“เธออยู่อิตาลีมาตั้งหลายปีเลยไม่ใช่เหรอ คงยังไม่รู้เส้นทางเลยสินะ พี่จะเป็นคนพาเธอไปเอง แล้วเธอก็จำเส้นทางเอาจากสายตาประกอบกับ GPS คนหัวหมออย่างเธอ น่าจะใช้เวลาไม่นานหรอก เดี๋ยวก็จำได้หมดแหละ... ”
นี่ขนาดเขาเป็นคนหัวไม่ดี ได้สัมผัสลูบไล้เธอไม่กี่ที ถึงตอนนี้ก็ยังจำส่วนเว้าส่วนโค้งของเธอได้...
เต็มไม้เต็มมือดีฉิบหาย!
แล้วมึงจะคิดห่าอะไรนักหนาวะไอ้ควาย!...
คิดเยอะจนปวดไปหมดทั้งลำแล้วละมั้งกูเนี่ย!.
คำว่าหัวหมอทำให้ซันไชน์เลิกคิ้วขึ้นสูงเชิงสงสัย คล้ายกับอีกฝ่ายพูดอะไรผิด เพราะเขาคิดว่าเธอคงไม่รู้จักสำนวนไทย เขาจึงได้พูดออกไปแบบนั้น ก่อนจะแปลประโยคท้ายให้หญิงสาวเข้าใจเสียใหม่ว่า
“คนหัวหมอก็คือ คนหัวไบรท์ไง แบบคนฉลาดที่เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็วหรือหัวดีนั่นแหละน่า สงสัยอะไรอีกละ”
เควินพยายามอธิบาย เพราะบนใบหน้างามเหมือนยังมีคำถามอยู่
“ไม่ใช่นะคะ...คนหัวหมอที่พี่ว่า มันแปลว่า ฉลาดแกมโกงไม่ใช่เหรอคะ”
ซันไชน์แย้งกลับ อย่างไม่ยอมรับกับความหมายที่ชายหนุ่มแปลออกมาให้อย่างไม่ถูกต้อง
“อ้าว...รู้ด้วยเหรอ? พี่คิดว่าเธอไม่รู้ ก็เห็นมาดามเจอรี่บอกพี่ว่า เธอเป็นหมอนี่นา...คนเป็นหมอก็ต้องหัวดีสิ”
มาดามเจอรี่ที่เขาเอ่ยถึงนั่นก็คือมารดาของเขานั่นล่ะ
“พอรู้บ้างนิดหน่อยค่ะ”
เธอถ่อมตัวแต่ความจริงแล้วเธอรู้ภาษาไทยและสำนวนไทยได้เป็นอย่างดีและค่อนข้างแม่นยำ มีความจำเป็นเลิศ
ซันไชน์เคยสอบติดคณะแพทย์ศาสตร์ที่จะเป็นหมอรักษาคนในลำดับต้น ๆ แต่เธอรักสัตว์จึงเลือกที่จะเป็นสัตว์แพทย์ศาสตร์ที่ตัวเองเลือกในลำดับสุดท้าย
ครูและเพื่อน ๆ ต่างก็เสียดายในความสามารถ ที่เธอมีมากกว่างานสัตว์แพทย์ศาสตร์ที่เธอชอบทำซะอีก
แต่ซันไชน์คิดว่าการได้ทำงานที่รัก น่าจะมีความสุขมากกว่างานที่เหมาะสม เพราะมันคือสิ่งเดียวในชีวิต ที่ซันไชน์สามารถลิขิตได้ด้วยตัวเอง...
“อืม...เราจะเริ่มทำความรู้จักกันจากตรงไหนก่อนดีละ พี่ยังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเธอเลยนะ รู้แค่ว่าเธอเป็นสัตว์แพทย์...แล้วเธอละรู้อะไรเกี่ยวกับพี่บ้าง”
เขาเอ่ยถามเธอด้วยน้ำสียงนุ่มทุ้มน่าฟัง พร้อมกับจับมือเรียวบางยกขึ้นมากดจูบบนหลังมือหนัก ๆ แล้วค้างมันไว้อย่างนั้น
นี่เธอกำลังเจอกับมาเฟียจอมเจ้าชู้ และฉวยโอกาสที่สุดเลย...ใช่มั๊ย!?...แล้วเธอก็ไม่กล้าแม้จะชักมือออกมาด้วยนะสิ…
....อย่าเพิ่งไปหวั่นไหวกับเขาในตอนนี้นะซันไชน์!
“อา...ที่ซันรู้มาก็คือว่า พี่เคเป็นมาเฟียที่กะล่อน เจ้าชู้ มั่วผู้หญิง ชอบสิ่งที่ไม่ดีอย่างเช่น พี่ชอบเที่ยวเมาหัวราน้ำ เข้าบ่อน คาสิโน ชอบต่อยตีมีเรื่อง บ้านช่องไม่ค่อยกลับ..แล้วก็...”
ฉึก!!!
เหมือนถูกปามีดเข้ามาปักกลางหลัง ทีเดียวพร้อมกันสามเล่มเลยละมั้ง!
แม่งเอ๊ย!...
ให้ตายเถอะ!...
“เฮ่อะ!...พอแล้วมั๊ย!..ไม่มีข้อดีเลยสักข้อ!”
เควินชิงพูดตัดหน้าขึ้นมาด้วยน้ำเสียงติดจะฉุนนิด ๆ ก่อนที่อีกฝ่ายจะสาธยายจบ เพราะทนฟังความบัดซบ! ของตัวเองไม่ไหว แถมยังมีต่อท้ายหลังจากนั้นมาให้อีก หากเขาไม่ชิงตัดบท
ซันไชน์จึงใช้จังหวะนี้รีบชักมือตัวเองออกมา ก่อนจะบอกกับเจ้าของร่างหนาต่อจากนั้นว่า
“ข้อดีมีค่ะ พี่เป็นคนกตัญญูไงคะ..” ซันไชน์รีบเอ่ยชม ชนิดที่ว่าตบหัวก่อนแล้วค่อยมาลูบไล้...เอ้ย! ลูบหลัง
“เราสองคนกตัญญูเหมือนกันไงคะ เพียงแต่ซันกตัญญูกับคุณป้าแบบมีเงื่อนไขเท่านั้นเองค่ะ...”
คิ้วเข้มยกขึ้นก่อนจะถามกลับมาเชิงสงสัย
“เงื่อนไขอะไร!? เธอยอมแต่งงานกับพี่พร้อมกับเงื่อนไขอะไร!?”
เควินย้ำถาม พร้อมกับเงียบเสียงของตัวเองลงเพื่อรอฟังคำตอบกลับมา แต่ทว่าอีกคนกลับเงียบเฉย ไม่ยอมตอบอะไรเขากลับมาเลย แพขนตางอนหนาหลุบต่ำ เพื่อปิดบังนัยน์ตาคู่สวยของตัวเอง ก่อนจะช้อนขึ้นมาสบตากับเขาตรง ๆ พร้อมกับเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนลงว่า
“ขอโทษนะคะที่ซันบอกพี่ไม่ได้จริงๆ ค่ะ ”
เมื่อได้ยินคำตอบอย่างนั้น ใบหน้าหล่อร้ายดูเหมือนจะแสดงความไม่พอใจออกมาอย่างเห็นได้ชัด
เธอคิดผิดถนัดที่พูดออกไปแบบนั้น เพราะมันทำให้คนอย่างเขา อยากรู้มากขึ้นหนักกว่าเดิม ถึงแม้ชายหนุ่มจะไปเค้นถามเอากับคนเป็นมารดา นั่นยิ่งไม่มีทางรู้ใหญ่ เพราะท่านได้รับปากกับซันไชน์เอาไว้อย่างหนักแน่น ...
เงื่อนไขที่มีแต่ซันไชน์ กับคุณป้าจารีย์ที่รู้กันอยู่แค่สองคน....
“ลูกหลับแล้วเหรอคะ?”เสียงหวานเอ่ยทักเมื่อเห็นร่างหนา เดินผ่านประตูออกมานั่งลงตรงข้ามกับเธอ โดยมีโต๊ะกระจกกั้นระหว่างกันเอาไว้ แต่ก็ถือว่าไม่ได้ห่างกันมากมายอะไรนัก แต่ซันไชน์ก็อดแปลกใจไม่ได้อยู่ดี เพราะแทนที่คนตัวใหญ่กว่าจะมานั่งอยู่ใกล้ๆ แต่ทำไมหญิงสาวถึงรู้สึกว่า เหมือนเขาต้องการจะเว้นระห่างกับเธอนัก แต่ก็ไม่อยากถาม“อืม...ถ้าเอรินไม่หลับพี่ก็คงจะหลับไปก่อนละ ไหนจะร้องเพลงกลับไปกลับมากล่อมพี่งี้ ฟังแล้วก็ไม่ค่อยจะรู้เรื่องสักเท่าไหร่ อีกทั้งนิทานก็เล่าวนไปวนมาที่เดิมไม่ยอมจบนั่นซะที แต่ก็น่ารักดีนะ พูดยังกะต่อยหอย ตัวเท่านี้ไปหัดพูดที่ไหนมา” รอยยิ้มเกลี่ยไปทั่วใบหน้าในขณะที่เอ่ยถึงลูกสาว ที่บอกกับเขาว่าจะร้องเพลงกล่อมให้นอนหลับสบาย ดูก็รู้แล้วว่าเจ้าตัวตื่นเต้นที่ได้เห็นพ่อนั่นละ พูดจาเจื้อยแจ้วราวกับนกแก้ว แล้วก็ไม่มีทีท่าว่าจะหลับเอาง่ายๆ นั่นอีกด้วยนะ จนเขาต้องแกล้งหลับนั่นละ เจ้าตัวถึงได้หลับตามๆ กันไป เพราะไม่รู้จะพูดให้ใครฟังแล้วไง ซันไชน์ทิ้งให้เขาอยู่กับลูกเพียงลำพัง ส่วนตัวเองก็มานั่งทอดอารมณ์ ที่ระเบียงหลังห้องเพื่อรอเขา“แกชอบคุยกับสัตว์ค่ะ สัตว์ทุกชนิด ชอบคุยอยู่คนเด
“คุณ!..หยุดอยู่ตรงนั้นนะ แล้วปล่อยลูกสาวของฉันเดี๋ยวนี้!”ซันไชน์รีบตะโกนเสียงดังเชิงสั่งออกไป แล้วมันก็สามารถหยุดชายร่างใหญ่คนนั้นเอาไว้ได้ ก่อนที่เขาจะค่อยๆ หันมาประจันหน้ากับเธอ!!!ซันไชน์เบิกตากว้าง รู้สึกทั้งตกใจและดีใจในเวลาเดียวกัน แต่มันก็ดันทำให้ขาทั้งสองข้างของหญิงสาว ก้าวต่อไปไม่ได้ไปซะเฉยๆ อีกทั้งน้ำตา ก็พาลไหลออกมาไม่หยุดเลย นั่นทำให้ชายหนุ่มต้องเป็นฝ่ายก้าวเท้าเข้ามาหาหญิงสาวซะเอง นัยน์ตาคมกวาดมองใบหน้าของซันไชน์ด้วยความรู้สึกหลากหลายที่ไม่ต่างกัน วงแขนแกร่งข้างที่ว่างโอบรั้งร่างบางให้เข้ามาหา ก่อนจะเอ่ยกับหญิงสาวด้วยน้ำเสียงสั่นพร่าต่อจากนั้น “ ชัน...ไม่ร้องสิ” บอกเธอว่าอย่าร้องไห้ แต่เขาก็กลั้นมันไว้อย่างสุดกำลัง อีกทั้งเขายังกลัวว่าเมื่อลูกสาวเห็นคนเป็นแม่ร้องไห้หนักเข้าเจ้าตัวอาจจะร้องไห้ตาม แต่ทว่าเอรินเข้มแข็งมากกว่าที่เควินคิดไว้เสียอีก นอกจากเจ้าตัวจะไม่ร้องไห้แล้ว ยังยื่นมือเล็กๆ เข้าไปเช็ดน้ำตา พร้อมกับคำพูดปลอบใจให้อีกว่า“โอ๋..คุณแม่ขาไม่ร้องนะคะ...อึ๊บค่ะๆ” เควินอยากจะหัวเราะขำ แต่มันไม่ใช่เวลาที่จะทำแบบนั้นได้ ตอนนี้สิ่งที่ชายหนุ่มควรทำมากที่สุด ก็ค
เอรินอุทานเรียกชายร่างสูงที่ยื่นถุงขนมส่งมาให้เธอตรงหน้าว่า พ่อ นั่นแหละ แล้วมันก็ทำให้เจ้าของร่างใหญ่เลิกคิ้วเข้มขึ้นสูงข้างหนึ่ง เชิงถามอย่างรู้สึกแปลกใจ ก็ในเมื่อทั้งสองคนเพิ่งจะเคยได้เห็นหน้ากันเป็นครั้งแรก เอรินก้มเปิดกระเป๋าสะพายข้างใบเล็กสีชมพูเข้ากับชุดคิตตี้ที่ใส่ แล้วหยิบรูปถ่ายที่เคลือบเอาไว้อย่างดี ออกมาเทียบกับใบหน้าของชายร่างสูงใหญ่ เมื่ออีกฝ่ายย่อตัวลงนั่ง เพื่อให้สายตาของทั้งคู่อยู่ในระดับเดียวกัน แต่ถึงอย่างนั้นผู้ชายที่นั่งย่อตัวอยู่ตรงหน้า ก็ยังสูงกว่าเอรินอยู่ดี คิ้วเรียวเล็กเลื่อนเข้าหากันทันทีอย่างสงสัยระคนแปลกใจ ว่าทำไมชายคนนี้ถึงมีใบหน้าคล้ายกับบิดาของเธอได้กริยาอาการรวมไปถึงการกระทำราวกับเจ้าตัวเป็นผู้ใหญ่ มันทำให้อีกฝ่ายต้องยิ้มขำออกมาก่อนจะเอ่ยถามเอรินออกไปว่า“หน้าเหมือนกันมั้ยครับ?”“......”ใบหน้าน่ารักไม่ตอบกลับ เพราะสมองน้อยๆ ของเอรินในตอนนี้กำลังใช้ขบวนการทางความคิดค่อนข้างมากนัยน์ตาสีน้ำตาลกลมโตมองชายในรูปภาพ สลับกับมองใบหน้าของชายร่างสูงใหญ่สลับกันไปมาอยู่อย่างนั้น เมื่อตอบตัวเองไม่ได้นั่นแหละ เจ้าตัวจึงเปลี่ยนเป็นตั้งคำถามกลับไปแทน“คุณลุงเ
ตั้งแต่เควินได้พาตัวเองหายไปจากชีวิตของทุกคน โดยไม่มีใครรู้ว่าเจ้าตัวไปอยู่ที่ไหน นอกเสียจากเพื่อนสนิททั้งสี่คนนั่นแล้ว นอกนั้นต่างก็รู้แค่ว่าชายหนุ่มได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยกระทั่งผู้ให้กำเนิดหรือแม้แต่ตัวซันไชน์เอง ได้รู้เหตุผลทุกอย่างจากเพื่อนๆ ของเขา ที่ต่างก็ช่วยกันเล่าเรื่องราว ก่อนหน้าที่หญิงสาวจะฟื้นขึ้นมาให้เธอฟัง ทั้งยังบอกเหตุผลอีกว่า การที่ไม่มีใครรู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน นั่นย่อมไม่มีใครคอยไปรบกวน และทำให้ชายหนุ่มปฏิบัติตามเงื่อนไขได้อย่างเต็มที่จากเด็กทารกที่อยู่ในครรภ์ของมารดา ยังไม่ทันได้ก่อตัวเป็นรูปร่างเท่าไหร่ คนเป็นพ่อก็ต้องมาจากไปไกล โดยทิ้งอีกฝ่ายที่ยังนอนนิ่งไม่ไหวติง ภายใต้สายระโยงระยาง ที่ติดอยู่ตามเนื้อตัวเต็มไปหมดถึงแม้หญิงสาวจะได้รับข่าวร้ายที่ทำให้ปวดหัวใจ จนแทบไม่อยากตื่นขึ้นมามีลมหายใจไปวันๆแต่ถึงอย่างนั้นซันไชน์ก็ยังมีเพื่อนๆ ของสามีคอยช่วยเตือนสติ และบอกข่าวดีต่อจากนั้นอีกว่า ก้อนเนื้อเล็กๆ ที่กำลังเจริญเติบโตอยู่ในท้องของหญิงสาว ซึ่งเป็นเสมือนตัวแทนของเขายังปลอดภัยดี นั่นจึงทำให้คนที่กำลังนอนทอดอาลัย ถึงกับมีแรงฮึดขึ้นมาสู้ต่อ เพื่อรอวันที่จะได้อยู่
เควินชักสายตากลับมามองหน้ากรรวีด้วยใบหน้าเศร้าหมอง มนต์พยัคฆ์เองยังไม่อยากจะมอง เขาต้องเบี่ยงองศาไปที่กรรวีอย่างต้องการคำตอบด้วยเช่นกัน แต่หญิงสาวก็ยังไม่ทันได้ตอบคำถาม เมื่อมีเสียงของชนธัญดังนำหน้ามาก่อนเจ้าตัวชายหนุ่มกำลังประคองร่างของเมียรัก ในขณะที่บ่นตามมาต่อจากนั้นว่า“ทำไมเดี๋ยวนี้เธอถึงได้ดื้อกับพี่จังฮะ ให้นั่งรถเข็นก็ไม่เอา พี่จะอุ้มก็ไม่ยอมอีก ถ้าลูกของเราหลุดออกมาตอนเธอเดินจะทำไง?”“พี่ม่อนจะเว่อร์ไปไหนคะเนี่ย ท้องเฌอร์เล็กแค่นี้เอง ไม่เห็นจะหนักเลยสักหน่อย แล้วเฌอร์ก็เดินเองได้ค่ะ เพื่อนๆ ของพี่กับลูกกวางยืนรอเราอยู่นั่นแล้วไงคะ เร็วๆ เข้าเถอะค่ะ มัวแต่พูดมากอยู่นั่นแหละ”เฌอร์ลีนต่อว่า พลางส่ายหน้าอย่างระอาสามี ที่กลัวนั่นกลัวนี่จนเกินเหตุ ก่อนจะเดินนำหน้าเข้ามาหาคนที่ยืนรอพวกเธออยู่ก่อนแล้ว ดูคล่องแคล่วและกระฉับกระเฉงมากกว่าคนที่เดินตามหลังกันมานั่นซะอีกเมื่ออยู่กันพร้อมหน้า ทุกคนต่างทักทายและปลอบใจกันพอเป็นพิธีกรรวีรู้ว่าเวลามีไม่มากนัก เธอจึงบอกให้ทุกคนมานั่งพัก เพื่อจะได้รอฟังผลการผ่าตัดของซันไชน์ จากหมอใหญ่ได้ตลอดเวลาทุกคนที่เหลือต่างพร้อมใจกันเงียบเสียงของตัว
มนต์พยัคฆ์รีบบึ่งรถลงใต้ โดยใช้คนขับรถของเขาเป็นคนขับให้ เพราะหากว่าเขาเป็นคนขับเอง มันคงไม่มีสมาธิสักเท่าไหร่ที่สำคัญมากไปกว่านั้น มนต์พยัคฆ์ต้องการซักถามคนที่นั่งอยู่ข้างกันอย่างถนัด ๆ มากกว่า เพราะกรรวีไม่พูดไม่จาตั้งแต่ออกจากบ้านมา นั่นเลยต่างหากละ“ลูกกวาง”“....คะ”กรรวีขานรับทันทีหลังจากที่ได้ยิน จากนั้นเธอจึงพูดต่อเพราะรู้ว่าอีกคนกำลังรอฟัง“ลูกกวางรู้ตั้งแต่วันที่พี่เคพาพี่ซันมาบ้านของเราก่อนแต่งงานวันนั้นไงคะ พี่เสือจำได้มั้ยว่าวันนั้นเกิดอะไรขึ้นในห้องรับแขก”กรรวีอธิบายหลังจากที่นั่งเงียบมาตลอดทาง พลางถามกลับไป และรอให้ชายหนุ่มคิดก่อนจะย้ำถามเขาอีกครั้ง“พี่เสือจำได้รึยังคะ?”“มีแก้วตกลงมาแตกนั่นนะเหรอ”“ใช่ค่ะ”“ มันเกี่ยวข้องกันยังไง ถ้าเป็นสิ่งที่เรามองไม่เห็น แล้วจะเข้ามาในบ้านของเราได้เหรอ?”“เขาอยู่กับพี่เค...เขาปักหมุดเอาไว้ตั้งแต่แรก”“เจ้ากรรมนายเวรของมันงั้นสินะ..เธอเห็น?”กรรวีพยักหน้ารับแทนการตอบกลับมาด้วยเสียง ซึ่งอีกฝ่ายก็ยังอยากจะรู้อะไรมากกว่านั้นอีก“เห็นเป็นยังไง?...หน้าตาละ? ท่าทาง?..ทำไมแก้วนั่นถึงตกลงมาได้?” มนต์พยัคฆ์เอ่ยถามคนตรงหน้า ด้วยน้ำเสียงที่