บ่ายวันหนึ่งที่คุณผู้หญิงมีแขกคนสำคัญมาเยือน เด็กหญิงจึงต้องหลบมุมไปทางสวนหลังบ้านแทน แต่ดูเหมือนมาช้าไป ที่นั่งเล่นประจำของเธอตอนนี้ถูกยึดไปทำเป็นร้านขายข้าวแกง โดยมีแม่ค้าตัวน้อย และลูกค้าเพียงคนเดียวคือลูกชายเจ้าของบ้าน จนทำให้คนเดินผ่านอดหยุดมองอย่างสนใจไม่ได้
“อ้าว...นั่นเด็กคนที่เจอวันก่อนนี่คะพี่เพชร”
“น่ารำคาญชะมัด” พีรภัทรเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ ทำเอาคนฟังถึงกับหน้าสลด รีบก้มหน้างุดๆ จะเดินหนี
“อ้าว จะรีบไปไหนล่ะ ถ้าไม่มีอะไรทำก็มาเล่นด้วยกันสิ” คำชวนนั้นทำเอาคนถูกชวนถึงกับสะดุ้งสุดตัว
“น้องเฟื่องไปชวนเขาทำไม” เสียงแข็งๆ ทักท้วง แทบไม่มองหน้าคนที่เอ่ยถึงด้วยซ้ำ
“ทำไมล่ะคะพี่เพชร เราเล่นแค่สองคนไม่สนุกหรอก” เด็กหญิงเฟื่องตะวันประท้วง อันที่จริงเล่นสองคนก็สนุกดีอยู่หรอก ถ้าเพียงแต่คนตัวโตที่รับบทเป็นลูกค้าคนเดียวนั้นจะเต็มใจเล่นด้วย
“ถ้าอยากเล่นกับเขานักก็เล่นไปคนเดียวแล้วกัน พี่จะเข้าบ้านล่ะ” พีรภัทรลุกพรวดพราดจะเดินหนี
“เดี๋ยวสิคะพี่เพชร รอเฟื่องด้วย” เฟื่องตะวันรีบลุกตาม แต่เพราะขาเป็นเหน็บชา ทำให้เธอหงายหลังผึ่งก้นจ้ำเบ้าทันที ด้วยความเจ็บปนตกใจทำให้เจ้าตัวแผดเสียงร้องจ้า คนอยู่ใกล้จึงรีบเข้ามาช่วยด้วยความหวังดี แต่แล้ว...
“หยุดนะ นั่นแกจะทำอะไรคุณเฟื่องน่ะ” เสียงตวาดนั้นทำให้ศุภิสราสะดุ้งสุดตัว ก่อนจะก็ถูกกระชากจนกระเด็นหงายหลัง ศีรษะไปโขลกกับก้อนหินที่พื้นเข้าอย่างจังจนเลือดซึมออกมาจากขมับ
“พี่แก้วจ๋า น้องเฟื่องจะไปหาคุณแม่”
“ดีค่ะ เดี๋ยวเราไปฟ้องคุณแม่กับคุณป้ากัน คราวนี้แกได้เจ็บตัวสมใจแน่ คอยดู” คนพูดได้ทีหันมาชี้หน้าศุภิสราอย่างหมายมาด ก่อนอุ้มเด็กหญิงอีกคนเข้าบ้านทันที
“โอย...” คนตัวเล็กครางออกมาเบาๆ พยายามจะใช้ชายเสื้อซับเลือดที่ศีรษะตนอย่างทุลักทุเล
“เอ้า ใช้นี่สิ!” คนเจ็บสะดุ้ง มองมือที่ยื่นผ้าเช็ดหน้ามาให้อย่างลังเล จนอีกฝ่ายอดไม่ไหวเลยยื่นมือมาช่วยเสียเอง ความอ่อนโยนของอีกฝ่ายนั้นทำให้หัวใจดวงน้อยพองโตจนเผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว
“เข้าไปใส่ยาในบ้านดีกว่า อ้าว...ทำไมยิ้มได้ ไม่เจ็บแล้วหรือ” พีรภัทรถามอย่างแปลกใจ เมื่อเห็นคนเจ็บมองมาที่ตนก็เริ่มรู้สึกตัว รีบเก๊กท่า “เอาล่ะ ถ้าไม่เจ็บงั้นฉันจะเข้าบ้านล่ะ”
“เดี๋ยวค่ะ คุณเพชร!” เจ้าของชื่อชะงักกึกหันขวับ “ขะ...ขอบคุ...”
“คุณเพชรคะ คุณเพชร คุณแม่ให้หาค่ะ” ยังไม่ทันที่เด็กหญิงจะได้เอ่ยจบ ก็มีคนเข้ามาขัดจังหวะเสียก่อน
“รู้แล้ว” เด็กชายทำเสียงหน่าย รีบเข้าบ้านไปโดยไม่เหลียวหลังมามองคนเจ็บอีก
“นี่อย่ามัวมาทำสำออย คุณผู้หญิงก็เรียกเธอเข้าไปเหมือนกัน” ศุภิสราสูดหายใจลึกเตรียมตัวรับศึกหนักอีกตามเคย
แล้วทุกสิ่งก็เป็นไปตามคาด! ทันทีที่ก้าวเข้ามาในห้องรับแขก คุณพราวพิไลก็ตวัดมองผู้มาใหม่อย่างจะกินเลือดกินเนื้อ ส่วนคนทำตัวเป็นบ่างช่างยุนั่งทำเป็นประคบประหงมใกล้ๆ ลูกสาวของคุณนิภาพรคู่กรณี แต่กลับไร้เงาของผู้อยู่ในเหตุการณ์อีกคน
“เห็นแก้วว่าเราแกล้งผลักคุณเฟื่องล้มจริงหรือ” ดวงตาสีอ่อนแลเห็นคนฟ้องที่ลอยหน้ายั่วโทสะ
“ไม่จริงค่ะ คุณเฟื่องล้มเพราะขาเธอเป็นเหน็บต่างหาก”
“โกหก! แก้วเห็นกับตาค่ะว่ามันผลักคุณหนูเฟื่อง” เรื่องราวถูกบิดเบือนไปโดยสิ้นเชิง หากที่เหลือเชื่อคือคนฟังความกลับคล้อยตามโดยไม่มีการซักถามใดๆ อีก
“แก้วไปหยิบไม้เรียวมาทีซิ” แม่สาวใช้ตัวดีรีบยื่นไม้เรียวที่เตรียมไว้ส่งให้เจ้านายทันที
“ไม่เอาน่า พราว อย่าทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่เลยนะ” คุณนิภาพรขอร้อง
“ได้ยังไง คนทำผิดก็ต้องโดนลงโทษ ไม่กำราบไว้แต่ตอนนี้อีกหน่อยมันคงทำร้ายฉันกับคนในบ้านแน่” ศุภิสราเม้มปากแน่น เมื่อเห็นไม้เรียวที่สงวนไว้ลงโทษตัวเธอเองโดยเฉพาะ
“กอดอกเดี๋ยวนี้ แก้วจับไว้ซิ” คนถูกสั่งยิ้มกริ่มสมใจ ก่อนกางนิ้วจิกเล็บไปที่ต้นแขนของเด็กหญิงผู้อาภัพอย่างแรง ศุภิสรากัดฟันแน่น เมื่อได้ยินเสียงหวดไม้เรียวหนักๆ ที่ขาอ่อนของตัวเอง
“เพียะ!” ร่างน้อยสะดุ้งเฮือกด้วยความเจ็บปวด ภายในจิตใจบอบช้ำแสนสาหัส แต่ต้องกัดฟันทน หัวใจต่างหากที่ถูกเฆี่ยนจนเป็นแผลเหวอะหวะ ศุภิสราได้แต่พร่ำบอกกับตัวเองในใจ อดทนไว้นะ อย่าร้องนะ ทนให้ถึงที่สุด!
“ทำอะไรกันน่ะ!”
“เอ๊ะ ทำอะไรของคุณน่ะ” หญิงสาวแหวใส่ พยายามดันศีรษะของอีกฝ่ายออกจากตัก แต่ฝ่ายนั้นกลับรวบมือน้อยเข้ามากุมไว้“หนุนตักไง ไม่เห็นเหรอ” คำตอบยั่วประสาท พลางยิ้มประจบ ไม่ทำให้อีกฝ่ายหลงคารม“ไปนั่งไกลๆ เลยนะ”“บังเอิญพี่ไม่ชอบอยู่ไกลหัวใจซะด้วยสิ” พีรภัทรยิ้มขำกับสำนวนลิเกของตัวเองทั้งที่เมื่อก่อนเคยล้อเพื่อสนิทอย่างเหนือฟ้าที่มักชอบใช้มุกเสี่ยวๆ จีบหญิง หากเป็นเมื่อก่อนเขาคงไม่กล้าพูดอะไรเลี่ยนๆ แบบนี้ออกมา แต่ตอนนี้ไม่รู้เป็นอะไร เขาถึงได้อยากจะพูดจาภาษาดอกไม้กับผู้หญิงตรงหน้า อะไรกันนะที่เปลี่ยนเขาให้เป็นไปได้ถึงเพียงนี้“โธ่ ทูนหัวจ๋า เมื่อไหร่จะหายโกรธสักที พี่ต้องทำยังไง หืม บอกมาเถิดนะคนดี”“ถ้าคุณจะกรุณา ก็พาดิฉันกลับบ้านเสียสิคะ” หญิงสาวตอบเสียงเย็นชา“ไม่กรุณา!” เสียนกวนๆ สวนทันควันเช่นกัน“เอ๊ะ” ศุภิสราร้อง พลางหันขวับเห็นคนพูดลอยหน้ากวนโมโหก็พยายามข่มอารมณ์ “ ถ้างั้นก็ให้ฉันยืมโทรศัพท์โทรบอกพี่โทกับคนที่บ้านสักนิดได้ไหมคะ พวกเขาจะได้ไม่เป็นห่วง”ชื่อของศัตรูหมายเลขหนึ่งทำให้คนฟังฉุนกึก ทำหน้าง้ำ “ ก็บอกแล้วไง ถ้าถึงเวลาจะพาไปส่งเอง”“ก็แล้วฉันต้องรอถึงเมื่อไหร่ล่ะคะ” คนฟังขึ้น
พีรภัทรคลี่ยิ้มออกมาได้ รู้สึกเบาใจขึ้นเป็นกอง ให้โดนโกรธโดนทุบแบบนี้ยังดีกว่าโดนเมินล่ะ เพราะอย่างน้อยการโกรธก็ยังถือว่ามีเยื่อใยเหลืออยู่ แต่ดูเหมือนเยื่อใยจะหนักเอาการอยู่สักหน่อยเพราะกว่าเธอจะเลิกทุบ เขาก็แทบจะน่วมคามือ ร่างบางหอบสะท้านด้วยความเหนื่อย มือยังสั่นริกๆ อยากจะทุบให้เขาตายคามือสาสมใจ“หิวหรือยังจ๊ะ” ชายหนุ่มรีบเปลี่ยนเรื่องทันควัน“ไปกินข้าวกันเถอะ เดี๋ยวค่อยกลับมาทุบต่อนะ ไม่หนีหรอกน่า สัญญาจะอยู่ให้ทุบทั้งชีวิตเลยก็ยังได้” เสียงออดอ้อนเอาใจ ยิ่งทำให้คนฟังคันไม้คันมือขึ้นมาอีก พีรภัทรไม่รอช้ารีบรวบข้อมือน้อยฉุดลากเข้าบ้าน ก่อนที่เขาจะตายคามือเธอจริงๆ กลิ่นอาหารหอมฉุยโชยชายทำให้คนโมโหเริ่มรู้สึกท้องร้องขึ้นมาตงิดๆ เพิ่งนึกได้ว่ายังไม่มีอะไรตกถึงท้องตั้งแต่เมื่อวาน แถมใช้พลังงานไปเยอะเลยเกิดหิวก็เป็นได้ คนตัวโตราวกำแพงขยับจัดแจงให้เธอนั่ง แล้วบริการเสิร์ฟอาหารต่างๆ ให้อย่างเอาอกเอาใจข้าวต้มเละๆ ในถ้วยน้อยวางลงตรงหน้า พร้อมเครื่องเคียงที่มีเพียงผักกาดดองกระป๋องหั่นเล็กบ้างใหญ่บ้าง กับปลากระป๋อง และไข่เค็มหั่นเป็นซีกๆ ไม่เท่ากัน แต่ก็พอดูออกว่าคนทำคงพยายามอย่างสุดฝีมือท
“พอกันที เลิกคิดได้แล้ว” ศุภิสราบอกกับตัวเองอย่างเด็ดเดี่ยว พลางรวบรวมเรี่ยวแรงอันน้อยนิดพยุงตัวเองลุกขึ้น ครั้งแรกล้มแปะลงไปเพราะขาเป็นเหน็บชา หากเธอพยายามยันตัวลุกอย่างทุลักทุเลจนได้ แล้วจัดการล้างหน้าล้างตา สมองรู้สึกปลอดโปร่งขึ้น แต่หัวใจยังคงหนักอึ้งไม่คลาย ถ้าควักหัวใจออกมาล้างได้คงดี เธอจะได้ล้างสิ่งที่ติดค้างในความรู้สึกให้หมดๆ ไปเสียจะได้ไม่เจ็บอีก แต่มันก็ไม่อาจทำได้ สาวน้อยส่องกระจกทอดถอนใจ มือบางแตะที่จี้ ‘หัวใจเพชร’ ดวงน้อยที่ลำคอระหงอย่างเจ็บปวด ก่อนตัดใจปลดออกจากคอตนเองวางลงบนอ่างล้างหน้านั้น ลืมเสียเถิด สิ่งที่เป็นไปไม่ได้จะจำไว้ทำไม ถึงไม่มีเขาเธอก็มีคนอีกมากมายที่รักเธอ ทั้งคุณพ่อคุณแม่ ไหนจะพี่โทรินทร์ที่คอยห่วงใยเธอเรื่อยมา ป่านนี้ทุกคนคงตามหาเธอวุ่นวาย คนเหล่านั้นต่างหากที่เธอควรสนใจ ส่วน‘คนอื่น’นั้นจะคิดยังไง รู้สึกยังไงก็ช่างเขา จากนี้ไปเธอจะไม่อยากรู้อีกต่อไปหญิงสาวเดินออกมาจากห้องน้ำด้วยความรู้สึกใจสงบขึ้น ในห้องนั้นปราศจากเงาของบุรุษที่คอยก่อกวนหัวใจ หรือเขาจะหนีกลับไปเสียแล้วก็เป็นได้ เธอพยายามเมินไม่มองไปที่เตียงนอนอันยับยู่ยี่เพราะเหตุการณ์เมื่อเช้า ท้าย
“คุณมีแฟนอยู่แล้ว แต่ยังมาทำกับแบบนี้กับผู้หญิงอื่นอีกเพื่ออะไร” คราวนี้คนฟังถึงกับผงะด้วยความตกตะลึงราวกับถูกค้อนทุบหัวหนักๆ จนมึนชา พูดอะไรไม่ออก“ดิฉันเป็นคน มีชีวิตจิตใจ มีความรู้สึก ไม่ใช่ของเล่นที่คุณจะมาทำอะไรตามอำเภอใจยังไงก็ได้ คุณทำแบบนี้กับฉันทำไม หรือเห็นว่าฉันเป็นผู้หญิงใจง่าย เป็นคนหน้าด้านที่ชอบแย่งแฟนคนอื่น” ปลายเสียงสั่นสะท้านด้วยความหวั่นไหวพร่างพรูระบายความน้อยเนื้อต่ำใจออกมา“จะแกล้งทรมานฉันไปถึงเมื่อไหร่กันถึงจะสาแก่ใจคนใจร้ายอย่างคุณ” น้ำตาหยดหนึ่งกลิ้งลงมาจากลูกแก้วคู่งามที่แสนเศร้า ก่อนที่เจ้าตัวจะปิดตานิ่ง เม้มปากแน่น แสดงท่าทีหมางเมินออกมาอย่างชัดเจน จนทำให้ชายหนุ่มใจหายวาบรีบคว้าตัวเธอขึ้นมากอดไว้แนบแน่น เพราะกลัวจะต้องสูญเสียเธอไป รู้สึกปวดร้าวในอกจนเกินพรรณนา“พี่ไม่เคยคิดอย่างนั้น ไม่เคย...” เสียงร้อนรนพร่ำบอก พลางโยกร่างน้อยที่สั่นสะท้านไปมาเบาๆ ราวกับขับกล่อมให้สงบ“ถ้าไม่ได้คิดอย่างนั้น แล้วคุณคิดยังไงกับฉันกันแน่” คำถามนั้นซัดชายหนุ่มให้จนมุมในบัดดล “พะ... พี่ระ... เอ่อ” พีรภัทรขยับจะพูดอะไรบางอย่างออกมา หากพอเห็นนัยน์ตากลมใสแป๋วที่จ้องเขม็งรอคอยคู่น
พอขาดคำชายหนุ่มก็จัดการลงโทษ ‘แบบนี้’ ด้วยการกดจูบที่ริมฝีปากของเธออีกครั้ง หากคราวนี้เนิ่นนานและดูดดื่มยิ่งกว่าคราวแรกหลายเท่านัก ศุภิสรารู้สึกวิงเวียน สะบัดร้อนสะบัดหนาวเหมือนจะจับไข้ ในท้องมีผีเสื้อนับร้อยๆ ตัวกำลังกระพรือปีกบินว่อนอย่างร่าเริง บางครั้งเหมือนกำลังล่องลอยไปในปุยเมฆนุ่มๆ บางครั้งก็รู้สึกเหมือนถูกคนจอมเจ้าเล่ห์แกล้งกระชากลงมาด่ำดิ่งในห้วงน้ำลึกจนอึดอัดหมือนกำลังจมน้ำขาดอากาศหายใจ เธอต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ ที่ยอมให้เขาป่วนหัวใจเล่นแบบนี้สมองสั่งให้หยุด แต่ร่างกายกับไม่ยอมร่วมมือเอาเสียเลย ผู้ชายแปลกหน้าที่แสนเจ้าเล่ห์ แสนเอาแต่ใจ บางทีก็แสนร้ายกาจจนน่ากลัว แต่บทจะอ่อนหวานก็แสนหวานล้ำเหนือใคร แล้วแบบไหนคือตัวจริงของเขากันแน่นะ อสูรร้าย หรือเทพบุตรในคราบซาตานการลงโทษที่แสนหวานปนขมปร่าที่เขามอบให้ปลุกเมล็ดพันธุ์ในหัวใจอ่อนหวานขึ้นมาทีละน้อยๆ จนก่อเกิดเป็นรูปเป็นร่างที่เธอไม่อยากจะยอมรับ ดอกไม้ดอกหนึ่งที่ชื่อว่า ‘รัก’ กำลังผลิในหัวใจจนเต็มดวงเป็นไปไม่ได้! เธอจะรู้สึกลึกซึ้งกับคนที่เพิ่งรู้จัก เพิ่งเห็นหน้ากันไม่กี่ครั้งแบบนี้ได้อย่างไรหญิงสาวรู้สึกสับสนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ
คนที่บอกว่าตัวเองง่วงแสนง่วง หากในความจริงแล้วเขากลับไม่ได้นอนหลับเลยสักงีบเดียว ในความมืดสลัว ดวงตามันปลาบทอประกายหวานระยับทอดมองดวงหน้าหวานของคนที่กำลังหลับสนิทโดยอาศัยไออุ่นจากอ้อมอกของเขา ราวกับจะซึมซับทุกภาพและความรู้สึกลงในความทรงจำ เผื่อในวันที่ต้องลาจากกันไปอย่างน้อยเขาจะได้ใช้ความทรงจำแสนหวานนี้เป็นเครื่องหล่อเลี้ยงหัวใจตนในวันที่ไม่มีเธอเคียงใกล้แสงเงินแสงทองระยับค่อยๆ แทรกผ่านเข้ามาทีละน้อย ทำให้ความงามละออกระจ่างตาตรงหน้ายิ่งปรากฏชัดเจนขึ้น ดวงหน้าใสดูอ่อนเยาว์บอกถึงความพิสุทธิ์ ผิวขาวละออราวขึงด้วยแพรละเอียดซับเลือดฝาดของวัยสาวสะพรั่งน่าสัมผัส ทั้งดวงตาที่ยังหลับพริ้มประดับด้วยแพขนตายาวเฟื้อยราวกับตุ๊กตาจนเขาอยากจะลองเอานิ้วกรีดเล่น ปากนิดจมูกหน่อยดูจิ้มลิ้มน่ารักน่าเอ็นดูนักหนา หากที่เขาไม่เคยสังเกตเห็นมาก่อนคือรอยลักยิ้มบุ๋มน่ารักตรงข้างแก้มทั้งสองของเธอ อาจเพราะเจ้าตัวมักทำหน้าอมทุกข์อยู่เสมอ และตัวต้นเหตุที่ปล้นรอยยิ้มสวยๆ นี้ไปก็คงหนีไม่พ้น... เขา... นี่เองชายหนุ่มรู้ดีว่าตัวเองใจร้ายใจดำกับคนตัวเล็กตลอดมา ทั้งพูดให้เจ็บช้ำ ทั้งแกล้งสารพัด ทั้งเคยผลักไสไล่ส่ง หรือแ