วทรงนำกริชแกะสลักไม้จันทน์ สลักเป็นตัวอักษรที่ทรงเขียนว่า ‘เยว่หัว’ ตรงด้ามของซู่ฝ่า แล้วจึงใช้พระโอษฐ์ทรงไล่ฝุ่นไม้จนเห็นเป็นรูปเป็นร่าง พระนางจึงใช้กรรไกรตัดพระเกศาเล็กน้อยจัดใส่พู่กันเรียงทีละเส้นจนออกมาเป็นรูปร่างของแปรงขนที่หนาขึ้น พระนางทรงแย้มพระโอษฐ์ทอดพระเนตรด้วยความพึงพอพระทัยยิ่งนัก แล้วทรงใช้กรรไกรตบแต่งให้เป็นพู่กันสมบูรณ์แบบ ทันใดนั้นเยี่ยลี่ก็ก้าวเดินเข้ามาหาพระนาง (ซู่ฝ่า แปลว่า พู่กัน)“คุณหนู ข้าได้สืบมาแล้วว่า ผู้ที่ใส่ยาพิษในพระสุธารสของต้าหวาง คือนางกำนัลในตำหนักเรา เป็นคนจากแคว้นไป๋เจ้าค่ะ” เยี่ยลี่กล่าวด้วยน้ำเสียงที่หวั่นวิตก หวางโฮ่วทรงวาง แล้วทรงตรัส“จัดการให้เรียบร้อย” หวางโฮ่วทรงตรัสด้วยพระสุรเสียงที่เรียบเฉย“เจ้าค่ะ” เยี่ยลี่น้อมรับพระเสาวนีย์โดยทันที แล้วพระนางทรงตรัสอีกครั้ง“มีอีกเรื่องหนึ่ง”“รับสั่งมาเถิดเจ้าค่ะ”“เยี่ยลี่ เจ้าบอกแม่ทัพเมิ่งเฮ้าให้จัดการเรื่องนี้ทันที อย่าให้ล่วงรู้ถึงพระกรรณของต้าหวาง สามวันนี้ต้องทำให้สำเร็จ สามวันเท่านั้น” หวางโฮ่วทรงตรัสเน้นย้ำ“คุณหนู จะทำเช่นไรไม่ให้ต้าหวางทรงทราบเจ้าคะ” เยี่ยลี่เอ่ยด้วยความสงสัย“ด้วยอ







