บ่ายวันหนึ่งที่คุณผู้หญิงมีแขกคนสำคัญมาเยือน เด็กหญิงจึงต้องหลบมุมไปทางสวนหลังบ้านแทน แต่ดูเหมือนมาช้าไป ที่นั่งเล่นประจำของเธอตอนนี้ถูกยึดไปทำเป็นร้านขายข้าวแกง โดยมีแม่ค้าตัวน้อย และลูกค้าเพียงคนเดียวคือลูกชายเจ้าของบ้าน จนทำให้คนเดินผ่านอดหยุดมองอย่างสนใจไม่ได้
“อ้าว...นั่นเด็กคนที่เจอวันก่อนนี่คะพี่เพชร”
“น่ารำคาญชะมัด” พีรภัทรเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ ทำเอาคนฟังถึงกับหน้าสลด รีบก้มหน้างุดๆ จะเดินหนี
“อ้าว จะรีบไปไหนล่ะ ถ้าไม่มีอะไรทำก็มาเล่นด้วยกันสิ” คำชวนนั้นทำเอาคนถูกชวนถึงกับสะดุ้งสุดตัว
“น้องเฟื่องไปชวนเขาทำไม” เสียงแข็งๆ ทักท้วง แทบไม่มองหน้าคนที่เอ่ยถึงด้วยซ้ำ
“ทำไมล่ะคะพี่เพชร เราเล่นแค่สองคนไม่สนุกหรอก” เด็กหญิงเฟื่องตะวันประท้วง อันที่จริงเล่นสองคนก็สนุกดีอยู่หรอก ถ้าเพียงแต่คนตัวโตที่รับบทเป็นลูกค้าคนเดียวนั้นจะเต็มใจเล่นด้วย
“ถ้าอยากเล่นกับเขานักก็เล่นไปคนเดียวแล้วกัน พี่จะเข้าบ้านล่ะ” พีรภัทรลุกพรวดพราดจะเดินหนี
“เดี๋ยวสิคะพี่เพชร รอเฟื่องด้วย” เฟื่องตะวันรีบลุกตาม แต่เพราะขาเป็นเหน็บชา ทำให้เธอหงายหลังผึ่งก้นจ้ำเบ้าทันที ด้วยความเจ็บปนตกใจทำให้เจ้าตัวแผดเสียงร้องจ้า คนอยู่ใกล้จึงรีบเข้ามาช่วยด้วยความหวังดี แต่แล้ว...
“หยุดนะ นั่นแกจะทำอะไรคุณเฟื่องน่ะ” เสียงตวาดนั้นทำให้ศุภิสราสะดุ้งสุดตัว ก่อนจะก็ถูกกระชากจนกระเด็นหงายหลัง ศีรษะไปโขลกกับก้อนหินที่พื้นเข้าอย่างจังจนเลือดซึมออกมาจากขมับ
“พี่แก้วจ๋า น้องเฟื่องจะไปหาคุณแม่”
“ดีค่ะ เดี๋ยวเราไปฟ้องคุณแม่กับคุณป้ากัน คราวนี้แกได้เจ็บตัวสมใจแน่ คอยดู” คนพูดได้ทีหันมาชี้หน้าศุภิสราอย่างหมายมาด ก่อนอุ้มเด็กหญิงอีกคนเข้าบ้านทันที
“โอย...” คนตัวเล็กครางออกมาเบาๆ พยายามจะใช้ชายเสื้อซับเลือดที่ศีรษะตนอย่างทุลักทุเล
“เอ้า ใช้นี่สิ!” คนเจ็บสะดุ้ง มองมือที่ยื่นผ้าเช็ดหน้ามาให้อย่างลังเล จนอีกฝ่ายอดไม่ไหวเลยยื่นมือมาช่วยเสียเอง ความอ่อนโยนของอีกฝ่ายนั้นทำให้หัวใจดวงน้อยพองโตจนเผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว
“เข้าไปใส่ยาในบ้านดีกว่า อ้าว...ทำไมยิ้มได้ ไม่เจ็บแล้วหรือ” พีรภัทรถามอย่างแปลกใจ เมื่อเห็นคนเจ็บมองมาที่ตนก็เริ่มรู้สึกตัว รีบเก๊กท่า “เอาล่ะ ถ้าไม่เจ็บงั้นฉันจะเข้าบ้านล่ะ”
“เดี๋ยวค่ะ คุณเพชร!” เจ้าของชื่อชะงักกึกหันขวับ “ขะ...ขอบคุ...”
“คุณเพชรคะ คุณเพชร คุณแม่ให้หาค่ะ” ยังไม่ทันที่เด็กหญิงจะได้เอ่ยจบ ก็มีคนเข้ามาขัดจังหวะเสียก่อน
“รู้แล้ว” เด็กชายทำเสียงหน่าย รีบเข้าบ้านไปโดยไม่เหลียวหลังมามองคนเจ็บอีก
“นี่อย่ามัวมาทำสำออย คุณผู้หญิงก็เรียกเธอเข้าไปเหมือนกัน” ศุภิสราสูดหายใจลึกเตรียมตัวรับศึกหนักอีกตามเคย
แล้วทุกสิ่งก็เป็นไปตามคาด! ทันทีที่ก้าวเข้ามาในห้องรับแขก คุณพราวพิไลก็ตวัดมองผู้มาใหม่อย่างจะกินเลือดกินเนื้อ ส่วนคนทำตัวเป็นบ่างช่างยุนั่งทำเป็นประคบประหงมใกล้ๆ ลูกสาวของคุณนิภาพรคู่กรณี แต่กลับไร้เงาของผู้อยู่ในเหตุการณ์อีกคน
“เห็นแก้วว่าเราแกล้งผลักคุณเฟื่องล้มจริงหรือ” ดวงตาสีอ่อนแลเห็นคนฟ้องที่ลอยหน้ายั่วโทสะ
“ไม่จริงค่ะ คุณเฟื่องล้มเพราะขาเธอเป็นเหน็บต่างหาก”
“โกหก! แก้วเห็นกับตาค่ะว่ามันผลักคุณหนูเฟื่อง” เรื่องราวถูกบิดเบือนไปโดยสิ้นเชิง หากที่เหลือเชื่อคือคนฟังความกลับคล้อยตามโดยไม่มีการซักถามใดๆ อีก
“แก้วไปหยิบไม้เรียวมาทีซิ” แม่สาวใช้ตัวดีรีบยื่นไม้เรียวที่เตรียมไว้ส่งให้เจ้านายทันที
“ไม่เอาน่า พราว อย่าทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่เลยนะ” คุณนิภาพรขอร้อง
“ได้ยังไง คนทำผิดก็ต้องโดนลงโทษ ไม่กำราบไว้แต่ตอนนี้อีกหน่อยมันคงทำร้ายฉันกับคนในบ้านแน่” ศุภิสราเม้มปากแน่น เมื่อเห็นไม้เรียวที่สงวนไว้ลงโทษตัวเธอเองโดยเฉพาะ
“กอดอกเดี๋ยวนี้ แก้วจับไว้ซิ” คนถูกสั่งยิ้มกริ่มสมใจ ก่อนกางนิ้วจิกเล็บไปที่ต้นแขนของเด็กหญิงผู้อาภัพอย่างแรง ศุภิสรากัดฟันแน่น เมื่อได้ยินเสียงหวดไม้เรียวหนักๆ ที่ขาอ่อนของตัวเอง
“เพียะ!” ร่างน้อยสะดุ้งเฮือกด้วยความเจ็บปวด ภายในจิตใจบอบช้ำแสนสาหัส แต่ต้องกัดฟันทน หัวใจต่างหากที่ถูกเฆี่ยนจนเป็นแผลเหวอะหวะ ศุภิสราได้แต่พร่ำบอกกับตัวเองในใจ อดทนไว้นะ อย่าร้องนะ ทนให้ถึงที่สุด!
“ทำอะไรกันน่ะ!”
“ทำอะไรกันน่ะ!” เสียงตวาดกึกก้องราวกับเสียงระฆังช่วยชีวิตเด็กน้อย แก้วรีบปล่อยมือจากต้นแขนเล็กๆ ทำให้ร่างเด็กหญิงผู้น่าสงสารทรุดฮวบลงไปกองกับพื้นทันที“หนูทราย” คุณไกรภพปราดเข้ามาประคองร่างเล็กนั้นอย่างเวทนา ขาที่ถูกฟาดจนแตกยับมีรอยเลือดไหลซิบๆ ทำให้เต้องขาสะเทือนใจ มือใหญ่ค่อยๆ ลูบไล้ไปที่ต้นแขนเล็กกำรอบที่มีรอยเล็บครบทั้งห้าจนห้อโลหิตด้วยความโมโห“หนูทรายทำอะไรผิดนักหนาถึงต้องมาเฆี่ยนตีรุนแรงอย่างนี้” คนถูกถามเม้มปากแน่น ดูเอาเถอะ สามีสุดที่รักเข้าข้างคนอื่นต่อหน้าต่อตา“คุณก็ถามมันเองสิคะ ว่ามาแกล้งหนูเฟื่องทำไม”“ไม่จริงค่ะ! หนูไม่ได้ทำ ถ้าไม่เชื่อ คุณลุงลองถามคุณเพชรดูก็ได้ค่ะ” คุณไกรภพจ้องลึกเข้าไปในแววตาคู่นั้นอย่างชั่งใจ“ใครไปตามตาเพชรมาซิ”“นี่คุณเชื่อยัยเด็กนี่มากกว่าฉันหรือไง” คุณพราวพิไลตัดพ้อ“ไม่ได้ยินที่ฉันบอกหรือไง ไปตามตาเพชรมานี่ เดี๋ยวนี้”เวลาผ่านไปไม่นานนัก ลูกชายคนเดียวของบ้านก็ก้าวเข้ามาในห้อง คุณพราวพิไลรีบดึงลูกชายเข้ามากอดด้วยความหวงแหน พลางส่งสายตาเคียดแค้นให้สามี“ไหนลองเล่าให้พ่อฟังซิว่าเกิดอะไรขึ้น หนูทรายแกล้งหนูเฟื่องอย่างที่คุณแม่บอกหรือเปล่า”พีรภัทร
“นั่นเสียงใครน่ะ เจ้าโทเรอะ” เสียงร้องถามดังมาจากในบ้าน ทำให้ศุภิสราตกใจรีบหลบเข้าข้างหลังคุณไกรภพทันที“ผมเองครับคุณป้า” คุณป้า หรือ คุณฝนทอง วรรณยุกต์ ขยับแว่นมอง“อ้าว นั่นคุณไกรมิใช่รึ ลมอะไรพัดมาละจ๊ะ มาๆ ขึ้นบ้านก่อนลูก” หญิงสูงวัยยิ้มแย้มเชื้อเชิญเพื่อนกึ่งเจ้านายของลูกชายตน“คุณป้าสบายดีหรือครับ”“โอ้ย ก็สบายตามประสาคนแก่น่ะแหละพ่อคุณ”“แล้วนี่คุณเอกไปไหนล่ะครับ”“พ่อเอกไม่อยู่หรอกจ้า พาแม่ลูกสาวเขาไปเรียนดนตรีอะไรนู่นแน่ะ เดี๋ยวก็กลับมาแล้วล่ะจ้ะ อ้าว แล้วนั่นเด็กที่ไหนกัน”“หนูทรายไหว้คุณยายสิลูก”“หนูทราย” คุณฝนทองทวนคำ พลางหรี่ตามองร่างเล็กๆ ที่เยี่ยมหน้าออกมาจากด้านหลังเพื่อนของลูกชายอย่างกล้าๆ กลัวๆ หากเมื่อได้เห็นหน้าเด็กหญิงชัดๆ หญิงสูงวัยก็ถึงกับตบอก อุทานลั่น“คุณพระช่วย... แม่ลดา!”“นี่ ‘หนูทราย’ ครับคุณป้า”“คล้าย... คล้ายกันเหลือเกิน นี่ถ้าคุณไกรไม่บอกว่าเป็นใคร ป้าคงคิดว่าเป็นฝาแฝดแม่ลดาเป็นแน่ ยิ่งพูดก็ยิ่งคิดถึงตั้งแต่หนีออกจากบ้านไปคราวนั้นก็ไม่ได้เห็นหน้าอีก ไหนเข้าใกล้ๆ ยายหน่อยซิลูก ขอกอดให้ชื่นใจสักนิดเถอะนะแม่คุณ”ศุภิสราหันไปมองคุณไกรภพที่ยิ้มและพยักหน้า
ขณะที่ผู้ใหญ่บนเรือนคุยหารือกันอย่างเคร่งเครียดนั้น เด็กน้อยซึ่งได้รับอนุญาตให้ลงมาเดินเล่นข้างล่างกลับรู้สึกเพลิดเพลินกับบรรยากาศของสวนร่มรื่นไม่น้อย อาณาบริเวณบ้านสวนรายล้อมด้วยต้นไม้นานาพรรณที่เจ้าของบ้านปลูกไว้ทั้งไม้ดอกและไม้ผล ศุภิสรามองไปรอบๆ ตัวอย่างตื่นตาตื่นใจ แม้บ้านของคุณไกรภพเองจะใหญ่โตแต่ก็ไม่ได้ปลูกต้นไม้ไว้มากมายเท่านี้ มือน้อยสาละวนเก็บลูกมะยมและมะม่วงที่ร่วงหล่นจากต้นเกลื่อนพื้นอย่างสนุกสนาน โดยไม่ทันได้สังเกตเห็นใครคนหนึ่งที่แอบมองมาจากบนที่สูงเงียบๆ “เฟี้ยว!...” เสียงวัตถุบางอย่างแหวกอากาศเฉี่ยวศีรษะไปเส้นยาแดงผ่าแปด ทำเอาศุภิสราถึงกับผงะด้วยความตกใจ ยังไม่ทันได้รู้ว่าต้นตอของวัตถุดังกล่าวว่ามาจากไหน วัตถุชิ้นที่สองสามสี่ห้าก็ลอยตามมาติดๆ“โอ้ย!” เด็กหญิงร้องลั่นเมื่อกระสุนมะยมลูกหนึ่งลอยมาโดนแผลเก่าที่ศีรษะเข้าอย่างจัง“สมน้ำหน้ากะลาหัวเจาะ ฮ่าๆ” เสียงเย้ยเยาะลอยมาจากบนต้นมะยมนั้น ก่อนที่จะมีวัตถุบางอย่างตกลงมาที่พื้นดังตุ้บ วัตถุที่ปรากฏเบื้องหน้าคือ เด็กชายตัวสูงเก้งก้างที่หน้าตามอมแมมด้วยเศษไม้ใบหญ้า ดวงตาดำขลับวาววับเอาเรื่อง“ยัยเด็กหัวขโมย” เขาตะคอกใส่หน้าอ
“แล้ว... มาช่วยเขาไว้ทำไม?”“อ้าว ไม่งั้นเธอก็ได้กลายเป็นผีเฝ้าสระน้ำบ้านฉันน่ะสิ”“อ๋อ ที่แท้ก็กลัวผีนี่เอง”“นี่เธอ! ว่าใครกลัว ผีอย่างเธอน่ะน่ากลัวตาย รู้งี้น่าจะปล่อยให้จะ...”“ขอบคุณนะ” คนกำลังตั้งท่าจะ ‘ใส่ยับ’ อ้าปากค้าง รู้สึกเขินๆ แต่สายตาซุกซนก็ไม่วายอดสำรวจอีกฝ่าย“โห นี่เธอลงไปฟัดกับไอ้เข้ในคลองมาเรอะ ทำไมมันเละตุ้มเป๊ะอย่างนี้ล่ะ เจ็บไหม” คนถูกซักส่ายหน้า “เก่งแฮะ เป็นยัยตรีได้แหกปากบ้านแตก เอาเหอะ เดี๋ยวกลับบ้านให้ย่าทายาให้ แป๊บเดียวก็หายละ แล้วนี่เดินเองไหวไหม”คนเจ็บพยักหน้า หากพยุงตัวลุกปุ้บก็พับลงไปปั้บ ทำเอาคนยืนสังเกตการณ์ส่ายหน้า พลางทรุดลงนั่งหันหลังให้“เอ้า ถ้าไม่ไหวก็ขึ้นหลังมา จะพาไปส่ง” ฝ่ายนั้นเร่งอีก คนฟังบอกกับตัวเองในใจว่าไม่ได้เกรงคำขู่นั้นสักนิด หากอะไรบางอย่างในน้ำเสียงต่างหากทำให้คนเจ็บต้องตะกายเกาะหลังอีกฝ่ายที่กัดฟันบอก“เกาะดีๆ ล่ะยัยแมวขโมย เดี๋ยวจะหาว่าหล่อไม่เตือน” ศุภิสราเบะปากหมั่นไส้ หากแขนเรียวก็โอบรอบคอของอีกฝ่ายแน่น“ต๊าย... นั่นแกไปคลุกขี้โคลนที่ไหนมาน่ะ ดู๊... ตัวเปียกมะล่อกมาเชียะ” คุณฝนทองเท้าสะเอวเอ็ดหลานชายคนเดียวเสียงเขียว เมื่อเห
“มาสิ” ศุภิสรามองคุณไกรภพอย่างขอคำปรึกษา พอเห็นอีกฝ่ายพยักหน้าอนุญาตจึงค่อยกระย่องกระแย่งตามลูกชายตัวแสบของเจ้าของบ้านไป ทิ้งผู้ใหญ่สามคนที่มองตามอยู่เบื้องหลัง“เด็กคนนี้เองหรือครับที่คุณเล่าให้ฟัง”“ครับ” คุณไกรภพมีสีหน้าหนักใจ “นี่แหละหนูทราย”“ท่าทางน่าเอ็นดู อายุน่าจะพอๆ กับยัยตรีของผมนะครับ ถ้ารายนั้นกลับมาเจอคงเจี๊ยวจ๊าวน่าดู อ้อ พูดปุ้บก็มาปั้บเชียว” คุณพงศ์เอกเอ่ย พลางต้องรีบอ้าแขนรับร่างกลมปุ๊กลุกที่โผเข้าหา“คุณพ่อขา หนูกลับมาแล้วค่ะ” คนพูดยิ้ม พลางหอมแก้มผู้เป็นพ่ออย่างรักใคร่“สวัสดีคุณย่ากับคุณท่านหรือยังลูก” เด็กหญิงตัวเล็กรีบยกมือไหว้อย่างเรียบร้อย“นี่เหรอหนูตรี น่ารักจริง เรียกลุงว่าลุงไกรเถอะนะ”“ค่ะ คุณลุงไกร” เด็กน้อยส่งยิ้มสดใสให้ ทำเอาคุณไกรภพอึ้งสะท้อนใจยิ่งเมื่อนึกเปรียบเทียบกับเด็กน้อยที่เพิ่งผละไป“ไปอาบน้ำอาบท่ากับย่าก่อนดีกว่าลูก เดี๋ยวจะได้ลงมาทานข้าวปลากัน” คุณฝนทองรีบจูงมือหลานสาวคนโปรดมาจากผู้เป็นพ่อพาขึ้นบ้านไป เพื่อเปิดช่องให้บุรุษทั้งสองได้เจรจาธุระกันต่อ“คุณเอกนี่โชคดีจริงๆ นะครับที่มีครอบครัวที่อบอุ่น และมีลูกๆ น่ารักแบบหนูตรีกับพ่อโท”“โอ้ย... บ
“กรี๊ด...ขโมย!”“เอ๊ะ นั่นเสียงยัยตรีนี่ครับ สงสัยอาละวาดอีกแล้ว” ความคิดของคุณพงศ์เอกไม่เกินจริงเลย ภาพที่ปรากฏคือร่างหนูน้อยหลับหูหลับตากระทืบเท้าเร่าๆ ร้องกรี๊ดๆ“มีอะไรกันน่ะ เอะอะโวยวายอะไรกันลูก”“ขโมยค่ะ คุณพ่อ ขโมยขึ้นบ้านเรา ดูสิคะเขาแอบเอาชุดหนูไปใส่ด้วย”“ไหน ขโมยที่ไหนขึ้นบ้านเรา มันอยู่ไหนลูก” หญิงสูงวัยเงื้อมือหราตั้งท่าลุยมาแต่ไกล“นั่นใจคอคุณแม่จะเอาสากกะเบือมาตีหัวขโมยเลยเหรอครับ” คุณพงศ์เอกกระเซ้า ทำเอาคนเงื้อสากค้างเกิดอาการเก้อ “ก็แม่ได้ยินเสียงยัยตรีร้อง ว่าแต่ขโมยอยู่ไหนล่ะ”“นั่นไงครับ หัวขโมยของยัยตรี ยืนจ๋องอยู่นั่นไง”“อ้าว...พุทโธ่เอ๊ย หนูทรายเองเหรอลูก” แล้วคุณฝนทองก็หัวเราะออกมาเต็มเสียง คนอื่นๆ ก็พลอยยิ้มออกมาเมื่อเห็นเด็กน้อยในชุดสีชมพูหวานยืนหน้าเด๋ออยู่กลางห้องกฎข้อหนึ่งของบ้านวรรณยุกต์คือห้ามหัวเราะหรือพูดคุยระหว่างที่เคี้ยวข้าวเต็มปาก ทว่าวันนี้บนโต๊ะอาหารมื้อเย็นกลับเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะลั่น หัวข้อที่ถูกหยิบยกมาสนทนาก็หนีไม่พ้นความเข้าใจผิดที่มีต่อแขกตัวน้อยนั่นเอง คุณฝนทองถึงกับค้อนควักเมื่อถูกลูกชายของตนแซวไม่ขาดปาก แม้คุณอรดาแม่ของสองศรีพี่น้อ
หลังจากวันที่เกิดเรื่องขึ้น บรรยากาศมึนตึงก็ปกคลุมไปทั่วบ้านบุรณากรณ์ คุณพราวพิไลที่โกรธสามีหนีไปอยู่บ้านผู้เป็นมารดาชั่วคราว ส่วนบุตรชายก็มักหมกตัวอยู่ในห้องเงียบๆ ไม่ยุ่งกับใคร หากปกติยามเช้า สาย เที่ยง เย็น ก็มักจะมีคนยกเสบียงเข้ามาเสิร์ฟถึงที่ ทว่าวันนี้คอย...หาย จนเจ้าตัวทนหิวไม่ไหวต้องออกมาจากห้อง เด็กชายเหลียวซ้ายแลขวาหาสิ่งมีชีวิต แล้วเงาวอบแวบก็โผล่เข้ามาทำให้เขาต้องรีบเรียก“ใครอยู่ตรงนั้นน่ะ” เงาที่รีบเดินงุดๆ ถึงกับสะดุ้งโหยง ถาดอาหารที่แบกมาตกแตกกระจาย เมื่อเห็นคนที่ยืนตะหง่านบนเชิงบันได ดวงตาสีนิลที่มองลงมาเหมือนฉาบด้วยน้ำแข็งเย็นชาและน่ากลัว “ขะ...ขอโทษค่ะ” เด็กหญิงรีบก้มหน้าก้มตาลนลานเก็บเศษจานที่ตกแตกที่พื้น“คนอื่นๆ หายไปไหนหมด” เขาถามด้วยเสียงเย็นเยียบ“เอ่อ... อยู่ที่เรือนเล็กค่ะ”“แล้วจะยกถาดอาหารนั่นไปให้ใคร” “ปะ...ไปให้...เอ่อ” คนพูดรวบรวมความกล้าเงยหน้าจ้องกลับไปทางคนถาม“ให้ฉันงั้นเหรอ? ใครใช้ไม่ทราบ” คนตัวเล็กสะอึก รีบก้มหน้าซ่อนความน้อยใจ มือเล็กค่อยๆ ล้วงลงไปในกระเป๋ากางเกงกำวัตถุที่นอนนิ่งในนั้นราวกับขอกำลังใจ ‘ผ้าเช็ดหน้า’ ที่บรรจงซักจนหมดคราบเลือด ตั้ง
ประกาศิตกร้าวของคนเลือดเย็นตรงหน้าทำเอาคนฟังน้ำตาร่วงเผาะ แล้วทันใดนั้นเองน้ำเสียงทรงอำนาจก็แผดก้องขึ้น“ทำอะไรกันน่ะ” ร่างของคุณพราวพิไลปรากฏขึ้นที่หน้าประตู ดวงตาเอาเรื่องกวาดมองข้าวของที่เกลื่อนกลาด หากพอมองเห็นลูกชายยืนนิ่ง มือที่กุมกันมีรอยเลือด เท่านั้นเองเจ้าหล่อนก็เบิกตากว้าง“ตาเพชร!” คุณพราวพิไลตวัดหางตาไปที่ร่างเล็กที่พื้นอย่างเอาเรื่อง “แกกล้าดียังไงเข้ามาทำร้ายลูกชายแบบนี้ หา...”“ปะ...เปล่าค่ะ” คนตัวน้อยละล่ำละลักปฏิเสธทั้งน้ำตา“เปล่าอะไร ก็ฉันเห็นตำตาอยู่นี่ ยังจะมาปฏิเสธอีกเหรอ”“มีอะไรกัน แม่พราว!” คนพูดคือหญิงวัยกลางคนที่โครงหน้ากว่าครึ่งถูกบดบังด้วยผ้าคลุมสีดำมีเค้าประพิมประพายกับคุณพราวพิไล แต่มากวัยกว่า ร่างแบบบางในชุดสีโศกนั่งบนวีลแชร์เข้ามา“ก็นังเด็กเลวนี่น่ะสิคะ จะฆ่าหลานชายคุณพี่ ดูสิเลือดโชกเลย โถ... ตาเพชรลูกแม่” หญิงมากวัยเขม่นตามองจำเลยร่างเล็กมอมแมมที่นั่งตัวสั่นงันงกแล้วนึกขำน้องสาวที่โอเวอร์เกินเหตุ คนถูกมองเหมือนรู้ตัวเงยหน้ามองผู้มาใหม่“เอ๊ะ! นี่มัน...” โดยไม่มีใครคาดคิด ฝ่ามือเรียวก็ฟาดลงมาบนใบหน้าเด็กน้อยทันใด แก้มใสขึ้นรอยนิ้วมือแดงเห่อเป็นปื้น
“โจ๊กยังไม่ได้อีกหรือป้าแม้น”“เอ๊... ตาบอดหรือไงนังนี่ ก็ที่วางนั่นไม่ใช่...อ้าว!” คนพูดอุทานลั่น “โจ๊กฉันหายไปไหนล่ะเนี่ย!”ทั้งคู่ไม่รู้เลยว่า... ชามโจ๊กหอมกรุ่นที่หายไป ยามนี้เดินทางมาถึงเรือนเล็กแล้วด้วยฝีมือใครคนหนึ่งที่อาศัยจังหวะที่คนอื่นกำลังวุ่นวาย แอบย่องเข้าไปในห้องคนป่วยอย่างเงียบเชียบ “นะ...น้ำ...ขอน้ำ” เสียงเบาเอ่ย ทำให้ผู้บุกรุกสะดุ้งเกือบจะเผ่นหนีออกจากห้องไปด้วยความตกใจ แต่เมื่อเห็นว่าคนป่วยไม่มีทีท่าว่าจะรู้สึกตัวก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ก่อนตัดสินใจเข้าช่วยป้อนน้ำให้คนเจ็บอย่างทุลักทุเล สายน้ำเย็นชื่นใจซึมซาบผ่านริมฝีปากแห้งแตกระแหงขับไล่ความร้อนระอุที่แสนทรมานออกไปจนแทบหมดสิ้น ทำให้สีหน้าคนป่วยผ่อนคลาย“หายไวๆ นะ...ฉันขอโทษ...” คำนั้นทำให้คนฟังเผลอยิ้มรับออกมาโดยไม่รู้ตัว“คุณท่านคะ ฟื้นแล้วค่ะ คุณทรายฟื้นแล้ว” เสียงแม่อบตะโกนลั่นอย่างลืมตัว ทำให้คนเพิ่งฟื้นไข้ต้องกะพริบตาถี่ๆ อย่างงุนงง“อะไรกันจ๊ะ แม่อบ เอะอะอะไรเสียงดังไปถึงด้านนอกนู่น” ร่างบนรถเข็นปรากฏขึ้นที่หน้าประตู“คุณทรายฟื้นแล้วค่ะคุณท่าน ค่อยๆ นะคะคนดี อย่ารีบลุกเดี๋ยวจะเวียนหัว” ท้ายประโยคบอกคนตัวเ
ในห้องนั่งเล่นของบ้านบุรณากรณ์ บุตรชายคนเดียวของบ้านยืนมองกระจกหน้าต่างที่ฝนกำลังตกกระหน่ำอยู่เบื้องนอก ดวงตาคมกร้าวทอดมองไปเบื้องหน้า โดยทำเป็นไม่สนใจร่างของคนสนิทของคุณพรรณรายที่เดินกางร่มชะเง้อชะแง้ท่ามกลางสายฝนอย่างกระวนกระวาย หัวใจด้านดีก็รู้สึกไหววูบเป็นห่วงขึ้นมานิดๆ แต่เขาก็รีบปัดเจ้าความรู้สึกนั้นให้ปลิวหายไปแทบทันควัน‘ช่างปะไร! เด็กคนนั้นต่างหากที่ผิด ผิดที่ไม่เจียมตัว โดนแค่นี้ยังน้อยไป!’ดวงตาคมกริบไหววูบ เมื่อเห็นรถของผู้เป็นพ่อที่เพิ่งแล่นสวนเข้ามา และดูท่าจะเห็นคนที่ยืนกางร่มรออยู่ก่อนจึงหยุดสนทนาด้วย ร่างสูงยืนกอดอกมองเหตุการณ์ตรงหน้านิ่ง จนกระทั่งเห็นคนเป็นพ่อเดินแกมวิ่งเข้ามา เด็กชายจึงรีบจงใจจะเดินหนีเลี่ยงขึ้นบันไดไป แต่ถูกคุณไกรภพเรียกไว้เสียก่อน“ตาเพชร วันนี้รถไปรับหนูทรายกลับมาด้วยหรือเปล่าลูก”“ไม่ทราบครับ” เสียงราบเรียบที่ตอบกลับมาทำให้คนฟังเริ่มร้อนรุ่ม เกรงว่าประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย หนูน้อยจะหายตัวไปอีก“หมายความว่ายังไง นี่ลูกไม่ได้กลับมาพร้อมน้องหรอกเหรอ” เด็กชายยืนนิ่งเหมือนตอบรับโดยปริยาย“บ้าที่สุด!” คนเป็นพ่อสบถเสียงดัง “อย่าบอกนะว่าลูกทิ้งให้น้องยืนตา
ทุกเช้าหน้าที่หลักของศุภิสราคือต้องช่วยแม่อบเตรียมของสำหรับให้ ‘คุณท่าน’ ใส่บาตร และรับปิ่นโตที่เรือนใหญ่เพื่อตั้งโต๊ะอาหารเช้าที่ส่วนใหญ่เธอต้องร่วมโต๊ะกับคุณท่านเสมอ ทว่าพอโรงเรียนเปิดเทอม หน้าที่ตั้งโต๊ะจึงเป็นของแม่อบโดยปริยาย เพราะเด็กหญิงต้องรีบไปขึ้นรถซึ่งคุณอรดาภรรยาของคุณพงศ์เอกจะมาจอดรอรับที่หน้าบ้านเพื่อไปส่งที่โรงเรียนพร้อมกับลูกชายและลูกสาวของเธอแต่เช้าตรู่ ทว่าวันนี้ร่างเล็กชะเง้อชะแง้มองหารถของคุณอรดาครั้งแล้วครั้งเล่าแต่ก็ไร้วี่แวว“อ้าว ยังไม่ไปโรงเรียนอีกเหรอหนูทราย” คุณไกรภพเปิดกระจกรถร้องถาม“เอ่อ... คุณป้าอรยังไม่มาเลยค่ะ”“งั้นก็ขึ้นรถมาสิ เดี๋ยวลุงไปส่งที่โรงเรียนให้” คำนั้นทำให้ผู้โดยสารอีกคนหันขวับมองคนเป็นพ่ออย่างไม่สบอารมณ์ เมื่อสบตากับคนตัวเล็กเข้าเขาก็ชักสีหน้าใส่ก่อนรีบสะบัดหน้าไปอีกทางอย่างไม่สบอารมณ์ทันที คนตัวเล็กแอบเหลือบมองอาการนั้นอย่างห่อเหี่ยวใจ ตัดสินใจปฏิเสธ“เดี๋ยวหนูเดินไปขึ้นรถตรงปากทางก็ได้ค่ะ”“ขึ้นมาเถอะลูก สายแล้วเดี๋ยวจะไปเรียนไม่ทันนะ” เมื่อคนมากวัยกว่าออกปากศุภิสราจึงหมดทางเลือก “มาหนูทรายขึ้นมานั่งข้างพี่เพชรแล้วกัน ตาเพชรขยับให้น้องน
“คะ...คุณท่าน!”“หืม? คุณท่าน?” คนถูกเรียกเลิกคิ้ว พลางหันไปมองคนสนิทแวบหนึ่งอย่างนึกรู้ “เอาๆ คุณท่านก็คุณท่าน ตอนนี้ก็เข้าบ้านกันก่อนเถอะ” คุณพรรณรายตัดบท ก่อนนำเข้าไปในบ้าน โดยมีเด็กน้อยถือห่อผ้าก้าวตามเข้ามาอย่างกล้าๆ กลัวๆห้องนั่งเล่นขนาดย่อม ถูกทำความสะอาดจนเอี่ยมอ่อง มีชั้นใส่หนังสือสูงท่วมศีรษะ ที่น่าสนใจคือเปียโนสีดำ ที่ตั้งเด่นอยู่กลางห้อง ทำให้เด็กน้อยต้องชะเง้อมองอย่างสนอกสนใจ“ชอบเปียโนหรือจ๊ะ?” คนถูกถามหน้าตาเหรอหรา“เอ่อ ชะ...ชอบค่ะ แต่แม่ไม่ชอบ” “หืม อะไรนะ? เข้ามาใกล้ๆ นี่ซิ” เด็กน้อยยืนนิ่ง เสียงเข้มจึงสำทับ“เข้าไปใกล้ๆ คุณท่านสิคะ” อะไรบางอย่างในตัวหญิงมากวัยบนวีลแชร์ทำให้เด็กหญิงรู้สึกเกรงขามแต่เพราะความสนใจใคร่รู้ จึงเผลอมองเสี้ยวหน้าที่ถูกผ้าคลุมบดบังอยู่หลายนาที จนมีเสียงกระแอมเบาๆ จากแม่อบ นั่นแหละคนตัวเล็กจึงทรุดตัวลงนั่งพับเพียบข้างๆ รถวีลแชร์นั้น“คล้าย... คล้ายกันเหลือเกิน” ดวงตาดุที่ทอดมองมาแฝงด้วยความปรานี “เธอชื่ออะไร”“ซะ...ทราย...” ท้ายประโยคมีเสียงกระแอมแทรกขึ้นอีกครั้ง “เอ่อ... ค่ะ”“ชื่อจริงล่ะ”“ศุภิสราค่ะ”“ศุภิสรา... ศศิลดา...” ชื่อหลังที่เอ่
“หย่างั้นเหรอ” คุณไกรภพยิ้มเหี้ยม คำว่า...หย่า คงทำให้เขารู้สึกยินดีปรีดามาก หลังจากต้องฝืนทนใช้ชีวิตคู่ที่กระท่อนกระแท่นไร้ความสุขกับหญิงที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยามานาน การแต่งงานที่มีรากฐานมาจากความผิดพลาดของเขา บวกกับความระแวงไม่ไว้ใจของเธอ ฉะนั้นการหย่าร้างก็น่าจะเป็นทางออกที่ดี ถ้าหากไม่มี... โซ่ทองคล้องใจคุณไกรภพปรายตามองลูกชายที่ยืนหน้าซีดเผือด ช็อกกับคำขาดของผู้เป็นแม่ พีรภัทร ลูกชายสุดที่รักเพียงคนเดียวที่คล้องใจไม่ให้ขาดสะบั้นกับภรรยาดังที่ใจเขาปรารถนา ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบที่คุณพราวพิไลรู้ดียิ่ง“ว่ายังไงล่ะ เลือกเอาถ้ามีฉันกับลูก ก็ต้องไม่มีเด็กคนนี้ในบ้าน” คุณพราวพิไลตวัดเสียงอย่างเป็นต่อ“งั้นก็ให้เด็กมาอยู่กับฉันแล้วกัน!” เสียงทรงอำนาจแทรกขึ้นท่ามกลางสงครามคุกรุ่น“คุณพี่” “พี่พรรณ”“ว่าไงล่ะ ถ้าไม่มีใครต้องการล่ะก็ ฉันจะขอรับเลี้ยงเด็กคนนี้ไว้เอง ได้ไหมคุณไกร” คุณไกรภพขยับจะปฏิเสธความหวังดีนั้น หากพอมองหน้าคนในคุ้มครองที่สั่นสะท้านอย่างหวาดกลัวต่อเหตุการณ์เบื้องหน้า ก็เกิดความลังเล ถ้าปล่อยให้ศุภิสราอยู่ร่วมบ้านต่อไป คุณพราวพิไลคงจองเวรเด็กน้อยไม่เลิก“ครับ คุณพี่ ผมไม่ขัด
“เพ้อเจ้อน่า นั่นคุณลุงไกรวิ่งมานู่น แกอย่าพูดมากเชียว” คนเป็นพ่อชี้หน้าคาดโทษ เด็กชายแอบเบ้ปาก แต่สุดท้ายก็ยอมปล่อยให้คุณไกรภพอุ้มคนตัวเล็กลงจากรถไปอย่างขัดเคืองใจ“โถ... เจ็บมากไหมลูก” คุณไกรภพมองหน้าฟกช้ำของเด็กน้อยอย่างสงสารจับใจ “ลุงขอโทษนะลูก ลุงขอโทษ”“ไม่เจ็บแล้วค่ะ” ศุภิสราเอ่ย พลางเหลือบตามองคนที่เดินลงจากรถมายืนตาขวางข้างๆ“ผมขอบคุณมากนะครับคุณเอกที่เป็นธุระให้”“ไม่เป็นไรครับ งั้นลุงไปก่อนนะคะหนูทราย หายเร็วๆ นะลูก” คุณพงศ์เอกรีบตัดบท ก่อนรุนหลังลูกชายขึ้นรถ เด็กชายก็เหลียวกลับไปมองด้านหลังอย่างเข่นเขี้ยว“คอยดูนะ ถ้าน้องทรายต้องเจ็บตัวอีกล่ะก็...ผมจะไปดักตีหัวคนทำ”“หา! ว่าไงนะ” คนฟังตาเหลือก “เจริญล่ะไอ้ตัวแสบ หาเรื่องให้ฉันปวดหัวอีกแล้ว”“แล้วโตขึ้นผมจะไม่เป็นทนายเหมือนพ่อละนะ”“อ้าว... แล้วแกจะเป็นอะไร ฮึ เจ้าโท” คนเป็นพ่อถามยิ้มๆ อารมณ์ดี“ผมจะเป็นหมอ!” เด็กชายยึดอกประกาศอย่างภาคภูมิ“หา!” ทนายใหญ่อ้าปากค้าง “หมออะไร หมอดู หรือว่าปลาหมอ หา”“ไม่เชื่อพ่อก็คอยดู” เด็กชายฮึดฮัดหันกลับไปมองประตูรั้วของบ้านที่เพิ่งจากมาอย่างหมายมาด คอยดูนะ เขาจะต้องเป็นหมอให้ได้ จะได้ปกป้อ
“พะ... พี่โท!”“ก็ใช่น่ะสิ โอย...” โทรินทร์ครางหน้าเหยเก แต่ไม่ยอมปล่อยแขนจากร่างน้อย “เกือบทำฉันตายไปด้วยแล้วรู้ไหม”“แล้วมาช่วยทำไม”“หนอย ทำคุณบูชาโทษ อุตส่าห์ช่วยไม่ให้ถูกรถทับตายกลับได้บาป ฮึ มันน่า…” คนพูดเงื้อง้ามะเหงกขึ้นอย่างมันเขี้ยว คนตัวเล็กกว่าหลับตาปี๋ วินาทีนั้นเอง จู่ๆ มะเหงกก็กลายเป็นลูบลงบนเส้นผมสลวยของเธอแทน“โป้งแปะ หาตัวเจอแล้ว” เด็กชายยิ้มให้พลางปาดน้ำตาให้คนตัวเล็กอย่างแผ่วเบา “รีบเดินจ้ำอ้าวแบบนี้จะไปไล่ควายที่ไหนหืม?”พูดแล้วก็นึกขึ้นได้ จึงล้วงอะไรบางอย่างจากกระเป๋ากางเกงขึ้นมายื่นให้ ดินเหนียวที่ปั้นเป็นรูปควายเขาโง้ง ที่ตอนนี้เขาข้างหนึ่งหัก แถมหน้ายุบบี้แบนไปแถบหนึ่งเพราะโดนทับ ทำให้เจ้าของบ่นอุบอิบ“ว้า...สงสัยตอนกลิ้งเมื่อกี้ล่ะสิ เสียดาย กะว่าจะเอามาฝากซะหน่อย อะ...ให้”“พี่โทตามมาได้ยังไงคะ”“ก็ตามรอยเลือดมาน่ะสิ” คนพูดรีบคว้ามือน้อยๆ ขึ้นมาซับเลือดให้เบาๆ ก่อนรวบร่างบางนั้นมากอดปลอบโยน“โอ๋ๆ เจ็บมากไหม ไม่ต้องกลัวนะ พี่จะไม่ยอมให้ใครมาทำอะไรน้องทรายได้ ลองมาสิจะให้ควายขวิดไส้แตกเลย คอยดู”ภาพเหตุการณ์ทั้งหมดทำให้คุณพงศ์เอก ถอนหายใจออกมาเบาๆ อย่างโล่งอ
“ก็เห็นอย่างที่คุณเห็นนั่นแหละ...” คุณพรรณรายยอมรับ มันก็น่าอยู่หรอกที่น้องสาวของเธอจะเดือดดาลได้ถึงขนาดนั้น แม้ไม่อยากจะเชื่อ หากทว่าเค้าโครงหน้าที่เล่นถอดพิมพ์เดียวกันออกมาแบบนี้ มีหรือที่น้องสาวของเธอจะไม่ยอกแสยงในอก ยิ่งมาอยู่ร่วมชายคาด้วยแล้ว ก็เหมือนกับกอดระเบิดเวลาเอาไว้ไม่มีผิด หากทว่ามันก็ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเธอ ในเมื่อเธอเองก็มีสถานการณ์ไม่ต่างจากเด็กหญิงผู้น่าสงสารนี้“ผมเพิ่งทราบเรื่องของคุณพี่ เสียใจด้วยจริงๆ นะครับ คนดีๆ อย่างคุณพจน์ไม่น่ามาด่วนจากไปแบบนี้เลย” คุณไกรภพเอ่ยพลางเข้าช่วยเข็นรถพี่สาวภรรยาไปทางห้องรับแขก ดวงตาเศร้าสร้อยเมื่อนึกถึงสามีผู้ล่วงลับไปอย่างกะทันหัน ทั้งที่หน้าที่การงานของเขากำลังรุ่งโรจน์จนเกือบจะขึ้นไปถึงตำแหน่งเอกอัครราชทูตอยู่ร่อมร่อ“แล้วนี่คุณพี่จะกลับมาอยู่เมืองไทยเลยหรือเปล่าครับ”“ค่ะ ก็คงอย่างนั้น พอสิ้นคุณพจน์ ที่นู่นก็ไม่มีใคร”“ก็ดีสิครับ นี่คุณแม่คงดีใจที่ลูกสาวมาอยู่เป็นเพื่อน” คนพูดไม่ทันสังเกตสีหน้าของอีกฝ่ายที่หม่นหมองลงทันควัน“ถ้าเป็นอย่างที่คุณพูดก็คงดี” คุณพรรณรายขอบตาร้อนผ่าวเมื่อนึกถึงชะตากรรมของตนเอง“เกิดอะไรขึ้นหรือครับ”
ประกาศิตกร้าวของคนเลือดเย็นตรงหน้าทำเอาคนฟังน้ำตาร่วงเผาะ แล้วทันใดนั้นเองน้ำเสียงทรงอำนาจก็แผดก้องขึ้น“ทำอะไรกันน่ะ” ร่างของคุณพราวพิไลปรากฏขึ้นที่หน้าประตู ดวงตาเอาเรื่องกวาดมองข้าวของที่เกลื่อนกลาด หากพอมองเห็นลูกชายยืนนิ่ง มือที่กุมกันมีรอยเลือด เท่านั้นเองเจ้าหล่อนก็เบิกตากว้าง“ตาเพชร!” คุณพราวพิไลตวัดหางตาไปที่ร่างเล็กที่พื้นอย่างเอาเรื่อง “แกกล้าดียังไงเข้ามาทำร้ายลูกชายแบบนี้ หา...”“ปะ...เปล่าค่ะ” คนตัวน้อยละล่ำละลักปฏิเสธทั้งน้ำตา“เปล่าอะไร ก็ฉันเห็นตำตาอยู่นี่ ยังจะมาปฏิเสธอีกเหรอ”“มีอะไรกัน แม่พราว!” คนพูดคือหญิงวัยกลางคนที่โครงหน้ากว่าครึ่งถูกบดบังด้วยผ้าคลุมสีดำมีเค้าประพิมประพายกับคุณพราวพิไล แต่มากวัยกว่า ร่างแบบบางในชุดสีโศกนั่งบนวีลแชร์เข้ามา“ก็นังเด็กเลวนี่น่ะสิคะ จะฆ่าหลานชายคุณพี่ ดูสิเลือดโชกเลย โถ... ตาเพชรลูกแม่” หญิงมากวัยเขม่นตามองจำเลยร่างเล็กมอมแมมที่นั่งตัวสั่นงันงกแล้วนึกขำน้องสาวที่โอเวอร์เกินเหตุ คนถูกมองเหมือนรู้ตัวเงยหน้ามองผู้มาใหม่“เอ๊ะ! นี่มัน...” โดยไม่มีใครคาดคิด ฝ่ามือเรียวก็ฟาดลงมาบนใบหน้าเด็กน้อยทันใด แก้มใสขึ้นรอยนิ้วมือแดงเห่อเป็นปื้น