“ทำไมถึงพูดกับเพื่อนมี่แบบนั้น” เดมี่เปิดบทสนทนาทันทีที่กลับมาถึงบ้าน
“หมายถึงเรื่องไหน” มาเฟียหนุ่มขยับกรอบแว่นให้ชิดดวงตาพลางตอบกลับด้วยใบหน้าเรียบเฉยราวกับไม่ได้สะทกสะท้านในสิ่งที่เธอกำลังร้อนใจ “เรื่องที่ฉันบอกว่าเป็นผัวหรือเรื่องที่บอกว่าจะจัดการเพื่อนเธอ”
“ก็ทั้งสองเรื่องนั่นแหละ”
“ฉันพูดความจริง”
“แต่แด๊ดดี้ไปพูดแบบนั้นเพื่อนมี่กลัวนะ”
พอรู้ความจริงเรื่องสถานะของเขาและเธอ ปฏิกิริยาของเพื่อนทั้งสองที่มีต่อบุรินทร์ก็แปลกไป
“ถ้าไม่ได้ทำอะไรผิด ไม่เห็นมีอะไรจะต้องกลัว”
“…..”
“หรือพากันแอบไปทำอะไรหลับหลังฉัน”
“เปล่าค่ะ ไม่ได้ทำอะไร”
“อย่าให้รู้ทีหลังแล้วกัน เพราะฉันเกลียดคนทรยศที่สุด”
“ไม่อยากคุยด้วยแล้ว” เดมี่บ่นพึมพำทำปากขมุกขมิบด้วยความเหนื่อยใจพลางเดินหนี แต่มาเฟียหนุ่มยังคอยเดินตามหลังอยู่ไม่ห่าง
“เด็กงี่เง่า”
“แด๊ดดี้นั่นแหละงี่เง่า…”
“เธอว่าใครงี่เง่า” บุรินทร์เดินเข้าไปประชิด ตวัดสายตาลงต่ำมองท่าทางของเด็กน้อย ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยมีใครพูดจาหรือทำกิริยากับเขาแบบนี้
“ว่าแด๊ดดี้ไง!”
บรรยากาศรอบตัวเงียบสงัด ได้ยินแม้กระทั่งเสียงยุงบินผ่าน
ลูกน้องคนสนิทที่ยืนอยู่บริเวณนั้นต่างพากันหยุดชะงัก หันขวับมองหญิงสาวที่ยืนตะโกนแสกหน้าเจ้านายอย่างไม่เกรงกลัว
ถ้าเป็นคนอื่นคงได้ลงไปนอนกับพื้นจมกองเลือดหรือไม่ก็ถูกลูกตะกั่วฝังเข้าที่ร่างกายตรงไหนสักแห่ง
“อย่ามาก้าวร้าวกับฉัน!”
“…..”
“คุณเดมี่อย่าเถียงนายน้อยนะครับ” ครามรีบกระตุกชายเสื้อเพื่อดึงสติพลางกระซิบบอกหญิงสาวที่ยืนอยู่ ก่อนที่เดมี่จะเชื่อฟังยอมยกมือไหว้ขอโทษแต่โดยดี
“มี่ขอโทษค่ะ”
“…..” แค่เห็นดวงตากลมโตออดอ้อนก็ไม่คิดถือสา ดึงเธอมานั่งลงบนตักแกร่งเหมือนอย่างเคย
ฝ่ามือหนาสอดเข้าภายในเสื้อยืดตัวบาง ลูบไล้ไปตามแผ่นหลังขาวเนียนพร้อมกับก้มหน้าจูบที่หัวไหล่ของเธอเบาๆ
เขากลายเป็นคนเสพติด สมองคอยเอาแต่คิดหมกมุ่นทุกอย่างที่เกี่ยวกับเธอ
“อาทิตย์นี้มี่ขอไปเที่ยวทะเลกับเพื่อนได้ไหมคะ”
“…..” หัวคิ้วขมวดเข้าหากันหลังจากได้ยินประโยคนั้น
“ที่ผ่านมามี่เป็นเด็กดีไม่เคยออกจากบ้านไปเถลไถลที่ไหนเลย”
“เดี๋ยวนี้หัดรู้จักต่อรองกับฉันเหรอ”
“ให้มี่ไปนะ ไปค้างคืนแค่สามวันเอง”
“สามวัน?”
“ใช่ค่ะ…แค่สามวันเอง มีแค่เชอลีนกับเทียนหอม ไม่มีผู้ชายแด๊ดดี้สบายใจได้”
“…..”
“ถ้าแด๊ดดี้คิดถึงมี่ก็แค่โทรมาหาได้ตลอดเลย”
“…..”
…
-หลายวันต่อมา-
ก๊อก…ก๊อก… เสียงเคาะประตูดังขึ้นสองครั้งก่อนที่บานประตูห้องทำงานจะถูกเปิดออกแสดงให้เห็นถึงคนที่มาใหม่
บุรินทร์ถอนหายใจมองหน้าคนเป็นพ่อที่ไม่ได้เจอกันมานานร่วมเดือน
“เป็นยังไงบ้าง ทำไมถึงหายหน้าหายตาไม่ติดต่อหาป๊าบ้างเลย” ผู้เป็นพ่อหย่อนตัวนั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้ามกับลูกชาย จ้องมองไม่ละสายตาไปไหนด้วยความคิดถึง
ไม่ใช่แค่เรื่องนี้…แต่ยังมีสิ่งสำคัญที่อยากมาตกลงและเจรจา
“ช่วงนี้ยุ่ง ผมต้องเร่งเคลียร์งานค้าง”
“แม่บ่นคิดถึงเฮียทุกวัน ถ้ามีเวลาแวะไปหาแม่หน่อยนะ”
“ฝากบอกแม่ด้วย เดี๋ยวเสร็จงานแล้วจะโทรหา”
“แล้วเดมี่เป็นยังไง” แฟรงก์วาดสายตามองพลางชะเง้อคอหาหลานสาวที่คิดถึง
เดมี่ไม่มีช่องทางติดต่อเพราะบุรินทร์สั่งห้ามไม่ยอมให้คนนอกได้เข้ามาวุ่นวายแม้กระทั่งพ่อแท้ๆ อย่างเขาเอง
“สบายดี…อีกเดี๋ยวก็คงกลับจากมหาลัย”
“ดูท่าน้องคงจะดื้อมาก เฮียคงปวดหัวแย่เลย”
“ก็มีดื้อบ้าง แต่ผมจัดการได้” มาเฟียหนุ่มก้มหน้าก้มตาเซ็นเอกสารสำคัญโดยไม่ทันสังเกตถึงอาการของผู้เป็นพ่อ
“เดี๋ยวป๊าจะพาน้องไปอยู่ด้วย ถ้าเฮียคิดถึงก็ค่อยแวะไปหาดีมั้ย”
“ที่มาหาเพราะอยากคุยเรื่องนี้?”
“…..”
“น้องยังเด็ก จะทำอะไรก็คิดดีๆ นะ”
“แล้วป๊าคิดว่าผมจะทำอะไร” วางมือจากงานที่ทำ เงยหน้าขึ้นมองหลังจากได้ยินประโยคแสลงหู
“เฮียคิดจะทำอะไรคงรู้ดีอยู่แก่ใจ”
“กลัวเด็กนั่นมันท้องเหรอ” มาเฟียหนุ่มหัวเราะเบาๆ ด้วยน้ำเสียงเย็นเยือกให้กับความคิด
“ถือว่าป๊าขอนะเฮีย…” บุรินทร์ภัทรได้แต่ภาวนาขอให้ไม่เกิดเรื่องแบบนั้น แต่เขาก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ารู้จักนิสัยของลูกชายตัวเองดี
แทบไม่มีโอกาสที่เดมี่จะหนีรอดไปไหนได้
“ที่บอกว่าขอ…ป๊าจะเอาหลานกี่คน เดี๋ยวทำให้” ใบหน้าคมคายยกยิ้มเย้นหยันราวกับพึงพอใจเมื่อเห็นท่าทางวิตกกังวลของคนตรงหน้า
แกร๊ก… บ้านประตูห้องทำงานถูกเปิดออกอีกครั้ง พร้อมกับลูกน้องคนสนิทที่เดินเข้ามารายงานเหมือนทุกวัน
“คุณเดมี่กลับมาแล้วครับ”
“เรียกเธอเข้ามาหากูเดี๋ยวนี้”
“ได้ครับ”
ไม่กี่นาทีต่อจากนั้นก็ปรากฏร่างของเดมี่ที่อยู่ในชุดนักศึกษา รูปร่างอวบอั๋นสวมเสื้อตัวโคร่งกระโปรงยาวคลุมเข่า ผมยาวสลวยเป็นสีน้ำตาลอ่อนแบบธรรมชาติ
ใบหน้าจิ้มลิ้มราวกับตุ๊กตา ผิวขาวนวลเนียนอมพูเรียบเนียนเสมอกัน
ไม่แปลกใจทำไมลูกชายถึงได้หวงนักหนา ขังไว้ในกรงทองไม่ยอมให้เห็นเดือนเห็นตะวัน
“แด๊ดดี้เรียกมี่…” หญิงสาวหยุดชะงัก ค่อยๆ หุบยิ้มลงเมื่อมองเห็นคนที่นั่งข้าง “คะ…คุณอา”
“ไหนลองไหว้พ่อผัวสวยๆ หน่อยสิ”
“…..” ริมฝีปากอิ่มสวยเม้มเข้าหากันแน่นเป็นเส้นตรง มองไปทางบุรินทร์ภัทรที่เป็นเหมือนแสงสว่างสุดท้าย
“ไม่ได้ยินที่ฉันสั่งหรือไง ไหว้พ่อผัวสวยๆ หน่อย”
“สวัสดีค่ะ” เดมี่ยกมือไม้ที่สั่นเทาไหว้คนตรงหน้า ส่งสายตาบางอย่างเพื่อขอความช่วยเหลือ
“มานั่งตรงนี้มา ฉันมีเรื่องจะคุยด้วย”
“…..”
“ไม่ได้ยินที่สั่งหรือไง!”
“…..” หญิงสาวก้าวเดินไปนั่งลงบนตักของชายหนุ่มอย่างระมัดระวัง ก่อนที่เขาจะยกแขน โอบเอวเธอไว้แน่นไม่ให้ขยับหนี
“อยากไปอยู่กับคุณอาของเธอมั้ย”
“…..”
“ไหนลองตอบดังๆ ให้ได้ยิน ว่าเด็กดีของแด๊ดดี้อยากอยู่กับใคร”
เฮือก! เดมี่สะดุ้งด้วยความเจ็บปวดเมื่อถูกฝ่ามือหนาบีบรัดเข้าที่ต้นแขนอย่างแรงราวกับต้องการให้กระดูกของเธอมันแหลกคามือ
“มะ…มี่อยากอยู่กับเฮียค่ะ”
“ป๊าคงได้ยินชัดแล้วใช่มั้ย เด็กนี่อยากอยู่กับผม”
“…..” บุรินทร์ภัทรเองก็พอรู้ทุกอย่าง มองท่าทางของเดมี่ที่สับสนและดูหวาดกลัวบุรินทร์มากกว่าใคร ไม่อยากนึกคิดว่าหลังจากนี้เธอจะต้องเจอกับอะไรบ้าง
“ถ้าไม่อยากให้มันเจ็บตัว คราวหน้าก็อย่ามาพูดเรื่องนี้ให้ได้ยินอีก”
“อื้อ…” เสียงหวานกลืนหลบหายลงไปในลำคอ มือไม้ของเธอสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว เมื่อถูกบีบท้ายทอยบอบบางให้เงยหน้าขึ้นมารับสัมผัสจากรสจูบอันดิบเถื่อน
บุรินทร์มักจะมีอารมณ์รุนแรงทุกครั้งที่เกิดอาการหึงหวง
“ยัยเด็กนี่เป็นของผม ใครก็เอาเธอไปไม่ได้”
“…..”
“หรือถ้าอยากได้มันคืนก็รอให้ผมตายก่อนแล้วกัน!” มาเฟียหนุ่มบอกผู้เป็นพ่อผ่านสีหน้าว่างเปล่า ก่อนจะอุ้มกระเตงหญิงสาวแนบชิดแล้วเดินเข้ามาในห้องนอน
“ฮึก…แด๊ดดี้…”
“เป็นยังไงบ้างนายใหญ่ นายน้อยยอมคืนคุณเดมี่ให้พวกเราไหม” ลูกน้องคนสนิทของบุรินทร์ภัทรเอ่ยถามหลังจากเห็นสีหน้าที่ไม่สู้ดี
“กูไม่อยากมีปัญหา มึงก็รู้ว่าเฮียเฟยเป็นคนยังไง”
“งั้นลองให้พ่อใหญ่ช่วยคุยดีไหมครับ”
“บอกให้มันมาฆ่าลูกกูเหรอ ถ้าพ่อใหญ่ของพวกมึงรู้มันเอาลูกกูตายแน่” ใบหน้าของบุรินทร์ภัทรซีดเผือด แค่คิดว่าเรื่องนี้หลุดไปถึงหูของน้องชายมือไม้ก็สั่นเทา
“…..”
“ปิดปากของพวกมึงให้สนิท อย่าให้พ่อใหญ่รู้เรื่องนี้เด็ดขาด!”
“แล้วจะปล่อยคุณเดมี่ให้อยู่กับนายน้อยแบบนี้ต่อไปเหรอครับ นายน้อยอารมณ์รุนแรงแค่ไหนนายเองก็รู้”
“ตอนนี้ยังทำอะไรไม่ได้ กูขอเวลาไปนอนคิดก่อนแล้วกัน” อย่าว่าแต่พามาอยู่ด้วย แม้แต่จะเข้าใกล้เดมี่ก็ถือว่าเป็นเรื่องยาก
“…..”
โรงพยาบาล “น้องจิ๋วมาแล้ว” “ไหนๆ ขอดูบ้าง” “ทำไมน้องไม่ลืมตา” “ตัวนิ่มมากเลย ลองจับดูสิ” เสียงบทสนทนาของพวกเด็กน้อยกำลังพูดคุยกันอย่างไร้เดียงสา ยืนล้อมวงจ้องมองสมาชิกใหม่ที่เพิ่งลืมตาดูโลกได้เพียงไม่กี่วัน “ตัวเป็นอะไร ทำไมไม่มาดูน้องคนใหม่” ฟรานเดินเข้าไปถามแฝดน้องที่เอาแต่นั่งกอดอกทำหน้าบึ้งตึงไม่ยอมพูดจา “เบื่อ! เค้าไม่อยากได้น้องผู้ชาย เค้าอยากมีน้องผู้หญิง” เด็กชายบ่นพึมพำพลางเบือนหน้าหันหนี “ผู้ชายก็ดีนะ ตัวจะได้ไม่เหงา จะได้มีเพื่อนเล่นไง” “เล่นแต่ฟุตบอลกับปั่นจักรยานจนเบื่อแล้ว อยากเล่นอย่างอื่นบ้าง” “แล้วอย่างอื่นที่แฝดว่ามันคืออะไร อยากเล่นขายของหรือเล่นตุ๊กตาเหรอ” ใบหน้าน้อยๆ ของฟรานเอียงคอมองน้องชายฝาแฝดอย่างไม่เข้าใจ “เพราะหม่ามี๊เลือกน้องให้เราไม่ได้” “แล้วทำไมแด๊ดดี้ถึงมีแต่ลูกผู้ชาย ทำไมถึงไม่มีลูกผู้หญิงบ้าง” เด็กชายตัดพ้อทำสีหน้าเศร้า ถ้ามีน้องผู้ชายเพิ่มขึ้นมาอีกคนคงได้ปวดหัวกว่าเดิม “เพร
หลายเดือนผ่านไป “อาการของคุณฟาเรนดีขึ้นมากเลยค่ะ วันนี้ทำกายภาพได้หลายอย่างเลย” เดมี่ยิ้มกว้างพร้อมกับหัวใจที่พองโตหลังจากได้ยินข่าวดีจากพยาบาลที่ดูแลลูกชาย ตั้งแต่ได้รับตัวยาชนิดใหม่จากบุรินทร์ อาการของฟาเรนก็เริ่มดีขึ้นตามลำดับ จากกล้ามเนื้อที่เคยอ่อนแรงค่อยๆ ขยับได้มากขึ้น กลายเป็นช่วยเหลือตัวเองได้ดีและเดินเองได้ในที่สุด “ขอบคุณมากนะคะที่ช่วยดูแลฟาเรนให้เป็นอย่างดี” “คุณฟาเรนใจสู้มากค่ะ อีกไม่นานคงวิ่งเล่นกับพวกพี่ๆ ได้อย่างแน่นอน” “มี่รักแด๊ดดี้นะ รักที่สุดในโลก” หญิงสาวเดินเข้าไปกอดชายหนุ่มไว้แน่นแทนคำขอบคุณ ใบหน้าจิ้มลิ้มซบลงบนแผงอกแกร่งอย่างออดอ้อน “อะไรของเธอ” คิ้วเข้มเลิกขึ้นมองการกระทำเหล่านั้น ถึงแม้จะดูเหมือนไม่ค่อยใส่ใจแต่หัวใจของเขายังคงเต้นแรงกับผู้หญิงคนนี้อยู่ตลอด ต่อให้เวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน มันก็ยังคงเป็นเหมือนเดิมเสมอมา “เพราะมีแด๊ดดี้ ฟาเรนถึงมีอาการดีขึ้นในทุกวัน ถ้าไม่ได้แด๊ดดี้ช่วยดูแล ลูกคงแย่แน่เลยค่ะ” บุรินทร์อ
“ฟาเรน!” เด็กชายหันไปตามเสียงเรียกที่คุ้นเคย ไปหน้าน้อยๆ เอียงคอมองด้วยความสงสัยเมื่อเห็นพี่สาววิ่งเข้ามากอด ทั้งๆ ที่ก่อนหน้าบอกว่าปู่จะพาไปเที่ยวต่างประเทศ “ไหนบอกว่าปู่จะพาไปเล่นสกีที่ญี่ปุ่นไง” “ไม่อยากไปแล้ว เอาไว้ให้ฟาเรนหายป่วย พวกเราค่อยไปด้วยกัน” ฟรานโผกอดน้องชายที่นั่งอยู่บนรถเข็นวิลแชร์ด้วยความคิด เด็กหญิงไม่ได้คิดเสียใจหรือเสียดายเลยสักนิด พวกเขาสามคนตกลงกันแล้วว่าจะไม่ขอไปเที่ยวถ้าเกิดไม่มีฟาเรน หรือถ้าจะไปก็ต้องไปพร้อมกัน “ไปวิ่งเล่นกัน แด๊ดดี้ทำสนามเด็กเล่นให้พวกเราอันใหม่ใหญ่เบ้อเริ่มเลย” “แต่แด๊ดดี้ไม่ให้ออกจากบ้านนะ เดี๋ยวไม่สบาย” ฟาเรนพูดเสียงเบา สีหน้าดูซึมลงอย่างน่าสงสาร เขารู้ตัวเองเสมอว่าไม่ใช่เด็กปกติเหมือนคนทั่วไป “ตอนนี้แด๊ดดี้ไม่อยู่ ทางสะดวกแล้วนะ อยากไปไหม” “ยะ…อยากไป” พยักหน้าเบาๆ ก่อนจะวาดสายตาหันซ้ายมองขวาเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครอยู่แถวนี้ “งั้นก็รีบขี่หลังพี่เลย” “จะไม่โดนแด๊ดดี้ตีใช่ไหม”
“ทำอะไรอยู่ตัวเล็ก” “ก่อประสาททรายอยู่ครับ” ฟาเรนเด็กชายวัยห้าขวบหันไปตอบผู้เป็นพ่อ ก่อนจะหันกลับมาสนใจสิ่งตรงหน้าดังเดิม “เล่นคนเดียวเหงาไหม” บุรินทร์ยืนมองลูกน้อยที่นั่งเล่นอยู่ไม่ไกล ข้างกายของฟาเรนมีรถเข็นวิลแชร์ประตำแหน่งและพยาบาลพิเศษมากถึงสามคนคอยประคบประหงมอยู่ไม่ห่าง ถึงแม้ว่าฟาเรนจะมีอายุห้าขวบ แต่น้ำหนักและสัดส่วนค่อนข้างตกเกณฑ์ต่ำกว่าเด็กปกติทั่วไป ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนเป็นผลข้างเคียงมาจากการคลอดก่อนกำหนด “หนูอยากมีเพื่อน” เด็กชายบอกผ่านน้ำเสียงเศร้าสร้อยท่าทางซึมลงจนสังเกตได้ ตั้งแต่จำความได้ เขาถูกเลี้ยงดูแตกต่างจากเด็กทั่วไป ในขณะที่พวกพี่ได้วิ่งเล่นแต่ฟาเรนทำได้แค่นั่งมองอยู่ในห้องพักปลอดเชื้อต้องให้ยาทุกสี่ชั่วโมง “อย่านั่งตากแดดนาน เดี๋ยวไม่สบาย” “คุณปู่ไม่รักฟาเรนเหรอครับแด๊ดดี้ ทำไมถึงไม่พาหนูไปเที่ยวด้วย” คำถามของลูกชายทำเอามาเฟียหนุ่มหยุดชะงักนิ่งไป หัวอกคนเป็นพ่อสั่นไหวค่อยๆ ย่อตัวนั่งลงข้าง
“แฟรงก์มา!”เด็กน้อยที่นั่งอยู่ต่างหันขวับกันอย่างพร้อมเพรียง ใบหน้าน้อยๆ ของหลานฉีกยิ้มกว้างเมื่อมองเห็นปู่ที่เดินเข้ามาหลังจากที่ไม่ได้เจอหน้ากันหลายเดือน“แฟรงก์…แฟรงก์!” เด็กหญิงตะโกนเรียกซ้ำๆ กระโดดโลดเต้นดีใจรีบวิ่งเข้าไปกอดด้วยความคิดถึงวันนี้ในมือปู่มีขนมแถมยังหิ้วของเล่นมาฝากหลานเยอะแยะ ตามใจกว่าแด๊ดดี้และหม่ามี๊ก็คงจะเป็นผู้ชายคนนี้“บอกกี่ครั้งแล้วว่าให้เรียกปู่ ข้าไม่ใช่เพื่อนเล่นของพวกเอ็งนะ” คนเป็นปู่ถอนหายใจมองหน้าไอ้พวกเด็กฝรั่งที่ไม่มีพ่อแม่คอยสั่งสอนแต่ได้พอสบสายตาอันไร้เดียงสาเหล่านั้น หัวใจแกร่งก็ยอมโอนอ่อนให้โดยดี“ปู่คืออะไร” ฟาโรห์ตัวป่วนเอียงคอถามอย่างสงสัย“คือพ่อของพ่อไง”“แล้วพ่อคือใคร” พอได้ยินแบบนั้นยิ่งทำให้งงไปกันใหญ่“พ่อก็คือแด๊ดดี้ไง ภาษาไทยเขาเรียกว่าพ่อ”“เข้าใจแล้ว”“เดี๋ยวนี้ลืมกันแล้วสิ ทำไมพวกเอ็งถึงไม่ไปหาปู่บ้างเลย” บุรินทร์ภัทรแสร้งทำท่าทางตัดพ้อน้อยใจ อยู่ที่บ้านก็เอาแต่ชะเง้อคอคอยมองทางหลานน้อยอยู่ทุกวัน“ไม่ได้ลืมสักหน่อย แต่แด๊ดดี้ไม่ให้ไป” เด็กหญิงพูดแทรกน้ำเสียงเจื้อยแจ้วแต่สีหน้ากลับดูซึมลงอย่างเห็นได้ชัด“อยู่แต่บ้านไม่ได้ออกไปเที่ย
ห้างสรรพสินค้า“อ้าปากสิ เดี๋ยวฉันป้อน” มาเฟียหนุ่มบรรจงตักไอศกรีมคำโตจ่อไปที่ริมฝีปากเล็ก“…..” เดมี่ส่ายหน้าปฏิเสธ เธอเอาแต่คิดถึงลูกน้อยจนไม่เป็นอันทำอะไร“ไหนเคยบอกว่าอยากกินไอติม ก็พามาแล้วยังจะต้องการอะไรอีก”“มี่อยากรู้ว่าลูกเป็นยังไงบ้าง”“ไว้ถึงบ้านแล้วค่อยคุย”“มี่อยากรู้เดี๋ยวนี้ ตอนนี้มะ…มันไม่มีจิตใจอยากทำอะไรแล้ว” ดวงตาคู่สวยสั่นคลอนอย่างหนัก หยดน้ำตาไหลอาบใบหน้าอย่างสุดกลั้น “ทำไมแด๊ดดี้ถึงไม่บอกกันสักคำว่าลูกเป็นอะไร”“…..”ยิ่งเขาไม่พูดมันออกมา ยิ่งทำให้เธอแทบเสียสติ ในสมองมันเอาแต่คิดมากไปเองต่างๆ นานา “อยากเห็นมี่ขาดใจตายก่อนเหรอ”“ที่ไม่บอกเพราะลูกไม่ได้เป็นอะไร ไม่ต้องร้องไห้” บุรินทร์ถอนหายใจหนัก เอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาออกให้ ความทุกข์ของเดมี่ตอนนี้มีเพียงสิ่งเดียวก็คือเรื่องลูก “ทางโรงพยาบาลเขาโทรมาแจ้งข่าวดี”“ข่าวดี?” คนตัวเล็กรีบยกหลังมือขึ้นปาดน้ำตาออกจากใบหน้าแบบลวกๆ หลังจากได้ยินประโยคที่เฝ้ารอมานานแสนนาน“อาการลูกดีขึ้นมาก ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดเราจะได้ไปรับลูกออกจากโรงพยาบาลด้วยกันอาทิตย์หน้า”“พูดจริงใช่ไหม อย่าหลอกให้ดีใจนะ” รอยยิ้มกว้างปรากฏขึ้นบนใบหน้าแสนห